แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: กษัตริย์ไม่อาจคืนคำ


เมื่อท่านสิงห์เฝ้าเบื้องพระบาท ตามลำพังห้องรโหฐานของพ่อเจ้าทีฆายุแล้ว ท่านจึงกราบทูลตามที่ได้รู้ด้วยตาตนเองว่าพวกนางแม่ครัวนั้นกลั่นแกล้งเจ้านางอมราเพราะเห็นว่าสิ้นวาสนา ท่านเห็นแต่กาสาว่าซูบผอมมิได้เห็นเจ้านางอมรา ดังนั้นจึงกราบทูลตามจริงไป
พ่อเจ้าสะท้านพระทัย เมื่อได้ฟัง พระองค์คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้านางอมราจะตกทุกข์ได้ยากเพียงนี้ ครั้งมีรับสั่งกลับคืนคำ พระองค์มิอาจทำได้ หากจะไปดูพระนางเจ้าให้เห็นกับสายพระเนตร หากน้ำคำของพระนางที่ลั่นต่อธารกำนัลว่าไม่ขอเห็นกันแล้ว คำนี้จึงเป็นปราการแกร่งวัดพระทัยทั้งสองพระองค์
วาจากษัตริย์ หากกลับกลอกไปมา ข้าราชบริพารไหนเลยจะอยู่ใต้พระราชอำนาจอีกเล่า
พ่อเจ้าทอดถอนพระทัย ก่อนมีพระราชกระแสออกมาอย่างเรียบเฉย หากพระทัยนั้นปวดร้าวงยากเกินบรรยายได้ ใครไม่อยู่สูงเช่นพระองค์ท่านย่อมไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงไม่เอ่ยอ้าง อาละวาดออกมาเสียให้สาแก่พระทัย ยิ่งสูงยิ่งต้องระวัง ถ้อยพระดำรัสมีค่าแก่แผ่นดิน
“แม้เจ้าอมราจะมิใช่แม่อยู่หัวตามที่ข้าเองได้ปลดไปเสียแล้ว แต่เจ้านางอมรายังได้ชื่อว่าเคยเป็นเมียของข้า ข้ายังไม่มีคำยกให้แก่ผู้ใด ดังนั้นไม่ว่าใครมิอาจแตะต้องล่วงเกินนาง หากอ้ายอีคนใดบังอาจล่วงเกิน ทำให้นางได้ทุกข์ยากแล้วไซร้ มันผู้นั้นย่อมมีอาญาละเว้นไม่ได้ ไปจัดการเถิดสิงห์”
ท่านสิงห์รับราชโองการไปปฏิบัติทันที โทษนางแม่ครัวถูกลงหวายร้อยทีต่อหน้าธารกำนัล นางโดนเฆี่ยนเพียงสามไม้นางก็สลบลงแล้ว แต่อาญาโดนเฆี่ยนร้อยที นางจึงไม่อาจทน จึงสิ้นใจตายคาเรียวหวายนั้นเอง ศพของนางถูกลากไปทิ้งให้เป็นเหยื่อแก่ฝูงแร้งนอกเมือง
การลงโทษแม่ครัวนี้ ทำให้ชาววิเสท เกรงกลัวเป็นอันมาก ที่เคยนึกสนุกที่ได้แกล้งคนที่จงชังให้ได้ยาก เห็นความซูบผอมของกาสาเป็นอาหารตาที่มีเรื่องนินทาแก่กัน ด้วยการวาดภาพเจ้านางผู้โหดร้ายจักเป็นเช่นไร บัดนี้ ชาววิเศษ หรือพวกคนครัวหาได้คิดมีความสนุกอยู่ในใจอีกแล้ว
การตายของนางหัวหน้าแม่ครัวเป็นตัวอย่างว่า แม้เจ้านางอมราสิ้นวาสนาแล้วแต่ฐานะของพระนางยังไม่อาจให้มีใครลบหลู่ได้ ดังนั้นกาลเวลาต่อมา พวกทาสี ลำเลียงอาหารอย่างดีมาส่งให้กาสา บางคนอาสาตักน้ำแทนกาสาเป็นการเอาใจเพื่อมิให้ความผิดมาถึงตัวได้
