แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: สมรสแห่งความระแวง

ภีมเจ้าเสด็จกลับพระตำหนักหน้า ซึ่งเป็นขององค์รัชทายาท จาคะพี่เลี้ยงมีความภักดีเป็นที่สุดซึ่งเรื่องพ่อเจ้าทีฆายุประทานเทวีมาให้ หากภีมเจ้ากลับทำไม่สนพระทัยดังนี้ ยิ่งจักเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยหนักข้อ จาคะต้องทูลเตือนซ้ำ
“พระหน่อเจ้า เหตุใดจึงไม่ทำหน้าที่ตามที่พ่อเจ้าประทานพระเทวีมาให้”
ภีมเจ้าประทับนั่งเอนอิงพิงพระเขนยสามเหลี่ยม ทอดพระเนตรเหม่อลอย ในพระทัยหลากจิตที่คิดเก็บงำคำพูดของพระชายาศิขรินมาใส่พระทัย ก่อนประทานเล่าให้จาคะพี่เลี้ยงได้ฟัง
จาคะ เป็นบุตรชายของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ซึ่งมีอายุมากกว่าพระหน่อเจ้าเกือบสิบปี ดังนั้นจาคะจึงทราบเรื่องการบูชายัญพี่เลี้ยงคนสนิท จึงทูลเล่าเหตุการณ์ที่เขาพอจำได้ถวายแด่องค์พระยุพราชเจ้า
“แม่ยั่วหัวมีพระหน่อยากนัก ซึ่งจะโทษแม่ยั่วหัวประการเดียวคงต้องเว้นบ้าง เพราะวงศ์ธารายุทธ์ สืบเชื้อสายโดยมีพระหน่อเจ้ายากนัก ไม่เคยมีเกินหนึ่งเดียวสักองค์ โหรหลวงและขุนนางต่างเกรงจะไร้ผู้สืบเชื้อสายจึงกระทำการโดยวิธีต่างๆ สุดท้ายจึงมาถึงพิธีบูชายัญ ข้าน้อยเป็นเด็กซุกซน จึงได้เข้าไปชมการบูชายัญ ซึ่งท่านพ่อบอกเล่าว่าจะเป็นการทำที่ยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก เพราะจะเผาคนทั้งเป็น เมื่อมานพหนุ่มรูปงาม แต่เป็นคนนอกรีต ได้ถูกบูชายัญ พ่อเจ้ากลับโปรดรับสั่งถามเหตุใดไม่กลัวตาย มานพนั้นตอบว่า องค์ศาสดาผู้ที่เขาเคารพสอนว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
ขณะปล่อยพระทัยวางรับฟังคำทูลของพระพี่เลี้ยงนั้น ภาพลางเลือนภาพหนึ่งปรากฏขึ้นมาในมโนสำนึกของภีมเจ้า
ภาพของภีมเจ้าอายุแรกรุ่น โอบอุ้มเจ้านางองค์น้อยหลบหนีผู้คน ภาพซ้อนทับ ภาพของเจ้านางมีพระชันษามากกว่าพระองค์เกินถึงสองรอบ มีโฉมงามถูกขังกรงให้เสือหิวฉีกเนื้อเป็นอาหารเสียงของเจ้านางองค์นั้นสาปแช่งดังแว่วๆ หากภีมเจ้าได้ยินชัดเจน
“ชีวิตเจ้าอย่าได้มีความสุขเลยภีมเสน ขอให้เจ้ามีชีวิตเยี่ยงทาส ขอให้เจ้าไร้วงศ์วานว่านเครือ ภีมเสน เจ้าพรากน้ำทองไป เจ้าทรยศต่อความรักของข้า เจ้าหนีการเป็นชู้ข้าไปไม่ได้ ข้าขอสาปแช่งเจ้าเจ้าเป็นชู้กับข้า แต่ข้าเพียงผู้เดียวที่รับโทษทันธ์ ขอเจ้า อย่าได้มีความสุขชั่วกับชั่วกัลป์”
