แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: เพราะบุพเพนำมาพบกัน


ภีมเจ้านอนบนแท่นบรรทมเบิ่งพระเนตรค้างมิอาจข่มให้หลับได้ สิ่งที่หวั่นไหวในพระทัยเมื่อครู่นี้เรียกว่าอะไร ความรู้สึกเสียวซ่านที่แผ่กระจายไปทั้งร่างนั้นคือความรัญจวนใจ
“ข้าหลงรักภีมเจ้ามานานนักหนาแล้ว”
คำนี้กึกก้องอยู่ในโสตประสาทอะไรคือความรักเจ้านางขวัญหล้าพร่ำบอก เจ้านางเป็นนางสนมของพ่อเจ้าทำไมจึงมาทำเช่นนี้ หรือหญิงชายจะทำสิ่งใดก็ได้ ทำไม
จาคะจางวางพี่เลี้ยงนั่งเฝ้าหน้าห้องบรรทมเป็นการป้องกันคนออกและคนเข้าส่าคำรีบเข้ามาเฝ้าเจ้านางขวัญหล้าสภาพของเจ้านางเวลานี่ปล่อยพระองค์ไม่ดูแล เกศาเกล้ารุ่ยร่ายเต็มพระปฤษฎางค์ท่าทางสุขเกษมเต็มที
“เจ้านางเสด็จไปที่ใดมาเจ้า”
“ภีมเจ้าอยู่กับข้าที่ในอุทยานท้ายวัง”
“ความหมายว่า”
เจ้านางขวัญหล้าส่งเสียงสรวลดังกังวานจนนางส่าคำเข้าใจว่าเจ้านางและภีมเจ้าก่อเรื่องไม่งามขึ้นรีบถามร้อนรน
“หากรู้ถึงพระเนตรพระกรรณ”
“จะเป็นไรไป ทีฆายุจับข้ากับภีมเจ้าเผาทั้งเป็นแล้วจะเป็นไร”จากนั้นทรงสรวลดังกลบเกลื่อนความไม่สมพระทัยที่ถูกขัดจังหวะโดยพี่เลี้ยงผู้ภักดีของพระหน่อเจ้า
ไกลออกไปท่านสิงห์เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ลอบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ท่านเริ่มจับสังเกตมานานปีแล้ว ด้วยความรักและภักดีต่อเจ้าทีฆายุ และภีมเจ้า คิดหาทนทางแยกความรักนั้นให้ได้ เพราะหาไม่ตามกฎมนเธียรบาลพระหน่อเจ้าต้องถูกขังกรงให้เสือกิน จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงหากมีการไตร่สวนแล้ว เรื่องความภักดีต้องปรากฏ ขุนนางอาจหยิบยกขึ้นมาตำหนิติโทษพระหน่อเจ้าเอาได้
เรื่องนี้เองที่ทำให้ท่านสิงห์ต้องกลับคุ้มด้วยความหนักใจ แต่เมื่อมาถึงคุ้มที่พักแล้ว แม่นายกาสาถือขันน้ำลอยดอกไม้หอมจรุงใจมาต้อนรับ ศิขรินเดินตามหลังแม่นายกาสา มารับพ่อบุญธรรม ซึ่งนางคิดว่าเป็นผู้ให้กำเนิดแท้จริงเสมอมา
ท่านสิงห์รับน้ำไปดื่มพอได้ชื่นใจแล้ว จึงได้พาลูกและเมียไปนั่งยังหอนั่ง ท่านสำรวจลูกสาว ซึ่งนั่งพับเพียบ มีกิริยางดงามน่าเอ็นดู เวลานี้ศิขรินเจริญวัยแรกรุ่น มีโฉมงามสะดุดตา ความคิดที่ตีบตันมาแต่ในวัง พลันบังเกิดความสว่าง
“นั่งก่อนลูกพ่อ” ศิขรินนั่งที่ต่ำลงไปกริยามารยาทถูกฝึกสอนจากแม่นายกาสา จึงมีความงดงามดังชาววัง ยิ่งเติบโตยิ่งมีความงามเปล่งปลั่งด้วยเป็นชาติเชื้อของวงศ์กษัตริย์
“อายุเท่าไรแล้วศิขรินจำได้หรือไม่”
“สิบห้าเจ้าค่ะ พ่อนาย”
