แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: ชีวิตใหม่กาสา (ภาค เจ้านางศิขริน)

หญิงร่างกายสมบูรณ์มีลักษณะครบถ้วนตามราชประเพณีถูกจัดมาให้เป็นพระนม หากพ่อเจ้าระแวงระวังให้มีหน้าที่เพียงให้น้ำนมเมื่ออิ่มแล้ว ถึงถูก กาสาอุ้มสู่ตำหนักชั้นในที่ประทับเดิมของแม่อยู่หัว
มหาดเล็กและราชองค์รักษ์อารักษ์ขานับร้อยคน เพียงสามเดือนก็ถวายน้ำนมโคให้ดื่มสิ้นสุดหน้าที่พระนม ทีฆายุพ่อเจ้าพระราชทานแก้วแหวนเงินทองให้จำนวนมาก
พระนมนั้นนามว่าท้าวเพทาย มีธิดาร่วมน้ำนมกับพระโอรสคือ จันทร์น้อยต่อมาเป็นนางข้าหลวงชั้นพิเศษ
ฝ่ายท่านสิงห์ลอบมอง กาสาด้วยความพึงพอใจ แม้ กาสาจะไม่ใช่คนสวยงามมากนัก แต่นางก็เป็นคนดีเหลือเกิน จนชนะใจแม่ทับใหญ่แห่งธารปุระนครได้
“เมื่อเจ้าชอบนางจนแทบไม่มีใจฝึกอาวุธ ทำไมไม่ไปบอกนางให้รับรู้”
“ความรักของข้าน้อย คงเปรียบประดุจคมมีดที่เก็บไว้แต่ในฝัก”
“ขุนทหารไม่ชักดาบออกฟันจะชนะข้าศึกหรือ”
“ครั้งหนึ่งนางถวายความภักดีแด่แม้เจ้า บัดเดี๋ยวนี้ภักดีต่อพระหน่อเจ้าจึงมิบังควรที่ข้าน้อยจะหาญหักความดีอันนี้”
“ว่าแต่ กาสา พี่ข้าก็เอาความจงรักษ์ในกษัตริย์มาหักหาญใจตน พี่ข้าได้ร่วมแต่ทุกข์มากับข้า บัดเดี๋ยวนี้จงได้มีสุขให้สมใจเถิด อย่าปล่อยโอกาสไป”
“แต่ ”
ทีฆายุเจ้าเสด็จตำหนักชั้นในท่านสิงห์ตามเสด็จมิห่าง
กาสาทำหน้าที่ อภิบาล ภีมเจ้าซึ่งกำลังหัดเสด็จ พระหน่อเจ้าทรงมีวรกายอวบอ้วนน่ารักน่าชัง พระพักตร์พิมพ์เดียวกับเจ้าอมราเทวี ส่วนพระฉวีมีสีทองแดงเช่นองค์พ่อเจ้าจึงดูคมขำยิ่งนัก
เมื่อทอดพระเนตรเห็นพ่อเจ้าเสด็จมา ยามดีพระทัยลิงโลดถึงกับดำเนินได้หลายก้าว
“ลูกข้า เดินได้แล้วหรือนี่”
“พึ่ง ได้เสด็จก็ต่อพระพักตร์เจ้าพ่อเจ้า”
“สมเป็นลูกของข้านัก ภีมเจ้าเติบโตได้เกินชันษา ข้าจะนำไปเลี้ยงดูเองหรือเจ้าจะตามข้าไปตำหนัก”
กาสาแตกตื่น นึกว่าโปรดให้เป็นนางสนม นางเผลอเหลือบแลแม่ทับสิงห์ซึ่งนั่งใกล้กัน อย่างต้องการความช่วยเหลือแต่นางมิรู้จะพุดวาจาใดออกมา ได้แต่นั่งหน้าซีดเผือดด้วยความกลัว
อีกฝ่ายยิ้มในสีหน้า พ่อเจ้าทอดพระเนตรเห็นกิริยาอาการคนทั้งสอง จึงดำรัสถาม