ภีมเสน ภีมเจ้ารำพึงเบาแสนเบา เอนอิงพระวรกายลงบนพระเขนย
จาคะ เข้ามาถวายการรับใช้อย่างห่วงใย ทูลถามว่า
“ทรงประชวรหรือเจ้า พระหน่อเจ้า”
“ข้าปวดหัวไม่หาย ข้าอยู่ใกล้ศิขรินข้ายิ่งรู้สึกเหมือนโดนใครสักคนบีบหัวข้าจนรู้สึกแทบแตกออกจากกัน”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นพระหน่อเจ้า”
“ข้าไม่รู้ เมื่อเจ้าเล่าเรื่องบูชายัญ ข้ากลับไปเห็นอะไรไม่รู้ ข้าตอบไม่ได้ แต่ข้าปวดหัวเหลือเกิน”
ภีมเจ้ายกมือขึ้นกุมพระเศียร สีพระพักตร์ซีด เจ็บร้าวในอุระราวกับถูกบีบจากมือใครสักคนพร้อมกับขมับทั้งสองคล้ายโดนคีบยักษ์บีบเคล้นราวกับจะให้แตกเป็นเสี่ยงกระนั้น
“ปวดหัวเหลือเกิน ข้าปวดหัวจริงๆจาคะ”
“โปรดทำพระทัยให้สงบเจ้า พระหน่อเจ้า โธ่ข้าน้อยไม่ควรทูลเรื่องการบูชายัญดังนี้เลย”
“ศิขริน เรียกศิขรินมาที่นี่เถิดพี่ข้า เรียกศิขรินมาที”
“เจ้า พระหน่อเจ้า” จาคะ เร่งรับทำตามรับสั่งโดยเร็วภีมเจ้า ไม่ทราบพระองค์ว่าเหตุใด จึงต้องการให้พระชายาศิขรินมาเคียงข้างยามรู้สึกเจ็บปวดกะทันหันเช่นนี้
จาคะเดินทางอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงตำหนักพระเทวี พระพี่เลี้ยงจึงบอกแก่จ่าโขลน (ตำรวจหญิงวังใน)ให้ทูลพระชายาศิขรินเข้าเฝ้าพระหน่อเจ้าโดยเร็ว จ่าโขลนถือคำสั่งของจาคะ เข้าไปแจ้งแก่พี่เลี้ยง เพียงครู่เดียว องค์พระชายาศิขริน และสองนางกำนัล ต่างพากันลงจากตำหนักที่ประทับ
“พระพี่เลี้ยง มีเหตุอันใดรึ จึงมาแจ้งว่าภีมเจ้าให้ข้าเข้าเฝ้า”
“เมื่อกลับที่ประทับ พระหน่อเจ้าเกิดอาการประชวรมาก เรียกองค์เทวีเข้าเฝ้าเจ้า พระเทวี”
“นำทางข้าไปเถิดพระพี่เลี้ยง”พระชายาศิขรินตรัสแล้วสาวพระบาทโดยมีนางกำนัลตามเสด็จใกล้ชิด จาคะ เดินถอยไปด้านข้างคอยกำกับทางว่า วังหน้าอยู่ที่ใด
เมื่อพระชายาเสด็จผ่าน ตำหนักเจ้านางขวัญหล้า ศิขรินไม่นำพาที่จะมองขึ้นไป แต่คนข้างบนกลับมองลงมาพอดี เจ้านางขวัญหล้าถึงกับพระวรกายชาด้วยความริษยาเป็นล้นพ้น พระนางตรัสกับนางกำนัลเขือด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“ดูรึ เสน่ห์นางผู้นี้หามีน้อยไม่ ภีมเจ้ากลับตำหนักไม่ช้าที ก็เรียกมันกลับมาเฝ้าอีกแล้ว”
“พระทัยเย็นก่อนเพคะแม่เจ้า อันธรรมดา โคถึกกับหญ้าอ่อนย่อมแปลกลิ้นแปลกรส กินเท่าไหร่จึงไม่รู้จักอิ่ม ฉันใด ก็ฉันนั้นแม่เจ้า”
“เพราะข้ารู้ว่ามันน่าพิสมัยเพียงใด ใจข้าจึงได้เร่าร้อนดังไฟกัลป์เช่นนี้”
