ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: ลุกซอร์

นวนิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คแล้ว

++++++++++++++

อีริคมาถึงลุกซอร์เพียงลัดนิ้วมือ ลงจากเครื่องก็ตรงมาพักที่โรงแรมซึ่งจองไว้ กระทั่งเช้าตรู่จึงให้พลขับเดินทางขึ้นเหนือ มีคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยขับประกบหน้าหลัง ป้องกันอันตรายจากกลุ่มผู้ไม่หวังดี

อียิปต์บนเป็นสถานที่ซึ่งต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ จากการรายงานข่าวหลายๆ ครั้ง มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ บางครั้งก็กลายเป็นโศกนาฏกรรมถึงขั้นสูญเสียชีวิต ประเด็นสำคัญของปัญหา เป็นเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่างในเรื่องการเมือง ศาสนา เหล่านี้ล้วนแล้วละเอียดอ่อน ต้องระวังแม้การกล่าวถึง

เพราะท้ายที่สุด...เพียงลมปาก...อาจนำมาซึ่งความรุนแรงเกินคาดเดา

อีริคเหลือบตามองรถตำรวจซึ่งขับตามมาผ่านกระจกมองหลัง กำลังคิดทบทวนและเปรียบเทียบ แม้เรื่องความปลอดภัยในอียิปต์บนเป็นสิ่งที่ต้องระวัง หากปฏิเสธไม่ได้ว่า ปลายทางที่ต้องไป...น่ากลัวยิ่งกว่า

หนุ่มใหญ่ละสายตาจากรถตำรวจ ก้มลงมองเข็มกลัดทองคำประดับปกเสื้อสูทของตนด้วยความหวาดหวั่น

เขาต้องทิ้งมันไว้ที่นี่...ไม่สามารถเอาเข้าไปพบ ‘หล่อน’ ได้

‘อย่าได้คิดเอาเข็มกลัดนั่นเข้าไปพบมาดามเด็ดขาด ถ้าแกไม่อยากให้มาดามโกรธ’ อยู่ๆ เสียงของหนุ่มรุ่นลึกลับก็ดังขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น...กลิ่นกำยานหอมและเครื่องหอมนานาก็คละคลุ้งราวถูกวางอยู่ข้างๆ

‘ฉันเตือนด้วยความหวังดี แกก็รู้ เวลาที่มาดามโกรธจะเป็นยังไง’

โดยไม่รู้ตัว เขากระชับเข็มกลัดเอาไว้แน่น รับรู้ถึงความร้อนที่กระจายบนฝ่ามือ นี่เขาควรแล้วหรือ...ที่จะยอมเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อแลกกับของล้ำค่าซึ่งเป็นเพียงตำนาน

ทว่าใจหนึ่งกลับไม่อาจละ เพราะ ‘หล่อน’ ก็ให้ ‘ทุกอย่าง’ ที่เศรษฐีเช่นเขาไม่อาจมีไว้ในครอบครอง และ ‘ล่วงรู้’ ในหลายสิ่งที่ไม่มีใครเคยพบเจอ

ชื่อ อีริค เค เกียน ใครได้ยินก็รู้ว่าเป็นนายหน้าและมหาเศรษฐีจากอเมริกา ผู้มาตั้งรกรากและทำการค้าที่อียิปต์ ความมั่งคั่งทั้งหลายนอกจากการคอยประสานงานและรับส่วนแบ่งจากทางผู้ว่าจ้าง บางส่วนยังได้มาอย่างลับๆ จากหลายฝ่ายที่พัวพัน

ทั้ง ‘ภาครัฐ’ และ ‘เอกชน’

มีอยู่หลายครั้งหลายคราวที่ชื่อของเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับตลาดมืด เสี่ยงต่อบทลงโทษตามกฎหมาย แต่ด้วยอิทธิพล...เขารอดมาได้ทุกครั้ง แต่นั่นล่ะ ศัตรูตัวฉกาจที่คอยจ้องเล่นงานเขาเมื่อยามเผลอก็ยังมีอยู่

หน่วยงานลับของภาครัฐบาล

อีริคเปิดกิจการต่างๆ ไว้มากในอียิปต์ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร แต่ที่เขาหลงใหลและหลงรักที่สุดกลับเป็นร้านขายของฝากเล็กๆ ในตลาดเอล – คาลีลี ที่ไคโร ร้านซึ่งผู้รู้ตื้นลึกหนาบางเท่านั้นจะทราบ

ไม่เล็กอย่างที่คิด...

