แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: ลืมสิ้นอดีตชาติ


ทุ่งหญ้ากว้างไกลดูเขียวขจี ชายหญิงวัยแรกรุ่นแต่งกายเยี่ยงทาสเดินจับจูงหยอกเย้ากันอย่างมีความสุข
ไทรใหญ่ยืนต้นคู่เคียงดังคู่รักของพันธุ์พฤกษา มีรากห้อยระย้าดังแพรม่านของคนเด็กรุ่นหนุ่มสักอักษรประหลาดลงที่แขนซ้ายของหญิง พูดคุยถ้อยความใดมิได้ยินเสียง
ข้อเท้าของเขาสักอักขระตัวเดียวกัน
กองไฟลุกโชติโชน เด็กหนุ่มถูกผลักให้กระโจนลงในพิธีกรรมประหลาด
“พี่ข้า สามีข้า”
นางหับเผยสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงละเมอร้อง เมื่อลืมตาจึงพบศิขรินนั่งอกสั้นขวัญหายอยู่บนเตียง
“แม่หญิงฝันร้ายอันใด…”
มิใช่ฝันศิขรินบอกตัวเอง สตีนั้นคือนาง บุรุษชุดขาวคือ ภีมเจ้า คู่บุพเพสันนิวาสจากชาติปางก่อน
สามีของนางคือชายผู้สูงศักดิ์คนนั้นแน่แท้ ยิ่งคิดจิตยิ่งปฏิพัทธ์ผูกพัน นางจำอดีตได้ แล้ว ภีมเจ้าเล่า ภีมเจ้าไร้ความอาฆาตมาดหมางในยามตาย เขาจากไปด้วยวิญญาณอันพิสุทธิ์
หากศิขรินยังอาฆาตจองเวร จำนางอัปลักษณ์จิตตรีได้จนติดตา นางผู้นำความตายมาสู่ทาสหญิงชาย ผู้ถูกกวาดต้อนมาจากดินแดนใดศิขรินไม่ทราบ หากชายผู้ที่นางเรียกพี่ข้าทราบดี และไม่เอ่ยถึงชื่อเมืองที่จากมา
ศิขรินถือกำเนิดมาใหม่นาง นางจิตตรี ผู้นี้ก็ยังมีจิตริษยาไม่เปลี่ยนแปลง
กลองชัยลั่นคำรามเมื่อตะวันพ้นขอบฟ้าได้หนึ่งชั่วยามมหาดเล็กเดินสาสน์บอกราชโองการ พ่อเจ้าจะทำพิธีรับพระชายาของภีมเจ้าในวันนี้
ข่าวที่ควรสร้างความยินดีให้เกิดขึ้น กลับทำให้เจ้านางขวัญหล้าแต่เพียงผู้เดียวที่นับว่าเป็นเรื่องที่ร้ายที่สุดแล้วสำหรับพระนาง
ร่างอรชรเต็มวัย สามสิบสี่ปี จิกพระนขากับพระฉวีที่ท่อนพระกรจนขึ้นรอยเลือด พระนางริษยาต่อเสียงวิจารณ์ทั่วทั้งวัง ที่ได้กล่าวถึงโฉมงาม พระชายาของภีมเจ้า บุตรีของท่านสิงห์ นามว่า ศิขริน
“มันผู้ทำร้ายหัวใจข้า ข้าจะต้องกำจัดมันให้จงได้ นางศิขรินเจ้าไม่พ้นตาย”
“แม่เจ้าฝืนพระทัยบ้างอย่างไรเสียพระนางต้องไปร่วมพิธีให้ได้นะเพคะ”
“ข้าป่วย ไม่อาจไปได้ เจ้าไปทูลเสียก่อนนางเขือ”
“ไม่ได้เพคะ ไม่เกรงใครก็ต้องเกรงพ่อเจ้าบ้าง คมมีดของพระองค์ไม่เข้าใครออกใครนะเพคะ”
“ข้าอยากเนื้อเอาเกลือทานางคนผู้นั้น นางคนที่ทำลายรักของข้า”
เจ้านางขวัญหล้าอาฆาตพยาบาท นางเขือต้องรับสนองงานอีกครา คนให้ทำร้ายมีเพิ่มขึ้น งานยากขึ้นไปอีก!

