ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: อัสวาน (๑)

นวนิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คแล้ว

+++++++++++++++++++

เสร็จธุระจากไคโร คณะสำรวจก็ขึ้นเครื่องมาลงสนามบินอาบูซิมเบล ที่อัสวาน จากนั้นรถโฟล์คคันหรูของบริษัทเนบที พร้อมรถตำรวจซึ่งคอยดูแลความปลอดภัยก็มารับ คุ้มกันตลอดการเดินทางไปยังที่พัก ซึ่งอยู่ห่างจากสนามบินประมาณ ๔ กิโลเมตร

“เรากำลังจะไปที่ไหนเหรอครับ” อนัตตาซึ่งนั่งอยู่หลังคนขับยื่นหน้าเข้าไปถาม พลขับร่างบึกบึนหน้าตาถมึงทึงก็ตอบห้วนๆ

“โรงแรมเซติ”

“เป็นของมาดามเซติเหรอครับ”

พลขับร่างยักษ์ปรายตามองชายหนุ่มครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันไปขับรถต่อพลางพูดถึงความเกี่ยวข้องระหว่างเจ้านายกับสถานที่ซึ่งกำลังนำคณะสำรวจไปส่ง

“มาดามเธอถือหุ้นอยู่ที่นั่นด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนที่มากที่สุดของผู้ร่วมลงทุนทำธุรกิจโรงแรม”

อนัตตาพยักพเยิด ยิ้มให้คนขับหน้าตาถมึงทึงเล็กน้อย ก่อนจะเอนหลังลงเบาะ น้ำเสียงของชายผู้นี้ไม่สู้จะให้ความเบิกบานนัก กอปรด้วยหนวดหนาหน้าเหี้ยม อนัตตาจึงหมดคำถามโดยปริยาย

การออกเดินทางแต่เช้าทำให้หลายคนอ่อนเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนจนหลับต่อบนรถโฟล์ค เช่นหลุยส์ อารีสและไอซิส

ไอซิสนั่งท้ายสุด ท้ายสมาชิกคนอื่น หล่อนเอนหลังลงเบาะนวมหลับสบาย

ส่วนหลุยส์กับอารีสซึ่งนั่งอยู่ข้างกัน ทั้งสองสัปหงก บางครั้งเอนหัวซบชน จนอนัตตามองเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน

หนึ่งคนเป็นหนุ่มแว่นเลนส์หนา คงแก่เรียน แต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งลายตารางสีน้ำเงิน นุ่งกางเกงเอวสูงเกือบชิดอก ผมสีน้ำตาลทองตัดสั้นอาบน้ำมันหวีจนเรียบแปล้ ขัดกันอย่างรุนแรงกับหญิงสาวที่นั่งหลับ หัวชนกัน

อารีสดูละลานตาด้วยสีสันของชุดลินินกรุยกรายเขียวอมฟ้า ชายกระโปรงยาวฉีกเป็นริ้ว เครื่องประดับตามตัวนอกจากหินแม่สีที่นำมาร้อยเป็นแผงสร้อย กำไล ตุ้มหู ยังประดับด้วยเทอร์คอยซ์เม็ดงาม เข้ากับเปลือกตาสีฟ้าอมเขียวจัดจ้าน ขับเส้นดำรอบขอบตารียาว

เหนืออื่นใดที่ชายหนุ่มสนใจ...สร้อยเงินพร้อมจี้รูปแมวขนาดเล็กที่คอระหงของหญิงสาว

อนัตตาอมยิ้มน้อยๆ ลักยิ้มที่แก้มปรากฏยามเมื่อมองหล่อนหลับใหล กลิ่นน้ำหอมคาโมไมล์ระรื่นเย็นทำให้ผ่อนคลาย แม้จะเป็นกลิ่นประจำตัว หากมาจาก ‘ขวดใหม่’ ที่ได้เป็นของขวัญเมื่อคราวไปเที่ยวกับอารีสที่ตลาดข่าน เอล – คาลีลี

“ตอนที่แอร์โฮสเตสเห็นหลุยส์กับอารีสขึ้นเครื่อง” วิลเลียมที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดขึ้น “นายเห็นหรือเปล่านัต หน้าตาพวกเธอนี่ดูตกอกตกใจ กับหลุยส์ยังไม่เท่าไร แต่กับอารีสนี่สิ...แข็งทื่อเหมือนจ้องตานางกอร์กอน”

“แน่ล่ะ...แค่เห็นขอบตากับเปลือกตา ก็คงช็อกกันทุกราย”

