เพลงมาร
'เพลงมาร' จุดเริ่มต้นของเรื่องราวการตายอย่างมีเงื่อนงำ หลายชีวิตที่จากไป ล้วนเกี่ยวโยงกับมัน

ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
Tags: เพลง ความตาย อาถรรพ์ อุปรากร ลี้ลับ

ตอน: องก์ที่ ๙

+++++++++++++++++++++

หลังจัดการถอดชุดสีเขียวใบมะม่วงน่าเกลียดออกได้ นายตำรวจหนุ่มก็ล้มตัวลงนอนบนที่นอนหนา สองมือประคองหนุนต้นคอ ทอดสายตามองฝ้าเพดานห้องพักที่บางส่วนมีร่องรอยการซ่อมแซมด้วยปูนฉาบและลงสีกลบเกลื่อน ทว่าสีใหม่และสีเก่ายากจะเข้ากัน สีขาวผ่องกว่าจึงปรากฏเป็นแนวเส้นโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยว

ชวนให้นึกถึงราชินีแห่งรัตติกาล...ทองธาร สินธุ!

บนเวทีในโรงละคร หล่อนปรากฏกายต่อหน้าเจ้าชายทามิโน แต่ละฉากแต่ละตอนที่ได้รับชม ยังติดตรึงไม่จางหาย แม้เวลาจะล่วงเลยเนิ่นนานเป็นสัปดาห์แล้วก็ตาม

เรื่องราวดำเนินภายหลังจากเจ้าชายทามิโนสู้กับงูร้ายจนหมดสติไป สามนางพระกำนัลในราชินีแห่งรัตติกาลได้มาช่วยไว้ และโต้เถียงกันว่าใครควรจะไปกราบทูลองค์ราชินี ในขณะที่อีกคนอยู่เฝ้าเจ้าชายหนุ่มรูปงาม

บทรำพันโต้เถียงของสามนางพระกำนัลทำให้ทุกคนในโรงละครหัวเราะลั่น เพราะสามสาวต่างไม่ยอมห่างจากเจ้าชายแม้แต่น้อย ซ้ำยังเอามือทาบอกยกชายกระโปรง ทำสีหน้าตกใจว่าทำไมต้องเป็นข้า

แต่ท้ายที่สุด ทั้งสามต่างก็ลงความเห็นว่า พวกนางควรจะไปกราบทูลด้วยกันทั้งสามคน

หลังจากเจ้าชายทามิโนฟื้นตื่น ชายหนุ่มในชุดขนนกสีน้ำตาลราวกับจะเป็นนกเสียเองก็ปรากฏ เขาบอกแก่เจ้าชายทามิโนว่าตนนั้นชื่อพาพาเจโน เป็นพรานนกแสนเก่งกาจ กำลังรอคนรัก ทั้งยังคุยโวใหญ่โตว่าเป็นเขาเองนั่นล่ะ ที่จัดการงูยักษ์ด้วยมือเปล่าจนเจ้าชายรอดตาย

ทว่าฉับพลัน...สามนางพระกำนัลในราชินีรัตติกาลก็ปรากฏกาย กรูเข้ามาจัดการพาพาเจโนจอมคุยโว พวกหล่อนหนีบปากช่างจ้อด้วยกับดักจนพาพาเจโนพูดไม่ได้ จากนั้นนางพระกำนัลทั้งสามจึงแจ้งแก่เจ้าชายทามิโนว่าพวกนางเองที่เป็นผู้ช่วยชีวิตเจ้าชายจากอสุรกาย จากนั้นจึงให้เจ้าชายทามิโนดูภาพถ่ายของเด็กสาวคนหนึ่ง ล

หล่อนมีนามว่า...พามินา

ทันทีที่ได้เห็น เจ้าชายหนุ่มก็เป็นอันตกหลุมรักสาวเจ้าในบัดดล และความรู้สึกอย่างเดียวกันนั้นเองที่ผุดขึ้นกลางอกของกวีทันทีที่ราชินีแห่งรัตติกาลปรากฏตัว