เจ้านางขวัญหล้ามีท่าทีร้อน กระสับ กระส่าย ดังที่ทรงตรัสไม่มีผิด นางเขือได้แต่ปลอบว่าจะรีบดำเนินการให้เร็วกว่ากำหนดมากขึ้น เจ้านางร่างอวบอิ่ม มีพระดำรสดุร้ายออกมาว่า
“ต้องกำจัดมันให้ถึงตายจึงสมใจข้า”
“เพคะเจ้านาง”
นางข้าไทรับรองด้วยคำเป็นมั่นเหมาะ นางมุ่งหมายจะเอาชีวิตพระชายาเซ่นสังเวยความต้องการของนายเหนือหัวของตนให้จงได้ จากการรับสนองความต้องการชั่วร้ายนั้นแล้ว นางเขือไม่ได้นิ่งนอนใจ นาติดต่อกับมหาดเล็กชู้คู่สวาท ให้สืบหาเพชฌฆาตฝีมือกล้า เพื่อเข้าก่อการโหดร้ายทันที
พระชายาศิขรินเสด็จมาเฝ้าภีมเจ้าตามรับสั่งที่ตำหนักหน้า และเสด็จเข้าห้องบรรทมส่วนพระองค์ของภีมเจ้า
เพลานั้นพระหน่อเจ้าอิงพระเขนย หลับพระเนตร หายพระทัยตามปกติ ไม่มีท่าทีประชวรตามที่จาคะทูลบอกให้พระเทวีเป็นห่วงสักนิด
องค์ศิขรินเดินพระชานุเข้าไปข้างพระแท่นที่ประทับ บังคมแล้วจึงได้ทูลเรียกเบาๆ
“พี่เจ้า ประชวรสิ่งใดเพคะ”
ภีมเจ้าลืมพระเนตรขึ้น ประทับนั่ง ก้มพระพักตร์ลงมองพระเทวี หากแล้วพระทัยของพระองค์กระตุกวูบ จ้องพระเนตรพราวระยับอย่างลืมองค์ ในดวงเนตรนั้นราวกับเปล่งวาจา
‘พี่ข้า สามีข้า ความสุขแห่งเราสองจะจบสิ้นเพียงแค่นี้หรือ’
ภีมเจ้าประคองวรกายบอบบางมาไว้ในอ้อมพระพาหาอย่างลืมองค์ ในประกายแห่งพระเนตรงามพระชายาศิขรินเต็มไปด้วยคำเว้าวอนอย่างที่ศิขรินไม่รู้ตัวเช่นกัน
สองผู้มีฐานะสูงส่ง พร่ำพรอดรำพันราวกับว่าอดีตนั้นได้หวนกลับมา ความสุขของทั้งสองเหมือนดั่งภาพฝันที่สวยงาม
ภีมเจ้าก้มพระพักตร์แนบชิดถามเสียงสั่นพร่า ลูบไล้พระฉวีขาวเนียนละเอียด ร่างสวยที่พระหน่อเจ้ามั่นใจว่าต้องเป็นของภีมเจ้า จมูกโด่งงามสูดดมกลิ่นหอมจรุงใจ กายของภีมเจ้าตื่นเพริด ถูกพระชายากำไว้แน่น กระทั่งถูกปล่อยออก พระราชบุตรค่อยๆ เลื่อนตัว พระหัตถ์เรียวจับพระเพลาทั้งสองพระชายาแยกออก ภีมเจ้าสอดฝ่ามือเข้าไป ก้มจูบซอกขาด้านในไล้เลื่อยขึ้นสูงค่อยเคลื่อนสู่ความสาวสวย ภีมเจ้าเพิ่งได้เห็นรูปโฉมตรึงตา ตรึงใจ พระชายาไม่มีสิ่งใดที่ไม่สวย แม้ไม่เคยด้วยสตรีมาก่อน หากภีมเจ้าไม่ใช่ชายที่โง่เขลาที่ไม่รู้จักฝึกความอดทน แม้อยากเข้าไปอยู่ในกายพระชายาโดยเร็ว แต่ภีมเจ้ารอ รอจนกว่าจะได้เวลา หายพระทัยรัว พระถันงามกระเพื่อมตามแรงหายใจถี่กระชั้น ภีมเจ้าเลื่อนพระหัตถ์ขึ้นมากอบกุมสองปทุมงามบีบเค้น เบา และแรง แรงจนภีมเจ้ารู้สึกถึงความผ่าวร้อน พระวรกายแข็งตึงรวดร้าว ทรงเลื่อนพระองค์ประคองสู่ภายในอันร้อนผ่าวของพระชายา ร่างพระชายากระตุก กัดริมพระโอษฐ์ ด้วยความเจ็บ