ที่แปลกนักคือ แม้บางคนหวังดีจะขึ้นเฝ้าเพื่อกราบแทบพระบาทเจ้านางอมรา แต่ถูกปฏิเสธไม่ให้ใครได้พบเห็นเลยสักคนเดียว
ดังนั้นจึงมีคำลืออันไม่เป็นมงคลออกไปว่าเจ้านางอมรามีพระสุขภาพพิการ เป็นอัมพาตมิอาจลุกดำเนินได้อีก ข่าวลือดังไฟลาม ไม่ช้าไม่นานก็เข้าถึงตำหนักใหญ่
แม้ได้ยินชัดเต็มสองพระโสต แต่มิได้มีราชโองการอันใดออกไป
น้ำพระทัยสองกษัตริย์เต็มไปด้วยทิฐิมิมีใครยอมใคร แม้ว่าจะยังรักกันอยู่มากก็ตามที ความรักครั้งนี้จึงเหมือนแผลที่กลัดหนองทำให้เจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา

พ่อเจ้าทีฆายุประทับเพียงลำพังองค์เดียวในราตรีนี้บนหอกลองชัยบนปราสาทสูง ณ.ที่นั้นสูงมากจนสามารถเห็นทิวทัศน์ของพระราชวัง และเห็น ตำหนักหลังอันเป็นที่ขังเจ้าอมรา เจ้านางผู้มีฤทธิ์มาก หากว่าตลอดเวลาที่ถูกกักขัง ข่าวของพระนางเงียบหายเหมือนคนตายจากกันไปแล้วมิแผกกัน
สายลมหนาวพัดผ่านจนพ่อเจ้าหนาวสะท้านทั้งอุระ
เวลาผ่านมาถึงห้าเดือนที่ตัดขาดจากกัน ไม่มีสักวันที่พ่อเจ้าจะไม่คิดถึงเจ้านางอมรา
ภายนอกผู้คนไม่ทราบ หากพ่อเจ้ารู้พระองค์เอง ดีว่า ยังทรงรักเจ้านางอมราอย่างมิอาจตัดจากพระทัยได้เลย ยิ่งนานวันความเบื่อหน่ายที่เคยเป็นจุดเริ่มแห่งความห่างเหิน ได้ถูกความเงียบงันของเจ้านางอมราทำร้ายความรู้สึก เปรียบเหมือนคันฉ่องส่องพระทัยให้พ่อเจ้าได้เห็นว่า เจ้าขวัญหล้าเป็นที่พักแห่งเรือนกาย ในพระทัยนั้นเล่าไม่มีผู้ใดแทรกเข้าไปเขี่ยเจ้าอมราทิ้งออกมาได้เลย
“หากเจ้าไม่ถอดดาบต่อหน้าธารกำนัล พี่หรือจะมีราชโองการดังที่ผ่านมา พี่เสียใจเหลือเกินที่ทำร้ายเจ้า ไม่เพียงแต่ลงมือตบตีเจ้าเท่านั้น พี่ขังเจ้า เรียกเจ้าว่าคนต่างเมือง ทำให้เจ้าแค้นพี่หนักหนาเชียวหรืออมรา เจ้าคงสิ้นรักพี่แล้วสินะน้อง เจ้าจึงไม่เผยตัว ไม่ส่งข่าว เจ้าขังตัวเองแต่ในตำหนัก ถูกข้าทาสบริวารกลั่นแกล้งให้ทุกข์ยาก
อดอยากถึงเพียงนี้ เจ้ายังไม่บอกพี่สักคำ ทำไมเล่าอมราหรือแผ่นดินต้องกลบหน้าก่อนพวกเราจึงจะได้เห็นหน้ากัน เราต้องจากกันจนตายด้วยหรือน้องพี่”
เสียงคร่ำครวญในพระทัยที่ร้าวราน ยากมีคนเข้าใจ ด้วยภายนอก พ่อเจ้ายังออกว่าราชการด้วยความเป็นปกติ มีแต่เวลาดึกเช่นนี้ที่ได้อยู่กับพระองค์เองเพียงลำพัง ได้คิดถึงผู้เป็นที่รักเพื่อให้คลายหมอง หากว่า ยิ่งคิด พระองค์ยิ่งเจ็บช้ำน้ำพระทัย ยิ่งโทษกาลเวลาที่ผ่านมา ไม่น่าเกิดเหตุร้ายเลย!