ณ ห้องพระโรงที่ประทับ
พ่อเจ้าทีฆายุประทับเหนือบัลลังก์ราชสีห์ ภีมเจ้าประทับลดชั้นเจ้านางขวัญหล้า แม้มีตำแหน่งเป็นแม่เมืองแต่เป็นแค่เพียงเรียกขาน เพราะพ่อเจ้าไม่ได้ฉลองพระเกียรติยศให้ ดังนั้นจึงนั่งชั้นเดียวกับพระราชบุตรแต่อยู่คนละฝั่ง พระนางปั้นพระพักตร์ให้เรียบเฉยทั้งที่พระทัยร้าวรานยิ่งนัก
ท่านสิงห์นั่งเหนือแท่นต่ำชั้นลงมาอีก จากนั้น ข้าราชบริพารนั่งเป็นสองข้างตามลำดับ เข้าเฝ้าในวันนี้ถ้วนหน้า เวลาต่อมา ท้าวศรีคำ คุณท้าวฝ่ายใน ได้เดินนำหน้าศิขรินในชุดสตรีสูงศักดิ์ทรงเครื่องเต็มยศ นอกจากทรงเครื่องอย่างสตรีธารปุระแล้ว บนมวยผมรัดเกล้าด้วยปลอกทองคำสลักลายนูน แผงพระศอทองสุกปลั่ง เหลือเพียง ธำมรงค์ กำไลข้อพระบาท และพระกร ซึ่งภีมเจ้าจะเป็นผู้สวม เพื่อประกาศว่าสตรีผู้นี้ เป็นของพระองค์แล้ว
คุณท้าวศรีคำกราบทูลต่อพ่อเจ้า ยืนยันว่า ศิขรินเป็นหญิงพรหมจรรย์
ศิขรินสมเป็นชาติกษัตริย์ ในสายเลือด ยิ่งมีนิมิตว่าอดีตชาติเคยเป็นคู่เคียงแม้ชั่ววันกับภีมเจ้า นางมิได้มีอาการประหม่าอาย ทุกย่างเยื้องที่เดินเข้ามาดุจนางพญา ผู้มีฐานันดรสูงส่ง อีกทั้งมีสิริโฉมงามหน้าเอ็นดูจึงทำให้เป็นที่พอใจแก่ผู้ที่ได้ยล เว้นเพียงเจ้านางขวัญหล้า ที่เมินมองไปทางอื่นเสีย เช่นเดียวกับภีมเจ้าที่มิได้ชายพระเนตรมองว่าที่พระชายา
ท่านสิงห์ ศิขรินเดินเข่า ผ่านผู้มีศักดิ์สูงกว่า ดังผู้น้อยเคารพผู้มีฐานะสูงกว่า
นางยอบกายลง กราบพระบาทท่านทีฆายุ นบนิ้วบังคมองค์ภีมเจ้า
ผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดิน ทอดพระเนตรองค์ศิขริน นางสบเนตรนิดแล้วต้องหลบพระเนตรมีอำนาจของพระองค์ท่าน ซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยพระบารมีเป็นที่น่ายำเกรง จากนั้นนาง ชายตาไปทางภีมเจ้าเล็กน้อยเปล่งเสียงถามในอกอื้ออึง
“พี่ข้า จำอดีตชาติมิได้แล้วหรือ”
พ่อเจ้าเปล่งพระสุรเสียงทรงอำนาจมายังศิขรินว่า
“ศิขรินน้อย เพลานี้บิดาเจ้า ได้นำตัวมาเป็นบาทบริจาริกาของภีมเจ้า นับแต่นี้ชีวิตของเจ้าได้ถือให้เป็นสิทธิ์ขาดอยู่ที่ภีมเจ้า เจ้าจงภักดีต่อ จ้าวผู้เป็นสวามี”
ศิขรินนั่งพับเพียบยอบกายแนบพื้น เงยเพียงดวงหน้างามทูลเสียงสดใส
“ชีวิตนี้ท่านพ่อได้มอบเป็นสิทธ์ขาดแด่ภีมเจ้า แล้วแต่ภีมเจ้าจะทรงโปรดเพคะ”
ภีมเจ้าปิดพระโอษฐ์สนิท พ่อเจ้าจึงต้องมีโองการ ออกไปอีกว่า
“นับแต่นี้ศิขรินเป็นที่พระชายาเอก ท้าวศรีคำเจ้าจงนำเสด็จพระชายาไปพำนักที่ตำหนักฝ่ายใน จัดนางกำนัลดูแลให้พระชายาได้รับความสะดวกเต็มที่ หากพระชายามีเรื่องร้อนใจมาบอกข้า ข้าจะตัดหัวมันทุกคน”
โองการที่ตรัสออกมานั้น สร้างความยำเกรงให้เกิดแก่คนที่คิดไม่ไยดีต่อพระชายาศิขรินยิ่งนัก คุณท้าวศรีคำน้อมนำโองการไปปฏิบัติ
“รับด้วยเกล้าเพคะ”
ศิขรินเดินตามคุณท้าวศรีคำไปยังตำหนักฝ่ายใน ขณะเดินมาถึงกลางทาง ผ่านอุทยานดอกไม้สวยส่งกลิ่นหอมอบอวล ศิขรินวางกิริยามิให้แตกตื่นสมกับมีสายเลือดกษัตริย์