อนัตตาว่าพลางหัวเราะ จากนั้นจึงหันไปมองหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งหลับหัวชนกับหลุยส์ ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำนินทาระยะเผาขน จะว่าไป...ผมหยักศกยาวสยายของหล่อนก็คล้ายเส้นผมซึ่งเป็นงูของนางกอร์กอนไม่น้อย แต่คงให้หล่อนรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเขาแอบคิดเช่นนี้ มีหวังอนัตตาอาจจะถูกสาปด้วยเปลือกตาสีฟ้าอมเขียวกับเส้นขอบตาดำสะบัดปลายงอนจนกลายเป็นหินแน่ๆ

“นางกอร์กอนเหรอ” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นสุข “เป็นฉายาใหม่ได้เลยนะเนี่ย”

หล่อนยังคงหลับสบาย สัปหงกบ้างในบางจังหวะ และด้วยอิริยาบถดังกล่าวนี้เอง ทำให้อนัตตามองได้ไม่รู้เบื่อ

‘สุข’ แค่เพียง ‘มอง’

อารีส...อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล หล่อนอาจจะมีอารมณ์ขึ้นลงเหมือนจังหวะของคลื่นกลางมหาสมุทร ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรุนแรงเมื่อหล่อนกลายเป็นทะเลบ้ามันน่ากลัว ใช่...เขาเห็นมากับตา ด้วยเหตุผลที่ไร้สาระ หรือบางที...อาจจะเป็นสิ่งที่มีสาระสำหรับหล่อน ในเมื่อหล่อนเลือกจะให้คุณค่า

หากยามที่หญิงสาวเป็นดอกเตอร์อารีส นักโบราณคดีสาวที่ทุ่มเทชีวิตและจิตใจให้กับการทำงาน หล่อนกลับน่าเกรงขามและดูทรงภูมิไม่ต่างไปจากนักวิชาการท่านอื่น

ไม่ใช่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลไปเสียทุกเรื่อง เขากำลังคิดถึงข้อนั้น สำหรับอนัตตา อารมณ์กับเหตุผลของอารีส ขึ้นอยู่กับการเลือกของหล่อน และแน่นอน...หญิงสาวอาจไม่ได้เลือกทางเลือกที่ถูกต้องเสมอ แต่นั่นล่ะ...เขาอยากให้หล่อนได้เรียนรู้ และคิดอยากจะลองสอนหล่อนด้วยตัวของเขาเอง

“หลงรักอารีสแล้วหรือนัต” เสียงของวิลเลียมปลุกอนัตตาจากภวังค์ เขารีบหันกลับ พยายามกลบเกลื่อนสีหน้า หากก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาคมกริบของอีกฝ่าย

“หายากนะ คนที่จะรักยายคนนี้ลง” พูดพลางก็หัวเราะพลาง หากเมื่อเห็นว่าอนัตตาขมวดคิ้ว ส่งสายตาไม่สู้พอใจ อีกฝ่ายจึงได้แต่ยักไหล่แล้วเสหน้า ทว่าไม่ลืมทิ้งท้ายให้ชายหนุ่มกระวนกระวายอยากรู้เรื่องราวตอนต่อไป

“เอาเถอะ ถ้ารักอารีสได้ฉันก็ดีใจ จะได้เห็นเพื่อนมีแฟนกับเขาเสียที มีอะไรอยากรู้เกี่ยวกับอารีสก็ถามแล้วกัน ฉันรู้ทุกเรื่องล่ะ”

อนัตตายิ้ม กล่าวขอบคุณวิลเลียมเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปมองอารีสนั่งหลับหัวชนกับหลุยส์ด้วยความเอ็นดู ไม่รู้เลยว่าไอซิสที่นั่งอยู่ทางด้านหลังลืมตาตื่นแล้ว นัยน์ตาเฉิดฉายด้วยอายไลเนอร์คมกริบจดจ้องอารีสราวปลายแส้ ริมฝีปากสีเชอร์รีสุกแบะออกเหยียดหยาม...นึกหมั่นไส้

++++++++++++++

รถโฟล์คพร้อมขบวนคุ้มกันเคลื่อนตัวผ่านซุ้มประตูก่ออิฐเป็นวงโค้ง มีอักษรภาษาอังกฤษวางตามแนวซุ้มประตูอย่างประณีต สีทองอร่ามของตัวอักษรตัดกับอิฐสีทรายเด่นชัด

‘SETI ABU SIMBEL’