นี่สินะ...ความประทับใจแรกพบ

สามนางพระกำนัลนำเจ้าชายทามิโนเข้าเฝ้าองค์ราชินี เจ้าชายสวมชุดสีเข้ม ติดระบายลูกไม้ที่อกเสื้อและปลายแขน บนหัวสวมวิกผมม้วนลอนเป็นชั้นเชิง นุ่งกางเกงรูดพองพร้อมเติมระบายผ้าลูกไม้ใหญ่กว้างจนน่ากลัว

ส่วนนางพระกำนัลทั้งสามสวมชุดสีดำประดับเกล็ดเพชร ยามต้องแสงไฟ เหล่าหล่อนย่อมระยับล้อแสงกลางความมืด ชุดที่สวมเป็นชุดคอกว้าง ติดระบายลูกไม้ที่แขน จับจีบรูดพองในส่วนของกระโปรงยาวทรงสุ่ม ผมเผ้าม้วนลอนระกลางหลัง

ครั้นวงออร์เคสตราในหลุมหน้าเวทีเริ่มบรรเลงเพลง เสียงผะแผ่วก็ค่อยไล่ลำดับดังขึ้น ฉากด้านหลังซึ่งมีเพียงความมืดเริ่มเคลื่อนเปิด เผยให้ทุกสายตาได้เห็นทองธาร สินธุ ในเครื่องทรงนางพญา บนบัลลังก์หินอ่อนสีดำสนิท

ชุดลูกไม้สีดำวาวระยับด้วยบรรดาดวงเพชรกระจิริด เรียงตัวเบาบางและหนาแน่นเป็นเชิงชั้น กระโปรงทรงสุ่มจับจีบรูดพองฟูตัวเมื่อหญิงสาวเอนหลังบนบัลลังก์หิน ในมือถือคทาสีดำดุจเดียวกัน ประดับยอดด้วยพระจันทร์เสี้ยววงใหญ่คล้ายเคียวสีเงินยวง เด่นตระหง่านเหนือฉากหลังซึ่งเป็นผืนฟ้ามืดมิดดารดาษด้วยหมู่ดาว

นัยน์ตาที่ทอดมองมายังเจ้าชายซึ่งนั่งคุกเข่าต่อหน้า เต็มไปด้วยความตื้นเต้นและยินดี ราชินีถลาลงจากที่ประทับ จนแววเพชรที่ชายกระโปรงประดับลูกไม้ไหวพะเยิบล้อแสงไสว แล้วเสียงร้องรำพันสูงโปร่ง ใสประหนึ่งระฆังแก้วก็ถูกขับขาน

ในบทรำพันสำหรับองก์ที่ ๑
'โอ้...เจ้าชาย จงอย่าได้เกรงกริ่ง!*'

"โอ้! เจ้าชาย...จงอย่า ได้เกรงกริ่ง ตัวเจ้านั้น บริสุทธิ์ยิ่ง ยอดปราดเปรื่อง
ดรุณแรก เฉกเจ้า เข้าใจเรื่อง ส่วนลึกล้ำ ลือเลื่อง ของแม่คน
ข้าเลือกโศก เพื่อธิดา ได้โผปีก หลังลี้หลีก สุขมลาย ในเวหน
โจรร้ายหลบ ลักธิดา ดวงกมล ลูกอับจน คงหวั่นไหว และหวาดกลัว"

บทรำพันดูโศกเศร้าละห้อยหา ราชินีรัตติกาลร้องร่ำราวจะขาดใจรอน เรือนร่างซึ่งดารดาษด้วยดารานั้นเคลื่อนไหวเนิบช้าตามท่วงทำนองเพลง มองจากที่นั่งผู้ชม เหมือนเห็นหยาดน้ำตาหลากพรากอาบสองนวลแก้ม หญิงสาวกรีดเสียงสูง ประหนึ่งแม่ผู้ต้องถูกพรากลูกจากอกไปอย่างไม่อาจช่วยเหลือ

"อาจตระหนก สิ้นเสีย ความห้าวหาญ ข้ามองเห็น การพรากผลาญ จากคนชั่ว
โปรดช่วยด้วย! ช่วยเถิด! นางพรั่นกลัว หากรอบตัว กลับไร้สิ้น ซึ่งหนทาง
อันตัวข้า จนปัญญา จะแก้ไข มหิทธิ อำนาจใด ย่อมเหินห่าง
สิ้นพลัง อ่อนล้า เกินช่วยนาง ยอดธิดา โฉมสะอาง ดารณี"

