oOo รุ้งฤดูร้อน oOo
...เมื่อความรักเป็นบ่อเกิดทุกๆ สิ่ง สร้างความแค้น ชิงชัง และการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความรัก...ก็ควรเป็นบทยุติของทุกเรื่องราว...

...อาจจะเจ็บปวด อาจบอบช้ำ แต่สุดท้ายความรักจะโอบกอดทุกดวงใจให้สนิทแนบแน่น...
Tags: รุ้งฤดูร้อน,ปลากัด,รักร้ายๆ

ตอน: oOo รุ้งฤดูร้อน บทที่ 8 oOo

สวัสดีมิตรรักทุกท่านค่ะ ขอบคุณสำหรับเสียงตอบรับที่อ่านแล้วชื่นใจสุดๆ
^_____________^ ส่งยิ้มกว้างๆ เป็นการตอบแทนนะคะ
ช่วงนี้เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก พกร่มไว้กันแดดก็ได้กันฝนก็ดี ไม่เสียหายนะคะ ^^

หมอนทอง oOo สงสารหนูพรรษก็อย่าทิ้งหนูพรรไปไหนคะ ^^

คิมหันตุ์ oOo ติดตามให้กำลังใจเพลงพรรษไปเรื่อยๆ นะคะ แล้วจะได้รู้ทุกอย่าง อิอิ

anOO oOo น่าเข้าใจผิดนักนะพี่เมษเนี่ย แต่บังเอิญหนูพรรษเป็นคนดีอ่ะค่ะ

Pat oOo มีให้สงสัยอีกหลายเรื่องค่ะ อย่าเพิ่งทิ้งกันไปก่อนนะคะ

ปัณณรี oOo โอ๊ย ได้กำลังใจดีๆ จากพี่สาวสุดสวย หายยุ่งทันทีเลยค่ะ 555+

dee jung oOo ต้องทดแทนบุญคุณสิคะ นางเอกนี่นา อิอิ

roseolar oOo ติดตามกันจนกว่าจะหายสงสัยทุกเรื่องนะคะ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านจากหัวใจจริงๆ ค่ะ ^^

*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*


บทที่ 8



บรรยากาศของร้านอาหารชั้นบนสุดของตึกสูงซึ่งสามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบเมืองอันประกอบด้วยแสงไฟสวยงาม ไม่สามารถดึงอารมณ์ของปรานต์ให้ออกจากภวังค์กังวลได้เลย หัวใจเขาว้าวุ่นแปลกๆ ตอนซุยุไปหาเขาที่บริษัทพร้อมบอกว่าคุณปภาวีให้ชวนเขาออกมาทานข้าวด้วยกันนั้นชายหนุ่มไม่ได้นึกขุ่นเคืองมากมายเท่ากับรู้ว่ามีผู้ชายรับโทรศัพท์ของเพลงพรรษ หนำซ้ำพอโทรไปอีกทีกลับติดต่อไม่ได้เสียนี่ และจนป่านนี้ เวลาล่วงสองทุ่มไปแล้วฝ่ายนั้นก็ยังไม่ติดต่อกลับมา เขาอดรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้

นึกอยากโทรกลับตอนนี้แบตเตอร์รี่โทรศัพท์เขามันก็ช่างหมดอย่างบังเอิญจนน่าเขวี้ยงทิ้ง ครั้นจะกลับก็ดูเหมือนคนฝั่งตรงข้ามเขาจะยังไม่พร้อมกลับ ซึ่งวันนี้ทั้งเขาทั้งเธอมารถคันเดียวกัน แน่นอน ทินกรเป็นคนขับมา...ปรานต์รู้ นี่คือวิธีของมารดาเขา

“อาหารไม่อร่อย บรรยากาศไม่ดี ดนตรีไม่เพราะ หรือว่าคุณท้องอืด?” เสียงใสๆ ถามขึ้น ร่างใหญ่ชะงักความคิด ถอนสายตาจากภาพเบื้องนอกที่เขามองอะไรไม่เห็นนอกจากใบหน้าเพลงพรรษในห้วงคำนึง หันกลับมามองดวงตากลมโตที่ฉายแววสงสัยแล้วชายหนุ่มกลับมึนงง

“หือ?”

“อ้าว...ก็เห็นคุณทำหน้านิ่วคิ้วขมวด มือก็บีบกันอยู่นั่นล่ะ ฉันก็เลยสงสัยว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าท้องอืด ฉันจะเรียกพนักงานให้หายามาให้เอาไหม ผู้ชายท้องอืดหน้ามุ่ยน่ะ ไม่น่าดูหรอกนะ” ว่าแล้วเธอก็ส่ายหน้าน้อยๆ ประกอบคำว่า ‘ไม่น่าดู’

นั่นทำให้ปรานต์รู้ว่าซุยุไม่ได้ห่วงเขาจริงจัง แต่เธอกระเซ้าเขาเล่นตามนิสัยที่เขาพอจะมองออกว่าเธอเป็นคนไม่เคยซีเรียสกับอะไรเลย

“ใครจะเหมือนคุณ นอกจากกินเก่งแล้ว ยังกระเพาะดี ไม่รู้สึกอะไรกับอาหารเยอะแยะมากมายที่กินลงไปเลย” ปรานต์เอ่ยประชดเล็กๆ ยังคงน้ำเสียงสุภาพไว้ไม่ให้คนฟังระคายหูมากนัก คนโดนประชดเลยย่นจมูกใส่อย่างหาทางปฏิเสธไม่เจอ เพราะเธอเป็นอย่างเขาว่าจริง

“ก็ร้านนี้อาหารเขาอร่อยจริง อร่อยสมราคาเหมาะกับบรรยากาศ เพลงก็ไพเราะ ฉันน่ะไม่เสียเวลามานั่งทำหน้ายุ่งอย่างคุณหรอก” พอสาวลูกครึ่งว่าอย่างนั้น ปรานต์ก็ไพล่นึกไปถึงเรื่องก่อนหน้านี้อีกครั้ง “อ่ะ ไม่เล่นละ สรุปว่าคุณเป็นอะไร พอบอกฉันได้หรือเปล่า”

ใบหน้าคมจ้องหญิงสาวลูกครึ่งนิ่งคล้ายพิจารณาเธอให้เต็มตา ซุยุยิ้มรับเพราะเธอเป็นคนมั่นใจในตัวเอง ไม่มีทางหวั่นกับสายตาผู้ชายคนไหนง่ายๆ