ของเก่าหายากหลายอย่างถูกรับซื้อและขายต่อในราคาสูงลิบ หากสมน้ำสมเนื้อกับสิ่งแลกเปลี่ยน ทว่าอื่นใดก็ไม่เท่าสิ่งที่หนุ่มรุ่นใบหน้างดงามในชุดคลุมกำมะหยี่สีดำเอามาให้

โบราณ...แปลกตา...และสำคัญที่สุด ‘ประเมินค่าไม่ได้’

‘ของขวัญ’

ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นของยามเย็นในอียิปต์ เป็นครั้งแรกที่ออกัส แอนโทนีปรากฏตัวในร้าน ขณะที่อีริคกำลังเอนหลังเหยียดขาบนเก้าอี้บุนวม ข้างกายมีกล้องยาสูบน้ำตั้งไว้พร้อมสายสำหรับการสูบ หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งนั่งพื้น คอยนวดเฟ้นต้นขาท่ามกลางหมอกควันตลบอบอวล เสื้อผ้าของหล่อนเป็นเพียงชุดคลุมทำจากผ้าตาข่ายสีดำประดับเม็ดพลอยระยิบระยับ มองปราดเดียวก็เห็นทรวดทรงองค์เอวเปล่าเปลือยภายใน

‘จากเจ้านายของฉัน’ หนุ่มรุ่นแทบไม่แยแสแววตาหยาดเยิ้มจากหญิงสาวที่คอยนวดเฟ้น ใบหน้าเชิด นัยน์ตาหรี่มองเจ้าของร้าน ไร้ความเคารพ

เห็นครั้งแรกอีริคไม่สู้จะชอบใจ ดูชายหนุ่มตรงหน้าโอหังอย่างไรไม่อาจทราบ ภาษาอังกฤษที่ใช้ก็ดูแปร่งแปลก ราวกับมาจากแถวอิตาลีหรือกรุงโรม สำบัดสำนวนบางอย่างก็โบราณเหลือเกิน

ทว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องอินังขังขอบ สิ่งที่เขาสนใจ ณ เวลานี้มีเพียงหีบไม้เก่าคร่ำคร่าในมือของผู้มาเยือน แม้ตัวกล่องจะดูกระด่างกระดำ หากลวดลายประดับตามฝาและกรอบมุมต่างๆ กลับเป็นทองคำเหลืองอร่าม ประดับพลอยสีเม็ดเล็กเม็ดใหญ่เป็นระเบียบ

‘อะไร’ อีริคหรี่ตามอง วางปล้องยาสูบลงข้างตัวแล้วถามต่อด้วยทีท่าเป็นใหญ่ ‘แล้ว...นายของแกเป็นใคร’

เขาตั้งใจใช้น้ำเสียงเหยียดหยาม ให้อีกฝ่ายรู้ว่าควรจะแสดงความอ่อนน้อมแก่เขา ผู้ซึ่งมีอิทธิพลล้นมือ ทว่าการตอบสนองกลับผิดเพี้ยน

ออกัสไม่ขึงเคียด เดือดร้อน หรือแม้แต่ไม่พอใจ หากเขา ‘ยิ้ม’ เป็นยิ้มที่อีริคไม่ชอบใจนัก เนื่องจากมันเหมือนจะ ‘เย้ย’

‘ข้อแรกฉันไม่ขอตอบ คิดว่าแกควรจะเห็นด้วยตัวเอง ส่วนข้อที่สอง...’

อีริคกำหมัดแน่น นึกหมั่นไส้ในความยโสของอีกฝ่ายเข้ากระดูก กำลังคิดว่ารอให้ผู้มาเยือนออกจากที่นี่เสียก่อน ส่งลูกน้องไปจัดการให้รู้จักที่ต่ำที่สูงทีหลังก็ยังไม่สาย ทว่าทันทีที่หนุ่มรุ่นตอบคำถามข้อที่สอง ผู้เป็นเจ้าของร้านกลับรู้สึกเย็นเยียบ ความกำแหงอาฆาตเมื่อครู่มลายสิ้น เหลือเพียงความหวั่นกลัว

‘คุณคงรู้จักมาดามซิต เซติ ประธานผู้จัดการแห่งบริษัทเนบที’

เขาเคยได้ยินชื่อมาบ้าง...