“เจ้ามีคู่หมั่นหมายอยู่แล้วหรือ หากมีข้าอนุญาตให้มีคู่ได้แต่ถ้ายัง”
ท่านสิงห์ได้ช่องจึงทูลขอ
“พ่อเจ้า กาสานั้นข้าน้อยขอทรงโปรดประทานแก่ข้าน้อย”
“ถ้านางเต็มใจก็ให้นางถอดกำไลแขนให้เจ้า”
กาสาคนซื่อเข้าใจว่าหากไม่ทำตามกระแสรับสั่ง ก็คงไม่พ้นเป็นนางสนม ครั้นสบตาท่านสิงห์ก็ให้ครั่นคร้ามใจ
“ว่าอย่างไรกาสา” ดำรัสซ้ำ
กาสา ยื่นแขนให้ท่านสิงห์ไม่กล้าสบตา
“หากเมตตา จะเลี้ยงดูข้าน้อยก็เชิญปลดกำไลนี้เถิดท่านแม่ทัพ”
ท่านสิงห์ทูลขออนุญาตพ่อเจ้าอีกครั้ง
“แม้ข้าน้อยจะรับ กาสาไปเป็นศรีเรือนแล้ว ขอทรงโปรดให้ได้อภิบาลภีมเจ้าได้ต่อไป ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด”
“เรื่องนั้นข้าให้เพราะอมราเทวีก็ได้ตรัสไว้” ทรงอุ้มราชโอรสเพียงพระองค์เดียว
“เจ้าไปกับสิงห์เถิดกาสา บัดเดี๋ยวนี้พ้นจากฐานะนางข้าหลวงแล้ว”
“ทรงพระมหากรุณาธิคุณเจ้าพ่อเจ้า”
เรือนท่านสิงห์เป็นเรือนพระราชทานอยู่ไม่ห่างพระราชวังนัก ข้าทาสบริวารนับร้อยคน ได้รับการตีเกราะจึงทิ้งงานมาชุมนุมลานกว้างหน้าเรือน
ท่านสิงห์ยืนเดินอยู่หน้าบันไดเรือน ด้านข้างคู่เคียงด้วยสตรีผมยาวมิได้มัดมวยผมเช่นชาวธารปุระแม้มิงามจับตาหากก็ดูดี เรือนกายได้สัดส่วนไม่ผอมหรืออ้วนเกิน
“ข้าเรียกมาให้รู้จักแม่นายของพวกเอ็ง นับถือข้าอย่างไร ให้นับถือแม่นายอย่างนั้น อ้ายมี นางแสง สองคนผัวเมียนั้นเป็นหัวหน้า ข้าทาสทั้งหมดพวกเจ้าดูแลแม่นายอย่าให้มีเรื่องทุกข์ร้อนอันใด เอาล่ะไปทำหน้าที่ได้แล้ว นางแสงอยู่ก่อน”
นางแสงเป็นหญิงกลางคนรูปเค้าใจดีจนกาสาวางใจ รอรับคำสั่งจากท่านสิงห์
“แม่นายจะมาร่วมหอกับข้า วันนี้เจ้าดูแลจัดแจงให้แม่นายด้วย นางยังเป็นสาวมิได้เคยผ่านการมีเรือน”
“เจ้าค่ะ พ่อนาย เชิญแม่นายทางนี้เจ้าค่ะ”
นางแสงเดินนำ นายมีความท่านสิงห์ “แม่นายเป็นหญิงจากคุ้มไหนขอรับพ่อนาย”
“เป็นนางกำนัลแม่ยั่วหัว ไปจัดหาของมาเลี้ยงดูบ่าวไพร่ให้ดีอ้ายมีพ่อนายของเอ็งจะมีเมียแล้วในวันนี้”
อ้ายมียิ้มในสีหน้า สบตากับนายอย่างรู้ทัน
พ่อนายครองโสดมานานพึ่งพบคนถูกใจ หญิงนี้คงมีความสำคัญมิใช่น้อย แต่ด้วยประการใดคงต้องรอ