ท้าวทางฝ่ายในนำเสด็จพระชายาศิขรินสู่ตำหนักใน ซึ่งจัดไว้ส่วนพระองค์เป็นเรือนไม้เดี่ยวยกพื้นสูง ทอดบันไดขึ้นเป็นชานพักจัดวางต้นไม้ และมีจ่าโขลนดูแลความปลอดภัย ตำหนักพระเทวีนี้ไม่ไกล จากสระโบกขรณีนัก ณ ที่นั้น มีนางกำนัลสองคนรับใช้ใกล้ชิด นางกำนัลทั้งสองมีหน้าตาละม้ายคล้ายกันดังพี่น้อง นางผู้สวมผ้าสีขาวแนะนำตัวเองว่า
“ข้าน้อยชื่อพักอีกคนชื่อแฟงเพคะพระชายา”
พระชายา ศิขรินทวนคำอย่างสุขล้ำในใจ บัดนี้ฐานันดรได้เปลี่ยนจากแม่นายน้อย เป็นพระชายาของภีมเจ้า ชายผู้ที่พระนางมีใจรักถวายให้อย่างที่นางรับรู้เพียงว่ารักมานานกว่าที่เคยพบกัน
“พระชายาจะสรงน้ำก่อนหรือไม่เพคะ จากนั้นค่อยพักผ่อนอิริยาบถ ในอุทยานมีไม้ดอกสวยงามแปลกตามากมายนักเพคะ จะทรงร้อยเล่นดูบ้างเห็นจะเพลินดี”
“ดีเหมือนกัน ข้าจะได้เที่ยวดูเขตที่อยู่ของข้าให้ทั่ว”
ฟักแฟงเข้ารับสนองการรับใช้ทันที
เวลาต่อมาในยามบ้ายแก่ ศิขรินเดินเล่นในสวน รู้สึกเพลินตาด้วยไม้สวยนานาพันธุ์แปลกตาอย่างที่นางกำนัลทูลแต่แรก กระทั่งระหว่างทางนั้นเอง ศิขรินได้พบกับสตรีผู้สูงศักดิ์แต่งกายงดงามจับตา ศิขรินได้พบนางมาก่อนแล้วที่ท้องพระโรง แต่นางนี้เมินหน้าไปทางอื่น แต่ครานี้เห็นจะผิดกันไปเพราะศิขรินชายาเอกได้พบว่าเจ้านางขวัญหล้าเชิดพระพักตร์ ตวัดสายพระเนตรมองศิขรินอย่างเปิดเผยว่าเต็มไปด้วยความชิงชัง คุณท้าวฝ่ายในรีบทูลพระชายาศิขริน
“แม่ยั่วหัวเสด็จเพคะ พระเทวี”
เจ้านางขวัญหล้าหญิงสูงศักดิ์ผู้ที่ภีมเจ้า มีพระทัยใฝ่ปอง…ศิขรินเตือนตนเองให้รู้จักสตรีนางนี้ นางผู้ที่ตนเองต้องมาขัดขวางมิให้ภีมเจ้าได้ใกล้ชิด
ทั้งสองยอบกายลงนั่งด้วยมีฐานะต่ำศักดิ์กว่า พระเนตรงามของเจ้านางขวัญหล้าเต็มไปด้วยไฟริษยายามมองศิขรินจึงเหมือนมีประกายไฟพวยพุ่งออกมา
“นี่หรือนางสนมภีมเจ้า ลูกสาวท่านเสนาบดี”
“ข้าน้อยนามว่าศิขรินเพคะแม่เจ้า”
“เหอะ ราตรีนี้คงได้นัดแนะถวายงานเป็นคืนแรกสมใจเจ้าสินะ”
ศิขรินสบเนตรตอบยิ้มเยื้อนในสีพักตร์ แต่มิได้ทูลตอบเจ้านางขวัญหล้าแต่ประการใด เจ้านางขวัญหล้ายิ่งริษยาในความอ่อนเยาว์ ที่มีความเหมาะสมกับภีมเจ้า จนแทบอดพระทัยไม่อยู่ พระนางคิดอยากตะกุยหน้างดงาม เรือนกายสวยสดให้เกิดรอยแผลเป็นจนน่าเกียจเสียให้ได้
นางเขือรู้ใจนายของตน จึงรีบทูลเชิญเสด็จ
“แม่เจ้ามีเรื่องที่ต้องสะสางอยู่ตามหน้าที่สูงส่ง เชิญเสด็จเถิดเพคะ อย่าให้นางข้าไทมันโงหัวขึ้นมารอเลยเพคะ”
“ข้าเพียงแต่เสียเวลาทักชายาของภีมเจ้าสักเล็กน้อยเท่านั้นนางเขือ หาได้เสียเวลาจนทำให้เสียงานสำคัญไปได้ดอกนางเขือ”
เจ้านางกลับมาสวมบทนางผู้สูงศักดิ์ได้อย่างสนิทอีกครั้ง แล้วจึงเสด็จไปทันที
เมื่อห่างมาแล้วเจ้านางกำพระหัตถ์แน่น กัดริมพระโอษฐ์จนได้เลือด บอกให้รู้ว่าแทบทนไม่ไหวต่อการแสดงละครไม่ให้ร้ายอย่างออกนอกหน้ามา
นางเขือจึงทูลเตือน
“อย่าทำให้เสียการเพคะแม่เจ้า”
“การที่ต้องรอ รอจนใจข้าจะแตกออกเป็นเสี่ยงแล้ว เจ้าไม่เห็นมันหรือว่ามันเคารพข้า แต่สายตาของมันเหมือนอ่านใจข้าออกว่าข้าอยากได้ผัวมันจนแทบบ้าอยู่แล้ว”