ตอนนี้คณะสำรวจมาถึงที่พักแล้ว โรงแรมเซติเป็นโรงแรมระดับสี่ดาว จากการบอกเล่าของวิลเลียมและพลขับร่างยักษ์ ที่นี่เกี่ยวข้องกับบริษัทเนบทีในแง่ธุรกิจ ด้วยมีหุ้นส่วนคนสำคัญอย่างมาดามเซติเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เป็นการบอกกลายๆ ว่าอำนาจการตัดสินใจและสิทธิพิเศษหลายอย่างย่อมต้องมีให้มาดามเซติ และบุคคลในความควบคุมของเนบทีก่อนใครเพื่อน ห้องชุดหรูหรา ห้องประชุม รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงถูกจองไว้ให้แก่คณะสำรวจโดยเฉพาะ

ตอนนี้ทุกคนตื่นหมดแล้ว หากแต่ละคนกลับนั่งเงียบ ไม่มีเสียงอื่นใดนอกเสียจากเสียงเครื่องปรับอากาศภายในรถ อารีสทอดสายตามองทิวทัศน์ภายนอกของโรงแรม ผ่านกระจกติดฟิล์มกรองแสง เห็นสวนสวยเต็มไปด้วยหญ้าเขียวกับรั้วชาดัดตัดแต่งประณีต ต้นไม้ประดับด้วยปาล์ม อินทผลัมทั้งพันธุ์ธรรมดาและพันธุ์แคระ

ครั้นรถโฟล์คเคลื่อนตัวลึกมาเรื่อยๆ หล่อนก็เห็นสระน้ำขนาดใหญ่ภายใต้อ้อมกอดของทิวทัศน์ร่มรื่น พันธุ์ไม้เขียวชอุ่ม ตัดกับบรรยากาศรอบนอกโรงแรมซึ่งเต็มไปด้วยทะเลทรายและความแห้งแล้ง

“ถึงแล้ว” เสียงของพลขับหน้าตาถมึงทึงดังขึ้น อารีสและคณะสำรวจเตรียมตัวลงจากรถ เสร็จสรรพ ทั้งหมดก็พากันเดินเข้าไปในส่วนโถงต้อนรับ ซึ่งเป็นห้องใหญ่สีอ่อนสบายตา ชุดรับแขกที่ตั้งไว้ต้อนรับระหว่างการติดต่อขอกุญแจห้องพักทำจากหวายบุนวม เข้ากับพื้นหินอ่อนสีขาวพาดลายเข้มเป็นทางรถไฟ

“ใครจะเชื่อว่าดอกเตอร์อารีสจะยอมทิ้งโปรแกรมทัวร์ที่อุตส่าห์ร่างไว้ เพื่อบุกป่าฝ่าดงมาทำการสำรวจกับพวกเรา” วิลเลียมกล่าวขึ้นคนแรก หลังจากต่างฝ่ายต่างเงียบมาเนิ่นนาน ขณะเดินนำคณะสำรวจขึ้นไปยังห้องพักทันทีที่รับกุญแจห้องเป็นที่เรียบร้อย “วันนี้คงต้องฉลอง”

เสียงพูดฟังแทบไม่ได้ศัพท์เมื่อกลั้วด้วยเสียงหัวเราะ ทว่าทันทีที่ถูกตวัดนัยน์ตาคมใส่ ชายหนุ่มก็รีบเฉไฉ ชี้ชวนอนัตตาซึ่งเดินข้างๆ ชมกระเบื้องกับฝาผนังแทน

“เงียบไปเลยนะวิล” อารีสว่าพลางเชิดหน้าสะบัดผม นวยนาดนำพาชุดลินินกรุยกรายสีเทอร์คอยซ์พะเยิบไหว

แน่ล่ะ...นี่เป็นการตัดสินใจของหล่อนเอง

หญิงสาวยอมอยู่เที่ยวไคโรเพียงแค่หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน โดยมีอนัตตาไปเป็นเพื่อน เนื่องจากวิลเลียมต้องพาไอซิสไปชอปปิ้งตามคำขอของอีกฝ่าย ส่วนหลุยส์เลือกจะแกะอักษรเฮียโรกลีฟิกและแปลความประวัติศาสตร์อยู่ที่ห้อง

อารีสเริ่มจากการไปชื่นชมของโบราณล้ำค่าภายในพิพิธภัณฑ์สถานอียิปต์ สถานที่ซึ่งรวบรวมโบราณวัตถุและประวัติศาสตร์ชาติของอียิปต์ไว้อย่างยิ่งใหญ่

แต่ด้วยเวลาที่มีจำกัดจำเขี่ย หญิงสาวพยายามเลือกดูเลือกชม หล่อนติดสมุดบันทึกขนาดย่อมพร้อมปากกานำไปจดข้อมูลๆ ต่างๆ เผื่อบางส่วนอาจจะช่วยคลี่คลายปัญหาในข้อสันนิษฐานของประวัติศาสตร์ผ้าลินินที่หล่อนมีอยู่