ดู เพราะรูปโฉมนั้นไม่ใช่แน่นอน แม่นายมิใช่คนสวยงามนักหากดวงตามีแววเปี่ยมล้นด้วยเมตตาสัตย์ซื่อ กาสาลอบมองหานางห้ามที่เจ้านายจะมีไว้ประดับบารมี
“วันนี้อาบน้ำ อาบท่าให้สบายก่อนนะเจ้าคะ ห้องอาบน้ำเฉพาะจะอยู่ทางนี้ บ่าวจะเป็นผู้ดูแลเองเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ใช่สาวแรกรุ่นมาจากที่ใด เรื่องอาบน้ำแต่งตัวข้าจัดการเองได้ ขอเพียงจัดหาผ้ามาให้ข้าสักสำรับก็พอ ข้านั้นไม่มีของติดกายมาเพราะท่านสิงห์ด่วนมาเสียก่อน
“บ่าวจัดการมาให้เจ้าค่ะ” นางแสงออกไปจัดหาของจำเป็นมามิได้ช้า ห้องพักมิดชิดจะมีก็หน้าต่างบานคู่เพียงบางเดียวไม่ไกลเป็นเตียงไม้จัดทำประณีต ปูที่นอนนุ่ม นางแสงจัดหมอนมาวางคู่ เมื่อแม่นายกาสาอาบน้ำประพรมกลิ่นร่ำ ซึ่ง นางแสงจัดหามาให้อย่างครบครันแล้วจึงเชิญไปร่วมโต๊ะที่หอนั่ง
ที่นั่นท่านสิงห์ สวมผ้าผืนยาวเพียงท่อนล่างมิได้สวมเสื้อพาดบ่าด้วยผ้าผืนเล็กอีกผืน อกแกร่งด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดเยี่ยงชายชาติรบ ทำให้ กาสาสะเทิ้นเขินอายยิ่งนัก..มิใคร่จะนั่งได้ จนนางแสงต้องแตะแขน
“นั่งก่อนแม่นาย”
“ขอบใจแสง” นางแสงนึกเอ็นดู และรักขึ้นมา กราย กราย ทราบบ้างแล้วแม่นายคนนี้มีน้ำใจดีไม่ถือตัว
“ร่วมกินข้าวกับพี่ได้เลยไม่ต้องอายไป เราก็ได้ชื่อว่าเป็นผัวเมียกันแล้ว”
“เชิญท่านสิงห์ก่อนเถิด ข้าน้อยไม่ถนัดนัก ขอกินต่างหากเถิดเจ้าค่ะ”
“กาสา อย่างได้แบ่งชนชั้นกันอีก พี่นำเจ้ามาเลี้ยงดูเป็นเมียไม่ใช่หน้าที่อื่น เจ้าร่วมสำรับกับพี่ได้เลย แสงตักข้าวให้แม่นาย”
นางข้ารับใช้ทุกคนที่มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิดเฝ้ามองกิริยาของแม่นาย บอกต่อๆ กันว่ามีกิริยางดงามนิ่มนวลดังคำกล่าวอ้างว่ามีระเบียงเช่นชาววัง
ยิ่งวิกาลกรายดึกดื่นนางยิ่งมีความหวาดหวั่นใจ
ท่านสิงห์ลุกจากไปแล้วตกเป็นหน้าที่นางแสงส่งตัว
ท่านสิงห์หันหลังให้กับทางเข้า กาสาก้าวเข้ามาแล้วนางแสงจึงดึงประตูปิด