พระหน่อเจ้า มีเสียงกระเส่าราวกับกำลังได้รับความเจ็บปวดสุดชีวิต แต่แท้ที่จริงภีมเจ้าพบความเสียวซ่านอย่างไม่เคยได้รับมาก่อน ความคับแน่นตลอดทางที่ภีมเจ้าสอดแทรก ทั้งนุ่มนวลและโดนบีบรัดราวโดนเส้นเชือกมัด ธรรมชาติสอนให้ภีมเจ้าถอนออกมาช้าๆ ครวญครางแทบขาดใจ ก่อนกลับลงไป เป็นอย่างนี้อย่างเริ่มช้าเนิบ และแรง เร็ว ทิ้งรอ
“อือ ”
ภีมเจ้าครางในพระเศียรปลอดโปร่ง หงายพระพักตร์เพริด แนบพระวรกายฝังในกายพระชายา ซึ่งต้านรับอย่างซ่านเสียวอย่าที่ตนเองคาดไม่ถึง คาดมาแต่เพียงว่าต้องเจ็บ แต่เจ็บไม่นานนัก พระหน่อเจ้ากลับทำให้พระนางได้รับความสุขอย่างประหลาดล้ำ ทั้งสองสวมกอดกันแนบแน่นราวกับเป็นร่างเดียวกันเมื่อผ่านความรื่นรมย์แห่งความสุขประหลาดล้ำ
พระหน่อเจ้าแนบหน้ากับพระถันนุ่มทั้งสอง ก่อนที่จะเริ่มบทใหม่อีกครั้ง ก่อนสงบอบอุ่นอยู่ในอ้อมกอดของกันและกัน
ร่างสูงของพระหน่อเจ้าภิรมย์ร่วมด้วยพระชายาศิขรินอย่างไม่มีความรังเกียจสักน้อยนิด พระองค์ถวิลหาความหอมหวานจากเรือนร่างบอบบาง อย่างไม่รู้เบื่อหน่าย จวนจนความสุขแห่งมนุษย์ได้ถึงขีดสูงสุด ภีมเจ้าเกร็งสั่นเทิ้มจนต้องโอบรัดร่างน้อยเข้ามาสวมกอดไว้แนบแน่นปลดปล่อยวิญญาณแห่งความหรรษาไปพร้อมกัน
อำนาจของบุพเพชักนำพาวิบากกรรมให้ได้ผูกพันกันอีกภพอีกชาติ
พระชายาศิขรินซุกซบอ้อมพระพาหาอย่างอบอุ่นตลอดทั้งราตรี โดยที่ภีมเจ้ามีความสุขอย่างไม่มีสิ่งใดมาเปรียบ หากว่าพระองค์มิได้เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิดเดียว พระองค์ราวถูกมนต์แสนกลของกรรมเก่าให้หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับพระชายาศิขริน
จวบจนกระทั่งฟ้าสางทั้งสององค์รู้สึกตัว ภีมเจ้า ผละลุกขึ้นประทับนั่ง พระชายาศิขรินตกใจยิ่งนัก ภีมเจ้าขับไล่อีกฝ่ายทันที
”นี่กลมารยาอันใดศิขริน เจ้าจึงมาร่วมแท่นกับข้าได้”
“พี่เจ้าเรียกน้องมาสนองเบื้องยุคลบาท แล้วเหตุใดเล่าจึงทำผิดแผกหาความมาใส่น้องราวกับจำไม่ได้เช่นนี้”
“ข้าหรือจะปรารถนาเจ้า ไป กลับไปตำหนักเจ้าเดี๋ยวนี้ศิขริน”
องค์เทวีได้ยินรับสั่งไร้เยื่อไยให้รู้สึกเสียพระทัยยิ่งนัก ทรงฝืนกลั้นไม่ให้น้ำตารินไหลได้ เสด็จกลับพระตำหนักที่ประทับ
ภีมเจ้าได้ลืมพระเนตร และกลับมาเป็นองค์เองอีกครั้ง พระองค์จำอะไรไม่ได้เลยนอกจากความเกลียดชัง!!