ผ่านไปหลายนาทีหญิงสาวกำลังจะโวยที่เขาไม่ยอมหลบตา จนเธอเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เขาก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

“ผมถามจริงๆ ถ้าคุณแม่ต้องการให้เราแต่งงานกันจริงๆ คุณจะทำยังไง” น้ำเสียงราบเรียบหากเต็มเปี่ยมด้วยความจริงจัง

“โธ่ นึกว่าเครียดเรื่องอะไร ก็ไม่เห็นยากเลย อยากให้แต่งก็แต่งสิ” ไหล่บางยักขึ้นน้อยๆ พลางเอื้อมมือไปหยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบด้วยสีหน้าระรื่น ไม่สนว่าปรานต์จะเบิกตากว้างขึ้นอย่างขัดใจในคำตอบ

“ไหนคุณรับปากผมแล้วไงว่าระหว่างเราจะเป็นแค่การเล่นละคร อีกอย่างผมอยากรู้นักว่าคุณยังไม่มีคนรักหรือไง ถึงจะมาแต่งงานกับผมง่ายๆ อย่างนี้” ซุยุมองหน้าคนพูดอึ้งๆ ทำตาปริบๆ ก่อนจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ ปล่อยพรืดออกมา จนแขกในร้านที่ค่อนข้างหนาตาช่วงหัวค่ำพากันหันมอง กระนั้นเธอก็ยังไม่หยุดหัวเราะ โยกหน้าโยกหลังจนปรานต์ต้องร้องห้าม “นี่คุณ หยุดขำได้แล้ว”

ปรานต์มองซ้ายมองขวา นึกขุ่นใจว่าผู้หญิงคนนี้ช่างไม่แคร์สายตาใครเลย และไม่เคยมีใครทำให้เขาอยู่ใกล้แล้วเสียจริต หลุดมาดสุภาพบุรุษเท่ากับเธอ ให้ตายสิ

“โอยๆ ฉันปวดท้องจริงๆ แล้วนะ” ซุยุพูดกลั้วหัวเราะ พยายามฝืนอาการขำไว้สุดกำลัง ยกมือกุมท้อง “คุณนี่ตลกนะ ฉันเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังไม่ซีเรียสเลย ทำไมคุณต้องจริงจังจนหน้าตาตลกแบบนี้ด้วยเล่า”

“เพราะผมมีคนที่ผมรักต้องห่วงความรู้สึก”

คำตอบชัดถ้อยชัดคำของปรานต์หยุดเสียงหัวเราะของซุยุได้ชงัดยิ่งกว่าเขาออกคำสั่งให้หยุดเสียอีก ร่างบางขยับตัวนั่งหลังตรง เลื่อนมือจับแก้วไวน์เพื่อยกขึ้นดื่มอีกครั้ง

ปรานต์ซึ่งเฝ้ามองหญิงสาวตลอดเวลาเห็นว่าแวบหนึ่งในดวงตาเธอมีรอยบางอย่างพาดผ่าน แต่เขาไม่อาจแปลได้ว่ามันหมายถึงอะไร

“ฉันไม่มีหรอกคนรักน่ะ แต่ถึงจะมีฉันก็พร้อมละทิ้งความสุขส่วนตัวทุกอย่าง เพื่อแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ถ้ามันทำให้ครอบครัวมีความสุข” สายตาหญิงสาวจริงจังในทุกคำพูด

“แม้คนที่คุณแต่งงานด้วยจะไม่มีวันรักคุณได้งั้นหรือ”

“ไม่เห็นแปลก เขาไม่รักฉัน และฉันก็ไม่ได้รักเขา...มันยุติธรรมดีนี่”

ชายหนุ่มอึ้งทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น...นี่เธอสติดี หรือยังมีหัวใจเต้นอยู่หรือเปล่าถึงพูดอย่างนั้นออกมา นอกจากไม่แคร์ใคร ซุยุยังไม่แคร์หัวใจตัวเองอีกอย่างนั้นเหรอ เออหนอ ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยพบเคยเห็นผู้หญิงแบบนี้ตัวเป็นๆ ก็วันนี้ล่ะ

ขณะปรานต์กำลังอึ้ง หูเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังกว่าคราวก่อนแทรกโสตประสาทเข้ามา ชายหนุ่มกระพริบตาสองสามครั้ง ถึงได้เห็นชัดว่า ผู้หญิงตรงหน้าเขากำลังหัวเราะงอหงาย ถูกใจอาการตะลึงค้างของเขานักหนา

“นี่คุณแกล้งผมเหรอ” ชายหนุ่มเสียงขึ้นจมูกทีเดียว สุดท้ายเขาก็หลงกลเธอจนได้ น่าจะรู้ว่าคนอย่างซุยุน่ะ จริงจังกับใครเขาไม่เป็น “คุณนี่มันเหลือเชื่อจริงๆ เลย” ปรานต์เริ่มเสียจริตกับคนที่ยังหัวเราะต่อเนื่อง

“ก็มันขำนี่ ดูคุณจริงจังไปเสียทุกอย่าง ฉันพูดอะไรคุณก็เชื่อหมด” หญิงสาวพยายามหยุดหัวเราะ ยกมือปาดหยดน้ำตรงหางตาที่เกิดจากการหัวเราะมากเกินไป

“ผมจำเป็นต้องจริงจัง ผมไม่รู้หรอกว่าคุณกับครอบครัวคุณรู้จักคุณแม่ผมแค่ไหน แต่ผมบอกไว้เลยว่าคนอย่างคุณแม่ ถ้าท่านต้องการอะไร ท่านต้องได้ และหากท่านต้องการให้ผมแต่งงานกับคุณ...” ริมฝีปากหยักลึกหยุดค้างเพียงแค่นั้น จะด้วยพูดไม่ออกหรือไม่อยากพูดซุยุก็สุดรู้ เธอเบิกตาโตรอฟัง แต่จนแล้วจนรอดปรานต์ก็ทำเพียงระบายลมหายใจคล้ายจนหนทางมากกว่าระอาใจ

“แล้วทำไมคุณไม่บอกท่านล่ะว่าคุณมีคนรักอยู่แล้ว” ซุยุถามโดยไม่เจือแววล้อเล่นอีกต่อไป ทว่าคู่สนทนามีอาการหนักใจขึ้นมาทันที เขาสกัดกั้นความรู้สึกบางอย่างอยู่นานก่อนพูด