ความหวาดหวั่นและความกล้าประเดประดังเข้าหาจน กาสาจับไม่ได้ว่าสิ่งใดคือความรู้สึกแท้จริงของตน ท่านสิงห์หันกลับมาเดินตรงมาที่ประตู กาสาขยับกายคล้ายจะหนี ท่านกลับหยิบด้านสลักลง แล้วจึงโอบประคองร่างที่ดูได้สัดส่วนดีแล้ว นำพาสู่เตียงนอน กาสามิใคร่จะก้าวเดินได้ เคยพบเห็นพูดคุยกันมาบ้างเป็นครั้งคราว พบว่าท่านสิงห์มีความสุขุมรอบคอบดวงตานิ่งลึกยากรู้ใจ หากวันนี้ประกายตาของท่านสิงห์เปล่งแสงพราวพรายจน กาสามิอาจจะสานสบได้ นางเหลือบมองเพียงมือใหญ่หยาบกร้าน ซึ่งเวลานี้มิอยู่นิ่งเฉย..อีกทั้งจมูกปากท่านซอนซุกไม่ห่างดวงหน้าของนาง
“ท่าน ท่านสิงห์ ข้าน้อยกลัวเหลือเกินเจ้าค่ะ”กาสาสารภาพเสียงสั่น
แม้มิใช่อยู่วัยแรกสาว แต่นางก็มิเคยต้องมือชายใด
“จะกลัวอันใดกันกาสา หญิงชายผู้มีความปรารถนาก็เป็นเช่นนี้”
“เอ่อ นาง นางเล็กๆของท่านอยู่ที่ไหน เจ้าคะ นางที่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนท่านอยู่เสียข้างไหนเจ้าคะ” นางเบือนหลบไปทางอื่นถามเสียงสั้นประหม่าอาย
“ไม่เคยมีหญิงใดได้อยู่บนเตียงนี้ ชีวิตพี่อยู่บนหลังม้า และตามเสด็จพ่อเจ้ามิเคยมีสตรีใดที่พี่ต้องการนอกจากเจ้า”
ความยินดีอาบซ่านไปทั่วกาย กิริยาแตกตื่นหวาดกลัวจึงคลายลงในที่สุด
ท่านสิงห์มีความละเมียดละมัยในการครองเรือนยิ่งนัก แม่ทัพใหญ่ค่อยประคองร่างของอดีตนางข้าหลวงลงหนุถนแขนของท่านข้างหนึ่ง ส่วนรางใหญ่ค่อยเบียดแนบชิดร่างของกาสา หญิงสาวตื่นเต้นจนเกรงอีกฝ่ายจะได้ยินเสียงหัวใจของนาง
เป็นเช่นนี้เองมนุษย์ ผู้มีเพศชาย และ หญิง ผู้สมรสกันแล้วต่างมีหน้าที่ดำรง เผ่าพันธุ์แห่งความเป็นมนุษย์
แต่เพราะกามกิเลสนี้จะมีมากน้อยในบุคคลต่างจิตต่างใจ บางคนมีมากเกิน ความหวงแหนย่อมมากขึ้น ความหึงหวง หิวกระหายในเพศรสที่ขาดการเชยชิม ทำให้ทุกข์ทรมานจิตใจไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้
หนึ่งในนั้นไม่มีใครมีความรู้สึกต้องการตัณหาได้มากเท่าเจ้านางขวัญหล้า..นางทั้งรักทั้งแค้นเต็มไปด้วยตัณหาแผดเผาให้รุ่มร้อนวุ่นวายด้วยวัยสาวและทรงโฉม หากพ่อเจ้ามิได้ปรารถนาให้เข้าเฝ้าเช่นกาลก่อน ทรงยุ่งกับราชกิจ และเมื่อมียามว่าง ก็สอนสั่งพระราชบุตรเพียงพระองค์เดียวซึ่งก็ทรงสนิทเสน่หาในกันและกันยิ่ง
ตัณหาความใคร่ทำให้พระนางร่านร้อนดังไฟเผา บัดเดี๋ยวนี้ความงามและความสาวกลายเป็นสิ่งไร้ค่าแล้วล่ะหรือ!!