จาคะเข้าเฝ้าพระหน่อเจ้าตามปกติ ภีมเจ้าสรงสนานเรียบร้อย สีพระพักตร์หมกมุ่น จนพระพี่เลี้ยงรู้สึกไม่สบายใจจนต้องกราบทูลไปตามตรง
“มีเหตุอันใดเป็นที่หมางเมินกับพระเทวีอีกหรือพระหน่อเจ้า พระเทวีจึงเสด็จกลับตำหนักแต่รุ่งสาง”
“ข้าไม่รู้”ภีมเจ้าตรัสอย่างละอายพระทัย “เมื่อคืนข้าไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิด เหมือนกับข้าจมอยู่กับความฝันทั้งที่ข้าตื่น และ ข้า ข้าต้องมนต์ คุณไสยอันใดหรือไม่พี่ข้า”
“ทำไมเล่าพระหน่อเจ้า ทรงมีสิ่งใดให้คิดเลื่อนไปเช่นนั้นได้ ฆาตชันษาหาได้ตกแต่ประการใด แต่ทำไมจึง”
“ข้าไม่ไว้ใจศิขริน ทำไมเล่า ทำไมใจข้าจึงโดนรัดรึงเช่นนี้ ข้าเจ็บปวดเหลือเกินพี่ข้า เจ็บแทบตายแล้ว”
ภีมเจ้าทุบพระอุระโดยแรง ทรงอึดอัด ระทมทุกข์อย่างแสนสาหัส
“ใครมีโองการสาปแช่งข้า ทำไมข้าจึงรวดร้าวทรมานนับแต่เห็นศิขริน ไปตามนางมาบัดเดี๋ยวนี้ ให้นางมาหาข้า”
“พระหน่อเจ้า ลงอุทยานเถิด อาจบางทีจะสบายพระทัยบ้าง”
“เจ้าไม่ไปตามนางมาที่นี่ ซ้ำยังมาชวนข้าลงอุทยานอีก”
“พระหน่อเจ้า อย่าเพิ่งมีเรื่องราวกับพระชายาให้เป็นที่ระคายเคืองพ่อเจ้าเลยนะเจ้า ฟังข้าน้อยบ้าง หากความถึงพระเนตรพระกรรณว่าพระหน่อเจ้ามีเรื่องไม่พอใจพระชายาจะเป็นที่กินแหนงแคลงใจกันไปเป็นอันมากนะเจ้า”
ภีมเจ้าถอนพระทัยอย่างต้องการระบายความเจ็บปวดราวกับถูกใครสักคนควักดวงพระหทัยออกไป เสียงหนึ่งดังแว่ว…
‘เจ้าไม่อาจหนีความเป็นชู้จากข้าไปได้ ข้าขอสาปแช่งเจ้าอย่าได้มีบริวารว่านเครือ อย่าได้มีความสุขชั่วกับชั่วกัลป์’
“ใคร เสียงใคร ออกไปจากหัวของข้าเดี๋ยวนี้ ข้าไม่ได้เป็นชู้ใคร”
“พระหน่อเจ้า”
ภีมเจ้า โผเผออกนอกตำหนัก เสด็จลงอุทยานไปอย่างเลื่อนลอย จาคะรีบตามเสด็จ พร้อมนางกำนัล เชิญเครื่องเสวยตามไปเป็นแถว
ภีมเจ้าสูดดมอากาศบริสุทธิ์ อาการรุ่มร้อนทุรนทุรายหายเป็นปลิดทิ้ง ราวกับว่าพระองค์ไม่เคยทุกข์มาก่อนกระนั้น
ยามนี้จึงได้ทรงมีสีพระพักตร์ดีขึ้น เอนอิงพระวรกายกับต้นไม้ใหญ่ ทอดพระเนตรพุ่มดอกไม้ในอุทยานบานแข่งรับแสงอรุณรุ่ง