“ยังเด็กเหลือเกิน” ท่านรำพึง
“มีอะไรหรือเจ้าคะท่านพี่”
“ไม่มีอะไรหรอกกาสา ว่าแต่ศิขรินไปนอกคุ้มบ้านหรือเปล่าเจ้า”
“ไปเจ้าค่ะ แต่ปลอมเป็นชาย ไปแข่งธนู”
“ชำนาญหรือยัง”
ศิขรินเก้อเขินไปบ้าง อ้อมแอ้มตอบ
“ก็พอได้เจ้าค่ะ”
“แม่นายยิงธนูแม่นมากเจ้าค่ะพ่อนาย” นางหับเผยแม้อ้วนหากรูปก็ยังโสภาสอดปากคำขึ้น
“ลูกหว้าผลเล็กแม่หญิงก็ยิงถูกเจ้าค่ะ ครั้งที่แล้วก็ชนะเจ้าค่ะ”
ท่านสิงห์ถอนใจหนักอกมิใช่น้อย รักและเมตตาลูกเป็นที่ยิ่ง หากเรื่องพระหน่อเจ้าก็ต้องการ การแก้ไขโดยเร็ว
ราตรีนั้นท่านนอนก่ายหน้าผาก อย่างที่แม่นายกาสาไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลย นางรีบถามด้วยเป็นกังวลห่วงใย
“ท่านพี่มีสิ่งใดหนักใจหรือเจ้าคะ”
“เจ้านอนเถอะกาสา”
“ข้าจะข่มตาให้หลับได้อย่างไรกันเล่า จ้าวผัวนอนเบิกตาโพลงอยู่อย่างนี้ มีสิ่งใดจะระบายได้รับฟังบ้าง เผื่อว่าปัญญาอันน้อยนิดของข้าจะคิดหาทางแก้ไขได้บ้าง”
ท่านนิ่งขรึมไปครู่ใหญ่ จึงเปิดปากออกมา
“พระหน่อเจ้ากับเจ้านางขวัญหล้ามีท่าทีไม่สมควร พี่เกรงว่าเรื่องจะถึงพระเนตรพระกรรณ”
“อุแม่เจ้า เป็นไปแล้วหรือนี่”
“เจ้านางมีความงามทั้งเรือนกายยั่วยวน พระหน่อเจ้าเข้าวัยหนุ่ม ข้ากลัวเหลือเกินเพราะทรงทระนงองอาจเอาแต่พระทัยเป็นที่ยิ่ง ในเมื่อพี่ได้เห็นแล้วเจ้าคิดว่า เสนาอำมาตย์อื่นจะไม่เห็นหรือไร”
“ท่านพี่คิดว่าพระหน่อเจ้าจะคิดชิงบัลลังก์หรือเจ้าคะ”
“พี่คิดเสมอว่า ความรักความลุ่มหลง จะทำให้บุรุษทุกผู้หลงผิดได้พี่เองก็ระวังเรื่องนี้มาตลอดด้วยความจงรักภักดีในท่าน และพี่ก็ย่อมรู้อีกว่า ท่านไม่โปรดให้เจ้านางขวัญหล้า ร่วมแท่นบรรทมมาหลายปีแล้ว และพระนางนั้นยังสาวอยู่มากเรื่องนี้อาจทำให้เจ้านางคิดไปหาภีมเจ้าย่อมเป็นไปได้มาก”
“หาคู่อภิเษกให้พระหน่อเจ้าเสียเถิดท่านพี่ ตัดไฟเสียแต่ต้นลม”
“พี่คิดถึงศิขริน”
“ท่านพี่ ไม่ เอ่อไม่มีคนอื่นอีกแล้วหรือ”
“พี่ไม่ไว้ใจใครสักคน”
“ข้าน้อยห่วงเหลือเกินศิขรินยังเด็กนัก”
“ไม่ใช่พี่ไม่ห่วง บ้านเมืองนั้นสำหรับพี่สำคัญที่สุด”
“ธิดาเสนา อำมาตย์อื่นๆ เล่าเจ้าคะไม่เรียกถวายตัวบ้างหรือ”
“ทุกคนอยากถวายตัวทั้งนั้น แต่ภีมเจ้าทรงเย็นชาต่อสตรีอื่น”
“ใช่” แม่นายกาสาตอบรับ “แต่ศิขรินก็ยังไร้เดียงสา เกรงว่าจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน”
แม่นายกาสามีความคิดดังนั้น เพราะเห็นน้ำพระทัยของภีมเจ้าที่ไร้เยื่อใยต่ออิสตรี ดั่งมีเมฆหนามากั้นกลางไม่ให้คิดถึงสตรีอื่นใด คิดไปเช่นนี้แล้วท้าวกาสาพลอยกลัดกลุ้มไปด้วยอีกคน