ย้อนเวลาไปสิบกว่าปี เจ้าอนุวงศ์ สำเร็จโทษเจ้าหริวงศ์ด้วยท่อนจันท์ กำจัดคนคัดค้าน รวมทั้งบิดาของสนมดารกา จากนั้นริบนางห้ามนางสนมหมด นางสนมชื่อดารกามีพระธิดาชื่อศิขริน นางให้น้องชายพาหนีไปจากหริวงษ์ ขุนคำยึดอาชีพค้าขายเพื่อปกปิดฐานะที่แท้จริง หากเป็นกรรมจำพราก เมืองโขยมลำพงที่ขุนคำไปค้าขายถูกโจมตีจากธารปุระ พระธิดาศิขรินพรากจากขุนคำผู้เป็นน้า
สนมดารกาถูกเจ้าอนุวงศ์ยึดมาเป็นนางสนม เจ้าอนุวงศ์โปรดสนมดารกาเป็นอันมาก ดังนั้นขุนคำจึงได้คืนกลับสู่ตำแหน่งอีกครั้ง แต่มิได้รับราชการอยู่ในวัง เขาพอใจที่จะตรวจยามอยู่ชายแดน และประกอบอาชีพค้าขายไปด้วย
คราเดียวกันนั้น ขุนคำได้พาครอบครัวขึ้นค้าขายที่เมืองโขยมลำพง ซึ่งมีกำลังซื้อเป็นอันมาก แต่เป็นเวลาที่เมืองโขยมลำพง เกิดศึกการเมือง การแย่งชิงราชบัลลังก์เกิดขึ้น ทัพของธารปุระยืนดีต่อความแตกแยกในครานั้นจึงได้บุกโอบเข้าโจมตี และกวาดต้นทาสเฉลยซึ่งหนีภัย เข้าไปที่ธารปุระ หนึ่งในนั้นคือ ศิขรินเทวี ขุนคำไม่อาจพาตัวหลานรักออกมาได้ เพราะติดครอบครัวและลูกอีกสอง ทำให้เกิดการพลัดพรากจากกันไป
ต่อเมืองย้อนกลับมาชาแดนหริวงศ์แล้วจึงได้ส่งข่าวไปยังเจ้านางดารกา
พระสนมดารกานั้นแม้ทราบว่าพระธิดาศิขรินหายตัวไปกับสงคราม พระนางจำใจยอมรับความพลัดพรากที่เกิดขึ้น เพราะพระนางทอดอาลัยในชีวิตต่อมาพระนางมีธิดาอีกองค์กับเจ้าอนุวงศ์ ยิ่งทำให้เจ้าอนุวงศ์โปรดปรานพระนางมากยิ่งขึ้น และ ทำให้พระมเหสีไม่พอใจหาเรื่องกลั่นแกล้งอยู่เสมอ
พระสนมไม่มีความยินดีต่อการที่ถูกโปรดปราน เพราะทรงรู้สึกทุกข์มากกว่า ดังนั้นทุกลมหายใจจึงต้องการหนีออกจากหริวงศ์ เพื่อตามหาพระราชธิดาของพระนางให้จงได้ พระนางเพียงแต่รอโอกาสเท่านั้น ไม่ว่ากี่ปีจะทรงรออย่างเต็มไปด้วยความหวัง!!
ส่วนผู้นำทัพนำของมีค่าเข้าถวายพ่อเจ้า ส่วนที่เหลือเป็นการปูนบำเหน็จ และตามประเพณี พวกทาสเชลยจะถูกส่งมายังหมู่บ้านทาส ให้อยู่รับใช้ บ้างเป็นแรงงาน บ้างหน้าตาดีจะถูกประมูลขาย เพื่อนำเงินทองเข้าแผ่นดิน
ฝ่ายหัวหน้าหมู่บ้านทาส ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่ใคร่พอใจเมื่อเห็นทาสเชลยเมืองโขยมลำพงซึ่งมีรูปกายผิวคล้ำชายหญิง และ มีผมหยักศก
“เอาไปตลาดค้าทาสคงไม่ได้เงินบำรุงแผ่นดินสักเท่าไหร่ ต้อนมันไปเรือนทาสก่อน” หัวหน้าหมู่บ้านทาสสั่ง รั้งท้ายคือ ศิขรินน้อย บารมีเปล่งประก่ายทำให้หัวหน้าทาสร้องสั่งลืมตัว