ระหว่างการเดินทางเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ บทสนทนาระหว่างอนัตตากับอารีสมักจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผ้าลินินโบราณ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความดูแลและการศึกษาของหญิงสาว

‘บทสรุปแน่ชัดอย่างหนึ่ง’ อารีสกล่าวขึ้นเมื่ออนัตตาถามหล่อนถึงผ้าลินินในหีบทองคำจารึกอักษรเฮียโรกลีฟิก ขณะเดินไปตามทางที่มุ่งสู่ห้องเก็บสมบัติของเหล่าฟาโรห์ ‘ผ้าลินินเป็นผ้าที่ทอมาจากเส้นใยของต้นลินินค่ะ แต่ผืนที่ว่านี้ทอมาจากเส้นใยลินินผสมกับทองคำ ฉันเลยคิดว่าน่าจะเป็นผ้าทอของเจ้านายในยุคฟาโรห์ และเชื่ออย่างหนึ่งว่า...เป็นของพระนางเนเฟอตารี’

นักท่องเที่ยวมากมายที่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ต่างเดินขวักไขว่ หากเมื่อพบอารีส สายตาหลายๆ คู่ ก็อดชำเลืองมองหล่อนอย่างแปลกใจระคนตกใจไม่ได้

แน่ล่ะ...ก็วันนี้หล่อนลงทุนสวมใส่ชุดลินินที่สวยที่สุดมา จะไม่ให้มีใครมองได้อย่างไร

‘แล้วคุณอารีสคิดว่าผ้าลินินผืนนั้นมาจากไหนครับ’ อนัตตาถามต่อ

‘ตอนนี้มีหลายข้อสันนิษฐานค่ะ มีข้อสันนิษฐานหนึ่งที่ว่าน่าจะเป็นบรรณาการจากพวกนูเบีย ข้อนี้มีข้อมูลสนับสนุนอยู่หลายอย่าง ทั้งถิ่นที่ตั้งเดิมซึ่งอยู่ที่วิหารอาบูซิมเบล ฟากวิหารเนเฟอตารี เป็นโบราณสถานที่ถูกสร้างขึ้นบริเวณแถบชายแดนระหว่างอียิปต์กับนูเบีย โดยฟาโรห์รา...”

อยู่ๆ อารีสก็เกิดชะงัก หล่อนเอียงคอสงสัย รู้สึกบางสิ่งจุกอยู่ในอก อัดแน่นและหมุนคว้าง แล้วอึดใจมันก็บิดม้วนจนปั่นป่วน

‘อะไรนะครับ’ ชายหนุ่มขมวดคิ้วสอบถาม

หญิงสาวได้สติ จึงรีบยิ้มกลบเกลื่อน ก่อนจะพูดต่อถึงเรื่องการวางข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับที่มาของผ้าลินินผืนโบราณ

‘ฉันหมายถึงอาจเป็นสิ่งที่พวกนูเบียทอถวายเป็นบรรณาการหลังจากองค์ฟาโรห์ได้มีชัยชนะเหนือพวกนูเบีย จนมีดำริให้สร้างวิหารอาบูซิมเบล และวิหารเนเฟอตารีเพื่อเป็นสิ่งเตือนให้พวกนูเบียรู้ว่าพระองค์และชายาเอกคือเทพ คือเจ้าชีวิตของพวกเขา' หล่อนเว้นวรรคเพื่อหายใจ 'แต่ก็ยังมีข้อขัดแย้งบางอย่าง ฝีมือการทอ ลวดลาย แม้แต่การเลือกใยผ้า ฉันไม่คิดหรอกว่าจะเป็นพวกนูเบียทอ เพราะมันละเอียดและเป็นเอกลักษณ์ของผ้าในราชสำนักไอยคุปต์มากกว่า คงจะเป็นช่างฝีมือของอียิปต์หรือไม่ก็คนในวัง’

พูดจบหญิงสาวก็ค่อยโล่งใจ

‘ส่วนข้อสันนิษฐานอื่น อย่างเรื่องเป็นผ้าสำหรับการทำมัมมี่ หรือการเป็นข้าวของเครื่องใช้สำหรับโลกหน้าก็ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ ตอนนี้ก็เลยคิดว่าจะหาข้อมูลเพิ่มเติม’

‘ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง คุณถึงยอมทิ้งโปรแกรมเที่ยวตามไปสำรวจกับพวกเราที่อัสวานต่อ’ ชายหนุ่มว่าพลางยิ้ม หญิงสาวเองก็ไหวดวงหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ

หญิงสาวเที่ยวชมกรุสมบัติยุคราชอาณาจักรเก่า ห้องของฟาโรห์อเคนาเทน จากนั้นก็ต่อที่ห้องจัดแสดงสมบัติของฟาโรห์ตุตันคามุน หากสิ่งที่จดจ่ออยู่นานเนิ่นเห็นจะเป็นตู้แสดงเอชซึ่งอยู่ชั้นบน เป็นตู้ซึ่งบรรจุไว้ด้วยผลงานชิ้นเอกขนาดจิ๋ว ไม่ว่าจะเป็นรูปสลักงาช้างขนาดเล็กของฟาโรห์คูฟูจากเมืองอาบิดอส หินสบู่สลักรูปพระราชินีทีย์ รูปปั้นสาวนูเบีย หรือรูปปั้นชุบทองของเทพพทาห์ เทพแห่งสถาปัตยกรรมของอียิปต์

ส่วนห้องมัมมี่ฟาโรห์ผู้เรืองอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นเซติที่ ๑ ทุสโมซิสที่ ๔ หรือรามเสสที่ ๒ อารีสอยู่ได้ไม่นานก็ต้องรีบออกมา เนื่องจากรู้สึก ‘อึดอัด’ อย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่เห็นโลงหินบรรจุพระศพของฟาโรห์รามเสสที่ ๒

ส่วนพระศพ...แน่นอนว่าอารีสไม่ได้เดินเข้าไปชมเลยด้วยซ้ำ

หล่อนคาดว่าการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์คงเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ที่ไหนได้...หล่อนใช้เวลากับมันไปเกินครึ่งวันเสียด้วยซ้ำ

ช่วงบ่ายแก่ๆ หญิงสาวตัดสินใจไปหาอะไรลงท้องที่ ‘กรอปปีส คอร์เนอร์ เฮาส์’ ร้านอาหารซึ่งเคยหรูหราเมื่อปี ๑๙๒๐ สร้างโดยครอบครัวชาวสวิสในอเลกซานเดรีย ห่างจากพิพิธภัณฑ์สถานอียิปต์เพียง ๕๐๐ เมตร อาศัยการเดิน...ไม่นานก็ถึง

ที่นี่นอกจากขายเครื่องลายครามและเครื่องเงิน ยังมีชาตอนบ่าย สุราสำหรับการเจริญอาหาร ลูกกวาด ขนมขมเนย กระทั่งอาหารสำเร็จรูปขายด้วย แม้ความรุ่งเรืองฟู่ฟ่า เวทีเต้นรำ หรือความครื้นเครงกับคอนเสิร์ตที่เคยมีเมื่อหลายสิบปีจะจางหายไปหมด หากบรรยากาศเก่าๆ กับบริกรรูปแบบเดิมที่ยังคงเสิร์ฟชา กาแฟพร้อมขนมเพสทรี กลับทำให้อารีสเพลิดเพลินไม่รู้เบื่อ

หล่อนสั่ง ‘บาสบูซา’ ซึ่งเป็นเพสทรีที่รู้จักกันทั่วอียิปต์มาให้อนัตตาลองลิ้มชิมรสด้วยกัน บรรจงตัดแบ่งเค้กแป้งหมี่น้ำเชื่อมผสมถั่วใส่จานให้เขาอย่างประณีต จากนั้นก็ร่วมกันรับมื้อเที่ยงอย่างเอร็ดอร่อย พลางลอบมองความน่าเอ็นดูของเขาเป็นระยะ

‘เพสทรีเป็นของขึ้นชื่อเลยนะคะ มาอียิปต์ทีไรฉันต้องสั่งมากินทุกที’ อารีสพูดพลางจิ้มของหวานเข้าปาก

ไม่บ่อยนักที่หล่อนจะได้ใช้ภาษาไทยในต่างแดน หากในคราวนี้อารีสกลับรู้สึกเป็นกันเอง ไม่เปล่าเปลี่ยวเคว้งคว้างเหมือนการเที่ยวในครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา

หล่อนมาเที่ยวกับหนุ่มชาวไทย มีความสุขกับการพูดภาษาไทยอย่างคล่องตัว

‘ดูเหมือนจะเพิ่มน้ำหนักดีนะครับ’ อนัตตาพูดกลั้วหัวเราะ ไม่ต่างจากหญิงสาว

‘ค่ะ พวกนี้ทำจากแป้ง แล้วก็น้ำเชื่อมเป็นตัวหลัก’ ว่าพลางจิ้มบาสบูซา หนึ่งในเพสทรีหลายชนิดขึ้นมาดู ‘แต่อย่างโอกาสพิเศษ เช่นงานวันเกิด งานแต่งงาน ชาวอียิปต์เขาจะใช้เพสทรีเป็นอาหารคาวแทนของหวานไปเลย ที่ดังๆ หน่อยก็ ‘บักลาวะ’ เป็นแป้งห่อสอดไส้อัลมอนด์ ราดด้วยน้ำเชื่อมดอกส้ม อันนี้ฉันเคยลองแล้ว อร่อยมาก...’