ณ ที่พลับพลา ซึ่งตั้งเป็นที่โล่ง มุงหลังคา มีแท่นพระที่ กั้นม่านวิสูตร ประทับข้างโบกขรณี สายลมเย็ดพัดต้อง พระโอรส แหวกว่ายน้ำชิงเก็บบัวกับพี่เลี้ยงทำเป็นอาวุธเข้ารบกันกลางน้ำ เล่นจนเหนื่อยอ่อนจึงเก็บลูกบัวขึ้นจากสระ นางกำนัลถวายผ้าผลัดสรง พระหน่อเจ้าส่งบัวลงบนพานถือมาด้วยพระองค์เอง
เจ้านางขวัญหล้าประทับลดหลั่นจากพ่อเจ้าทีฆายุภีมเจ้าถวายบัวให้พระบิดา อีกฝักหนึ่งประทานให้เจ้านางขวัญหล้า
“ขอบพระทัย”เจ้านางตรัสอ่อนหวานกว่าปกติ
เหตุการณ์ต่อหน้าต่อตาของท่านสิงห์นี้เองทำให้ท่านสิงห์ตัดสินใจได้ในบัดดล ในเรื่องที่จะนำศิขรินถวายตัวแด่ภีมเจ้า แม้ศิขรินยังอายุน้อยก็ตามที ท่านกราบทูลต่อพ่อเจ้าและต่อหน้าพระพักตร์ภีม
“พระหน่อเจ้าเจริญพระพรรษาได้สิบแปดชันษาแล้ว สมควรที่จะมีคู่อภิเษกแล้วนะเจ้า”
“ท่านสิงห์” ภีมเจ้าตรัสขัดขึ้นทันที “ข้ายังไม่ต้องการหญิงใด”
“แต่พ่อเห็นว่าสมควรแล้ว”พ่อเจ้าทีฆายุตรัสสั่ง ทุกคนเงียบ ขณะที่พระหน่อเจ้านิ่งงันทันที
“หรือเจ้าขัดข้องเพราะมีคนที่พึ่งใจอยู่แล้ว ขอมาได้พ่อจะประทานให้”
เจ้านางขวัญหล้าพระทัยลุกวาบ ภีมเจ้าสบพระเนตรคมดุของพ่อเจ้า แล้วรีบหลุบลงมองพื้น พ่อเจ้าทีฆายุทรงปลายพระเนตรมองพระหน่อเจ้าอย่างจับผิด เพราะ ความได้ถึงพระเนตรพระกรรณว่าภีมเจ้า เจ้ามีรอยแย้มโอษฐ์ให้เจ้านางขวัญหล้าบ่อยครั้ง จากตำหนักสูงมักทอดแลหาจากอุทยานขึ้นไป
พระทัยรักและเมตตาลูกจึงหักพระทัยมิให้นำองค์มาคาดคั้นเอาความ หรือไม่ให้มีการไต่สวน และขุนนางทุกผู้ทุกนามที่เป็นชั้นผู้ใหญ่ กริ่งเกรงเรื่องผิดจารีต แต่ยังไม่มีใครกล้าทูลฟ้องเอาผิด เพราะเห็นว่าพ่อเจ้ามีความรักให้แก่พระหน่อเจ้า อย่างที่อาจจะทำลายกฎมณเฑียรบาลได้ และเวลานี้ พ่อเจ้าได้เผยความต้องการของพระองค์ออกมาแล้ว แต่ท่านสิงห์ แม่ทัพคู่พระทัย ชิงคิดตัดไฟแต่ต้นลมแทนพระองค์
“หรือเจ้าไม่กล้าขอต่อพ่อ”
“ถ้าขอจะประทานให้ดังพระวาจาที่ให้ใช่มั้ยเจ้า” ภีมเจ้าย้อนทูลถามด้วยพระพักตร์ตึง
“ใช่ทุกประการ” พ่อเจ้าเองกมีความเคร่งเครียดไม่ต่างกัน
ในที่นั้นเงียบกริบ หากท่านสิงห์กุมดาบมั่น หากพระหน่อเจ้าอาจหาญ ที่จะกราบทูลขอเจ้านางขวัญหล้า ท่านแม่ทัพร่างกำยำคนนี้จะบั่นคอเจ้านางเสียในทันใด
เสียงพระราชบุตรทูลขอดังฟังชัดว่า
“เช่นนั้นทรงโปรด อย่าบังคับ ให้ข้าน้อยต้องอภิเษกต่อหญิงใด เพราะข้าน้อยไม่พึงปรารถนาทั้งสิ้น”
“พ่อให้ตามที่ขอ หรือเจ้าอยากขอหญิงที่เจ้าหมายปองจากพ่อก็ได้ภีมเจ้า”