“เฮ้ย นางเด็กนั่นแยกออกมา” คนดูแลทาสรีบทำตามคำสั่ง นำพาศิขรินเข้ามาหา ศิขรินถูกผูกมือทั้งสองข้าง คุกเข่ากับพื้นดิน
“หน้าตาแปลกชาวโขยมลำพง อายุเท่าไหร่กัน” เขาถาม แต่ศิขรินน้อยปิดปากสนิท
“พาไปให้ผู้หญิงอาบน้ำ ขายทอดตลาดคงมีราคาไม่น้อย เหล่านางงามเมืองมาประมูลไปฟูมฟักเป็นแน่ แม้มอมแมมยังมีรูปทรงงามดี”
จิตตรีเดินเข้ามาที่ท่าน้ำ นางปิดหน้าอำพรางความอัปลักษณ์ไว้แถบหนึ่ง สายตาจับจ้องมองศิขรินด้วยริษยา เมื่อศิขรินเงยขึ้นจึงเห็นกันชัด
เด็กน้อยสะท้านใจยิ่ง เฉกเดียวกับจิตตรีคุ้นหน้าศิขรินน้อยยิ่งนัก
“อีเด็กผี ข้าเกลียดเจ้านัก จากนี้ไปเจ้าตกเป็นที่บำเรอพวกมากกามตัณหาให้ได้ถึงหลายร้อยคนเถิด”
ศิขรินสบตาชิงชังอาฆาตคู่นั้น เกลียดจิตตรีไม่แพ้กัน
เพราะเจ้า ข้านี้จึงได้พลัดพราก เพราะเจ้าข้านี้ไม่มีวันลืม เพราะเจ้า กรรมจึงได้ติดตัวข้ามา เสียงถ้อยคำแผดกร้าวในโสตประสาทของเด็กน้อย เป็นถ้อยคำที่นางยังไม่คงเข้าใจ หากว่าเกลียดจิตตรียยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งสิ้น
แต่เด็กเพียงนี้ยังคิดอยากฆ่านางอัปลักษณ์เสียนัก ด้วยกรรมเวรได้ผูกพันมิได้มีอโหสิกรรม ศิขรินจึงจำอดีตบางอย่างได้ เพราะนางจิตตรีนี้เองที่ทำให้ศิขรินโดนบูชายัน จิตตรีนี้ต้องเคยพบกันด้วยความชังอย่างที่สุด!

กาสานับแต่ได้เป็นแม่เรือน ของท่านสิงห์ก็มีความสุขสบาย ปกครองบ่าวไพร่ด้วยพระคุณมากกว่าพระเดช รักใครเอ็นดูลูกบ่าวไพร่จึงมิได้กวนขัน
หับเผยน้อยอายุสิบสองปีช่างพูดช่างคุย รูปร่างอวบอ้วนหน้าตาน่ารัก ชอบเสนอหน้ารับใช้ นายแม่ซึ่งเป็นเมตตารับเป็นเด็กใกล้ชิดให้เป็นปากแทนตน วันนี้มันแต่งกายเสียสวย ทากระแจะจันทร์หอมฟุ้ง เข้านวดพื้นนายแม่ประจบเอาใจ บนหอนั่ง
“ข้าไม่มีความเมื่อยไม่ต้องบีบนวดไปนับหับเผย”
“นายแม่เจ้าขา ไม่อยากไปเที่ยวนอกคุ้มบ้างหรือเจ้าคะ”
“นอกคุ้มมีอะไร”
“วันนี้เขาจะนำทาสจากโขยมลำพงมาประมูลเจ้าค่ะ”
“ทาส”
“คนโขยมลำพังเขาว่ารูปร่างมันแปลกตา ผมหยิกหยักศกไม่เว้นคน ยังมีเขาว่าพวกมันทั้งขายหญิงมีการร่ายรำที่งามแปลกยิ่งนัก แต่เด็กพอพูดได้ก็สอนให้ร่ายรำกันแล้วเจ้าค่ะนายแม่ นายแม่ประมูลมาดูเล่นสักคนดีมั้ยเจ้าคะ”
“นังหับเผย คนจะรูปชั่วตัวดำเพียงมันก็มีชีวิตมีลมหายใจเช่นเรา เอ็งสนุกกับรูปร่างหน้าตาคนอื่น แล้วถ้าคนอื่นหัวเราะเยาะเอ็งเล่าจะสนุกมั้ย”
“โถนายแม่เจ้าขา ไม่ไปตลาดทาส แต่เราไปหาแลกเปลี่ยนของก็ได้นะเจ้าคะ ข้าน้อยอยากได้ของที่หลวงนำมาขายทอดตลาดเจ้าค่ะ ของที่ยึดมาจากโขยมลำพง หินสีเขียวสีแดงเป็นกำไลสวยนัก”