“แต่พระชายาเอกองค์นี้ เป็นธิดาท่านแม่ทัพใหญ่ ซึ่งมีศักดิ์เป็นเสนาบดีรั้งอีกตำแหน่ง อีกทั้งพ่อเจ้าโปรดประทานให้ขึ้นที่ พระองค์ก็ทรงได้ยินชัดแล้วว่า ทรงมีโองการ หากผู้ใดทำให้พระชายยาไปฟ้องว่าทำให้ร้อนใจ พ่อเจ้าจะลงโทษตัดหัวทีเดียว การมีพระราชโองการนี้เป็นที่ทราบว่าทรงโปรดป้องกันแม้แต่พระหน่อเจ้าเองยังต้องระวัง หากมีเรื่องบานปลายออกไปเกรงว่าแม่เจ้าของข้าน้อยจะไม่ทันได้สมรักจะต้องโทษเสียก่อน”
“แต่คืนนี้มันจะร่วมแทนกับภีมเจ้าคนไม่มีรักอย่างเจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องทรมานแค่ไหน ข้าต้องนอนนึกภาพการร่วมสังวาสของคนที่ตัวเองรักกับนางหญิงงามคนนั้น”
“ยั้งพระทัยนิดเพคะ อดเปรี้ยวไว้กินหวานโบราณว่า”
“ข้าอด อดนานเพียงใดเจ้าก็รู้ ทีฆายุทำร้ายใจของข้า แม้แต่ความรักที่เพิ่งเกิดขึ้นกับข้า มันยังนำหญิง
อื่นมาเหยียบย่ำหัวใจของข้า ข้าอยากฆ่ามันเหลือเกิน”
นางเขือต้องรีบเชิญเสด็จเจ้านางขวัญหล้าให้กลับไปอาฆาตพยาบาทแต่เพียงในพระตำหนัก มิให้เกิดอาการหลุดอยู่ภายนอกเช่นนี้ นางเขือกริ่งเกรงจะมีคนได้ยินและจะนำภัยมาสู่ทั้งนายทั้งบ่าว แต่เจ้านางดื้อรั้นที่จะไปเฝ้าพ่อเจ้า นางเขือจึงทูลเตือนว่า
“เมื่ออ้างพ่อเจ้าให้เป็นที่รู้กันว่าจะเฝ้า แต่แม่เจ้าต้องระงับพระทัยที่ร้อนให้เย็นเสียก่อน หาไม่จะไม่มีทางเสด็จไปถึงแน่เพคะ”
เจ้านางขวัญหล้าสูดพระทัยลึกๆยาวหลายๆครั้ง สุดท้ายยังไม่อาจระงับได้จึงหันไปตบหน้านางเขือสองฉาด นางเขือถลาตามแรงตบไปนั่งกองกับพื้น เจ้านางจึงได้สรวลออกมาได้ นางเขือกุมแก้มทั้งสองข้างสูดปากร้องด้วยความเจ็บแต่เพียงกาย ส่วนในใจภักดีจนไม่อาจเก็บมาเป็นอารมณ์โกรธได้
“เย็นแล้วใช่มั้ยเพคะแม่เจ้า”
“ใช่ ข้าเบื่อเสียงพล่ามของเจ้าที่สุด แต่เพราะเสียงพล่ามนี้เองที่ทำให้ข้าไม่ไปหาที่ตายง่ายนัก ไปกันเถอะนางเขือ ข้าว่าภีมเจ้าจวนเดินผ่านเส้นทางเชื่อมตำหนักแล้ว”
นางข้าไทรับคำ รีบตามเสด็จไปทันที
ภีมเจ้าและจาคะพี่เลี้ยงเสด็จสวนทางกับเจ้านางขวัญหล้า พระองค์ทรงเลี่ยงหลบ แต่เจ้านางมีวาจกระทบใส่ พระหน่อเจ้าอย่างอดพระทัยไว้ไม่อยู่
“ราตรีนี้ กลิ่นปทุมคงไม่ชื่นใจเท่ากลิ่นชายาคนแรก อย่าสำราญจน ลืมราชกิจเสียเล่า”
“ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่าราชกิจ ข้าไม่มีวันสำราญด้วยนางที่ไม่พึงใจ” ตรัสแล้วทูลลา
เจ้านางขวัญหล้าดีพระทัยแทบลอยได้อาการคลั่งที่เก็บไว้ในอก ถูกวาจาของภีมเจ้าไล่ให้หายไปดั่งได้ทิพย์โอสถรักษาก็ไม่ปาน
เมื่อภีมเจ้าเสด็จออกมาไกลจากเจ้านางซึ่งคล้อยหลังไปแล้ว จาคะจึงทูลเตือนด้วยหวังดี
“พระชายา เป็นธิดาของท่านสิงห์ พระหน่อเจ้าจะเพิกเฉยเย็นชามิได้นะเจ้า”
“อยากนำลูกมาให้ข้าเอง” ตรัสด้วยขัดพระทัย
“หากจะเป็นปฏิปักษ์กับท่านเสนาบดีแล้วล่ะก็ข้าน้อยไม่เห็นด้วย”
“ใครจะเป็นศัตรูกับคนที่ข้านับถือเป็นลุง แต่ข้าชังความไม่ใจไว้ของเขา ข้าภักดีต่อพ่อเจ้าแล้วเหตุใดเล่าจึงคิดว่าข้าจะอาจเอื้อมไปแตะเจ้านางของพระองค์”