ทว่าฉับพลัน ราชินีก็เชิดหน้าแช่มชื่น สะบัดชายกระโปรงเดินมายังเจ้าชายทามิโน มือซึ่งกุมคทาพระจันทร์เสี้ยวสีเงินกวัดแกว่งชี้ลงมายังเจ้าชายผู้คุกเข่าต่อหน้า จากนั้น...วงออร์เคสตราก็ชะงักจังหวะ ก่อนจะเริ่มโหมประเลงใหม่ พร้อมเสียงรำพันด้วยความยินดีของนางพญา

"ต้องเป็นเจ้า...คือเจ้า...เจ้าเท่านั้น ผู้มุ่งมั่น สามารถ เป็นสักขี
ปลดพันธะ แก่นาง ยอดชีวี งานวิวาห์ ลูกข้านี้ คือรางวัล"

สิ้นสุดบทรำพัน ราชินีรัตติกาลจึงกลับหลังหันเชิดหน้าสยายยิ้ม นวยนาดสะบัดริ้วผ้ากลับสู่บัลลังก์สีดำ แล้วจากนั้น ทุกอย่างก็มืดมน คงสว่างไว้เพียงพระจันทร์เสี้ยวสีเงินที่ดูคล้ายคมเคียวบนยอดคทา พร้อมเสียงปรบมือดังสนั่น เป็นข้อยืนยันว่ากวีไม่ได้ฝันไป

เรื่องราวต่อจากนั้นเป็นเช่นไรหรือ กวีก็พอจำได้ หากไม่อาจติดตรึงใจเท่าการปรากฏตัวของทองธาร

หลังจากราชินีแห่งรัตติกาลออกจากฉากไป สามนางพระกำนัลก็ได้มอบขลุ่ยวิเศษซึ่งมีอำนาจควบคุมจิตใจมนุษย์ให้แก่เจ้าชายทามิโน พร้อมเสียงกระดิ่งที่จะสามารถปกป้องเจ้าชายจากอันตราย ทั้งยังปลดกับดักหนีบปากพาพาเจโนแล้วให้เจ้าพรานนกจอมโอ้อวดไปเป็นผู้ช่วยเจ้าชาย

และตอนท้าย พวกนางยังแนะนำให้เจ้าชายทามิโนได้รู้จักกับจิตวิญญาณของสามเด็กชายซึ่งจะนำเจ้าชายและพาพาเจโนไปยังวิหารของซาราสโตร ผู้ที่บังอาจกุมขังพามินา ธิดาแห่งราชินีรัตติกาล

หวนนึกถึง...นายตำรวจหนุ่มก็ถอนใจอ่อนล้า ความรู้สึกในคราวไปชมการแสดงที่โรงละคร กับการได้มาฟังหญิงสาวร้องเพลงในงานเลี้ยงครบรอบวันเกษียณอายุของครูอินทร์ ทั้งสองเหตุการณ์มันช่างต่างกันลิบลับ ประหนึ่งทองธาร สินธุ เป็นหญิงสาวสองบุคลิกอย่างไรอย่างนั้น

ตอนหล่อนสวมบทราชินีรัตติกาล กวีรู้สึกได้ว่าทองธารเป็นคนที่มีอำนาจบางอย่างอยู่ในตัว ดูมืดมน ลึกลับ และคงไม่แปลกที่จะทำให้เขาเชื่อถือว่าหล่อนอาจพัวพันในคดีการตายของนางยุพา มาลัยวัลย์ แม่เลี้ยงของหล่อนเอง

ทว่าเมื่อหญิงสาวปรากฏในชุดขาวกรุยกรายราวนางฟ้า ยืนขับร้องบทเพลงแสนไพเราะเพราะพริ้ง ขณะที่วงโนเนตบรรเลงคณะเครื่องสายเป็นระลอก ราวจังหวะร่วงพราวของหยาดเพชร เฉกบทเพลงที่หล่อนขับขาน