“ท่านไม่ยอมรับคนที่ผมรัก”

“อือฮึ!” หญิงสาวทำเสียงในลำคอ พยักหน้าซ้ำๆ เชิงว่าเข้าใจ “ก็ในเมื่อไม่มีทางออกใดเลย แล้วคุณจะหาทางหลีกหนีทำไมล่ะ” คำถามเรียบเรื่อย ไม่เดือดร้อนเท่ากับใจคนฟัง

“นี่ไง ผมถึงต้องหวังให้คุณช่วย” แม้จะรู้สึกว่าค่อนข้างเสียมาดสุภาพบุรุษไปสักหน่อยกับการขอให้ผู้หญิงช่วย แต่มันคือทางเดียวที่ปรานต์มองเห็นเวลานี้...ทางที่เขาจะยังได้อยู่เพื่อเพลงพรรษต่อไป

ซุยุอมยิ้ม ทอดสายตามองใบหน้าคมขาวของชายหนุ่มร่วมโต๊ะอาหารตรงๆ เธอยอมรับกับตัวเอง ณ วินาทีนี้ว่า เขาน่าชื่นชม...ที่กล้ายอมรับความรู้สึกตัวเอง กล้าก้าวออกมาจากความหยิ่งแบบไม่เข้าท่าของพวกผู้ชายเพื่อยืนยันเสียงหัวใจตัวเอง

“แล้วถ้าฉันยอมปฏิเสธ ไม่แต่งงานกับคุณ คุณคิดหรือว่าแม่ของคุณจะไม่หาคู่ใหม่ให้กับคุณ ถ้าทุกอย่างมันง่ายอย่างนั้น เราสองคนคงไม่ได้รู้จักกันหรอก” ขาเรียวยกขึ้นไขว่ห้าง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สายตายังจ้องประสานกับอีกฝ่าย

ในงานเลี้ยงที่คุณปภาวีไปร่วมเมื่อวันที่ปรานต์ไปเปิดซองประมูล ซุยุมีโอกาสได้พบกับนางพญาแห่งพสุธาเทพ เมื่อแขกร่วมงานคนหนึ่งแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน พร้อมบอก ‘หัวนอนปลายเท้า’ อีกเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสาวลูกครึ่งญี่ปุ่นอย่างเธอจะอยู่ในสายตาสาวใหญ่แห่งพสุธาเทพเกือบตลอดเวลา และเช้าวันต่อมาเธอก็ได้รับการติดต่อ บวกทาบทามให้รู้จักกับลูกชายคนเดียวของท่าน...ทายาทแห่งพสุธาเทพ!

“อย่างน้อยคุณแม่ก็ไม่เคย ‘จับ’ ใครให้ผมเหมือนที่ทำกับคุณ แสดงว่าท่านต้องการคุณเป็นพิเศษ” ปรานต์รู้จักมารดาตัวเองดี สำหรับคุณปภาวี ไม่เคยมีเรื่องไหนยาก ไม่เคยมีเรื่องไหนเกินเอื้อมถึง และเกมครั้งนี้เขามองออกว่า เพียงซุยุตกลง คุณปภาวีก็สามารถเนรมิตงานแต่งงานให้เขาได้ในพริบตา

ก่อนบทสนทนาจะขยับไปไกลกว่านั้นเสียงโทรศัพท์ของซุยุก็ร้องขัดขึ้น หญิงสาวก้มลงมองหน้าจอ เมื่อเห็นว่าใครโทรมาก็ยกขึ้นรับสายพร้อมลุกเดินออกจากโต๊ะ ไม่ไกลนัก การสื่อสารด้วยภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ ทำให้ปรานต์เดาเอาว่าน่าจะเป็นคนในครอบครัว ชายหนุ่มเฝ้ามองร่างบางในชุดเดรสยาวน่ารัก ความจริงเธอไม่มีอะไรน่ารังเกียจ กลับน่ารักกว่าผู้หญิงไทยแท้ๆ หลายคนเสียด้วยซ้ำ ทุกอย่างอาจไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าหัวใจเขาจะไม่ยกให้หญิงไทยแท้ทั้งสัญชาติและกิริยามารยาทอย่างเพลงพรรษไปเสียแล้ว

เพียงไม่นานสาวลูกครึ่งก็เดินกลับมายืนข้างเก้าอี้ของตัวเอง คราวนี้เธอไม่ได้นั่งลง แค่ก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นถือ หันมองหน้าปรานต์แล้วยิ้มบางๆ ส่งให้เขา

“เพียงแค่ฉันปฏิเสธ มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น หรือจบลงหรอกนะคุณปรานต์” เงียบอยู่อึดใจ “แต่เอาเถอะ ถ้าคุณแม่คุณพูดเรื่องนี้จริงจัง ฉันจะลองปฏิเสธดู...เพราะถึงฉันจะทนอยู่กับคนที่ไม่รักฉันได้ แต่ฉันก็ไม่ชอบแย่งคนรักของใคร”

รอยยิ้มยังกระจ่างบนใบหน้าหวาน และดูเหมือนเป็นครั้งแรกของวันนี้ที่ปรานต์ยิ้มตอบให้เธอ

“ขอบคุณครับ” เขาตอบสุภาพ ดวงตาวิบไหวอย่างมีความหวัง อาการกังวลก่อนหน้านี้มลายหายไปโดยไม่รู้ตัว

“กลับกันเถอะค่ะ ดึกมากแล้ว” คำว่า ‘ดึกมากแล้ว’ ทำให้ปรานต์ต้องยกนาฬิกาขึ้นดู และพบว่ามันบอกเวลาเกือบห้าทุ่ม หัวใจชายหนุ่มประหวัดไปถึง ‘คนรัก’ ป่านนี้เพลงพรรษคงหลับไปแล้ว

ร่างใหญ่พยักหน้า โบกมือเรียกบริกรมาเก็บเงินแล้วลุกยืนเคียงข้างซุยุ เขาไม่ลืมผายมือให้สุภาพสตรีเดินนำ ใบหน้าเรียวเอียงคอให้เล็กน้อยเป็นการขอบคุณ ก่อนก้าวนำไปยังลิฟต์ของร้านอาหาร