“สู่รู้ไปเห็นแต่เมื่อใดกัน”
นางหับเผย อิดเอื้อนไม่ใคร่กล้าตอบนัก
“เขาเล่ามาเจ้าค่ะ”
นายแม่คุ้มท่านสิงห์ยิ้มเยื้อนในสีหน้าขยับกายนิด
“เอาเถอะนังหับเผยจะพาเอ็งไปเปิดหูเปิดตา”
นางหับเผยดีใจ คลานปั๊บๆ พาร่างอ้วนไปนั่งรออยู่ข้างบันได นางแสงผู้เป็นแม่บ้านติดตามไปด้วยกันสี่คนกับบ่าวสาววัยยี่สิบปี โดยแม่นายกาสานั่งเสลี่ยงมีชายกำยำแบกบ่าไป
ตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าใหญ่โตไม่น้อย ผู้คนชาวเมือธารปุระพากันจับจ่ายสินค้ากันขวักไขว่ บางกลุ่มบางพวกดูการประลองการต่อสู้โดยการใช้อาวุธต่างๆ นางหับเผยระริกระรี้ตื่นตามากเมื่อพบแผงของใช้ที่ยึดมาจากเองโขนลำพงซึ่งมีเครื่องเงิน และหินสีทำเป็นเครื่องประดับสวยงาม
“นายแม่เจ้าขา งามแปลกตาดีจริงเลยนะเจ้าคะ”
แม่นายกาสายิ้มในสีหน้า คนด้านข้างร้องแข่งขันกันซื้อขายคนกันดังลั่นๆ หางหับเผยวิ่งตึ้กๆ ไปลอดคนดู ครู่หนึ่งก็กลับมาที่แม่นายกาสา
“อุแม่เจ้า นายแม่เจ้าขา ประหลาดเทียว เด็กตัวกระจิดมีค่ากว่าทองคำสองถ้วยอีกนะเจ้าคะ เศรษฐีตะวันตก แข่งประมูลกับหญิงงามเมือง ยังไม่ยอมแพ้กันเลยเจ้าค่ะ”หับเผยรายงานจ๋อยๆ
“ดูรึไปดูชั่วครู่ กลับมาเล่าได้ละเอียดนัก เจ้านี่ช่างประดิษฐ์ว่าไม่มีใครเทียบ” นางแสงต่อว่า
“จริงนะป้าแสง เด็กโขนลำพงแต่ตัวขาว แก้มยุ้ยแดงแจ๊ด”
เหมือนมีอะไรบางอย่างดลบันดาล แม่นายกาสาหันกายพร้อมคว้าข้อมืออูมๆ ของนางหับเผย
“เอ็งพาขาไปดูที”
นางหับเผยมิได้แกล้งว่าต่อเติมสักน้อย การประมูลทาสยังไม่มีใครยอมใคร เศรษฐีตะวันตก เป็นชายหัวล้านเถิก ขนอกรุงรัง ส่อเค้าเป็นคนมักมากในกามรมย์
นางหญิงงามเมือง สวมเครื่องประดับละลานตาปลอกคอทองคำเส้นใหญ่กว่าสองนิ้วท่าทางปากจัดจ้าน บัดเดี๋ยวนี้ค่าตัวเด็กน้อยขึ้นถึงหนึ่งลูกฟัก
ผิวลอองามผุดผาด ผ้าขาวที่สวมใส่มิได้ข่มให้หมองมัวสักนิด ยิ่งดูบริสุทธิ์กว่าเดิม
”ข้าให้ทองคำ หนึ่งไห” ชายหัวล้านเอ่ยเสียงดัง
“สองไห” นางงามเมืองแข่งขันไม่ยอมแพ้
นางแสงเอ่ยปาก
“แต่น้อยงามเพียงนี้ นางงามเมืองจึงทุ่มทองมายมาย ต่อไปนางย่อมได้กำไรคืนมหาศาล”
แม่นายกาสาสบตาละห้อยหาของศิขริน ใจของนางอ่อนไหวแทบขาดด้วยเวทนายิ่งนัก
“ข้าให้ทองคำเท่าตัวเด็ก” แม่นายกาสากล้าตะโกนแข่ง
นายกองนำประมูล และทุกคนหันมาทางแม่นายกาสา เป็นตาเดียวกันหมด นายกองย่อมรู้จัก แม่นายกาสาเป็นอย่างดี
“คุณท้าวกาสา มิต้องประมูลดอกขอรับ เพียงเอ่ยบอกอยากได้นางทาสนี้ก็เป็นของคุณท้าวแล้ว”