สายลมพัดพลิ้วจากโบกขรณีจนได้ไอเย็น ภีมเจ้าประทับยืนกอดอุระพิงต้นโศกใหญ่ทอดพระเนตรนิ่งไปที่พลับพลาที่ประทับของเจ้านางขวัญหล้า
ลูกธนูดอกหนึ่งลอยมาปัก ใกล้พระเศียร ภีมเจ้าสะดุ้งสุดตัว จาคะกระโดดปราดออกไป ตวาดก้อง
“ใครลอบปลงพระชนม์พระหน่อเจ้า”
พระชายาศิขรินปรากฏกายวิ่งออกมาในกิริยาร่าเริงราวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ภีมเจ้ายืนตระหง่าน พระพักตร์บึ้งตึง จาคะบังคมเทวี แล้วทูลเครียด
“พระเทวี ถือศาสตราวุธดังนี้ผิดประเพณีนัก อีกทั้งหากธนูต้องวรกาย พระหน่อเจ้าแม้ธุลีเกศา โทษของเทวีต้องประหารสถานเดียวทรงทราบหรือไม่”
พระชายาศิขรินทำตกพระทัยทั้งที่แรกเดิมจงพระทัยยิงมาใส่ภีมเจ้าให้รู้สึกองค์
“พระพี่เลี้ยง ประทานโทษเถิด ข้าไล่ยิงนกซึ่งบินผ่าน ความไม่ชำนาญธนูจึงพลาดเป้า หาได้ทราบไม่ว่า สวามีของข้าประทับยืนอยู่ตรงนี้ หากจะตายด้วยความไม่รู้ ข้าก็ขอพระราชทานอภัยแด่พระสวามี”
“ศิขริน อย่าได้ถือศาสตราวุธอีกไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น หาไม่ข้าจะถือว่าเจ้าเข้าวังเพื่อปลงชีวิตข้า”ภีมเจ้าชี้พระหัตถ์คาดโทษและหาเรื่อง
“ภีมเจ้า ก่อนเข้าวังก็เคยเห็น ข้าชอบประลองฝีมือหาได้ทราบกฎชาววังไม่ หากหงุดหงิดพระทัยไม่พอพระทัยสิ่งใด น้องมีเรื่องให้พี่เจ้าได้สำราญ”
“ไม่ ” ทรงปฏิเสธทันที “ไม่ต้องมาทำเป็นดีศิขริน เจ้าเหมือนแม่มดไม่มีผิดรู้ตัวหรือไม่”
ศิขรินเข้าประชิดพระวรกาย ทูลให้ได้ยินตามลำพัง มีความท้าทายอยู่ในที
“หากชิงชังน้องแล้วไซร้ พี่เจ้าหาเหตุข้อนี้ฆ่าน้องเสีย น้องมีวิธีเพคะ” ทรงก้าวถอยออกมาดำรัสดัง
“พวกเจ้าไปหาลูกหว้ามาสักพวงหนึ่ง ข้าจะประลองฝีมือกับพี่เจ้า”
“ก็ได้”ภีมเจ้าตรัสสั่ง“ไปจัดของมาให้เทวีตามประสงค์”
พ่อเจ้า เสด็จผ่านอุทยานโดยมีท่านสิงห์ ติดตามไม่ห่างดังคำที่ว่า เห็นท่านเสด็จที่ใด เห็นท่านสิงห์ที่นั่น จนกว่าจะมีโองการให้กลับไป
“เอะอะอะไรกันนั่นสิงห์”
“พระชายาศิขรินจะพิสูจน์พระทัยพระหน่อเจ้า”
“เอาลูกหว้าวางบนศีรษะแล้วให้ภีมเจ้ายิงธนูหรือ สิงห์ลูกของเจ้าคิดการอะไร”