“พระหน่อเจ้า อย่าได้ตรัสดัง หูตาท่านเสนาบดีมีทั่ว”
“แม้กระทั่งที่นอนของข้า ท่านสิงห์ยังส่งตามาจับดูใช่หรือไม่ ดีละข้าจะไม่นอนในตำหนักวันนี้”
“พระหน่อเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นพระชายาแล้วมิใช่หรือว่า ทรงมีเป็นผู้มีความงามพร้อม ที่เคยสงสัยนางจะมีสามีแล้วก็ตกไป เพราะคุณท้าวฝ่ายในตรวจดูรู้ความว่าพระชายาเป็นหญิงพรหมจรรย์ ถึงเวลานี้พระองค์ไม่โปรดร่วมแท่นก็ควรไปประพาสเล่นที่ตำหนักของพระนาง อย่าให้ท่านสิงห์หมางใจ”
คำทูลของพี่เลี้ยงโน้มน้าวพระทัยภีมเจ้าอยู่มาก หากคำสัญญาต่อเจ้านางขวัญหล้าก็คำนึงอยู่จึงลังเลพระทัย
เสียงทุ้มนุ่มหากฟังเย็นอันเป็นนิสัยของท่านสิงห์ดังขึ้นทางเบื้องปฤษฎางค์
“ถวายบังคมภีมเจ้า”
“ท่านสิงห์”ภีมเจ้าหันมาเผชิญ ท่านสิงห์ถอยกายออกมาด้วยความนอบน้อม
“ข้าน้อยขอถวายชีวิตศิขรินไว้กับพระหน่อเจ้าขออย่าได้ทิ้งขว้างดั่งสิ่งไม่มีค่า เชิญเสด็จไปเยี่ยมพระนางสักหน่อย เพราะพระชายามิเคยจากอกมารดาสักครั้ง โปรดทรงเห็นแก่ลูกที่ขาดแม่”
ภีมเจ้าสะท้านพระทัยกับคำทูลจี้จุด เพราะพระองค์เป็นกำพร้ามีเพียง พ่อเจ้าได้เมตตาอุ้มชูกันมา บัดนี้โดนท่านสิงห์กล่าวสำทับให้คิดถึงใจของศิขรินที่เป็นกำพร้าด้วยกัน
จาคะตอบท่านสิงห์แทนเจ้าเหนือชีวิตของตนว่า
“ท่านสิงห์อย่าเป็นกังวลเลยขอรับ ภีมเจ้ากำลังเสด็จไปตำหนักพระชายาบัดเดี๋ยวนี้แล้ว”
“เชิญเสด็จภีมเจ้า”ท่านสิงห์น้อมกายส่งเสด็จ
ภีมเจ้าทำตามคำทูลเชิญแกมบังคับอย่างเสียไม่ได้ พระองค์แค่เพียงจะลงอุทยานไปเล่นให้หายร้อนใจเท่านั้น มิได้คิดไปหาพระเทวีสักนิดเดียว แต่เมื่อโดนบีบเช่นนี้จำต้องไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ขัดพระทัยมาก แต่ยังเกรงใจท่านสิงห์ไม่น้อย
ส่วนท่านสิงห์เดินไปเส้นทางอื่น ความสำคัญของท่านมีมากจึงสามารถเดินไปได้ทั่ว แม้จะเป็นราชฐานชั้นในท่านสิงห์อดเหลือบสายตามองขึ้นไปยังตำหนักแม่ยั่วเมืองไม่ได้ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เจ้านางขวัญหล้า ทรงทอดพระเนตรลงมาพบท่านสิงห์พอดี เจ้านางรีบหลบจากช่องพระแกลทันที
เจ้านางผู้ไร้ยางอาย…ท่านสิงห์คิด กำมือแน่น ใคร่คิดขึ้นไปใช้ดาบบั่นพระเศียรอิสตรีที่เป็นขวากหนามแก่บัลลังก์ของภีมเจ้า ท่านห่วงนักหนากับเรื่องพระทัยของราชบุตรแห่งพ่อเจ้าทีฆายุ
ท่านสิงห์เชื่อที่ว่า ภีมเจ้าและเจ้านางขวัญหล้ามีพระทัยให้แก่กัน ซึ่งจะเป็นภัยแก่ราชบัลลังก์ยิ่งนัก ท่านสิงห์ได้แต่ขอเอาใจช่วยให้ธิดาเลี้ยงของท่านมีความสามารถชักนำพระทัยภีมเจ้าให้โน้มเอียงออกห่างเจ้านางขวัญหล้าให้จงได้
จ่าโขลนผู้ดูแลทางขึ้นตำหนักได้ส่งเสียงนำไปก่อน จากนั้นจึงเปิดทางให้ภีมเจ้าเสด็จ
“พระหน่อเจ้าเสด็จมาถึงแล้ว”
พระชายาศิขรินประหม่าพระทัยไปบ้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น ครู่หนึ่งภีมเจ้าเสด็จจึงขึ้นมาถึงหน้าชานพระตำหนักที่ประทับของพระนาง คุณท้าวฝ่ายในยังเฝ้าอยู่เพื่อสอนมารยาทในการเฝ้า นางกำนัลสองคนถวายงาน