“ทูลพระหน่อเจ้า”ท่านสิงห์ กราบบังคมทูล“ข้าขอถวายธิดาเพียงคนเดียวของข้าเป็นข้ารองบาทแล้วแต่จะโปรดประการใด”
“เราไม่โปรดท่านสิงห์” ทรงสวนกลับทันที หากพ่อเจ้าเข้าข้างท่านสิงห์ ขุนศึกคู่พระทัย
“แต่พ่อจะรับมาไว้เป็นข้ารองบาทเจ้า โดยไม่ต้องมีการอภิเษก”พ่อเจ้าตัดบททางฝ่ายพระหน่อเจ้า เพราะไว้ใจขุนศึกคู่พระทัยว่าต้องมีความคิดอ่านอย่างรอบคอบมาแล้ว
“นางเป็นลูกบุญธรรมของข้าน้อย นามว่าศิขริน ข้าจะนำขึ้นถวาย ณ เพลานี้”
ภีมเจ้าขัดเคืองพระทัย แต่ไม่กล้าขัดราชโองการ กราบบังคมลาแล้วชวนพี่เลี้ยงทรงม้าออกนอกพระราชวังในทันที ท่านขึ้นพระตำหนัก เรียกท่านสิงห์เข้าเฝ้าเพียงลำพัง
“ข้าไม่เคยได้ยินว่าเจ้าเลี้ยงลูกใครเป็นลูกบุญธรรม แล้วเจ้ามายกให้ภีมเจ้าไม่กลัวหรือว่าจะมีเหตุร้ายอย่างคาดไม่ถึง เจ้าย่อมรู้ว่าภีมเจ้าเอาแต่ใจ อีกทั้งอาจจะมี...” ทรงหยุดชะงัก คำว่ามีที่หมายอื่น
“ความภักดีแม้ชีวิตถวายให้ได้ นับประสาอะไรกับดวงใจน้อยนิด ไหนเลยจะไม่ได้เจ้า พ่อเจ้า”
“ลูกเจ้าเรียกกันว่าอย่างไร”
“ศิขรินเจ้า พ่อเจ้า กาสาอบรมเช่นกุลสตรีข้าอบรมให้เป็นนักรบแม้อายุพึ่งแรกรุ่นแต่ข้าต้องนำถวายเพื่อพระหน่อเจ้า และ ราชวงศ์ ธารายุทธ์สืบสันติวงศ์ต่อไป
“ข้าขอบใจที่เจ้าคิดทำการป้องกัน ข้า และ ลูกของข้า”
พ่อเจ้าผู้ครองแผ่นดินพยักพระพักตร์อย่างเข้าพระทัยต่อความภักดีของคนสนิทผู้นี้ว่ายากหาใครเสมอเหมือนได้!
ม้าทรงสีหมอกความทะยานออกนอกเมืองมุ่งสู่ ตลาดชุมนุมหน้าประตูเมือง ผู้คนมาชุมนุมจับจ่ายแลกเปลี่ยนของกันขวักไขว่ บ้างพนักขันต่อการตีไก่ และที่สานประลองการชำนาญอาวุธ มีผู้คนส่งเสียงเชียร์มานพน้อยเรือนร่างบอบบางโพกผ้าพันรอบศีรษะมิได้เห็นว่าแท้จริงผมสั้นหรือยาวประการใด ขณะนี้ไม่มีผู้ใดยิงธนูได้แม่นยำ ทุกครั้งที่ยิงจะแม่นยำเข้าเป้าทุกครั้ง ผู้ร่วมแข่งเห็นว่าตนแพ้ธนูจึงนำประลองดาม
“อย่าเลยพ่อหนุ่มดูร่างบอบบางเพียงนี้ประคองดาบคงไม่ไหวแน่แล้ว”
ผู้คนที่นึกเอ็นดูอยู่มากต่างส่งเสียงห้ามปรามด้วยความเอ็นดูห่วงใย
มานพหนุ่มผู้มีความงามยิ่งสตรีทั้งหลายยืนเยื้อนในสีหน้า บุรุษและสตรีทุกผู้หัวใจได้หล่นอยู่ใต้แทบเท้าเขาทั้งสิ้น ยังมีผู้ใดมีรอยแย้มริมฝีปากได้งามเท่าอีก
“อย่าได้ห่วงข้า หากจะผ่ายแพ้ก็เพราะฝึกปรือมาน้อย เชิญประลองกันดูให้รู้แน่”
มานพหนุ่มผู้โพกผ้าเลือกหยิบดาบได้เล่มหนึ่งน้ำหนักกำลังดี ผู้ท้าต่อสู้เข้าห้ำหั่น บรรดาเหล่าผู้หญิงล้วนปิดหน้าไม่กล้าดู เพราะเกรงว่าใบหน้างดงามนั้นจะได้แผลเพราะคมดาบคู่ต่อสู้
