ภพรักรุ่งสาง
เมื่อปรีย์ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ๋..เพื่อนางฟ้าองค์นั้นที่เขาคิดว่าเป็นเนื้อคู่!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๕ เข้าสมาธิ

ในรถแท็กซี่คันเขียวเหลืองซึ่งอัดแน่นอยู่ท่ามกลางยานพาหนะบนท้องถนน ปรีย์ทอดสายตาออกไปนอกกระจกด้วยความผิดหวัง วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะครบสองสัปดาห์ตามคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับท่านพระภูมิ อุตส่าห์ทำดี อดกลั้นทุกสิ่งที่อยาก ทุกทางที่ยั่วยวนมาทั้งอาทิตย์ เช้านี้ถึงแม้จะยังไม่ได้ผิดศีลข้อไหนก็เถิด แต่ลางไม่ดีก็ส่อเค้าตั้งแต่เขานอนตื่นสายเป็นครั้งแรกในรอบสองสัปดาห์

ไม่นานมานี้ชายหนุ่มเริ่มจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วยการขึ้นรถประจำทางไปทำงาน เพราะเขาสามารถตื่นเช้าพอจะเผื่อเวลาไว้ได้ ทว่าวันนี้เขาต้องเปลี่ยนโปรแกรมขึ้นรถแท็กซี่กะทันหัน เนื่องจากอีกสิบนาทีจะถึงเวลาเข้างาน ให้มามัวรอสายรถเมล์หน้าปากซอยคงไม่ทัน

ลางร้ายซ้ำเติมยกที่สอง เมื่อโชเฟอร์ขับรถมาได้แค่เพียงครึ่งทาง รถก็ติดแหงกอยู่กลางถนน ปรีย์เดาว่าแยกหน้าไม่ก็แยกไหนแถวๆนี้ต้องมีอุบัติเหตุรถชนเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นรถคงไม่ติดยาวเป็นขบวนจนไม่มีวี่แววว่าจะได้ขยับเขยื้อนแบบนี้

ชายหนุ่มถอนหายใจพรืดใหญ่ เอนกายพิงพนักตรงเบาะหลังด้วยความเหนื่อยอ่อน เบนสายตามามองอีกฟากของกระจกหน้าต่าง เด็กขายพวงมาลัยหน้าตามอมแมม กับเสื้อเก่าขาดวิ่นกำลังจะเดินผ่านมาทางช่องว่างระหว่างรถเบ๊นซ์คันใกล้กับแท๊กซี่ที่เขานั่งอยู่

มาลัยช่องามเรียงรายเบียดแน่นบนราวไม้พาดบ่า บอกให้รู้ว่าตั้งแต่เช้ายังไม่มีลูกค้าใจดีเมตตาแบ่งค่าขนมให้หนุ่มน้อยผู้นั้นเลยสักคน จากครรลองสายตาส่งผ่านความรู้สึกดำดิ่งลงสู่ห้วงกลางใจ นัยน์ตาของปรีย์แลดูอ่อนโยนเมื่อภาพตรงหน้าเบนความสนใจของเขาไปโดยไม่ทันรู้ตัว

“วันนี้จะเอาอะไรกินล่ะเนี่ย เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย”

เขาเอ่ยรำพึงออกมาด้วยความสงสาร ลุงโชเฟอร์กำลังจะเอื้อมมือไปปรับแอร์ชะงักค้าง หันมามองด้านหลังอย่างสงสัยว่าชายหนุ่มนั่งบ่นกับใคร

“น้องๆ ทางนี้หน่อย พี่ขอซื้อมาลัยซักสี่พวง”

ปรีย์กดปุ่มเลื่อนกระจกลง แล้วยื่นหน้าตะโกนพร้อมกวักมือเรียกหนุ่มน้อยที่เกือบจะเดินเลยไป

ลุงโชเฟอร์ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความฉงน..หันกลับมามองพวงมาลัยที่แขวนอยู่หน้ารถของตนก็ยังสดใหม่ ไม่รู้ลูกค้าจะซื้อไปทำอะไรตั้งเยอะแยะ

เจ้าของพวงมาลัยแผงย่อมรีบหมุนตัวกลับเร็วจี๋ เมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนด้านหลัง ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความดีใจ รอยยิ้มเบ่งบานนั้นทำให้ปรีย์อดยิ้มตามด้วยความอิ่มเอมไม่ได้

“เอาสี่พวงเลยเหรอพี่” เด็กน้อยถามราวกับไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนได้ยิน
ปรีย์พยักหน้าหงึกหงักยืนยันคำพูดของตน

“พวงล่ะเท่าไหร่น่ะหนูน้อย”
“สิบบาทครับพี่” เด็กตัวเล็กจ้อยยังทำตาตื่นไม่หาย ปีติบางๆที่ได้เห็นความสุขของคนตรงหน้าทำให้ปรีย์รู้สึกจางคลายจากความหงุดหงิดเมื่อครู่ลงไปได้มากทีเดียว