หล่อนลากเสียงยาว ก่อนจะจัดการเอาบาซบูซาเข้าปากไปอีกคำ

‘อย่างที่เรากินอยู่ก็เรียกบาซบูซาค่ะ เป็นเค้กแป้งหมี่ที่มีน้ำเชื่อมกับถั่วผสม อันนี้รู้จักกันทั่วอียิปต์เลย ส่วน ‘คุนาฟา’ ก็เป็นแป้งพาสต้าใส่ครีมข้น ชีสริคอตตาหรือถั่วสับกับน้ำเชื่อม อันนั้นก็หวานมันอย่าบอกใคร’ หญิงสาวพูดพลางเคี้ยวพลาง ดูน่าเอร็ดอร่อยเหลือเกิน

‘หวานมันดีครับ อร่อยด้วย’ อนัตตาว่าพลางเคี้ยวตุ้ยไม่ต่างจากอารีส ‘ผมอยู่อียิปต์มาหลายปีก็จริง แต่ไม่ค่อยได้แตะของพวกนี้ถ้าไม่จำเป็น รู้สึกถึงความอ้วนทุกที กลัวซิกแพคที่อุตส่าห์สะสมมาหลายปีหายหมดครับ’

‘คุณนัตพูดเป็นผู้หญิงไปได้ ห่วงว่าหุ่นจะไม่สวย’ หล่อนกระเซ้า ‘ดูอย่างฉันเถอะ อ้วนไม่กลัวค่ะ กลัวแต่จะอด’

คราวนี้อนัตตาถึงกับหัวเราะลั่น ทำเอาคนในร้านหันมองเป็นตาเดียว

หล่อนยังจำได้ดีถึงบรรยากาศเมื่อวันวาน ยามบ่ายแก่ๆ อาจเป็นเพราะฟ้ากำหนด พรหมลิขิต หรือบุพเพสันนิวาส หากหญิงสาวดีใจ แม้อยู่ในอก

ครั้งหนึ่งได้ร่วมเดินทางกับเขาเพียงสองคน รับของว่างร่วมกัน หัวเราะไปด้วยกัน

ความรัก...บางครั้งมักเกิดขึ้นไม่รู้ตัว ไม่มีเหตุผล หากเป็น ‘อารมณ์’ เท่านั้น

‘เขาบอกว่าถ้าคุณได้ดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์ คุณจะได้กลับมาอียิปต์อีกครั้ง’ ชายหนุ่มเปลี่ยนประเด็นเมื่อเริ่มละของว่าง แล้วหันมาจิบน้ำผลไม้

‘แล้วคุณนัตคิดว่าร้านนี้เขาใช้น้ำจากที่ไหนทำน้ำผลไม้คะ จากแม่น้ำไนล์หรือเปล่า’ หล่อนถามพลางยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมอง ของหล่อนยังคงเป็นคาร์คาเดสีแดงก่ำ ผิดกับชายหนุ่มที่เลือกเป็นเมนูอาชิรเลย์มุน หรือน้ำมะนาวสด

‘เอ่อ...ผมว่าคงไม่นะครับ’ ท่าทางของอนัตตาไม่แน่ใจนัก ‘ฟังดูก็เข้าทีอยู่ ถ้าเกิดใช้น้ำจากแม่น้ำไนล์ที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่คิดอีกที แม่น้ำไนล์นี่ก็ต้องคำสาปเหมือนกันนะ ดื่มไปไม่รู้จะปลอดภัยหรือเปล่า’

หญิงสาวหัวเราะบ้าง มีความสุขกับมื้ออาหารยามบ่าย บทสนทนาด้วยเรื่องของน้ำผลไม้ อาหารหวาน และความเป็นมาของแม่น้ำไนล์

อดไม่ได้ก็แอบคิดอยู่คนเดียว

อนัตตาดูเป็นชายหนุ่มที่อารมณ์ดีเหลือเกิน...