มาดามซิต เซติ...เศรษฐินีน้ำมันและเหมืองแร่ มั่งคั่งติดอันดับ ๑ ใน ๕ ของอียิปต์ หากยังไม่เคยได้มีโอกาสพบหน้าหรือร่วมงาน ข้อมูลของหล่อนเป็นเรื่องลึกลับ เท่าที่ทราบมาเป็นเพียงการพูดคุยและสนทนาจากลูกค้าคนสำคัญ

‘มาดามเซติเหรอ เธอไม่ค่อยจะสังคมกับใครนัก เห็นว่าเป็นคนเก็บตัว นานทีถึงจะได้พบ’ รัฐมนตรีท่านหนึ่งกล่าว เมื่ออีริคไปร่วมฉลองในงานวันคล้ายวันเกิดครบรอบ ๕๐ ปีของท่าน ‘เคยพบบ้าง นานมากแล้ว เธอสวยนะ ขนาดคลุมผ้าทั้งตัว เห็นแต่หน้า ก็ยังสวยราวกับเจ้าหญิง’

อีกครั้ง...เมื่อไปร่วมฉลองแสดงความยินดีกับประธานบริหารบริษัทเอกชนชื่อก้อง ที่สามารถประมูลงานซ่อมแซมพิพิธภัณฑ์ในกรุงไคโร ที่นั่นเขาก็ได้ยินชื่อหล่อนจากหนุ่มใหญ่เจ้าของโครงการ

‘เห็นว่ามาดามมีเชื้อสายของราชวงศ์ของอียิปต์ แต่ไม่รู้ว่าสมัยไหน แต่จากการแต่งตัว สวมผ้าคลุมหัว คงเป็นหลานสาวสุลต่านมุสลิมไม่คนใดก็คนหนึ่ง’ ผู้กล่าวถึงหล่อนมีสีหน้าเคลือบแคลงขณะสนทนา ‘แต่บางคนก็บอกว่าเธอมีเชื้อสายราชวงศ์อียิปต์ยุคโบราณโน่น เพราะเห็นว่านามสกุลเหมือนพระนามฟาโรห์ในอดีต’

อาจเป็นได้ ‘ฟาโรห์เซติ’ สู่ ‘มาดามเซติ’

ส่วนรายล่าสุดที่กล่าวถึงมาดามเซติให้อีริคฟัง เป็นจิตรกรหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หลานชายเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ เขาเดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงพักร้อน ได้พบมาดามเซติในงานเลี้ยงสังสรรค์เหล่าบุคคลสำคัญโดยบังเอิญ จึงขออนุญาตวาดภาพของหล่อนเพื่อเป็นของขวัญ เห็นท่านเอกอัครราชทูตว่า...มาดามเธอก็อนุญาต

‘ผมขอเธอวาดภาพเหมือน มาดามเธอสวยมากครับ สวมชุดคลุมสีแดงยาวมิดชิดทั้งตัว มีผ้าคลุมหัวอย่างที่ผู้หญิงมุสลิมสวม ผมไม่มีสิทธิ์เห็นส่วนอื่นของเธอ...แม้กระทั่งมือ’ ขณะที่หลานชายท่านทูตพรรณนาลักษณะให้อีริคฟัง หนุ่มใหญ่สังเกตเห็นความเลื่อนลอยและเพ้อฝันในแววตาของอีกฝ่าย หากไม่พยายามคิดอะไรมากเกินกว่า...ธรรมดาของพวก ‘ศิลปิน’

‘ที่ผมเห็นก็มีแค่ใบหน้าขาวเนียน...ตาคมโต...กับริมฝีปากสีแดงสดเข้ากับชุด’

อีริคพยายามเอ่ยปากขอชมภาพวาดมาดามเซติจากหลานท่านทูต หวังจะได้ยลความงามตามคำร่ำลือ หากจิตรกรหนุ่มกลับแสดงความเสียใจ และ ‘เสียดาย’ ที่ได้มอบให้ผู้เป็นเจ้าของภายหลังการวาดเสร็จเป็นที่เรียบร้อย