“เทวีนำความมาบอกข้าน้อย ว่าภีมเจ้ารังเกียจชาติกำเนิดแห่งนาง รังเกียจที่จะใกล้ชิด นางจึงได้คิดนำวิธีนี้มาตัดสินน้ำพระทัยภีมเจ้า”
“เหลวไหล ถ้าพลาดพลั้งลูกเจ้าจะตาย เจ้าไยไม่ห้ามลูกเจ้า”
“นางทราบชะตากรรมตั้งแต่เดินเข้าวังแล้วพ่อเจ้า”
“สิงห์”
“หากมิอาจผูกมัดพระทัยพระหน่อเจ้า เทวีเลือกหนทางตาย ทั้งสองกำลัง วัดใจ กัน”
สองนักรบผู้มีฐานันดร ต่างจับจ้องมองเหตุการณ์ต่อเบื้องหน้าที่ห่างไกลออกไป ศิขรินประทับยืนนิ่ง มั่นคง พวงผลหว้าสีดำวางอยู่บนเศียร
ห่างออกไปเบื้องพักตร์ของพระนาง ภีมเจ้าน้าวสายธนูจนตึง พระเนตรคมจ้องไปที่อุระ เลื่อนขึ้นไปที่พระศอพระพักตร์ สามแห่งสำคัญนี้ หากถูกที่ใดสักที่เทวีต้องสิ้นพระชนม์
นางกำนัลที่ตามเสด็จ พระชายาศิขริน พากันปิดหน้าไม่กล้ามอง พวกมหาดเล็ก และจาคะพระพี่เลี้ยง ต่างพากันหลุบสายตามองพื้นมิอาจมองภาพนั้นได้
มีแต่สองพระองค์ สานสบเนตรนิ่ง
เนตรคม แวววาวดังดาราในคืนเดือนแรม..ภีมเจ้าอ่านออกได้ราวกับนางเปล่งวาจาทูลถวาย
ความสุขแห่งเราจะสิ้นเพียงวันนี้ พี่ข้า สามีของข้า
ธนูดีดผึงออกจากแหล่ง นางกำนัลหวีดร้อง โดยไม่ได้ดูภาพน่าหวาดเสียวนั้น
หยดเลือด ตกสู่พื้นพร้อมลูกธนูปักเสียบปักษาตัวใหญ่ มหาดเล็กวิ่งไปเก็บ
ภีมเจ้าส่งคันธนูคืนให้กับศิขริน..พระนางมิได้รับคืน พระหน่อเจ้าตรัสโดยเคร่งเครียดยิ่ง
“หากเจ้าไม่รับในวันนี้แล้วไซร้ เพลาอื่นต่อหน้าข้า อย่าได้อวดดีมาวัดใจข้าอีก หาไม่ข้าจะเอาชีวิตเจ้าศิขริน”
“ชีวิตของข้าน้อยเป็นของพระองค์อยู่ทุกเมื่อ ต้องประสงค์ให้สิ้นเมื่อใด ก็จักสิ้นในเพลานั้น”
“เหอะ!!”พระหน่อเจ้าทรงกริ้วเป็นที่สุด แต่มิอาจปฏิภาคต่อพระชายาได้ พระนางล้วนหาข้อขัดแย้งให้แสลงพระทัยได้
ที่สำคัญ พระองค์รู้สึกราวกับว่า พระองค์อยากดึงพระเทวีเข้ามาทำโทษ ด้วยประสาชายอยากลงโทษหญิงงามด้วยการเป็นเจ้าของเสียให้สาแก่ใจ
พระองค์ต้องมนต์อีกแล้วหรือ ต้องเล่ห์กลของศิขรินด้วยกลแห่งกามกระนั้นหรือนี่ คิดแล้วภีมเจ้ารีบเสด็จหนีทันใด ศิขรินทูลตามขนอง
“สกุณาตัวนี้ น้องจะปรุงเป็นกระยาหารถวาย เชิญเสด็จในวันนี้เพคะ พี่เจ้า”
พ่อเจ้าเสด็จคืนตำหนักพร้อมด้วยท่านสิงห์ เช่นเดียวกับภีมเจ้า