“เก่งจริงๆ อายุยังเยาว์แต่ฝีมือดีนัก ท่าทางจะเอาชนะได้แล้ว”
ขาดคำมานพหนุ่มล่อหลอกจะฟันล่าง คู่ต่อสู้ปะดาบลง เขาเตะข้อมือจนดาบกระเด็นเสียงปรบมือดังกึกก้อง ชมเชยกันเซ็งแซ่
บัดนี้เอง ผู้ทรงม้าสีหมอก กระโดดลงจากหลังม้าใบหน้างามจับตา หากวาจาทระนงเป็นที่ยิ่งเขาร้องท้ามายังผ็ที่มีชัยชนะว่า
“ผู้ชนะการประลองในวันนี้ข้าจะขอปะมือ”
มานพหนุ่มน้อยซึ่งคือศิขรินปลอมตัวมา เหลียวหน้าไปพบกับ ชายรูปงาม บนหลังม้าสีหมอก ร่างอรชรของนางดังถูกพลังมหาศาลดึงดูดเข้าหาชายผู้มาใหม่ เผลอหลุดปากออกไปอย่างไม่รู้สึกตัวว่า
“พี่ข้า สามีของข้า”
นางหับเผยผู้ติดตามตะลึงลานกับคำที่หลุดจากปากมานพน้อย นางพี่เลี้ยงรีบกระตุกแขนศิขรินให้รู้สึกตัว แต่นายของหับเผยได้สร้างความขุ่นเคืองให้เกิดกับภีมเจ้าเสียแล้ว เพราะพระอง๕เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นกะเทยมาพูดจาจาบจ้วงล่วงเกินพระองค์
“ไอ้บัณเฑาะก์จัณฑาลนี่หลงรูปของข้าเชียวหรือ”
เสียงด่าทอดังมากพอที่จะเรียกให้ผู้คนพากันมองมายังศิขรินเป็นตาเดียว จากนั้นพวกเขาทั้งชายหญิงต่างพากัน วิพากษ์ วิจารณ์เซ็งแซ่ สร้างความอับอายให้เกิดกับศิขรินยิ่งนัก นางพาร่างอรชรฝ่าฝูงชนวิ่งออกไป โดยมีนางหับเผยวิ่งตามติด
คนทั้งสองวิ่งกันออกมาจนห่างตลาด หับเผยสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรงเพื่อให้คลายเหนื่อย ศิขรินเกาะต้นไม้ ค่อยผ่อนแรงไล่ความเหนื่อยออกไปเช่นกัน เมื่อได้คลายเหนื่อยแล้ว พี่เลี้ยงตัวดีถามนายสาวด้วยความฉงนต่ออาการของ
ศิขรินที่เกิดขึ้น
“แม่หญิงเป็นอะไรไปเจ้าคะจู่ๆ จึงมีอาการดังละเมอ”
“ข้าไม่รู้ พี่หับเผย ข้าพูดอะไรออกไปเช่นนั้นได้อย่างไรข้าไม่รู้ตัวเลย ข้าอับอายนัก”
“แม่หญิง รู้จักชายโอหังคนนั้นหรือเจ้าคะ”
“พี่หับเผยผีป่าคงสิงข้าเข้าแล้ว จึงได้ดลใจให้ข้าเพ้อคลั่งเช่นนั้น มองหน้าของเขาแล้วข้า เหมือนรู้จักกับเขามาก่อน เพียงเห็นชายคนนั้น ทำให้ข้ารู้สึกร้อนในใจเหลือเกิน ร้อนรุ่มดังไฟกำลังเผาภายในของข้าไม่มีผิดทีเดียว”
“เห็นทีจะเจ็บไข้ไปเสียแล้วแม่หญิง กลับคุ้มกันก่อนเถิดเจ้าคะ”
ศิขรินเห็นพ้องตามความคิดของหับเผย ดังนั้นสองนายบ่าวประคองกันกลับ แต่ยังเดินได้ไม่ถึงสามก้าวม้าสีหมอกถูกชักบังเหียนเข้ามาขวางทางไว้เสียก่อน สองนายบ่าวเงยหน้าขึ้นมองผู้นั่งบนหลังม้า
ศิขรินรีบหลบตามองพื้นดินด้วยความละอายใจ และรู้สึกจุกแน่น หายใจติดขัด หัวใจของนางแทบขาดลงด้วยความรู้สึกประหลาดเสียแล้ว!