เป็นอันว่าเขารู้จักเพียงเสียงลือเสียงเล่าอ้าง...หากเหล่านั้นก็เพียงพอที่จะบอกถึงความยิ่งใหญ่อย่างลึกลับของหล่อน

‘มาดามเซติฉันพอจะรู้จักบ้าง’ หลังจากพยายามทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับหล่อน อีริคก็โบกมือให้หญิงสาวเลิกนวดเฟ้น เขายืนขึ้น วางปึ่งยืดอก มองผู้มาเยือนด้วยสายตาดูแคลน

หากลึกลงไป...เขารู้ดี แค่ ‘ลูกน้อง’ ก็ทำให้เข่าทั้งสองแทบทรุด คงไม่ต้องพูดถึง ‘หล่อน’ ผู้เป็น ‘นาย’

‘อย่างนั้นขอดูของขวัญที่มาดามเอามาให้หน่อยสิ’ อีริคยื่นมือเตรียมรับของจากอีกฝ่าย หากผู้มาเยือนไม่ได้ทำดังที่คาดหวัง

ออกัส แอนโทนียืนนิ่ง ยื่นหีบนั้นให้อีริค ‘มารับ’ ไม่ต่างกัน

โอหัง!

คำนั้นผุดขึ้นในใจของหนุ่มใหญ่เจ้าของร้านอีกรอบ หากไม่กล้าแสดงกิริยาอาการใดให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง ที่สุดจึงหันไปมองหญิงสาวที่ยืนข้างๆ แสดงทีท่าให้หล่อนรู้ว่า...หล่อนต้องเป็นผู้ไปรับ

หญิงสาวในชุดตาข่ายสีดำพยักหน้าน้อยๆ จากนั้นจึงเข้าไปรับของจากออกัส แอนโทนี ครั้นส่งให้อีริคแล้วเปิดออก นัยน์ตาของหนุ่มใหญ่และหญิงสาวก็ลุกวาวในทันที

‘โอ้โห! กำไลทองคำนี่คะ’ หญิงสาวชิงพูดเสียก่อนเจ้านาย อีริคจึงตวัดนัยน์ตาราวปลายแส้ ทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้ง พยายามเก็บปากเก็บคำ

หล่อนมีท่าทีเสียดายอยู่มาก เมื่อถูกอีริคเขม็งมองพลางพยักพเยิด ทว่าก็ยอมเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้หนุ่มใหญ่และหนุ่มรุ่นอยู่ด้วยกันตามลำพังตามคำสั่ง ครั้นเหลือเพียงหนุ่มใหญ่และหนุ่มรุ่นเผชิญหน้ากัน อีริคจึงถามถึงที่มาที่ไปของกำไลดังกล่าว

‘กำไลนี่มัน...’

‘กำไลทองคำประดับเทอร์คอยซ์เม็ดใหญ่’ ออกัส แอนโทนีอธิบายเสร็จสรรพ ‘สมบัติล้ำค่าสมัยพระนางคลีโอพัตราที่ ๗ แห่งราชวงศ์ปโตเลมี ฟาโรห์องค์สุดท้ายแห่งอียิปต์’

มือซึ่งประคองหีบไม้ประดับทองคำสั่นระริก รู้สึกถึงความหนักอึ้งจากของล้ำค่าภายใน ด้วยสายตานักเล่นของเก่าอย่างเขา มองปราดเดียวก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในมือเป็นของจริง ทั้งทองคำ ทั้งลวดลายกำไล หากจะเป็นยุคสมัยดังกล่าวหรือไม่...นั่นก็อีกเรื่อง แต่แน่ชัดว่าอยู่ในช่วงของราชวงศ์ปโตเลมี

‘มาดามคงไม่ได้ให้คุณมามอบของขวัญเปล่าๆ หรอกใช่ไหม’ อีริคหยั่งเชิง ‘ต้องการอะไร’

‘ความช่วยเหลือ...เล็กๆ น้อยๆ’ ออกัส แอนโทนียิ้มที่มุมปาก ‘แลกกับสมบัติล้ำค่า...มหาศาล’

หนุ่มใหญ่ก้มลงมองกำไลทองคำในหีบ มือไม้ยังคงสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น แววตาปรากฏความปรารถนาอย่างแรงกล้า

แลกกับสมบัติล้ำค่า...มหาศาล...อย่างนั้นหรือ?