ทองธาร สินธุ กลับงามสง่า บริสุทธิ์เกินกว่าจะแปดเปื้อนสิ่งชั่วร้าย

ทว่าก็มีเหตุการณ์น่าสงสัยบางอย่างที่ทำให้กวีอดคิดถึงเรื่องราวการสอบปากคำนายปถวี บุตรชายคนโตของนางยุพาไม่ได้

'ไม่ทราบเหมือนกันครับผู้กอง' ปถวีส่ายหน้าดิก 'ลุงอรรถแกสั่งห้ามไม่ให้ใครเปิด ไม่ให้ใครร้อง ทุกคนก็ทำตามครับ มีก็แต่ยายน้ำเท่านั้นล่ะที่ไม่เชื่อ สมัยก่อนตอนที่ยังอยู่ด้วยกันที่บ้าน มันเปิดฟังทุกวันทุกคืน ทุกวันนี้กลับมาเยี่ยมบ้าน...ก็ยังเปิดฟัง จนลุงอรรถแกทุ่มเครื่องเสียงทิ้งไปหลายครั้งแล้ว'

"เสียงกระซิบ...จากเกลียวคลื่น?" กวีรำพึงกับตนเอง ขณะที่นัยน์ตายังจับจ้องรูปเสี้ยวพระจันทร์บนฝ้าเพดาน

ชายหนุ่มรู้ดีว่าเวลานี้คดีของนางสาวทองธาร สินธุ หลุดไปจากมือของเขาแล้ว และแว่วมาว่านายตำรวจผู้ทำคดีก็เพิ่งสรุปรายงานส่งผู้บังคับบัญชาเป็นที่เรียบร้อย บทสรุปพิมพ์ไว้เด่นชัดว่าเป็นการ 'ฆ่าตัวตาย' ไม่เกี่ยวข้องกับนางสาวทองธารแต่ประการใด

ทว่าผู้กองหนุ่มไม่อาจปักใจเชื่อ ด้วยผิดสังเกตจากสีหน้าท่าทางของนักร้องสาว ตอนครูอินทร์ร้องขอให้หล่อนร้องเพลงหลักไม้เลื้อยต่อจากเพลงหยาดเพชรที่หล่อนเตรียมมาแสดง กวีเห็นได้ชัดเจน แม้เพียงแวบเดียว

หญิงสาว...หวาดกลัว

นัยน์ตาเรียวงามปรากฏแววพรั่นพรึงครู่หนึ่ง สีหน้าชมพูระเรื่อถอดสี และหลังจากครูอินทร์กลับหลังหัน ปล่อยให้วงโนเนตบรรเลงดนตรี ดูเหมือนหญิงสาวพยายามเอื้อมมือ เผยอริมฝีปากคล้ายอยากพูด แต่แล้วหล่อนก็นิ่งไป

นั่นล่ะ...ข้อน่าสงสัย?!

ทว่าเสียงของนักร้องสาวก็ไพเราะจนทำให้กวีลืมสิ้นถึงสิ่งที่เคยครุ่นคิดแต่แรก เนื้อเพลงที่ได้ฟังช่างโหยหวนและกรีดลึก บ่งบอกถึงความโศกที่ซ่อนเร้น บางทีเสียงของหล่อนอาจมีอำนาจคล้ายขลุ่ยวิเศษที่สามารถควบคุมจิตมนุษย์ก็เป็นได้

แขกเหรื่อทุกคนรวมตัวอยู่ที่หน้าลานการแสดง ต่างนิ่งเงียบเพื่อรับฟังเสียงเสนาะของหญิงสาว ทว่าสำหรับกวี ไม่มีท่อนใดบาดหัวใจเท่าท่อนหนึ่งซึ่งตรึงแน่นราวหมุดตรึงกระดาน

ฟัง...สิคลื่นมันละเมอ ฝากสวาทเหมือนเธอ ละเมอเพ้อให้ฟัง
เห็น...ใจฝั่งบ้างหรือยัง ฝั่งรักจีรัง เหมือนคลื่นยืนใจ