ภีมเจ้าเยาะเย้ย ถากถางอีกฝ่ายว่า
“ไอ้กะเทย เจ้าหรือฝีมือดีนัก หากไม่พอใจในความเป็นชายที่เจ้ามีอยู่ติดตัว ข้าจะตัดออกให้เดี๋ยวนี้”
จาคะโดดลงจากหลังม้าสีน้ำตาลของตน ตรงรี่เข้ามาหาศิขริน หับเผยกระโดดขวางหน้า ร้องปรามอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวตาย
“อย่าได้ล่วงเกินนายข้าแม้สักกระผีก หาไม่แผ่นดินนี้จะไม่มีที่ให้เจ้าอยู่”
“หน็อยแน่ไอ้ไพร่ นายของเอ็งเป็นพระหน่อเจ้าหรือไร จึงกล้ากล่าวออกมาอย่างไม่เจียมกะลาหัว”
“ไอ้คน จัณฑาล”หับเผยด่าใส่หน้าจาคะ สร้างโทสะให้เกิดกับอีกฝ่ายเป็นอันมาก จาคะจึงตวัดมือตบปากนางหับเผย ฉาดใหญ่จนได้เลือดหับเผยถลาตามแรงตบสุดแรง
“พี่หับเผย” ศิขรินปราดประคองร่างที่ถลาตามแรงตบ
ภีมเจ้าขัดสายพระเนตรต่อการกระทำที่ดูอ่อนแอราวไม่ใช่ชายของทั้งสอง จึงสั่งพระพี่เลี้ยงว่า
“จาคะ จับมันแก้ผ้าอวดคนเดี๋ยวนี้”
“อย่าทำอะไร แม่หญิงน้อยศิขริน ของข้านะ”
“อะไรนะ!” นายและบ่าวตกตะลึง ต่อคำตวาดห้ามของลืมตัวของหับเผย จากนั้นภีมเจ้าจึงรำพึงออกมาว่า
“เป็นหญิงหรือนี่ ไฉนจึงปลอมตัวมาดังนี้”
หับเผยไม่นำพาต่อคำถามของภีมเจ้า แต่ฉุดรั้งศิขรินให้ลุกขึ้น พลางกล่าว
“แม่หญิงกลับเถิดเจ้าค่ะ จวนเวลากลับของท่านพ่อแล้ว”
สองนายบ่าวรีบเดินตามกันกลับ จาคะเอ่ยทูลตามลำพังสองคน
“หากไม่ใช่กะเทย นางผู้นี้มีความงดงามจับตาจับใจนัก เสียที่อุทานว่า พระหน่อเจ้าเป็นสามี นางคงแต่งงานแล้วสามีของนางคงละม้ายพระองค์นัก”
“ศิขรินลูกสาวท่านสิงห์ นางเรียกข้าเป็นพี่ สำเนียงของนางคุ้นหูของข้าอย่างประหลาด”
‘พี่ข้า สามีข้า ’ภีมเจ้าทวนคำของนางแล้วยิ่งสะดุดพระทัย
“ภีมเจ้าอย่าได้ตรัสว่าเคยหนีออกมารับนางสนมโดยข้าบาทมิได้ล่วงรู้”
“จาคะ เจ้าย่อมทราบ หัวใจของข้ามิเคยได้มีรักมาก่อนและยังไม่ให้สตรีใดมาใกล้ตัวข้า”
“นับว่าประหลาดนัก นะเจ้า พระหน่อเจ้า บุรุษสตรีเกิดมาคู่กันย่อมมีการดำรงเผ้าพันธ์ ภีมเจ้า เป็นโอรสแห่งเทพไฉนจึงคิดหมางเมินต่อความรักใคร่อันเป็นโลกีย์วิสัย”
“ความรัก พลัดพราก ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์”ทรงรำพึงลืมองค์
“ตรัสอะไรเจ้า พระหน่อเจ้า ข้าน้อยไม่เข้าใจความหมายที่ทรงตรัส”
ภีมเจ้าคล้ายรู้สึกพระองค์ตรัสปฏิเสธ แล้วทรงตระอาชาคู่พระทัยควบทยานกลับพระราชวัง
หลังจากได้ลงจากม้าทรงแล้ว ภีมเจ้าหันมารับสั่งต่อพระพี่เลี้ยงว่า
“จาคะไปสืบความเป็นมาของคนที่จะมาเป็นเมียข้า”
“เจ้า พระหน่อเจ้า”
ท่านแม่ทัพใหญ่สิงห์กลับถึงคุ้มที่พำนัก ไล่ๆ กับศิขริน และนางหับเผยพากันกลับมาถึงทั้งสองจึงทักทายผู้เป็นประมุขคุ้ม ท่านสิงห์ยังคงมีความละเอียดถี่ถ้วนในความช่างสังเกต ท่านเห็นปากกึ่งจมูกของนางหับเผยแดงกล่ำจึงทักถาม
“ใครทำร้ายเจ้า นังหับเผย บอกมาตามตรงอย่าได้ปลดข้าไปในทางอื่นเด็ดขาด เพราะอาการของเจ้านี้ย่อมไม่ใช่หกล้ม”