พี่อยากเห็นเจ้าเหลือเกินอมรา เจ้าเป็นตายร้ายดีเพียงใดกันหนอ!
ขณะที่ทรงดำริอย่างเงียบเหงาอยู่นั้น พ่อเจ้าทีฆายุได้มีพระดำริประการหนึ่ง
เจ้าอมรารักมาก หวงมาก ในพระทัยเงียบเหงาทรงแอบหวังว่าเจ้านางอมราจะยังห่วงหาพระองค์เฉกเดียวกับที่พ่อเจ้าคิดถึงพระนางอย่างเหลือเกิน หากได้เห็นกัน คงได้เข้าใจต่อกันบ้าง
ดังนั้นในเวลาสายของวันรุ่งขึ้น
พ่อเจ้าประทับนั่งเสลี่ยงหาม ตามด้วยนางสนมกำนัล ผ่านมาทางท้ายอุทยานอย่างจงพระทัย ยิ่งใกล้ตำหนักกักขังพ่อเจ้าดำรัสด้วยสุรเสียงอันดัง
..เพียงพระทัยหวังให้คนในตำหนักท้ายอุทยานเปิดม่านมาให้เห็นบ้าง
หากม่านสีทึบมิได้ถูกเปิดออกแม้แต่เพียงนิด พ่อเจ้าพระทัยหาย ด้วยความเชื่อว่า เจ้านางอมราสิ้นรักในพระองค์จนหมดสิ้น
แต่แท้ที่จริงพ่อเจ้ามิทรงรู้ พระนางอมราทรุดพระวรกายกับพื้นตำหนักมิให้โหยหา น้ำพระเนตรรินหลั่งดังทำนบทลาย กัดพระโอษฐ์แน่นมิให้เปล่งเสียงออกมาให้ใครได้ยิน
พระนางเจ็บร้อนพระทัยยิ่งนักที่ทรงคิดว่าพ่อเจ้านำพานางสนมที่ไม่เคยโปรดผ่านมาเยาะเย้ยพระนาง ดั่งมีคำสั่งให้ประหารพระนางไม่มีผิด คิดแล้วยิ่งกรรแสงแต่อย่างเจ็บปวดพระทัย
ท่านสิงห์ตามเสด็จพ่อเจ้า นางหิ้วครุใส่น้ำผ่านมาพอดี ท่านแม่ทัพรูปงามจึงได้เห็นกาสามีรูปร่างสมบูรณ์กว่าเมื่อเดือนก่อน ท่านรู้สึกยินดียิ่ง กาสายังคงเป็นคนขยัน ท่านสิงห์เข้าช่วยเหลือโดยช่วยถือ ครุ ที่ใส่น้ำจนเต็มแล้วเอ่ยกับอีกฝ่าย
“ไม่มีนางข้าไทมาตักน้ำแทนเจ้าหรือกาสา”
“แม่เจ้าไม่ทรงโปรดเจ้าค่ะท่านสิงห์ ทรงอยากอยู่เพียงลำพังดังนี้”
“แม่เจ้าสำราญดีอยู่หรือ”
กาสากระพริบตาถี่ขับไล่น้ำตาให้กลืนหายลงไป
นึกถึงเจ้านางอมราที่ทรงพระครรภ์แก่เต็มที่แล้ว นางอยากบอกท่านสิงห์ อยากบอกทุกคนให้ได้รู้
แต่พระแม่เจ้านางอมราได้ยื่นเป็นคำขาดว่า
“อย่าให้ข้าต้องใช้ลูกขึ้นมาอ้างเพื่อเรียกร้องทุกอย่างกลับมาเลย ข้าไม่ต้องการให้ชาวเมืองธารปุระหยามน้ำใจข้าอีก ต่อเมื่อลูกข้าเกิดข้าจะถวายให้ด้วยความภักดีที่มีต่อพ่อเจ้าไม่เสื่อมคลาย จากนั้นความตายจักเป็นรางวัลแห่งข้า”
“แม่เจ้าอย่าดำริเช่นนั้นเจ้าแม่เจ้า พระหน่อเนื้อในอุทรได้รวมเป็นสองชาติ ทั้งธารปุระและเมืองคราม พระแม่เจ้าจะตัดเอาแต่ช่องน้อยพอตัวไปได้กระไรเจ้า แม่เจ้า”