ทองธารสามารถกรีดเสียงได้ราวหญิงสาวที่ใกล้จมทะเลน้ำตา เสียงนั้นบาดร้าว ลึกยิ่งกว่าเสียงกรีดร้องของคณะเครื่องสียามถูกเชือดสาย ยิ่งท่อนท้ายใช้เสียงแผ่วลงราวการกระซิบ นายตำรวจหนุ่มกลับรู้สึกถึงสายลมเย็นยะเยือกที่พาดพัดจนขนอ่อนที่ต้นคอลุกเกรียว

กวีคิดในใจ...หากน้ำเสียงสามารถสังหารคนลงได้ บทเพลงของนักร้องสาวคงทำให้คนสิ้นลมหายใจลงพร้อมกับความเดียวดาย ไร้ผู้เหลียวแล

เขายอมรับว่าบทเพลงของทองธารมีมนตร์เสน่ห์ประหลาดล้ำ ทำให้ลืมสิ้นเสียทุกสิ่ง มีสมาธิและจิตแน่วนิ่งอยู่เพียงหญิงสาวในชุดสีขาวราวขนนก กระทั่งเพลงใกล้จบ นายตำรวจหนุ่มกลับรู้สึกเหมือนถูกสะกิดจนนึกรำคาญ กระทั่งเหลียวไปตั้งใจตำหนิผู้รบกวน จึงพบว่าดารุจกำลังหน้าซีดเผือดราวจะเป็นลม เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ผุดพรายทั่วหน้า

ไม่ต้องบอกก็รู้...อาการหูแว่วกำลังกำเริบหนักแล้ว

'รุจ!' กวีจำได้ว่าเขาตระหนกแค่ไหนเมื่อเห็นเพื่อนหนุ่มทรุดลงในอ้อมแขน พยายามเอามือทั้งสองปิดป้องหู ขณะที่เสียงกระซิบท่อนสุดท้ายของทองธารดังขึ้น 'ปุ่น! ช่วยรุจด้วย ไอ้ปุ่น...รุจไม่ไหวแล้ว!'

ไม่น่าเชื่อว่าแหมอาการดารุจจะหนักหนาถึงเพียงนั้น หากทุกคนกลับยังไม่รู้สึกตัว กระทั่งกวีต้องตะเบ็งเสียงสู้กับดนตรีและเสียงขับขานของทองธาร ทุกคนจึงได้สติราวกับหลุดจากห้วงมนตรา

เวลานั้นเองที่น้ำตาบรรณารักษ์หนุ่มไหลพรากอาบสองแก้ม ดารุจพยายามซุกใบหน้าแนบอกของเขา แล้วฉับพลัน เสียงหวีดลั่นก็ดังขึ้นด้วยความทรมาน

'ออกไป! ฉันไม่อยากได้ยินแล้ว! เลิกร้องเถอะ!'

ผู้คนแตกตื่นหันมองเขาและดารุจเป็นตาเดียว แม้แต่ทองธารก็ชะงักงัน พลอยเอามือป้องปากด้วยความตระหนก

บางทีหล่อนอาจคิดว่าดารุจตำหนิหล่อน!

ทว่าเวลานี้กวีไม่มีเวลาอธิบายให้ใครต่อใครฟังว่าไม่ใช่ความผิดของนักร้องสาว หากเป็นเพราะอาการป่วยปริศนาของเพื่อนหนุ่มที่ยังไม่อาจหาทางรักษาได้ต่างหาก

ท้ายที่สุดกวีและปุณฑริกจึงตัดปัญหาด้วยการขอตัวลาครูอินทร์ ก่อนอุ้มเพื่อนหนุ่มที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ออกมาจากงาน

ภาพสุดท้ายที่นายตำรวจหนุ่มเหลียวมอง คือนักร้องสาวในชุดราตรีสีขาวเดินนำหน้าเหล่าแขกเหรื่อ พยายามชะเง้อมองชายหนุ่มในอ้อมแขน นัยน์ตาคู่งามปรากฏแวววูบไหวอาทรไม่ยอมวาง

กวีได้แต่ภาวนาให้ตัวเองคิดผิด ใช่แล้ว...ไม่สมควรเลยที่เขาจะปล่อยตัวปล่อยใจถึงขนาดนี้