นางหับเผยก้มหน้าเอ่ยงุบงิบแผ่วเบา จนท่านสิงห์ไม่ได้ยิน ศิขรินจึงตอบคำถามของบิดาแทนพี่เลี้ยงคนสนิทว่า
“ลูกมีเรื่องกับชายผู้ขี่ม้าสีหมอก พี่หับเผยได้ป้องกันไม่ให้ชายคนนั้นได้มารังแกลูก จนถูกชายผู้ติดตามของเขาทำร้ายเอาเจ้าค่ะท่านพ่อ”
“สมควรแล้วที่บังอาจไปลบหลู่พระองค์ท่าน”
“ท่านพ่อรู้จักหรือเจ้าคะ ชายผู้นี้คือผู้สูงศักดิ์หรือเจ้าคะจึงใช้คำนี้”
“ม้าสีหมอกเป็นม้าทรงของภีมเจ้า พระหน่อเจ้าพระองค์เดียวของพ่อเจ้า”
“ตาย” นางหับเผยตาเหลือกค้าง เมื่อได้ยินฐานะแท้จริงของชายผู้ขี่ม้าสีหมอก ขาที่เคยแข็งแรงพลันอ่อนล้าต้องทรุดฮวบนั่งพังพาบกับพื้น
ท่านสิงห์ตวาดถามไม่จริงจังนัก
“เป็นอะไรนังหับเผย”
“บ่าวดีใจที่ถูกเพียงแค่ตบเจ้าค่ะพ่อนาย เพราะโทษของบ่าวถึงตัดหัว”
“เห็นจริงแล้วนังหับเผย ปากเอ็งนี้มีโทษถึงตัดหัวจริงๆ”ท่านสิงห์สำทับกลับ ทำให้หับเผยลูบคอต้นเองอย่างเข็ดขามจนวันตายทีเดียว
ฝ่ายแม่นายกาสา ยิ้มหัวเอ็นดูกับการแต่งกายของศิขริน ซึ่งแม้ปกปิดว่าไม่ใช่สตรี แต่ความงดงามของดวงหน้ายังสะดุดตาให้คิดว่าเป็นสตรีกว่าค่อน ท่านออกปากชม
“อำพรางร่างเป็นชายก็ใช่จะปิดความงามเช่นสตรีของเจ้าได้เลยนะลูกแม่ ไปชำระกายให้สะอาดแล้วมาที่นี่”
“เจ้าค่ะแม่นาย” สองนายบ่าวไปทำตามคำของแม่นายกาสา
เวลาพลบค่ำที่คุ้มท่านสิงห์
บ่างไพร่ที่มีหน้าที่เติมไฟตะเกียงต่างทำหน้าที่ให้ตะเกียงจุดสว่างทั้งคืน
ท่านสิงห์นั่งอยู่บนพื้นปูลาดด้วยผ้าอย่างดี แม่นายกาสาปรนนิบัติพัดวี บ่าวไพร่นั่งลดขั้นกันไป
“พี่มีเรื่องสำคัญจะบอกให้เจ้าได้รับรู้”
“เรื่องใดเจ้าคะท่านพี่”
ท่านสิงห์ถอนใจยาว ศิขรินในชุดสตรี ชั้นสูง เกล้าผมเป็นมวย สวมผ้าเกาะอก ทิ้งชายลงด้านข้าง นุ่งผ้ายาวกรอมพื้น คลุมไหล่ด้วยผ้าแพรบาง ดำเนินมากับนังหับเผยทางเชื่อมเรือน
บิดาบุญธรรมเห็นความงดงามน่าเอ็นดูของลูกสาวแล้วอดห่วงอีกฝ่ายเสียไม่ได้ แต่หน้าที่ค้ำบัลลังก์มีความสำคัญมากกว่า ท่านจึงจำตัดใจ บอกกับแม่นายกาสาว่า
“เป็นเรื่องที่อาจทำร้ายใจเจ้าแทบขาด แต่พี่จำต้องทำ”
“เรื่องใดหรือเจ้าคะ หากเป็นเรื่องท่านสิงห์จะมีนางเล็กๆ เห็นจะไม่ทำร้ายอะไรข้านัก”
“เรื่องหญิงอื่นไม่มีดอก แต่เป็นเรื่องของศิขริน”
“เจ้าคะ” ท้าวกาสาอุทาน ยกมือทาบอกราวกับสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ไม่ปาน จากนั้นใจของท่านสั่นหวิวแทบขาดทั้งที่ยังไม่ทราบเรื่องทั้งหมด
“ศิขรินเป็นอะไรเจ้าคะ”
“พี่จะนำศิขรินถวายตัว”
ท้ายกาสาหายใจติดขัด อกสั่นยิ่งนัก ท่านสิงห์กล่าวต่อ
“พระหน่อเจ้ามีท่าทีอันไม่ชอบกล ต่อเจ้านางขวัญหล้าผู้เป็นแม่เมือง ข้าราชบริพารล้วนจับตามอง พี่เห็นแต่ศิขรินที่มีความงามยิ่งกว่าเจ้านางขวัญหล้า”
“โธ่ลูก ในที่สุดเจ้าก็ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในรั้วในวังจนได้”
เมื่อศิขรินเข้ามานั่งใกล้ ท้าวกาสาดึงไปสวมกอดเป็นครู่ ท่านสิงห์ปลอบอยู่พักหนึ่งจึงเอ่ย
“เห็นแก่พ่อเถิดนะศิขริน พ่อต้องนำเจ้าถวายให้ภีมเจ้า”