แม้ปรานต์ดื้อดึงว่าเขากับทินกรจะไปส่งหญิงสาวที่บ้านอย่างไร ซุยุก็ยืนยันเสียงแข็งว่าเธอขอกลับไปเอารถตัวเองที่จอดไว้ในบริษัทของปรานต์ โดยให้เหตุผลว่าพรุ่งนี้มีธุระสำคัญตั้งแต่เช้า จำเป็นต้องใช้รถ อีกทั้งไม่อยากให้ชายหนุ่มลำบากย้อนไปย้อนมาเมื่อบ้านอยู่คนละทาง

“งั้นก็ตามใจคุณแล้วกัน ขับรถกลับบ้านดีๆ นะครับ คุณดื่มไปหลายแก้ว อย่าขับเร็ว ถ้าง่วงก็จอดนอน หรือจอดรถไว้ข้างทางแล้วนั่งแท็กซี่กลับ ไม่ก็โทรหาผมก็ได้ แต่ผมว่าให้ผมไปส่งดีกว่านะ” สุดท้ายปรานต์ก็อดห่วงตามประสาคนใจดีไม่ได้ ซุยุแกล้งกลอกตาขึ้นฟ้าทั้งที่ริมฝีปากอมยิ้ม

...ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ขี้กังวล ชอบเป็นห่วงจนเกินเหตุ...

“นี่คุณ เบิกตาดูสิ ฉันยังยืนได้ตรงแด่ว ไม่เอนไม่เอียงไปทางไหน ไวน์แค่ไม่กี่แก้วทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ขอแค่ตำรวจอย่าโบกให้เป่าเป็นพอ” เธอพูดติดตลก ไม่สนใจกับสีหน้าแววตาของคนตัวสูงกว่าว่าจะออกอาการเป็นห่วงขนาดไหน “คุณกลับขึ้นรถไปเถอะ ฉันจะได้ไปขึ้นรถฉันบ้าง มาส่งถึงหน้าบริษัทคงพอแล้วมั้ง”

“ผมจะยืนรอจนกว่าคุณจะขึ้นรถแล้วขับออกไปเรียบร้อยแล้ว ไปสิ คุณไปขึ้นรถของคุณ” ชายหนุ่มสั่ง คราวนี้ซุยุกลอกตาขึ้นฟ้าพร้อมระบายลมหายใจดังๆ ให้เขาได้ยิน เธอโบกมือลาแล้วก้าวไปยังรถของตัวเอง “ซุยุครับ...ถ้าคุณโดนตำรวจโบกจริงๆ โทรหาผมนะ ไม่งั้นคุณติดคุกแน่นอนเลย เมืองไทยเขาเคร่งนะเรื่องเมาแล้วขับ” ชื่อตัวเองที่หลุดจากปากปรานต์ทำเอาซุยุขนลุกซู่ ตั้งแต่คุยกันมาเขาแทนตัวเธอว่า ‘คุณ’ ทุกคำ ทำไมชื่อเธอเมื่อผ่านเสียงของเขาแล้วถึงได้ฟังแปลกๆ ในความรู้สึกขนาดนี้ก็ไม่รู้

“ที่คุณห่วงฉันขนาดนี้เนี่ย เพราะฉันรับปากว่าจะไม่แต่งงานกับคุณใช่ไหม” ร่างบางหันกลับมาถามโดยยังยืนระยะห่างเท่ากับที่เดินไป

“เปล่า...ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ ก็คุณดื่มไปเยอะนี่ครับ” ปรานต์บอกจริงใจ ซุยุยิ้ม

“คราวหลังไม่ต้องห่วงฉันขนาดนี้ก็ได้...เพราะถ้าคุณยังห่วงฉันมากๆ แบบนี้ ฉันอาจหวั่นไหว แล้วผู้หญิงโชคดีคนนั้นอาจจะโชคร้ายก็ได้นะ ไปล่ะ บ๊ายบาย” มือเรียวยกขึ้นโบกอีกครั้ง ปรานต์ได้แต่ส่ายหน้ากับความทะเล้น ช่างคิดช่างพูดของเธอ

ภายในรถตรงที่นั่งคนขับทินกรซึ่งกำลังเฝ้ามองไม่คลาดสายตา เผยรอยยิ้มสมใจ ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นโทรรายงานสถานการณ์ให้ผู้เป็นนายรับทราบ และดูท่าปลายสายจะพอใจไม่น้อยทีเดียว...


อารดากำลังนั่งดื่มกาแฟยามเช้าพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์รายวันอยู่ตรงล็อบบี้ของบริษัท ปกติกิจวัตรเหล่านี้เธอจะปฏิบัติในห้องทำงานของตัวเอง ตำแหน่งข้าวของบริษัทคนหนึ่งอย่างเธอไม่จำเป็นต้องมานั่งตรงนี้ เพียงแต่วันนี้เธอต้องการทำตัวให้สมกับเป็นพนักงานธรรมดาเพื่อมาดักรอเพื่อนรัก เพราะเมื่อวานตอนเย็นไม่ได้เจอและไม่ได้โทรหา นึกเป็นห่วงอยู่ครามครันว่าพี่ชายสุดรักไปส่งเพลงพรรษที่บ้านมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง จากอาการพี่ชายที่แปลกๆ ไปแต่ไม่ยอมเปิดปาก ทำให้หญิงสาวอยากรู้จนแทบนอนไม่หลับ แต่ก็รู้ว่าลองอยากแกล้งน้องอย่างเมษรักษ์แล้ว ไม่มีทางเล่าอะไรง่ายๆ หรอก

“พี่เมษโทรมาค่ะน้องดา” เสียงคุ้นหูดังอยู่ข้างๆ ทำให้อารดาต้องเงยมอง พบว่ามือขาวของลิซ่ากำลังยื่นโทรศัพท์มือถือของเธอมาให้ตรงหน้า เพราะตอนลงมาข้างล่างอารดาลืมไว้ในห้องทำงาน เมื่อมองเลยไปยังใบหน้าเลขาฯ แสนสวยก็ได้พบกับรอยยิ้มทะเล้น

อารดาหัวเราะคิกถูกอกถูกใจก่อนยื่นมือไปรับโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงร้อง แต่ยังไม่กดรับ