++++++++++++++++++

ครูอินทร์อาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดนอนลายทางทับด้วยเสื้อคลุมแพรจีนสีเปลือกมังคุด รอบตัวเวลานี้มีเพียงเตียงนอนที่เคยเป็นของเขาและภรรยาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว กี่ค่ำคืนที่เขาและหล่อนนอนกอดกันด้วยความรักและปรารถนา บางครั้งเพียงไออุ่นที่มอบแก่กันและกัน ทว่าหล่อนก็มาด่วนจากเขาไปเสียก่อน

โต๊ะเครื่องแป้งทำจากไม้สลักลวดลายโบราณ เสื้อแพรในตู้เสื้อผ้า รูปถ่ายคู่ในกรอบหลุยส์ประดับโต๊ะหัวเตียง เหล่านี้บ่งบอกว่าหล่อนยังมีตัวตน อยู่เคียงข้างเขาเสมอ หากคนละภพภูมิ ไม่อาจเอื้อมสัมผัสกันได้ แม้ความรักจะยิ่งใหญ่เหนือกาลเวลา

กี่ปี่แล้วที่เขาต้องอยู่คนเดียวบนโลกใบเล็ก ไม่มีหล่อนเคียงข้างเหมือนที่ผ่านๆ มา ยิ่งในยามไม่มีงานคอยคลายเหงา ชีวิตของเขาก็ว้าเหว่มากขึ้นทุกที

ผู้สูงวัยเดินไปเปิดเครื่องเสียง ในบทเพลงที่เขามักฟังเป็นประจำ หนึ่งคือ 'หยาดเพชร' บทเพลงที่หลานสาวของเขาเตรียมมาแสดงในงานเลี้ยงครบรอบวันเกษียณ มีเพียงเขาและคนในตระกูลเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าเพลงหยาดเพชร เป็นเพลงที่ภรรยาของเขารักมาก และเขาเองก็เคยร้องให้หล่อนฟังในวันแต่งงาน รวมถึงวันครบรอบการแต่งงานทุกๆ ปี

ส่วนอีกเพลงก็คือ 'เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น'

ครูอินทร์ชื่นชอบเพลงนี้อย่างทั่วไป ไม่มีประวัติใดแอบแฝง ทว่าที่ขอให้ทองธารร้องให้ฟังต่อจากเพลงหยาดเพชร นั่นเพราะเขารู้สึกว่าเนื้อเพลงช่างตรงกับชะตาชีวิต

'ร้องให้ลุงฟังเถอะนะ อย่าไปสนใจคำพูดของไอ้อรรถมันเลย' ครูอินทร์ชิงตัดบท ด้วยรู้ดีว่าอรรถ สินธุ ผู้เป็นบิดาของทองธารไม่โปรดเพลงนี้เป็นที่สุด 'ความหมายเพลงดี ลุงอยากฟัง ทำให้คิดถึงป้านิด อีกอย่าง...เพลงนี้แม่ของหนูก็ชอบมาก ถือว่าร้องให้ทั้งลุง ป้า แล้วก็แม่ของหนูได้ฟังนะ'

เรียบร้อยแล้ว ชายสูงวัยก็เดินลงมายืนข้างๆ นายตำรวจหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์ พร้อมกันนั้นก็ได้เล่าประวัติเกี่ยวกับบทเพลงดังกล่าวให้อีกฝ่ายฟังพอสังเขป เมื่ออีกฝ่ายสอบถาม

'ครูขอให้ยายน้ำร้องเพลงเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่นให้ฟังต่อ ความหมายเพลงมันดี อีกอย่าง...แม่ของยายน้ำที่เสียไปแล้วก็รักเพลงนี้มาก จำได้ว่าน้ำทิพย์...แม่ของยายน้ำร้องในวันแต่งงานกับพ่อของยายน้ำ' ขณะพูดก็หวนนึกถึงอดีตด้วยนัยน์ตาเหม่อลอย จนได้สติ จึงหันประเด็นไปยังเรื่องประวัติของเพลงแทน 'เออ...เรารู้จักประวัติเพลงนี้ไหมเจ้าวี'