นางงามเมือง และเศรษฐีหัวเถิกย่อมไม่พอใจ ทั้งสองต่อว่า ด้วยคิดคนประมูลใหม่ใช้เส้นสาย
“ได้อย่างไรกันเงินทองนี้นำเข้าทองพระคลังหลวงเพื่อประโยชน์แห่งแผ่นดิน แต่เจ้าให้ทาสแก่พวกพ้องโดยง่ายเช่นนี้ เจ้าใช่รับสินบนกันเองหรือไม่ ข้าเห็นที่ต้องฟ้องร้องเสียแล้ว” ชายกล่าว
“ใช่ ข้ากับเศรษฐีตะวันตกแข่งกันคอแทบแตกแต่พวกพ้องเจ้าจะชุบมือเปิบโดยไม่ต้องเสียอะไร ข้าก็มีทองมกกว่าตัวเด็กข้าจะประมูลอยากได้ต้องมาแข่งกัน”
นายกองโมโหจนหนวดกระตุก ตวาดว่า สองชายหญิงผู้ไม่รู้จักกาลเทศะ
“พวกเจ้าไม่รู้ใช่มั้ยว่า คุณท้าวกาสาคือใคร ท่านคือแม่นายคุ้มท่านสิงห์ แม่ทัพใหญ่แห่งธารปุระนี้ แม้คุณท้าวต้องการทาสโขยมลำพงพวกเจ้าเมื่อรู้จักแล้วยังกล้าท้าแข่งอีกหรือ”
สองคนชายหญิงรีบหดหัวทันที เพราะในแผ่นดินธารปุระนี้ ไม่มีใครจะไม่รู้จักผู้มีอำนาจรองจากพ่อเจ้าทีฆายุ



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 มิ.ย. 2555, 10:52:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 มิ.ย. 2555, 10:52:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 2241





<< ก่อนการประสูติ (จบภาค เจ้านางอมรา)   เป็นข้ารองบาททุกชาติไป >>
คิมหันตุ์ 2 มิ.ย. 2555, 11:16:30 น.
กว่าท่านสิงจะได้นายหญิงนี่ อายุเท่าไรแล้วเนี่ย อยากรู้จัง แหะๆ


zilvermoon 2 มิ.ย. 2555, 11:52:42 น.
รักสมหวังซะที ยินดีกับท่านสิงห์และกาสาด้วย ว่าแต่เจ้านางขวัญหล้าจะก่อเรื่องรัยมั้ยเนี่ย


Zephyr 2 มิ.ย. 2555, 15:26:49 น.
ส่อเค้าว่าเจ้านางขวัญหล้าจะพาเรื่องลำบากสู่ตัวเองและคนอื่นๆนะ
กาสาดูเจิดจรัสมากๆเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ
พาศิขรินมาเจอองค์ภีมสินะ หึหึ กลับมาเกิดกันทั้งคู่เลย
จิตตรีล่ะ ไม่ได้รับกรรมที่ตัวเองก่อเหรอ


นางแก้ว 2 มิ.ย. 2555, 15:30:16 น.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ชาตินี้ ก็ชาติหน้า สุดท้ายผู้สร้างกรรมล้วนต้องชดใช้กรรม อุบไว้ก่อน เดี๋ยวไม่สนุกค่ะ ส่วนท่านสิงห์แก่กว่าพ่อเจ้า เพราะมีครั้งหนึ่งที่พ่อเจ้าตรัวสว่า สิงห์เป็นเหมือนดั่งพี่ชายข้า ครั้งที่เจ้านางอมรากริ้วในอุทยานเรื่องกระต่าย ส่วนอายุเทม้าไหร่ต้องเดาว่า น่าจะห้าสิบแล้ว เพราะกาสาก็พ้นวัยที่จะมีลูกได้


tookta 2 มิ.ย. 2555, 16:21:01 น.
กาสาได้รับผลบุญทันทีในชาตินี้


อริสา 3 มิ.ย. 2555, 01:22:57 น.
ตามมาครองคู่กันแล้ว แต่ท่าทางเรื่องยุ่งๆกำลังจะเริ่ม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account