“กาสาเอย ข้าถูกหยามเกียรติมาเสียครั้งหนึ่งเมื่อถูกตวาดใส่หน้าว่าข้าเป็นนางหญิงต่างเมือง ข้าโดนฉุดคร่ามาแล้วถูกอุปโลกน์เป็นแม่ยั่วหัว เมื่อกาลสมัยของข้าได้พลิกผันไปอยู่ในมือหญิงอื่นแล้ว อย่าพึงหวังเลยว่าข้าจะช่วงชิงกลับมาเป็นใหญ่ให้คนประณามหยามหมิ่นข้าได้อีก ข้าได้เห็นสายตาของผู้คนวันที่ข้าไร้อำนาจ ข้าได้ถูกกระทำยามกักขัง ข้าย่อมรู้ชะตากรรมของข้าแล้วว่า คนรักข้านั้นเห็นจะมีแต่เจ้าเพียงคนเดียวกาสา”
“โอ้พระแม่เจ้า”กาสาสะอื้นไห้แทบพระบาท
แม่เจ้าอมราปล่อยน้ำพระเนตรรินไหลเป็นทางยาว ตรัสต่อไปว่า
“หน่อเนื้อนี้พ่อเจ้าประทานมาให้ ข้าจึงคิดถวายกลับไป ข้าและพี่เจ้าเมื่อตรัสเป็นคำขาดต้องรักษาวาจานั้น พี่เจ้าเป็นกษัตริย์มิอาจคืนคำ ทรงยศศักดิ์เกรียงไกร ข้าไม่อาจนั่งร่วมแท่นอีกแล้วไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติใด”
ท่านสิงห์เอ่ยถามซ้ำ เมื่อเห็นกาสานิ่งงันไป
“กาสา ข้าถามว่าแม่เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง แม้เจ้าไม่ตอบผู้อื่น เจ้าน่าที่จะบอกข้าได้”
กาสาสะดุ้ง รีบรับครุน้ำคืน
“ถึงแล้วเจ้าค่ะท่าน”
“เจ้ายังไม่ตอบเรื่องที่ข้าถาม”
กาสาเลี่ยงตอบไปว่า
“ทรงมีพระดำรัสว่า หากมีคนถามถึงพระแม่เจ้า ให้ตอบไปว่าสบายดีเจ้าค่ะ”
“แล้วแท้จริงพระนางสบายอย่างที่เจ้าบอกหรือเปล่าเล่า”
“เอ่อถึงตำหนักแล้ว ท่านยั้งเท้าแต่เพียงเขตกั้นนั้นเถิดเจ้าค่ะ”
ท่านสิงห์หยุดยั้ง แต่ข้างนอก น้ำคำ กาสาคลุมเครือจนน่าแปลกใจ ท่านมองความทุกข์ยากของอีกฝ่ายด้วยความเวทนานัก
นางลำบากจนน่าเวทนานัก ท่านสิงห์สงสารจับใจ
หากว่า ท่านได้แต่สงสารอีกฝ่ายเท่านั้น หากท่านพรากกาสามาตามอำเภอน้ำใจแล้ว เจ้านางอมราจักหาที่พึ่งแสนภักดีได้ที่ไหนอีก ความรักบางครั้งจำต้องหักด้วยความภักดีเช่นกัน



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2555, 10:12:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2555, 10:12:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1964





<< ยอมรับชะตากรรม   ก่อนการประสูติ (จบภาค เจ้านางอมรา) >>
Zephyr 2 มิ.ย. 2555, 14:22:45 น.
ปากแข็ง ใจแข็งกันทั้งคู่เลย ลูกจะไร้แม่ตอนเกิดจริงๆหรือนี่


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account