ครั้นเห็นกวีส่ายหน้า นัยน์ตาเปล่งประกายแววอยากรู้ ครูอินทร์จึงยิ้มออก 'ไม่รู้เด็กๆ รุ่นเธอยังรู้จักรวงทอง ทองลั่นทมอยู่ไหม คุณรวงทองเธอเป็นนักร้องสาวเสียงดี เป็นนักร้องที่ร้องเพลงนี้คนแรก เสียงของเธอเสนาะหู เลยได้ฉายาว่าเสียงน้ำเซาะหิน'

นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้ว แน่ล่ะ...เด็กสมัยนี้คงไม่ค่อยรู้จักนักร้องสมัยก่อนเท่าไร

วัฒนธรรมมันก็เหมือนสายน้ำ มีการไหลผ่านแลกเปลี่ยน แต่บางครั้งครูอินทร์ก็รู้สึกถึงความผิดพลาดบางอย่างของคนไทยกับการรับวัฒนธรรมโดยไม่พิจารณาด้วยปัญญาความคิด จนท้ายที่สุดมันกลายเป็นการรับมาอย่างไม่มีสติ หลงมัวเมา ความลอองามกลายเป็นความเชยในทัศนคติของเด็กวัยรุ่นไปเสียแล้ว

'เด็กรุ่นใหม่อย่างเธอคงไม่ค่อยคุ้นกับเพลงไทยสากลเท่าไรสินะ เดี๋ยวนี้อะไรก็เป็นเพลงสตริงไปเสียหมด' บุรุษสูงวัยกล่าวราวตำหนิ หากไม่ได้จริงจัง 'เพลงสมัยก่อนเขาละเมียดละไม มีการแอบแฝงซ่อนเร้นความรักความใคร่แยบยล อย่างเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่นนี่ยังไง คุณเชิด ทรงศรี* ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังสมัยก่อน ท่านได้ประสบกับตัวเองตอนล่องทะเลไปสิชลกับคนรัก ความรักมันฝังจิตฝังใจทุกที่ทุกเวลานั่นแหละเจ้าวี พอล่องทะเล แม้แต่เสียงคลื่นก็ได้ยินเป็นเสียงกระซิบบอกรัก'

เห็นนายตำรวจหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์พยักพเยิดก็คิดว่าคงเข้าใจในคำอธิบายแล้ว 'ได้ล่องทะเลกับคนรัก ฝ่าคลื่นลมมรสุมไปด้วยกัน แม้จะหนักหนาแต่ก็ยังเคียงข้างกันไม่ไปไหน ลองฟังแล้วจับใจความ ก็จะรู้ว่ามันมีความหมายลึกซึ้ง ไม่ผิดเลยหากจะทำให้คุณเชิดร้องไห้ทุกครั้งที่คิดถึงมัน'

ท้ายที่สุด ครูอินทร์ก็อดตั้งแง่กับเพลงสมัยใหม่ไม่ได้ 'เพลงเก่าๆ นี่ล่ะ งดงามกว่าเพลงสมัยนี้นัก ไม่ละเมียดละไม หยาบกระด้าง!'

แม้บทเพลงนี้จะได้รับการบันทึกเสียงครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๐๑ ด้วยน้ำเสียงของคุณรวงทอง ทองลั่นทม หากเมื่อกาลเวลาผันเปลี่ยน ความงดงามของบทเพลงยังคงความอมตะไว้ไม่เสื่อมคลาย เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่นจึงถูกขับขานต่อมาไม่รู้จบ

หลานสาวของเขาก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงามไม่พ่ายแพ้ต้นฉบับ หรือนักร้องสาวคนอื่นๆ น้ำเสียงของหล่อนเสมือนหยดน้ำที่กัดกร่อนหิน แม้คนที่เย็นชาที่สุด ย่อมโอนอ่อนเมื่อได้ยินเสียงเสนาะ เสียงนั้นไพเราะดุจสายพิณที่ถูกกรีด ทุกถ้อยถ้วนความจับใจ จนทำให้หวนนึกถึงภรรยาที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ

ผู้สูงวัยเดินไปหยิบภาพถ่ายภรรยาซึ่งตั้งบนหัวเตียงมาดู จากนั้นจึงทอดร่างเอนลงเก้าอี้โยกตัวโปรดของภรรยา ราวจะฝังอยู่ในอ้อมกอดผู้เป็นเป็นที่รัก แล้วค่อยโยกเอนประหนึ่งได้รับการเห่กล่อม

เพลงเหล่านี้ไพเราะเหลือเกิน งานเลี้ยงที่เดชาจัดให้ก็หรูหรา แต่มันควรจะสวยงามกว่านี้ไม่ใช่หรือ?