“ดาว่าชื่อนี้ฟังแล้วน่ารักจั๊กจี้ดีนะคะคุณลิซ่า เดี๋ยวดารับสาย ‘พี่เมษ’ ก่อน คุณลิซ่าอย่าเพิ่งไปไหนนะคะ” แล้วทั้งสองคนก็หัวเราะด้วยกัน “สวัสดีค่ะพี่เมษ มีอะไรให้พนักงานตัวเล็กๆ อย่างน้องดารับใช้คะ” ขณะพูดหญิงสาวหันไปยักคิ้วหลิ่วตากับลิซ่าซึ่งทรุดนั่งเก้าอี้ข้างๆ อย่างไม่ต้องกลัวเสียมารยาท เพราะสำหรับครอบครัวนราวิวัฒน์ฯ ไม่เคยมีเรื่องไหนเป็นความลับต่อลิซ่าเลย

“พี่รู้นะว่าคุณลิซ่าก็นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย กลับไปจะหักเงินให้หมดเลยทั้งพนักงานธรรมดาทั้งเลขาฯ ส่วนตัว” เมษรักษ์แกล้งทำเสียงขู่

“โอ๊ย กลัวแล้วๆ อย่าทำแบบนั้นนะคะพี่เมษ เดี๋ยวไม่มีเงินกินข้าว” พูดจบเธอก็หัวเราะชอบใจ คนทางปลายสายเลยได้แต่ยิ้มเอ็นดู นึกไปถึงเมื่อคืนที่ยายตัวแสบคาดคั้นเขาเรื่องไปส่งเพลงพรรษ แต่เขาไม่ยอมบอก เลยออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงด้วยความอยากรู้

“พี่กำลังจะขึ้นเครื่อง ช่วงที่พี่ไม่อยู่ดูแลบริษัทดีๆ นะ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย ห้ามทำอะไรก่อนได้รับอนุญาตจากพี่ น้องรู้ใช่ไหมว่าพี่หมายถึงอะไร” เมษรักษ์สั่งจริงจัง การไปต่างประเทศของเขาคราวนี้แตกต่างจากครั้งไหนๆ เมื่อมีเพลงพรรษเข้ามาอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวซึ่งไม่เคยมีคนนอกได้ย่างกรายเข้ามา

“แหม...ทำอย่างกับเพิ่งไปครั้งแรก ทุกทีไม่เห็นสั่งแบบนี้เลยนี่นา มีอะไรสำคัญที่พี่ชายไม่ได้บอกเค้าหรือเปล่า บอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ” อารดาแปลกใจ เพราะปกติเมษรักษ์กับเธอใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเสียมากกว่า เพิ่งจะตอนเธอมาเรียนปริญญาโทที่เมืองไทยนี่ล่ะ ถึงได้มาอยู่ที่นี่ยาว กระนั้นเมษรักษ์ก็เลือกอยู่ต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ ไปๆ มาๆ เพื่อป้องกันการพยายามให้เขาเปิดเผยตัวในเวลาที่ยังไม่สมควรของใครหลายคน

เมษรักษ์เงียบไปนาน...ครั้งแรกในชีวิตกระมังที่เขามีความลับกับน้องสาวคนเดียวคนนี้ เขาจะบอกได้อย่างไรว่าเพลงพรรษเพื่อนรักของน้องสาวคือคนจากพสุธาเทพ คู่แข่งรายสำคัญของนราวิวัฒน์ฯ อารดารักบริษัทนี้ไม่แพ้เมษรักษ์เลย แม้ว่าการที่เธอคบเพลงพรรษเป็นเพื่อนจะไม่เกี่ยวกับงาน แต่คงหาความสบายใจไม่ได้ ถ้ารู้ว่าคนของคู่แข่งมาอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน

ก่อนคุยกับน้องสาวเมษรักษ์สั่งงานทุกอย่างให้ลิซ่าหมดแล้ว พร้อมถึงบอกประวัติของเพลงพรรษให้เธอรู้ด้วย เมื่อได้รับรู้ลิซ่ารู้สึกเสียดาย ที่เพลงพรรษเป็นคนของฝ่ายตรงข้าม...เสียดายที่เด็กสาวคนนั้นจะเป็นเพียงแค่เกม ไม่ใช่คนที่ทำให้เมษรักษ์หวั่นไหวจริงๆ และหากอารดารู้ความจริงข้อนี้ เธออาจเสียความรู้สึกกว่าครั้งไหน

ถึงอย่างนั้นลิซ่าก็ยังรู้สึกเอ็นดูเพลงพรรษอยู่ไม่น้อย เพราะจากข้อมูลเพลงพรรษเป็นเพียงคนอาศัยของพสุธาเทพ ไม่ได้มีสายเลือดหรือความเกี่ยวข้องทางธุรกิจใดเลย...บางทีบทสรุปของเกมครั้งนี้อาจมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็เป็นได้ เลขาฯ สาวภาวนาให้เป็นอย่างนั้น

“ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่คิดว่าวันประมูลมันใกล้เข้ามาทุกที เราต้องรอบคอบให้มากเป็นพิเศษ คราวนี้เป็นงานใหญ่ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ แต่น้องก็น่าจะรู้ว่า สำหรับนราวิวัฒน์ฯ งานนี้เราพลาดไม่ได้ เราต้องชนะเท่านั้น”

“อืม...เค้าเข้าใจ พี่ชายไม่ต้องห่วง เราต้องชนะ...และจะชนะตลอดไป”

“สำคัญคือ เราต้องชนะโดยไม่สูญเสียอะไรนะน้อง จำคำพี่ไว้...พี่รักน้องนะ ต้องไปแล้ว ไว้ถึงที่นู่นพี่จะโทรมาหาอีกที” อารดาล่ำลาพี่ชายแล้วตัดสัญญาณ หันมองลิซ่าซึ่งส่งยิ้มน้อยๆ มารออยู่ก่อนแล้ว

“พี่ชายแปลกๆ นะคุณลิซ่า บอกดามาเลยนะว่ามีอะไรที่ดาควรรู้แต่ไม่รู้หรือเปล่า” ว่าพลางเอื้อมไปจับข้อมือทั้งสองข้างของลิซ่าไว้กันหนี

“ไม่มีนี่คะ พี่เมษเคยมีความลับกับคุณดาที่ไหนกัน อีกอย่างถ้าน้องดาเป็นน้องสาวยังไม่รู้แล้วลิซ่าเป็นแค่เลขาฯ จะรู้ได้อย่างไรล่ะคะ” ลิซ่าเริ่มชินกับการเรียกเมษรักษ์และอารดาอย่างนี้ เธอว่ามันก็น่ารักดี