จนเย็น อารีสและอนัตตาจึงเดินทางไปตลาดเอล – คาลีลี ดูของที่ระลึกเล็กน้อย ส่วนตัวหญิงสาวได้กระดาษปาปิรุสแผ่นเล็กน่ารักหลายแผ่น กับน้ำหอมขวดกะทัดรัดกลิ่นคาโมไมล์ อย่างหลังนั้นหล่อนส่งมันให้เป็นของขวัญแก่ชายหนุ่มที่คอยตามติดหล่อนไปเที่ยวทุกที่โดยไม่ปริปากบ่น แม้เขาจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่อาจขัด ฟากอนัตตาเองได้โอกาสซื้อสร้อยคอประดับจี้เงินซึ่งทำเป็นรูปแมวให้แก่หญิงสาว

‘ไม่ไหวมั้งคะคุณนัต น่าจะแพง’ อารีสรีบออกตัวปฏิเสธ แม้ชายหนุ่มจะบอกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนของขวัญ

‘ไม่หรอกครับ นี่ทำจากเงิน ขนาดก็เล็ก ราคาไม่ได้แพงมาก เหมาะสำหรับเป็นจี้ห้อยคอ’ เขายื่นให้หล่อนพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้อารีสหายใจไม่ทั่วท้อง ‘รับไว้นะครับ แลกกับน้ำหอมกลิ่นคาโมไมล์ที่คุณซื้อให้ผม’

อารีสพยักพเยิด รับไว้แล้วปลดตะขอเตรียมใส่ ทว่าทันทีที่เห็นชายหนุ่มกำลังมองพลางยิ้ม หล่อนก็นึกอะไรบางอย่างออก

‘เอ่อ...ฉันติดไม่ได้ซักที คุณนัตช่วยใส่ให้หน่อยได้ไหมคะ’

‘อ๋อ...ได้ครับ’ อนัตตารับคำอย่างว่าง่าย ช่วยหญิงสาวใส่สร้อยที่เขาซื้อ ส่วนอารีสที่หันหลัง รวบผมสยายเผยต้นคอระหง กลับกระหยิ่มยิ้มย่องมีความสุข

‘เรียบร้อยครับ’

หญิงสาวรีบยิ้มแย้มแทนยิ้มกรุ้มกริ่ม พลางขอบคุณชายหนุ่ม ก่อนจะก้มลงดูจี้รูปแมว

‘คุณนัตรู้ด้วยเหรอคะว่าดิฉันชอบแมว’

‘ไม่หรอกครับ’ อนัตตายิ้มให้ ‘แต่ผมรู้สึกว่าบุคลิกของคุณเหมือน เอ่อ...’

‘แมว’ อารีสต่อให้ ไม่ได้โกรธเคือง

‘ครับ’ อนัตตายิ้มอย่างเขินอาย พลางเกาหัวแก้เก้อ ‘ก็เทวีบาสต์นี่ครับ’

หญิงสาวขมวดคิ้วน้อยๆ เคยได้ยินชื่อของเทวีบาสต์อยู่บ้าง เทวีผู้มีเศียรเป็นแมว เป็นเทวีของชาวไอยคุปต์ที่มีชื่อเสียงอยู่ที่เมืองบูบาสติก เมืองแถบนั้นมีการขุดค้นพบมัมมี่แมวนับพันตัว แต่กลับไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรอนัตตาจึงเปรียบหล่อนว่าเหมือน ‘เทวี’

‘แมวเป็นสัญลักษณ์ของเทวีบาสต์ครับ ทรงเป็นเทวีแห่งความสุข รื่นเริง มีจริยาวัตรโปรดดนตรี การเต้นรำ สุราอาหาร แล้วก็...’ อนัตตาหยุดพูดไปชั่วอึดใจ มองหล่อนนับแต่หัวจดเท้า จึงกล่าวต่อ

‘การแต่งตัวอย่างหรูหรา’

ในข้อท้าย...อารีสก้มลงมองตัวเอง หล่อนอยู่ในชุดกระโปรงผ้าลินินกรุยกรายย้อมสีเขียวใบไม้สลับเหลืองมัสตาร์ด มีครุยผูกเอวด้วยผ้าสีแดงสด เข้ากับเครื่องประดับทั้งกำไล ตุ้มหู สร้อยคอ ซึ่งเป็นหินแม่สีร้อยด้วยทับทิมเม็ดเขื่อง

ส่วนใบหน้านั้นเฉิดฉายด้วยลิปสติกสีเชอร์รีสุกเคลือบมันเงา ขับอายแชโดวราวนกแก้วมาคอร์ มีเส้นขอบตาดำตวัดหางยาวเฟื้อย