เมื่อเห็นภีมเจ้า เสด็จมาถึง ต่างถวายบังคม หลังจากนั้น พากันเดินเข่าออกมานั่งในที่บังควร เช่นจาคะพี่เลี้ยง พระชายาศิขรินลงจากแท่นประทับนั่งกับพื้น ภีมเจ้าประทับนั่งแทนที่พระเทวี
ยามนั้นศิขรินเหลือบเนตรแลมองข้อพระบาทข้างซ้ายของภีมเจ้าจึงได้เห็น ปานแดงรูปอักขระปรากฏ
‘พี่ข้า’แม้มิใช่รูปเดิมหากวิญญาณยังใช่ แต่ลืมอดีตชาติจนหมดสิ้น
ไยหนอจึงต้องให้ศิขรินเพียงคนเดียวที่รำลึกได้ ช่างทรมานใจเหลือเกิน .พระเทวีน้อยเนื้อต่ำใจในวาสนายิ่งนัก
ภีมเจ้าตรัสกับพระเทวีว่า
“ข้าอยากถาม เพราะอะไรจึงทึกทักว่าข้าเป็นสามีเจ้า โดยที่เจ้ายังเป็นพรหมจรรย์”
“ข้ามีความไร้ยางอายต้องขอประทานอภัยเพคะพี่เจ้า”
“เพราะเจ้ารู้หรือว่าเจ้าจะต้องถูกส่งมาเป็นเมียข้าจึงได้ทึกทักอย่างทนรอไม่ไหว”
“เพคะ”พระชายาศิขรินประชดกลับ
“พี่เจ้าดำริ หรือตรัสชอบสิ่งใดตามแต่พระทัยเช่นนั้นเพคะ”
ภีมเจ้าเท้าท่อนพาหากับเพลา พระหัตถ์เชยหนุกลมมนสวยของพระเทวี พลางชมในพระทัย ผู้มีหนุกลมเช่นนี้ย่อมมีความฉลาดลึกซึ้ง นางผู้นี้ต้องได้รับการสั่งสอนให้มาสอดแนมจริยาวัตรของพระองค์เป็นแน่? ภีมเจ้าคิดออกนอกทางไปมากทีเดียว พระองค์ไม่ทรงคิดว่าที่เกิดการถวายพระเทวีนั้นมาจากความภักดี แต่ทรงคิดว่าเพราะท่านสิงห์ลุแก่อำนาจ ไม่ไว้ใจพระองค์ ทำให้ขัดเคือง แต่ขัดพระทัยพ่อเจ้าไม่ได้ ดังนั้นจึงเห็นศิขรินเป็นผู้สอดแนมที่ควรระวัง
ศิขรินช้อนเนตรงามมีประกายเจิดจ้าดังแสงแห่งดารกาในคืนแรมมิปาน
‘พี่ข้า สามีของข้าลืมแล้วหรือไร’
ภีมเจ้าสะท้านพระทัยเมื่อสบตาของศิขรินแล้วอ่านสายตานั้นออกราวกับอ่านอักขระที่แสนง่าย
“น่าประหลาดสองครั้งแล้วที่ข้าเห็นดวงตาของเจ้า แต่เหมือนข้าคุ้นเคยยิ่งนัก”
“ภีมเจ้าเคยได้ยินเรื่องวัฏสงสารมั้ยเพคะ”
“ประหลาดยิ่งนัก คำนี้ข้าพึ่งได้ยินแปลว่าอะไร ภาษาชนชาติใดกัน”
“วัฏสงสารคือการเวียนว่ายตายเกิด การกลับชาติมาเกิด”
“ไม่เคยได้ยิน ข้าพึ่งรู้ว่าธิดาท่านสิงห์เป็นคนนอกรีต…”
“ข้าน้อยมิใช่คนนอกรีต หากมิได้นับถือตามความเชื่อเรื่องการ “บูชายัญ”
“บูชายัญ”ภีมเจ้าสะกิดพระทัยนัก ไม่เคยได้ยินแม้จะนับถือไสยเวทย์
“บวงสรวงเทพเจ้าด้วยการเผาสัตว์ทั้งเป็น ไม่เว้น แม้แต่คน”
ภีมเจ้ามิอาจจะนึกถึงอดีตชาติความเป็นมา ทรงปวดพระเศียรขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว สีพระพักตร์เผือดลงไปแต่ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่าพระองค์ทรงเริ่มอาการประชวร
พระชายาศิขริน หลุบพระเนตรต่ำมองที่ข้อพระบาทภีมเจ้า ทวงถามในใจโดยมิได้เปิดปากออกมา
‘ผู้ใดสัญญาจะไม่ลืมกัน ผู้ใดรับปากว่าจะมีเพียงเราสอง’
พระเทวีทูลถาม
“ภีมเจ้าเสด็จประพาสนอกเมืองบ่อยมั้ยเพคะ”
ภีมเจ้ากลั้นพระทัยสะกดอาการปวดพระเศียรซึ่งทวีความแรงขึ้นจนแทบระงับไม่อยู่ แต่ยังฝืนตอบอย่างทระนง
“เราไปทั่วเขตแว่นแคว้นแดนเรา”
“เคยเสด็จหมู่บ้านทาสหรือไม่เพคะ”
“เคย ถามทำไมหรือ”
“เนินหญ้าริมรำธารที่มีไทรใหญ่ เคยประพาสมั้ยเพคะ”