รอยยิ้มหวานๆ ยามนี้ของลิซ่าอารดาเคยให้นิยามว่าเป็น ‘รอยยิ้มมืออาชีพ’ เหตุเพราะเมื่อเธอยิ้มแบบนี้กับใครความสงสัยในตัวคนๆ นั้นจะสิ้นสุดลง และต่อให้คาดคั้นอย่างไรก็จะไม่มีวันได้ความลับจากเธอ

ยกเว้นคนสนิทประดุจคนในครอบครัวอย่างอารดาที่ไม่ยอมหลงกลง่ายๆ

“อย่ามาพูดเลยค่ะ ดารู้หรอกว่าพี่ชายน่ะไม่เคยมีความลับกับคุณลิซ่าต่างหาก ถ้าคุณลิซ่าไม่พูดดาจะ...” ยังไม่ทันได้คาดโทษขั้นร้ายแรง ลิซ่าซึ่งนั่งหันหน้ามาทางอารดาก็เบิกตาโตพยักพเยิดให้คู่สนทนาหันหลังกลับไปมอง อารดาทำเสียงขัดใจแล้วยอมทำตาม “เฮ้ย! พรรษ!” ร่างบางสะดุ้งสุดตัวปล่อยมือจากลิซ่าเอาอัตโนมัติ

ลิซ่าได้ทีลุกยืนทิ้งระยะห่างไปสามก้าว อารดาเองก็ลุกเดินเข้ามาหาเพลงพรรษซึ่งมาหยุดยืนใกล้ๆ ด้วยท่าทางเหม่อลอย

“เอ่อ...พรรษมานานหรือยังจ๊ะ คุณลิซ่ากำลังสอนงานให้เราอยู่พอดี แหะๆ” ขณะถามก็เอื้อมมือไปจับไหล่เพื่อนเบาๆ นึกลุ้นในใจว่าเพลงพรรษจะได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอกับลิซ่าไหม

“เพิ่งมาถึงน่ะจ้ะ กำลังจะเข้ามาทัก ดาก็หันมาพอดี” เพลงพรรษพูดแล้วเหลือบมองไปทางลิซ่า ฝ่ายนั้นยิ้มสวยมาให้เหมือนครั้งแรกที่เจอกัน แต่สำหรับเพลงพรรษในวันนี้ ลิซ่าคือนราวิวัฒน์ฯ คนหนึ่ง ถ้ามองในมุมพสุธาเทพ ลิซ่าก็เป็นหนึ่งใน ‘ศัตรู’ สำหรับคุณปภาวี หากมองในมุมของเพลงพรรษที่กำลังถูกคำสั่งประกาศิตให้ล้วงความลับ...ลิซ่าก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกผิด หากต้อง ‘หักหลัง’

ยิ่งคิดใบหน้าสวยยิ่งเศร้าหมองคล้ายจะร้องไห้

ฝ่ายอารดาแอบระบายลมหายใจโล่งอกกับคำตอบของเพื่อนรัก แสดงว่าเธอไม่ได้ยินอะไรที่ไม่สมควรได้ยิน

“วันนี้พรรษเป็นอะไร ทำไมดูเศร้าจัง มีอะไรบอกเราสิ เราจะจัดการให้” อารดาถามด้วยความห่วงใย มือที่จับไหล่เปลี่ยนเป็นลูบขึ้นลงเบาๆ เพื่อปลอบขวัญ เพลงพรรษสบตาเพื่อนแล้วฝืนยิ้ม

คงมีอารดาเพียงคนเดียว ณ ที่นี้ ที่ไม่ใช่นราวิวัฒน์ฯ เพราะพวกเธอเข้ามาทำงานพร้อมกัน ถึงอย่างนั้นเพลงพรรษก็คิดว่าเธอไม่สมควรเล่าให้เพื่อนรักฟัง บางทีอารดาอาจรับไม่ได้ถ้าเพลงพรรษต้องทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง อีกอย่างเรื่องนี้สำคัญเกินกว่าจะเล่าใครได้

ความคิดแบบหญิงสาวแสนดีของเพลงพรรษ มักทำให้เธอโดนรังแกจากคนอื่นเสมอ การเป็นคนไม่เจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่เคยอาฆาตใคร ทำให้เพลงพรรษไม่เคยมองใครเป็นศัตรู แต่วันนี้คุณปภาวียัดเยียดให้นราวิวัฒน์ฯ เป็นศัตรูของเธอ…เธอควรทำอย่างไรดี ระหว่างบุญคุณกับความถูกต้องเธอควรเลือกสิ่งใด

“ไม่มีอะไรมากหรอกจ้ะดา เราแค่ไม่สบายใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง” พูดพลางฝืนยิ้มให้สดใสขึ้นอีกนิด อารดามองออกว่าความสบายใจของเพื่อนเกินคำว่านิดหน่อยมาไกลพอดู ถึงเพลงพรรษจะไม่ร่าเริงเท่าตนเอง แต่เพลงพรรษก็ไม่ใช่คนเศร้าสร้อยถึงเพียงนี้

“เอาล่ะ จะไม่สบายใจอะไรก็แล้วแต่ เมื่อมาอยู่กับอารดาคนนี้รับรองพรรษต้องดีขึ้นแน่นอน มามะ มากอดปลอบขวัญหน่อย” แล้วแขนเรียวทั้งสองข้างก็ดึงตัวเพื่อนมากอดเบาๆ ลูบหลังลูบไหล่อย่างอ่อนโยน

เพลงพรรษรู้สึกว่าก้อนตีบตันบางอย่างมาจุกอยู่ตรงลำคอ อ้อมกอดที่เธอคุ้นเคยที่สุดคืออ้อมกอดจากป้ามีน และมันห่างหายมาแสนนาน อีกอ้อมกอดที่อบอุ่นคืออ้อมกอดนางเอื้องผู้เป็นยาย...เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าอ้อมกอดจากเพื่อนอย่างอารดาก็อบอุ่นไม่แพ้กัน

ลิซ่ายืนเฝ้ามองเพื่อนรักทั้งสองคนห่างๆ สองความรู้สึกเกิดขึ้นในใจ คือดีใจที่อารดาเมื่อในอดีตซึ่งเฝ้าเก็บเนื้อเก็บตัวมีเพียงพี่ชายเท่านั้นเป็นเพื่อน บัดนี้ได้เจอเพื่อนถูกใจและแสนดีอย่างเพลงพรรษทำให้อารดาสดใสขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว อีกความรู้สึกคือสงสาร...เพราะไม่มีสงครามครั้งไหนหรอกที่ไม่เกิดการสูญเสีย ต่อให้เป็นฝ่ายชนะก็ย่อมต้องสูญเสียไม่ต่างจากฝ่ายผู้แพ้