‘เรื่องอะไรล่ะที่ว่าเล็กๆ น้อยๆ’ เขาวางหีบลงบนเก้าอี้นวมที่เคยนอน แล้วหันกลับมาคุยกับออกัส แอนโทนี เป็นการเป็นงาน ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มที่มุมปาก ยื่นกระดาษใบเล็กให้เขา ‘รับไป’

แม้จะรู้สึกถึงความยโสโอหัง หากอีริคก็ว่าง่ายเสียแล้ว ไม่ยากเย็นอะไรกับการเข้าไปรับมาดู

เป็นที่อยู่ของบริษัทเนบที...ขึ้นไปทางเหนือของลุกซอร์

‘ที่เนบที คุณจะรู้ว่าอะไรที่มาดามต้องการ’ หนุ่มรุ่นในชุดดำกล่าว จบคำก็กลับหลังหัน ทิ้งประโยคสุดท้าย ซึ่งทำให้อีริคค้อมหัวลงโดยไม่รู้ตัว

‘ช้าที่สุด...พรุ่งนี้...มาดามเซติไม่ชอบรอใครนานๆ’

++++++++++++++++++

บริษัทเนบทีตั้งอยู่บนพื้นที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากอยู่ใกล้แม่น้ำไนล์ เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ เจ้าของแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบ เหมืองแร่ ทั้งในอียิปต์และประเทศเพื่อนบ้าน ภายในเขตรั้วมีตึกสูงตั้งตระหง่าน สะท้อนแสงแดดยามเที่ยงจนมลังเมลืองราวอัญมณี ทั้งตัวตึกเป็นสีเทอร์คอยซ์ จากแผ่นกระจกกรุกั้นเป็นผนังอาคาร นับตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นบน

บริเวณรอบนอกตัวตึกมีการจัดสวนรูปแบบโอเอซิสกลางทะเลทราย นอกจากหมู่ต้นอินทผลัม ยังมีการขุดแอ่งน้ำลึกสำหรับปลูกบัวสายคละสี ส่งกลิ่นรวยรื่นแก่ผู้มาเยือนเป็นระยะ ส่วนตัวตึกสีเทอร์คอยซ์ นักแต่งสวนได้นำต้นอินทผลัมแคระประดับตามที่ต่างๆ ของอาคาร สร้างแอ่งน้ำปลูกบัวสายส่งกลิ่นหอมตามแต่ละชั้น คล้ายพื้นที่รอบนอก

รถโฟล์คและรถติดตามเคลื่อนตัวลงจอดที่ลานด้านหน้า เรียบร้อยแล้วพลขับหนุ่มก็วิ่งออกมาเปิดประตูให้แก่ผู้เป็นนาย ครั้นหนุ่มใหญ่ออกมาจากรถได้ก็โบกมือเป็นสัญญาณ

‘ที่เหลือเขาจะทำเอง’

อีริค เค เกียน เดินเข้าไปในบริษัทพร้อมแฟ้มเอกสารบางๆ ระหว่างทางเดินได้กลิ่นบัวสายรวยรื่นอยู่ร่ำๆ รอบข้างเป็นห้องโถงต้อนรับซึ่งกรุด้วยกระจกสีเขียวแกมฟ้า เครื่องเรือนหลายอย่างเป็นเครื่องแก้วชั้นดี เหล่าพนักงานในเครื่องแบบสีแดงทักทายเป็นระยะ ราวรับรู้ว่าเขาเป็นบุคคลสำคัญ

ผ่านพ้นอาคารกระจกสีเทอร์คอยซ์ออกมา บรรยากาศแทบจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เบื้องหน้าของหนุ่มใหญ่ในชุดสูทเป็นทางซึ่งปูด้วยหินแกรนิต ริมรายทางปรากฏเสาหินสูงเท่าอกเรียงรายไปจนสุดอาคารอีกฟาก

บนปลายเสามีรูปสลักหินอัคนีสีดำเป็นเงาเลื่อม รูปสลักสตรีอียิปต์ขนาดย่อม สวมชุดลินินแนบเนื้อ ประดับเครื่องทรงอย่างสตรีในราชสำนักอียิปต์โบราณ ทุกตัวยืนตรง หันหน้าเข้าสู่ทางเดิน ประหนึ่งคอยสังเกตการณ์ผู้มาเยือน