คำของท่านสิงห์มิได้ทำร้ายใจของศิขรินให้เป็นทุกข์หรือเสียใจ แต่ศิขรินกลับรู้สึกวาบหวามในอกอย่างห้ามไม่ได้
ปฏิพัทธ์แรกพบหากนางมีความรู้สึกดื่มด่ำกว่านั้น สามีข้า โดยไม่รู้ความหมายของคำๆ นี้ หากในห้วงความคิดคำนี้ฝังแน่น
“เจ้าจะอยู่ที่ใกล้ชิด ศิขรินลูกพ่อแม้ในวังจะเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีกัน พ่อนั้นก็เห็นอยู่ ใช่ว่าพ่อไม่เมตตาเจ้า แต่เพื่อหน้าที่ลูกคงเห็นแก่พ่อ”
“มีเรื่องใดที่หนักอกท่านพ่อหรือเจ้าคะ”
“ภีมเจ้าท่านไม่พึงปรารถนาในความรัก และท่านเป็นที่หมายปองของอิสตรี ทั้งต่ำศักดิ์ และสูงศักดิ์ พ่อเกรงเหตุไม่บังควรจะพึงมี ซึ่งอาจจะเกิดกับภีมเจ้าและเจ้านางขวัญหล้า พ่อจึงคิดยกดวงใจของพ่อไปถวายพระองค์ เพื่อแยกคนทั้งสองไม่ให้ได้มีความใกล้ชิดจนอาจเกิดเรื่องร้ายยากเกินแก้ไขได้ หน้าที่ของลูกอาจจะทำให้ภีมเจ้าไม่พอพระทัย หรือเป็นศัตรูกับนางใน ลูกจะว่าอย่างไรลูกรัก”
“ศิขรินได้พึ่งบุญท่านพ่อ และท่านแม่พระคุณนี้หาที่สุดมิได้ หากมีสิ่งใดที่ลูกจะทำให้ท่านสองได้คลายทุกข์ร้อนลูกจะรีบขจัดความทุกข์นั้นทันทีเจ้าค่ะ”
“ลูกรัก การเข้าวังครั้งนี้อาจจะทำให้ลูกสิ้นสุขทั้งชีวิต”
“พ้นจากทาสมาได้มีสุขเพียงนี้ลูกถือว่าเป็นบุญแล้ว นำตัวลูกไปถวายเถิดเจ้าค่ะท่านพ่อ”
ท้าวกาสาร้องไห้โดยเงียบงัน ท่านโตมาจากรั้วจากวังท่านย่อมรู้ดีว่าภัยนั้นมีทุกฝีก้าว เจ้านางอมราผู้เป็นใหญ่มีอำนาจราชศักดิ์ยังรังแกผู้ด้อยกว่า ครั้นชะตาวาสนาอับพระนางก็ถูกกระทำการหยามเหยียด จนแทบเสียชีวิต
ศิขรินเดินเข้าวังครั้งนี้ในฐานะศัตรูหัวใจของเจ้านางขวัญหล้า พระสนมของทีฆายุเจ้า
ลูกกำลังเดินเข้าไปในกรงขังที่เต็มไปด้วยขวากหนามจะไม่ให้พ่อแม่ทุกข์ร้อนดังตกนรกกระไรได้ ท้าวกาสามิได้ติดตามเข้าไปแม้แต่หับเผยพี่เลี้ยง หากไม่มีราชโองการ ก็มิอาจติดตามเข้าไปได้
คืนนั้นพ่อ แม่ก็มีทุกข์ บ่าวไพร่ทั้งเรือนเงียบงันไปทั้งหมด นางหับเผยร่ำอาลัยรักเจ้านาย นั่งเฝ้าอยู่หน้าเตียง ไม่ยอมเคลื่อนย้ายตัวเองห่างไปไหน เพราะเมื่อวัยพรุ่งมาเยือน หับเผยจะไม่ได้พบศิขรินอีกแล้ว ตามประเพณีนางใน มิอาจได้ออกจาพระราชวัง ถ้าไม่มีพระราชโองการ
มีเพียงศิขรินที่นอนหลับลึก ด่ำดิ่งสู่ดินแดนที่นางเคยถือกำเนิดเกิดมา และได้ใช้กรรมไปแล้วชาติหนึ่ง !!




นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2555, 09:09:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2555, 09:09:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1968





<< หนึ่งเดียวที่ต้องรอ   ลืมสิ้นอดีตชาติ >>
Pampam 4 มิ.ย. 2555, 10:55:34 น.
ศิขรินจะเข้าวังแล้วน่าสงสาร ต้องระวังเจ้าขวัญหล้าให้ดี


Zephyr 4 มิ.ย. 2555, 17:39:39 น.
ศิขรินคงไม่ถูกรังแกนะ จากเจ้านางจิตไม่ปกตินั่นอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account