ทว่าเส้นทางสายการต่อสู้ แก้แค้น แย่งชิง เมื่อก้าวเดิน ย่อมต้องไปให้ถึงจุดหมาย ไม่มีการหยุด หรือถอยหลังกลับ...ภารกิจของเธอคือช่วยนราวิวัฒน์ฯ ให้ลุล่วงเป้าหมายทุกทาง ไม่มีสิทธิ์แวะลังเลกับความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น

“ลิซ่าว่าเราขึ้นไปข้างบนกันดีไหมคะ ถ้าขืนยืนคุยกันตรงนี้นานๆ เดี๋ยวไม่ได้ทำงานกันพอดี” น้ำเสียงร่าเริงของลิซ่าขัดขึ้น ทำให้สองเพื่อนรักแยกออกจากกัน อารดาพยักหน้ารับแล้วจูงมือเพลงพรรษเดินไปยังลิฟต์ของผู้บริหาร

“เมื่อวานนะ เรางานยุ๊งยุ่ง ตอนบ่ายก็ต้องตาม ‘เจ้านาย’ ออกไปทำงานข้างนอกอีกเลยไม่ได้รอเจอพรรษตอนเย็น และไม่มีเวลาโทรหาด้วย พรรษเป็นไงบ้าง แล้วกลับบ้านยังไง” ฟังคำพูดของอารดาแล้วลิซ่าต้องหันหน้าเข้ามุมลิฟต์ด้วยอาการกลั้นยิ้ม...นี่ล่ะเจ้านายของเธอตัวจริง เริ่มปฏิบัติการ ‘หลอกถาม’ เพราะเมษรักษ์ไม่ยอมเล่า

เพลงพรรษมีอาการอ้ำอึ้งกับคำถามตอนท้ายของเพื่อน...จู่ๆ ทำไมหัวใจเต้นผิดจังหวะเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน เริ่มตั้งแต่ช่อดอกแก้วบนโต๊ะ เหตุการณ์ตรงระเบียง ร้านอาหาร...และหัวใจหญิงสาวเริ่มเต้นแรงเมื่อนึกถึงภาพศีรษะของเมษรักษ์ที่วางบนตักตัวเอง ความรู้สึกอุ่นๆ ยังเหมือนติดค้างอยู่ที่ขา มือที่สัมผัสเส้นผมหนาดกดำของเขายังแปลกๆ ไม่หาย แต่ที่ร้ายที่สุดคือ...แก้มที่ร้อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง

“พรรษ!”

“หือ!” คนตกในห้วงคิดสะดุ้งเมื่อเพื่อนกระตุกแขนเรียกเสียงดัง หญิงสาวทำหน้าเหลอหรา

“เป็นอะไร ทำไมยืนเหม่อขนาดนี้ แล้วร้อนเหรอหน้าแดงเชียว...หรือไม่สบาย” ว่าแล้วยกมือขึ้นทาบหน้าผากทาบแก้มเพื่อนอย่างห่วงใย พร้อมดึงให้ก้าวออกจากลิฟต์ด้วยกันเมื่อมาถึงชั้นผู้บริหาร

เพลงพรรษหลบตากลมโตที่จ้องเป๋งมายังตัวเอง ส่วนลิซ่าเดินอมยิ้มกลับไปประจำโต๊ะทำงานเรียบร้อย ถึงเมษรักษ์ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง ด้วยประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควรของเลขาฯ อย่างเธอพอจะเดาออกว่า เมื่อวานเมษรักษ์คงไม่มุ่งตรงไปส่งเพลงพรรษอย่างเดียวแน่

“มะ...ไม่มีอะไรจ้ะ เมื่อวาน...พี่เมษไปส่งที่บ้าน”

“ไปส่งถึงบ้านเลยใช่ไหม” น้ำเสียงอารดาค่อนข้างตื่นเต้น ยิ่งเมื่อเพลงพรรษพยักหน้า ฝ่ายนั้นยกกำปั้นขึ้นฉลองเยสทันที ท่าดีใจออกนอกหน้าทำให้เพลงพรรษมองด้วยอาการมึนงง “ไม่เสียแรงที่เปิดทางนะพี่เมษเนี่ย” รำพึงกับตัวเองแล้วยิ้มกว้างอย่างลืมตัว

“ดาว่าอะไรนะ เปิดทางอะไรเหรอ”

“อ้อ...เอ้อ...คือเราหมายถึงว่าทางเข้าบ้านพรรษน่ะมันดูเปลี่ยว พี่เมษไปส่งน่ะดีแล้ว เราจะได้ไม่ห่วงน่ะ แหะๆ ไปเถอะ ทำงานช้าเดี๋ยวโดนเจ้านายว่า เราไปทำงานก่อนนะ ตอนเที่ยงค่อยไปทานข้าวด้วยกัน” ไม่รอให้คู่สนทนาซักอะไรต่อ อารดารีบจ้ำอ้าวไปยังห้องทำงานปีกซ้ายทันที

เพลงพรรษยังไม่คลายความสงสัย แต่ก็ยอมเดินไปเข้าห้องทำงานใหญ่โดยดี พอเปิดประตูเข้าไปสิ่งแรกที่สายตามองเห็นคือโต๊ะทำงานตัวใหญ่ซึ่งว่างเปล่าผู้เป็นเจ้าของห้องตัวจริง ความรู้สึกแรกคือโล่งใจ เมื่อไม่ต้องเผชิญหน้ากับเมษรักษ์ ส่วนความรู้สึกถัดมาคือลำบากใจเมื่อนึกถึงคำพูดของคุณปภาวีที่มาดักรอเธอตอนเช้าเพื่อย้ำความต้องการของท่าน

‘อย่าลืมนะเพลงพรรษ เมื่อมีโอกาสเธอต้องรีบหาข้อมูลการประมูลงานมาให้เยอะที่สุด เร็วที่สุดยิ่งดี’

คนไม่เคยก้าวสู่ธุรกิจอย่างเพลงพรรษไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมต่างฝ่ายต่างไม่ทำในส่วนของตัวเองให้ดี ทำไมถึงต้องคิดใช้วิธีผิดต่อศีลธรรมกับคู่แข่ง อย่างนี้มันจะมีจุดสิ้นสุดหรือ?