ถัดจากเสาหินและรูปปั้นไปด้านหลัง เป็นสระซึ่งถูกขุดลึก มีบัวสายหลากหลายสีชูช่อส่งกลิ่นหอม

สุดทางเป็นสถานที่ซึ่งอีริคต้องเข้าไป อาคารสองชั้นสูงใหญ่ ทั้งหมดถูกสร้างจากหินแกรนิตมหึมา ตัวเสาค้ำอาคารเป็นเสาไพลอน กลมมน ทรงกระบอก เสาทุกต้นเขียนภาพและลงสีเป็นกอกกปาปิรุส ดอกบัว แม่น้ำไนล์ ผ่านประตูไม้ซีดาร์เข้าในอาคาร ที่นี่ดูราว ‘สักการสถาน’

ไม่มีเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือ เครื่องอำนวยความสะดวก ทุกอย่างดูโบราณราวกับหลุดเข้ามาสู่ยุคอียิปต์ยังมีฟาโรห์ รอบกายมีเพียงเชิงเทียนให้ความสว่าง ตามผนังแกรนิตวาดภาพลงสีชุนนุมชนริมฝั่งแม่น้ำไนล์ หญิงสาวสวมชุดคลุมยาวสีดำ ๒ คนคอยต้อนรับ ต่างมีผ้าคลุมศีรษะสีเดียวกันคลุมไว้อย่างมิดชิด อีริคมีสิทธิ์เห็นเพียงใบหน้าคมคาย ขาวสะอาดอย่างชาวอาหรับ

“มาดามให้ดิฉันทั้งสองมารอต้อนรับคุณเกียน”

หนุ่มใหญ่ก้มหน้าน้อยๆ ว่ารับทราบ จากนั้นจึงตามพวกหล่อนไป และยิ่งเดินลึกมากเท่าไร หมอกควันก็เริ่มจับตัวหนา เขาแทบไม่ได้กลิ่นอื่นเจือปนนอกเสียจากเครื่องหอมและควันกำยาน

ลองมองฝาผนัง ภาพทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำไนล์เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นภาพการถวายบรรณาการจากเหล่านักบวช แด่สตรีในอาภรณ์สีแดงสดซึ่งประทับนั่งบนเก้าอี้ไม้หุ้มเงินหุ้มทอง

‘นาง’ ทรงเครื่องอย่างขัตติยนารี

อีริครู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง อยู่ๆ ความคิดก็สว่างวาบกลายเป็นภาพของมาดามเซติกำลังแทนที่ภาพเขียนบนฝาผนัง แต่เมื่อลองสะบัดหน้าเรียกสติ ภาพนั้นกลับเป็นเพียงสตรีอียิปต์นางเดิม

อาจเพราะกลิ่นหอมเอียนภายในอาคารก็เป็นได้ที่ทำให้เขาเริ่มมึนงง เห็นภาพต่างๆ ผิดเพี้ยนไป

ยังจำการมาเยือนที่นี่ครั้งแรกได้ หน้าเขาแดงคล้ายคนเมาวอสการ์ ภาพที่เห็นพร่าพราย แม้รูปวาดสีน้ำมันของมาดามเซติ ฝีมือจิตรกรหนุ่ม หลานชายเอกอัครราชทูต ก็ ‘เคลื่อนคล้อย’

“ถึงแล้ว” เสียงอ่อนหวานปลุกอีริคจากภวังค์ ดูเหมือนสติของเขาจะถูกพรากอย่างง่ายดายเมื่ออยู่ในสถานที่แห่งนี้ ความเย่อหยิ่งที่เคยมีมลายสูญ ยิ่งได้พบหนุ่มรุ่นในชุดดำ อีริคกลับน้อมลงคำนับอีกฝ่ายไม่รู้ตัว

“มาเร็วดี” ออกัส แอนโทนีกระหยิ่ม “นั่งก่อนสิ”

เขาทำตามอย่างว่าง่าย เข้าไปนั่งที่โซฟาชุดรับแขก รอบห้องอึมทึม มีเพียงแสงจากเชิงเทียนให้ความสว่าง กลิ่นเครื่องหอมและหมอกกำยานยังคงลอยอวล

“ผมนำเอกสารความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการมาให้” หนุ่มใหญ่ยื่นมันให้หนุ่มรุ่น อีกฝ่ายรับไปเปิดอ่านคร่าวๆ พยักพเยิดน้อยๆ จากนั้นจึงปิดเอกสารแล้ววางบนโต๊ะ

“ยังไม่เจอสิ่งที่มาดามต้องการสินะ” ออกัสกล่าวขึ้นลอยๆ ไม่ได้มองมาที่เขาเสียด้วยซ้ำ หากอีริคกลับรู้สึกเย็นวาบราวถูกราดด้วยน้ำเย็นเฉียบ

“ตอนนี้กำลังเร่งดำเนินงาน อีกไม่นานหรอก” เขาละล่ำละลัก ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่แยแส

“ขอให้เป็นอย่างที่แกว่า เพราะไม่ใช่แค่เนบทีจะได้ผลประโยชน์ แต่แกเองก็จะได้ครอบครองขุมสมบัติมหาศาลยุคฟาโรห์” ว่าจบก็หันมองอีริคด้วยหางตา ก่อนกระตุกยิ้มที่มุมปาก

“คงมากกว่าเงินที่แกฉกฉวยไประหว่างการทำโครงการเสียด้วยซ้ำ”

อีริคหน้าซีดฉับพลัน น้อมตัวแทบกลายเป็นคำนับ นัยน์ตาที่หลบเร้นกลอกไปมา พยายามนึกหาคำแก้ตัว แต่แล้วก็ต้องก้มหน้ารับผิด ทันทีที่เสียงหวานลึกล้ำกังวานจากมุมมืดด้านใน

“เงินแค่หยิบมือฉันไม่ใส่ใจมันหรอกออกุสตุส ฉันสนใจสิ่งที่อยู่ในห้องลับของอาบูซิมเบลมากกว่า”

กลิ่นเครื่องหอมแรงขึ้น ฉุนจนอีริคต้องหันหน้าออก หมอกกำยานรอบๆ เริ่มหนาตัว เหล่านั้นเป็นสัญญาณบ่งบอก และทำให้เขาแทบขาดใจอยู่รอมร่อ

‘หล่อน’ มาแล้ว

การปรากฏตัวของมาดามเซติเป็นเอกลักษณ์อย่างพิสดาร ทุกหนแห่งที่หล่อนเยื้องกรายผ่าน กลิ่นเครื่องหอมและหมอกกำยานจะถูกจุดและกระพือให้แรงจัดเป็นเท่าตัว หญิงรับใช้ในชุดมิดชิดสีดำสนิทสี่นางคอยถือโถอบเครื่องหอมและโถเผากำยานขนาบข้างหล่อนราวกับเงา

‘แปลก’ ที่หล่อนสามารถทนกลิ่นหอมรุนแรงเหล่านี้ได้

ส่วนตัวของหล่อนโดดเด่นในชุดคลุมมิดชิดสีแดงสด มีอัญมณีประดับเม็ดใหญ่น้อยตามเสื้อผ้า เหล่านั้นระยิบระยับแพรวพราวล้อแสงเทียน นับแต่หัวจดปลายเท้า อีริคไม่อาจเห็นส่วนอื่นใดนอกใจใบหน้าขาวผ่อง นัยน์ตาคมขีดเส้นดำอย่างประณีต และริมฝีปากสีแดงสดเฉกชุดที่สวม

ทั้งยังเรียกออกัส แอนโทนี ด้วยชื่อ ‘แปลก’ ที่เขาไม่สู้จะคุ้นชิน ‘ออกุสตุส แอนโทนีอุส’ ราวกับหนุ่มรุ่นผู้นี้หลุดมาจากเทพปกรณ์กรีกหรือโรมัน

อีริคเคยลองเรียก หากเจ้าของชื่อกลับพอใจในชื่อภาษาอังกฤษ ‘ออกัส แอนโทนี’ โดยให้เหตุผลว่า...ฟังง่าย ไม่ยืดยาวเหมือนชื่อภาษาลาตินที่มาดามเซติชอบเรียกขาน

“มะ...มาดาม” อีริคลุกขึ้น น้อมคำนับอัตโนมัติ รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนได้รับอนุญาตจากหล่อน ผู้นั่งเป็นสง่าที่เก้าอี้ไม้ซีดาร์หุ้มเงินหุ้มทองยกพื้นสูงเหนือชุดรับแขก ขนาบข้างเป็นโถเครื่องหอมอบและโถกำยานเผา