“เคยไป เนินหญ้า เมื่อครั้งเราอายุได้สิบห้าปี เป็นที่ๆ แปลกทีเดียว เรารู้สึกคล้ายเคยไปมาก่อน เจ้าถามเรื่องเหล่านี้ทำไมหรือเทวี”
“เคยมีเรื่องเล่าเพคะ”
“เรื่องเล่า เจ้าจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
“เพคะ”
ศิขรินเงยพักตร์ขึ้นขณะที่ภีมเจ้าทอดพระพักตร์ลงใกล้ ข้าราชบริพารถวายบังคมลาลงจากตำหนักให้ประทับอยู่เพียงลำพังสองพระองค์
“เด็กหญิงผู้หนึ่งได้รับการเลี้ยงดูจากชายผู้เปรียบเสมือนพี่ร่วมสายเลือด มีอายุต่างกันเจ็ดปี ทั้งสองเป็นทาสที่ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองทางเหนือ นับถือพระบรมศาสดาจากลังกาวงศ์ มีความเชื่อ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ฐานันดรสูงศักดิ์เมื่อสิ้นวาสนา จึงถูกนำมาเป็นทาส”
“หมายความว่าชายหญิงคู่นั้นมีฐานแห่งกษัตริย์หรือศิขริน”
“เพคะ เด็กหญิงเชลยนั้นเป็นเจ้านาง ต่างพระมารดากับพระเชษฐา เมื่อตกเป็นทาสเชลย เจ้านางมีชันษาเจ็ดพรรษา และพระเชษฐามีพระชนมายุสิบสี่ชันษา เพราะความงดงามแผกคนทั้งหลายจึงได้หายางไม้มาทาใบหน้า และเรือนกายจนมีความอัปลักษณ์ ปะปนมากับชาวเมือง อยู่ในหมู่บ้านทาสโดยมิได้ถูกประมูล ทั้งสองเฝ้ารอวันอิสระเพื่อได้กลับบ้านเมือง รอมาถึงเจ็ดปี
“ทาสชายหญิงถูกแบ่งแยกมิให้อยู่ร่วมกัน”
“ทั้งสองมีที่นัดหมาย ร่มไทยใหญ่ริมลำธารใสสะอาด เป็นสถานที่ๆ คนทั้งสองมีชีวิตผูกพันต่อกันแน่นเฟ้น ชายเชลยถักร้อยมงกุฎดอกไม้สวมศีรษะนางผู้ที่เขาเลี้ยงดูมาแต่เยาว์วัยในวันที่นาง ได้วิวาห์ใต้ร่มไทร สกุณา มัจฉา มวลบุบผาชาติ และหมู่ภมรเป็นสักขีพยาน”
“พี่น้องแต่งงานกันได้ประหลาดจริง”
“สืบสันติวงศ์ มิให้เลือดอื่นปะปนตามกฎมณเฑียรบาลจึงมิใช่เรื่องแปลกเพคะ”
“วงศ์ธารายุทธ์จะไม่ให้มีการสมสู่ในหมู่ญาติเพื่อความเข้มแข็งแห่งสายเลือกนักรบ เราจึงเห็นแปลกนัก แล้วพวกเขาเป็นเช่นไร เจ็ดปีพ้นทาส”
“จะพ้นในสองวัน และ คืน หากเวรกรรมจำพราก โดยจิตริษยาของหญิงอัปลักษณ์นางนามว่าจิตตรี ทำให้เชลยต่างเมืองผู้ซึ่งได้วิวาห์เพลาเดียว ถูกนำไปชำระล้างคราบสกปรก ความงามของคนทั้งสองถูกเลือกให้ถูกบูชายัญ ในปราสาทบนยอดเขาสูง”
“บูชายัญ พวกเขาถูกเลือกเป็นเครื่องสังเวย หรือ ศิขริน”
“เพคะ ชายผู้นั้นมีรอยสักอักขระที่ข้อเท้าข้างขวา เพื่อชาติภาพใหม่จะจดจำกันได้กับขนิษฐา และเทวีของเขา ซึ่งมีรอยสักแบบเดียวกัน”
“อักขระ”
“ตามความเชื่อของพวกเขาหากมีรอยสักก่อนตาย ณ ที่ใด ที่นั้นจะปรากฏเป็นปานในชาติภพต่อไป”
ภีมเจ้าเหลือบพระเนตรมองที่ข้อพระบาทของพระองค์สักครู่จึงสรวลดัง
“สำคัญนักเจ้าศิขริน ธิดาแห่งเสนาบดีใหญ่”
พระชายาศิขรินประหลาดพระทัยในกิริยาหยันเย้ยของภีมเจ้า
“เล่าเรื่องนิทานดังคนแก่หลอกลวงเด็ก แล้ววนเวียนมาที่ข้าหรือไร ถามสักคำหรือผู้ใดไม่มีไฝปาน เจ้าจะชี้นำว่าข้าคือผู้มาเกิดใหม่ และเจ้าคือสตรีผู้นั้นตามมาเกิดหรือ ศิขริน นี่เจ้าปั้นเรื่องกันมานานแล้วหรือ พบหน้าข้าจึงเรียก พี่ข้า สามีข้า”