หญิงสาวยิ้มเขินอายน้อยๆ กำลังคิดอยู่ในใจว่า คำพูดดังกล่าวอาจจะเป็นคำชมในความสวยงามของหล่อนก็เป็นได้

+++++++++++++++++++++

“ฉันยอมรับในความสามารถของนายจริงนะนัต ที่กล้าไปเที่ยวกับอารีสในชุดแบบนั้น เป็นฉัน...ฉันคงอายจนไม่รูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เหมือนเดินกับไฟจราจร มีครบทุกสี”

เสียงของวิลเลียมปลุกอารีสจากภวังค์ หล่อนส่งค้อนวงใหญ่ไปให้เพื่อนหนุ่ม หากเขากลับไม่อินังขังขอบ พาเดินออกจากลิฟต์จนไปถึงห้องชุดที่จองเอาไว้ ไอซิสที่เดินตามหลังกระตุกยิ้มมุมปากพลางมองหญิงสาวด้วยสายตาหมิ่นแคลน หากอารีสไม่สนใจ หล่อนยังคงนวยนาดสะบัดชายกระโปรงกรุยกรายต่อไปจนถึงห้องตนเอง

“เอาล่ะสมาชิกคนอื่นได้กุญแจไปแล้ว เหลือก็แต่พวกเรา ๕ คน ตอนนี้ฉันจองห้องพักสำหรับพวกเราเอาไว้ทั้งหมด ๔ ห้อง อารีส ไอซิสกับหลุยส์ได้คนละห้อง” วิลเลียมแจกแจงพลางส่งกุญแจ “ส่วนฉันกับอนัตตานอนห้องเดียวกัน”

อารีสขมวดคิ้วในทันที หันมองอนัตตาสลับกับวิลเลียมด้วยความตะขิดตะขวง ซ้ำร้าย...ยิ่งเห็นรอยกระหยิ่มยิ้มในดวงตาของเพื่อนหนุ่มที่ส่งมา หล่อนก็รู้สึกใจคอไม่ดี

“เอาล่ะ แยกย้ายกันไปพักเถอะ” พูดจบ ทุกคนก็แยกย้าย ส่วนอารีสนั้นละล้าละลังทำท่าไขกุญแจ ทว่าสายตากลับชำเลืองแลอนัตตากับวิลเลียม อนัตตาไขกุญแจแล้วเข้าไปก่อน ส่วนวิลเลียมที่ตามรั้งท้ายกลับยักคิ้วหลิ่วตา พลางกระชับเข็มขัดกางเกงของตัวเองขึ้นมา ทำเอาอารีสผวาในทันที

‘ไม่นะ...ไม่ใช่อย่างนั้น’

เพราะเป็นเพื่อนกันมานาน อารีสจึงรู้ดีว่าวิลเลียมเป็นพวกอนุรักษ์ไม้ป่า อย่างที่มักบอกกับหญิงสาวเสมอว่าเป็นประเภท ‘เกย์คิง’ หรือผู้ที่ทำหน้าที่เป็นฝ่าย ‘รุก’ แต่หล่อนไม่อยากคิดว่าอนัตตาจะตกเป็นเหยื่อของเพื่อนหนุ่ม

ตอนแรกที่เห็นหลุยส์ หล่อนก็ยังเข้าใจว่า วิลเลียมคงหมายตาหลุยส์เอาไว้ หากมาคราวนี้ เห็นทีที่คิดที่จะผิดแน่ๆ

‘โอ้...อนัตตาของอารีส’

คิดเพียงเท่านั้น หญิงสาวก็ทรุดตัวลงหมดเรี่ยวแรง พยายามตะกายเข้าไปภายในห้องชุดของตน พลางร้องห่มร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตายเสียตรงนั้น

+++++++++++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มิ.ย. 2555, 10:06:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มิ.ย. 2555, 10:06:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1561





<< ลุกซอร์   อัสวาน (๒) >>
นภาสรร 6 มิ.ย. 2555, 13:50:13 น.
สนุกมากเลยจ้ะ...รออ่านตอนต่อไป ^_^


นาถลดา 6 มิ.ย. 2555, 15:46:19 น.
ยินดีครับพี่แตม ^___^


ดาริยา 6 มิ.ย. 2555, 17:41:20 น.
แวะมาส่งกำลังใจจ้ะ ^^


นาถลดา 7 มิ.ย. 2555, 00:15:47 น.
ขอบคุณครับพี่อ๋อย ^___^


แล่นแต๊ 8 มิ.ย. 2555, 18:57:06 น.
คุณนัตจะรอดมั๊ยเนี่ยยยย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account