“นั่งลงเถอะ...เกียน”

เขานั่ง พยายามสูดหายใจ แต่ ‘ไม่ไหว’

กลิ่นหอมจากเครื่องหอมและหมอกกำยานแรงจัด ทำให้สูดอากาศได้ทีละน้อย ครั้นหันหน้าออก พยายามอ้าปากเพื่อหายใจ ลำคอก็แห้งผากอย่างรวดเร็ว

“รายงานว่ายังไง” เสียงหวานลึกล้ำถามขึ้น อีริคหันกลับมาเพื่อตอบคำถาม หากออกัสกลับชิงตอบก่อน ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไร้อารมณ์อื่นเจือปน

“ยังไม่พบสิ่งที่ต้องการครับ...มาดาม”

“อย่างนั้นเหรอ...เกียน” คราวนี้หล่อนหันมาหาเขา นัยน์ตาคู่คมราวพญาเหยี่ยวสบประสานราวหมุดตรึงกระดาน เขาไม่อาจบ่ายหน้าหรือหลบเลี่ยง คล้ายมีมือล่องหนขนาดใหญ่ตรึงหน้าไว้เพื่อให้สบเฉพาะนัยน์ตาคู่งาม หากน่ากลัว

สัมปชัญญะของหนุ่มใหญ่ถูกชักจูงให้ดำดิ่งลึก ช่วงเวลานั้นเอง ‘ความทรงจำ’ ที่เคยได้พบเห็น รับรู้ ก็พรั่งพรูราวตะกอนนอนก้นที่ถูกรบกวน

ทุกภาพในความทรงจำผุดพรายอย่างที่หนุ่มใหญ่ไม่อาจหยุด บางภาพปรารถนาให้เป็นความลับ หากดูเหมือนไม่อาจเป็นได้ ‘หล่อน’ ล่วงรู้ทุกอย่าง นัยน์ตาที่สบประสาน หล่อนอ่านสิ่งที่เขากระทำทั้งหมด ทั้งดีชั่วเลวทราม ก่อนที่ภาพนั้นจะชะงักราวเวลารอบตัวหยุดเดิน

มันหยุดอยู่ที่ภาพหีบทองคำกับผ้าลินินซึ่งขุดได้จากที่ตั้งเดิมของวิหารเนเฟอตารี กับภาพของหญิงสาวในชุดลินินกรุยกรายสีชมพูอ่อนหวานซึ่งกำลังดิ้นรนอย่างทรมานในอ้อมแขนของหลุยส์ ทันทีที่เขาเปิดประตูห้องประชุมเข้าไป

จากนั้น ก็รู้สึกเหมือนมือล่องหนขนาดใหญ่ผละหน้าเขาออก

เมื่อครู่ดูเหมือนเขาจะถูก ‘อ่านความคิด’ ภาพมากมายพรั่งพรู หากสุดท้ายหยุดลงที่...หีบทองคำ...ผ้าลินิน...และดอกเตอร์อารีส วลัยกุล นักโบราณคดีสาวชาวไทย

ส่วน ‘มาดาม’

นัยน์ตาคมกริบเวลานี้ทอดมองที่เอกสารบนโต๊ะ ไม่ได้สนใจเขาอีก ดวงนัยน์นั้นเหมือนจะฉายแววแห่งเพลิงกรดพร้อมจะแผดเผา หล่อนเงียบกริบ ไม่เอ่ยปากสิ่งใดต่อ ทว่าอีริคอดคิดไม่ได้...ภาพของอารีสปรากฏเป็นสิ่งสุดท้ายในความทรงจำ ขณะสบนัยน์ตา

มาดามเซติดูชิงชัง...อารีส?!

+++++++++++++++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 มิ.ย. 2555, 14:58:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2555, 14:58:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1335





<< ไคโร (๖)   อัสวาน (๑) >>
teesaparn 5 มิ.ย. 2555, 12:25:35 น.
ยินดีตวยเน้อเจ้าตี้ผ่านการพิจาณาแล้ว ขอหื้อยอดขายดีๆ เน้อ


นาถลดา 5 มิ.ย. 2555, 19:59:06 น.
ขอบคุณนักๆ เจ้า ^___^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account