เด็กนักเรียนยิ่งลดจำนวนลง น้อยกว่าปีที่ผ่านมา ซ้ำยังมีเหตุการณ์วุ่นวายทำให้เกิดการติดขัดตลอดการดำเนินงาน อันที่จริงเขาไม่ควรส่งจดหมายเชิญ '๓ อันตราย' มางานเลี้ยงของเขาเลยด้วยซ้ำ โดยเฉพาะบรรณารักษ์หนุ่มนั่น เห็นได้ชัดว่าเขาทำให้งานเลี้ยงจบลงไม่ราบรื่นเสียเลยตามความเชื่อที่คนร่ำลือ

ทว่าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ไม่ใช่เด็กทั้งสามหรอกหรือที่มางานของเขาเป็นประจำทุกปี

แต่เขาจะต้องจัดงานอีกกี่ปี เพื่อรอดูว่าใครจะจำครูบาอาจารย์เช่นเขาได้บ้าง ท้ายที่สุด...อาจเหลือเพียงแค่ ๓ อันตรายเท่านั้นที่มาร่วมงาน

ครูอินทร์หลับตา ผ่อนลมหายใจอ่อนระโหย วางภาพภรรยาผู้จากไปแนบอกด้วยความคิดถึง ก็พอดีที่เพลงหยาดเพชรจบลง จากนั้นเสียงดนตรีก็เริ่มบรรเลงเพลงใหม่ กลายเป็นเพลงเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น

"ผมเหนื่อยเหลือเกิน" ครูอินทร์ลืมตาที่พร่าด้วยม่านน้ำ ยกภาพในกรอบหลุยส์ขึ้นมองด้วยความเจ็บปวด "การอยู่โดยไม่มีคุณมันช่างทรมานเหลือเกิน เด็กๆ ก็พากันลืมคนแก่อย่างผม ตอนนี้ผมกลายเป็นคนแก่ไม่มีค่าไปแล้ว"

เสียงสะอื้นดังเป็นระลอก น้ำตาของชายชราช่างน่าสังเวชแท้ หากใครมาเห็น คงจะหาว่าเขาฟั่นเฟือน แต่ทำอย่างไรได้ รอบกายเต็มไปด้วยความเปลี่ยวเหงาและอ้างว้าง แม้จะพยายามทำตัวเบิกบานจัดงานเลี้ยงเพื่อกลบเกลื่อนความโศกเศร้าที่บ่มแน่นจนถึงขีดสุด

ทว่าตอนท้าย...ก็ไม่อาจปฏิเสธใจตัวเอง

"อย่าปล่อยให้ผมเหงาอีกเลยคุณนิด" ผู้สูงวัยสะอื้นไห้น้ำตาไหลพราก สองแขนเหี่ยวย่นตกกระกอดภาพถ่ายของภรรยาด้วยความโหยหายิ่งยวด "อย่าให้ผมเหงาอีกเลย...ผมขอร้อง"

'เสียง...กระซิบ ว่ารัก ตลอดกาล'

อารมณ์โศกคงถูกเสียงเพลงโหยหวนฉุดดึงลงสู่ต่ำใต้ รอบตัวจึงไร้ซึ่งสรรพสำเนียงอื่นสอดแทรก โสตประสาทได้ยินเพียงเสียงกรีดเอื้อน น้ำเสียงใสหากร้าวลึกของทองธารยังติดตรึง ราวเสียงเพรียกนางพราย ล่อลวงพรากลมหายใจให้ขาดรอน

+++++++++++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2555, 08:45:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มิ.ย. 2555, 08:45:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1443





<< องก์ที่ ๘   องก์ที่ ๑๐ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account