“พี่ข้า สามีข้า ผู้ใดชอบกล่าว ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์”
ภีมเจ้าชะงักงันกิริยาเย้ยหยันในองค์เทวีไปชั่วขณะ พระชายาศิขรินอัดอั้นพระทัยจนน้ำพระเนตรหลั่งริน
“ผู้ใดไม่อยากมีรักด้วยกลัวการพลัดพราก ผู้ใดสัญญาจะจำกันได้ทุกชาติไป”
“ข้า”
“สตรีย่อมมองบุรุษจากที่ต่ำไปก่อน ข้อพระบาทนั้นเป็นสัญญา เช่นที่แขนของน้องนี้”
พระชายาศิขรินถอด พาหุรัด (กำไลต้นแขน) ออกจึงปรากฏปานรูปเดียวกันกับองค์ภีมเจ้า
“เจ้าปั้นแต่งแต่เรื่องโกหกมาให้ข้าฟัง คิดหรือว่าการเสียน้ำลายมากไปดังนี้จะทำให้ข้าลืมกำพรืดของเจ้า เจ้าเป็นเพียงลูกเลี้ยงเสนาบดีใหญ่ ชาติกำเนิดโดยแท้เป็นเพียงเชลยที่ท้าวกาสาซ้อหามาโดยไม่ต้องเสียท้องแม้เพียงเส้นเดียว”
คำดำรัสนั้นดั่งนำมีดมากรีดทรวงของพระชายาศิขรินพระนางเรียกตะลึง กับความหมางเมินเย็นชาขององค์ภีมเจ้า ทำให้ทรงอาดูรยิ่งนัก
“พี่ข้า”
“ศิขริน เจ้าทาสเชลยต่ำศักดิ์ และข้าย่อมรู้ประวัติความเป็นมาของเจ้าดีก่อนที่เจ้าเป็นธิดาท่านสิงห์ เจ้าคือ นางทาส จากหมู่บ้านเชลยที่ท้าวกาสาประมูลตัวมาเป็นลูกบุญธรรม”
ศิขรินตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึงว่าจะมีความจงชังในชาติกำเนิด และมีพระทัยยึดมั่นต่อเจ้านางขวัญหล้ามากเพียงนี้ ภีมเจ้าตรัสทิ้งเพียงแค่นั้น แล้วจึงประทับยืน ทรงเซไปเล็กน้อยกับอาการปวดพระเศียรทีมีมากขึ้น หลังจากดำรงกายได้เต็มที่แล้วจึงเสด็จออกจากตำหนักพระเทวีทันใด
ศิขรินยกมือทาบอก สีหน้าหม่นหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด มีดำริด้วยความเศร้าหมองพระทัย
โอ้ มิทรงได้รำลึกถึงอดีตชาติสักน้อยนิด บุพเพมิได้มีอำนาจให้เกิดการผูกพัน นำมาเป็นคู่ครองดอกหรือ!!



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2555, 09:10:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2555, 09:10:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 2450





<< เพราะบุพเพนำมาพบกัน   สมรสแห่งความระแวง >>
Canopus 4 มิ.ย. 2555, 09:49:32 น.
ภีมเจ้าใจร้ายจัง


tookta 4 มิ.ย. 2555, 10:23:52 น.
รู้สึกเจ็บปวดไปกับเจ้านางศิขริน


อริสา 4 มิ.ย. 2555, 10:52:59 น.
สงสานเจ้านางศิขรินจริง


zilvermoon 4 มิ.ย. 2555, 10:54:23 น.
บีบคั้นจิตใจอีกแล้ว สงสารศิขรินอะ เชื่อแล้วว่าภีมเจ้าไม่ได้ใฝ่สูงจริงๆ


Pampam 4 มิ.ย. 2555, 11:19:21 น.
ถ้าภีมเจ้าจำได้เมื่อไหร่อยากให้ศิขรินเมินซะให้เข็ด


คิมหันตุ์ 4 มิ.ย. 2555, 15:16:42 น.
เย็นชามากภีมเจ้า!!


Zephyr 4 มิ.ย. 2555, 17:55:10 น.
โห ทำกับน้องเธอเช่นนี้ เวลาจำได้นะ จะให้ศิขรินลืมซะให้เข็ดเลย
เห็นด้วยกับคุณ zilvermoon เลยว่า ภีมเจ้าไม่ได้ใฝ่สูงจริงๆ แต่องค์ท่านใฝ่.....มาก


zilvermoon 4 มิ.ย. 2555, 21:01:34 น.
5555 ขอบคุณคุณเฟอร์ที่เห็นด้วย เวลาภีมเจ้าชักดาบมาลงโทษจะได้โดนเป็นเพื่อนกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account