ร่างบางเดินช้าๆ ยังโต๊ะทำงานของตัวเอง วางกระเป๋าและทรุดนั่งบนเก้าอี้ประจำตัว กลิ่นดอกแก้วอบอวลในตอนแรกเธอนึกว่ามาจากหลังระเบียง แต่เพียงเหลือบตามองถึงได้พบว่าเป็นดอกแก้วช่อสดใหม่ในแจกันเซรามิกใบเดิม

...พี่เมษไปต่างประเทศ หรือวันนี้จะเป็นคุณลิซ่านำมาวางให้...หญิงสาวคิดในใจ ก้มลงสูดดมกลิ่นหอมใกล้ๆ ให้ความรู้สึกสดชื่น

“น้องพรรษจ๊ะ...โอ๊ะ ขอโทษด้วยที่ทำให้ตกใจ” ลิซ่าซึ่งเข้ามาโดยไม่ได้เคาะประตูทำให้เพลงพรรษสะดุ้ง ใบหน้าเรียวหันมองลิซ่าแล้วหลบตาวูบ เพราะฝ่ายนั้นหลิ่วตาล้อเลียน เหลือบมองช่อดอกแก้วในแจกันแล้วแถมยิ้มกว้างมาให้อีก

“ไม่เป็นไรค่ะ พรรษมัวแต่เหม่อเองล่ะค่ะคุณลิซ่า” เพลงพรรษบอกเก้อๆ “ขอบคุณคุณลิซ่ามากนะคะสำหรับดอกแก้วเช้านี้ หอมดีค่ะ” คำขอบคุณบวกรอยยิ้มหวานของผู้ช่วยเมษรักษ์นั้น ลิซ่าอยากรับไว้ในอ้อมใจ แต่เธอก็ต้องยกความชอบให้กับเจ้าของดอกแก้วตัวจริงไป

“พี่เคยบอกน้องพรรษแล้วไงคะว่าคนที่มีสิทธิ์เด็ด มีแค่เจ้าของเขาคนเดียวเท่านั้นค่ะ” รอยยิ้มสวยจางลงเล็กน้อยเมื่อได้ฟัง “พอดีเมื่อเช้าก่อนไปขึ้นเครื่องพี่เมษแวะมาที่บริษัทน่ะค่ะ” ลิซ่าสื่อสารในรูปแบบที่เพลงพรรษเข้าใจว่าเธอต้องการบอกอะไร

ท่าทางอายจนไม่กล้าสบตาของสาวหวานทำให้ลิซ่าทอดมองด้วยสายตาพิจารณาไม่ได้ แว่วเสียงสั่งงานจากเมษรักษ์ดังก้องในหู

‘ถึงเธอจะดูไม่มีพิษภัยอะไร แต่หากมาจากพสุธาเทพเราก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น ดูแลอย่างใกล้ชิดนะคุณลิซ่า อย่าไว้ใจ อย่าชะล่าใจเด็ดขาด’

‘ถ้าไม่ไว้ใจขนาดนั้น ให้เขามานั่งในห้องสำคัญแบบนี้ทำไมคะ’ เลขาฯ สาวแกล้งตีหน้าซื่อ

‘จะได้อยู่ในระยะสายตาควบคุมได้ ขืนให้ไปอยู่จุดอื่น เราอาจพลาดได้’ เมษรักษ์ตอบหน้าซื่อเช่นกัน

...บอกว่าไม่ไว้ใจ ต้องคอยระวัง อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วใครหนอ...เอาดอกแก้วมาอ้อนสาวอย่างนี้...

“พี่เอางานมาให้น้องพรรษน่ะค่ะ พี่เมษฝากเอาไว้” ว่าแล้วก็นำแฟ้มไปวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเพลงพรรษ

“ขอบคุณค่ะ ความจริงคุณลิซ่าโทรมาบอกให้พรรษเดินออกไปเอามาเองก็ได้ค่ะ ไม่ต้องรบกวนให้คุณลิซ่าเดินมา” หญิงสาวกล่าวด้วยความเกรงใจ เรียกคะแนนเอ็นดูจากลิซ่าได้อีกโข

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เต็มใจเอามาให้เอง” ความจริงเธอต้องเข้ามาตรวจความเรียบร้อยตามที่เมษรักษ์สั่งด้วย “เดี๋ยวพี่ไปทำงานต่อก่อนนะคะ เอ้อ...ดอกแก้วสีขาวบริสุทธิ์อย่างนี้ เหมาะกับน้องพรรษมากนะคะ” สาวมั่นพูดทิ้งท้ายพร้อมขยิบตาให้อย่างน่ารัก เพลงพรรษยิ้มเฝื่อนๆ ตอบ

ดวงตาคู่สวยหันกลับมามองดอกแก้วอีกครั้ง...เหมาะกับเธออย่างนั้นเหรอ คนที่กำลังจะลงมือทำร้ายนราวิวัฒน์ฯ อย่างเธอไม่เหมาะสำหรับคำว่าบริสุทธิ์สักนิด...

ยิ่งคิดเพลงพรรษยิ่งเศร้าใจ เธอไม่ชอบกับการทำร้ายใคร หากก็ไม่อยากได้ชื่อว่า...เณรคุณ!




โปรดติดตามตอนต่อไป
น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ ^^





ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2554, 00:54:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2554, 00:54:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1961





<< oOo บทที่ 7 oOo   oOo บทที่ 9 oOo >>
คิมหันตุ์ 4 พ.ค. 2554, 08:24:56 น.
หนักใจแทนพรรษจัง....ซุยุ...เอาพี่ปรานต์ ไปเก็บที...ห้าห้า


Pat 4 พ.ค. 2554, 12:23:39 น.
จะทำอย่างไรดีน้อ


anOO 4 พ.ค. 2554, 16:10:05 น.
เดี๋ยวพรรษคงต้องปรึกษา น้องดาแน่เลย
แล้วน้องดาจะเข้าใจเพื่อนผิดไหมเนี้ย


roseolar 4 พ.ค. 2554, 16:47:58 น.
ซุยุจะมาคู่กับพี่ปราณต์แทนพรรษใ่ช่ม้า


ปัณณรี 4 พ.ค. 2554, 21:14:49 น.
มาไลค์จ้าน้องสาว (ที่น่ารัก) ^^"


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account