นางกำนัลเข้ากอดพระเพลาพระชายาศิขรินเปล่งเสียงร่ำไห้
“พระเทวีอย่าคิดการนี้อีกเพคะพระเทวี ข้าน้อยใจแทบขาดแล้วเพคะพระเทวี”
“อย่าได้ห่วงอีกเลย ฟัก แฟง เพราะพี่เจ้าทรงตรัส..มิให้ข้าถือศัตราวุธอีก ”
นางกำนัลฟัก – แฟง ยังไม่หายเสียขวัญ หากองค์ศิขรินวางพระพักตร์ยิ้มเยื้อนราวกับสมพระทัย อย่างน้อยทรงทราบแล้วว่า พระหน่อเจ้ามิได้ชิงชังมาจากน้ำพระทัยจริง
อาจจะแค่ไม่พอใจที่ถูกบังคับให้สมรส และอาจจะ ยังรักเจ้านางขวัญหล้าไม่คลาย จึงได้พาลคนใกล้ไปอย่างนั้นเอง
พระชายาศิขรินคิดอย่างคนมองโลกในแง่ดี หาได้มีความคิดร้ายในทางอื่น และมั่นใจ บุพเพสันนิวาสที่ทรงจำได้แม่นยำนั้นสักวันหนึ่งภีมเจ้าจะต้องจำได้บ้าง และเมื่อวันนี้มาถึง ความสุขจะเป็นของพระนางและพระสวามีชั่วกาล ด้วยชาตินี้มิต้องหนีตาย มิต้องเป็นทาสเมืองใดอีกแล้ว!!



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2555, 12:27:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2555, 12:28:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1722





<< ลืมสิ้นอดีตชาติ   สิ่งที่ค้างในใจ >>
Pampam 5 มิ.ย. 2555, 13:45:25 น.
ภีมเจ้าโทษศิขรินเทวีอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อไหร่จะจำอดีตได้ซะที


Zephyr 5 มิ.ย. 2555, 17:23:10 น.
โทษแต่ศิขรินอ่ะ ไม่รู้จักดูตัวเองเล้ยยยย
เฮ้อ จำได้เมื่อไรเอาคืนให้เข็ดเลยนะ


คิมหันตุ์ 5 มิ.ย. 2555, 18:24:11 น.
พระนางที่เคยเป็นชู้นี่กลับชาติมาเกิดเป็น อาเจ้ ขวัญหล้าป่าวเนี่ย?


นางแก้ว 5 มิ.ย. 2555, 19:43:40 น.
ไม่ใช่ค่ะ คนเราอาจมีเจ้ากรรมนายเวรในลักษณะเดียวกันหลายคน หลายอย่าง เมื่อกรรมมาครบวาระ ก็จะเกิดขึ้นได้ หรืออาจจะเป้นกรรมที่สร้างในปัจจุบัน แต่ภีมเจ้าต้องชดใช้ต่อกรรมในอดีตค่ะ เรื่องกรรมใหม่และกรรมเก่า คนมีบุญกรรมตามทันเร็ว ก็จะได้รับผลบุญเร็วหน่อยค่ะ หากผู้ใดจิตใจดีงามไม่สร้างกรรมต่อเน่ืองกันไปก็จะเป้นกุศลสั่งสม ทำให้มีบูญหนุนนำ ตกต่ำไม่นานค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account