ชายหนุ่มยื่นมือไปรับพวงดอกไม้กลิ่นหอมสะอาดมาถือไว้ทั้งสี่พวง พร้อมธนบัตรใบละยี่สิบอีกสองใบให้คนขายรุ่นจิ๋ว เด็กน้อยรีบกระพุ่มมือไหว้อย่างงาม น้ำตาคลอเบ้า ชายหนุ่มเอื้อมมือไปลูบหัวด้วยความเอ็นดู ก่อนผู้รับจะกระโดดโลดเต้นจากไปราวกับถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง

“ใจบุญนะพ่อหนุ่ม”
ลุงโชเฟอร์หันมาเอ่ยชมยิ้มๆ

“โอ..ไม่มั้งครับ ผมน่ะใจบาปจะตาย”
ชายหนุ่มสั่นหัวปฏิเสธคำชมด้วยท่าทางเขินๆ

“งั้นเรอะ..” ลุงโชเฟอร์คนเดิมหัวเราะ “แล้วจะซื้อไปบนศาลที่ไหนล่ะพ่อหนุ่ม”
คราวนี้คนใจบาปถึงกับอึกอักนึกคำอธิบายไม่ถูก

“เอ่อ..ก็” วูบหนึ่งอยากหาเหตุผลมั่วๆบอกปัดออกไปให้จบเรื่อง “ซื้อไปไหว้ศาล..”
“ศาลพระภูมิหรือ” สารถีผู้สูงวัยต่อให้

ชั่วขณะเพียงพริบตาเดียว ปรีย์รู้สึกเหมือนมีแรงหนักๆเสียดอกขึ้นมาจนจุก ชายหนุ่มระลึกได้ทันทีว่าเขากำลังจะผิดศีลข้อมุสา..แม้มันจะเป็นคำพูดที่ดูไม่สลักสำคัญอะไร หรือไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคนฟังมากนัก แต่เขาก็รู้สึกเหมือนจิตใจกำลังจะบิดเบี้ยว หากพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าออกไปโดยไม่ยั้งคิด

“เอ่อ..เปล่าครับ ซื้อเพราะอยากช่วยน้องเขา เที่ยงนี้จะได้มีตังซื้อข้าวกิน”
ลุงโชเวอร์โคลงศีรษะยิ้มขัน

“แหม่..ก็นั่นแหละเขาเรียกว่าใจบุญ”

ไฟแดงเบื้องหน้าสลับสีเปลี่ยนสัญญาณเป็นเขียวบอกให้รถเคลื่อนตัวออกสู่ท้องถนนอีกครั้ง ลุงคนขับจึงหันกลับไปมีสมาธิอยู่กับเครื่องยนต์พร้อมทำหน้าที่ต่อไป ทิ้งความสนใจจะเจรจากับลูกค้าหนุ่มหน้าขาวไว้เพียงเท่านั้น

กระแสเย็นระรื่นชโลมจิตแผ่รัศมีกว้างออกมาจากกลางอก ปรีย์แทบไม่อยากเชื่อตัวเองว่าร่างที่นั่งเบลออยู่ตรงนั้นคือเขา...ความรู้สึกอยากให้ผู้อื่นมีความสุขเมื่อครู่คือความรู้สึกจริงๆของเขา

และคนที่รู้จักยั้งคิด พิถีพิถันกับคำพูดโป้ปดแม้เพียงเล็กน้อยนั่น..ใช่เขาแน่แล้วหรือ!

มัวแต่เพลิดเพลินกับอารมณ์ปีติระหว่างเดินเข้ามาในลิฟท์ ปรีย์จึงไม่ทันสังเกตว่ามีเพื่อนคู่อริคนหนึ่งยืนยิ้มเหยียดๆอยู่ข้างกาย กล่องสี่เหลี่ยมทรงสูงลอยลิ่วขึ้นไปด้วยความราบรื่นจนกระทั่งถึงชั้นที่มีเพียงชายหนุ่มและเพื่อนร่วมงานคนนั้นยืนอยู่ด้วยกันแค่สองคน

“หน้าตายิ้มแย้มนะเดี๋ยวนี้ มีอะไรพิเศษเหรอ”

นพพลแสร้งถามทำหน้าเหมือนสงสัยจริงจัง หลังจากปรีย์ถูกผู้จัดการเชิญให้ออกจากที่ทำงานแห่งเก่า นพพลก็มีเหตุบังเอิญให้ต้องย้ายบ้านในอีกสามเดือนต่อมา เขาจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนงาน แล้วก็บังเอิญอีกเช่นกัน..ที่งานใหม่ของเขาทำให้มาพบเพื่อนผู้ไม่พึงประสงค์อย่างปรีย์

เมื่อเห็นว่าคนถูกเรียกยังทำหน้าเหม่อลอย อมยิ้มค้างเติ่ง นพพลจึงกระแอมไอกระตุ้นเตือนอีกสองรอบ พอดีกับลิฟท์ที่เปิดออกสู่ชั้นทำงานของปรีย์ ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงคุ้นหูทางด้านหลัง ก่อนหันไปมองด้วยรอยยิ้มที่เหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด

“แกว่าไงนะเมื่อกี้” ปรีย์ถามซ้ำ เพราะไม่ได้ยินจริงๆ
“ทำเป็นหูทวนลมเหรอวะ”

ชายหนุ่มหรี่ตาให้คู่อริที่เปิดฉากยียวนเขาก่อน ปรีย์พยายามข่มใจไม่พูดในสิ่งที่อยากพูดเต็มทน
“ฉันไม่อยากมีเรื่องกับแกหรอกนะ..ถ้าไม่มีอะไรสำคัญฉันขอตัวไปทำงาน”
ปรีย์รีบตัดบท หันหลังเดินหนี

“แกเปลี่ยนไปเยอะอย่างที่เขาลือจริงๆ” นพพลส่งเสียงยาวไล่หลัง เขายังหยุดยืนอยู่ที่เดิม
“เปลี่ยนเป็นขี้หงอ เรียบร้อยยังกับผ้าพับไว้ กลัวเจ้านายใหม่ไล่ออกแบบคุณธนาหรือไงวะ”

ปรีย์สะดุดกึกจนเกือบล้มหน้าคะมำ เสียงหัวเราะของนพพลยังตามสมทบประโยคสะกิดแผลนั่นอยู่เป็นระลอก เขาพยายามแล้วที่จะให้อภัยและมีเมตตากับทุกคนที่ขวางหน้า แต่สำหรับคนชื่อ “ธนา” ชายหนุ่มยอมรับเลยว่ายาก เขาทุเลาความพยาบาทที่มีต่อเจ้านายเก่าลงบ้าง ทว่าก็ไม่อยากได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคนคนนั้น หรือแม้แต่ชื่อแส้ชายหนุ่มคงต้องขอเวลาทำใจที่จะรับฟังโดยไม่รู้สึกอะไรอีกสักระยะหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม..เขายังไม่เคยลืมภาพสยดสยองในนรกภูมิวันนั้น ถ้าให้เลือกระหว่างการอดกลั้นไม่พูดสิ่งที่กำลังระเบิดอยู่ในใจ กับต้องตกนรกหมกไหม้เพราะคำพูดไม่ยั้งคิดของตน ปรีย์เลือกอย่างแรกจะดีกว่า

“ไง..เจ็บจี๊ดเลยล่ะสิ ฉันรู้ว่าแกไม่ทางให้อภัยเจ้านายเลือดเย็นคนนั้น”
ปรีย์ได้แต่นับแกะร้อยตัวในใจ..เจ้าคู่อริเก่าก็ช่างสร้างสรรค์ และรู้ลึกเกี่ยวกับอดีตของเขาเสียจริง

“เมื่อวานฉันเจอคุณธนาตอนอยู่ในลิฟท์ ยืนคุยกันสนุกเชียวล่ะกับเจ้านายคนใหม่ของแก” นพพลไม่เลิกล้มความตั้งใจ วีรกรรมที่เขาเคยโดนปรีย์กลั่นแกล้งตอนอยู่ที่ทำงานเก่ายังฝังลึกไม่หาย รู้แต่ว่าต้องทำอย่างไรก็ได้ให้คู่อริหน้าจืดคนนี้ไม่มีความสุขทุกครั้งที่มีโอกาส

“อยากรู้รึเปล่าว่าเขาพูดถึงแกว่ายังไง”
คราวนี้ปรีย์ไม่โง่ยืนฟังให้น้ำมันเดือดปุดๆเหมือนอย่างเคย เขาตัดสินใจได้ฉับพลันก่อนจะรีบวิ่งสี่คูณร้อยหายลับเข้าไปด้านในแผนก ปล่อยให้คนข้างหลังยืนเกาศีรษะขมวดคิ้วด้วยความงงงัน

“เป็นบ้าอะไรของมัน..ไอ้หัวปลี”


ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกทันควัน ปรีย์นึกว่าตัวเองจะรอดจากอุปสรรครักษาศีลห้าเหมือนสองสามวันที่ผ่านมา หากแต่วันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ศีลจะบริบูรณ์ก็มีเหตุพิสูจน์ใจประดังประเดเข้ามาจนแทบตั้งรับไม่ทัน

“นายปรีย์ ทำไมนายถึงมาเอาป่านนี้ สายมากเลยรู้มั้ย” พนักงานสาวหน้าใสที่นั่งโต๊ะทำงานติดกันกับเขา เดินตรงเข้ามาต่อว่าทันทีที่ชายหนุ่มเดินมาถึง

ปรีย์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูพบว่าเลยเวลาทำงานไปเกือบสองชั่วโมง เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวด้วยแววสำนึกผิด ก่อนเอ่ย

“ผมขอโทษนะ มันสุดวิสัยจริงๆ”
“อย่ามาแก้ตัวเลย โธ่เอ๊ย..เห็นมาเช้าอยู่ตั้งหลายวัน ไอ้เราก็วางใจ”
สาวเจ้าอารมณ์บูดจัดจนหน้าสวยใสยับยู่

“มีงานอะไรเสียหายรึเปล่า” ปรีย์รีบถามด้วยความเป็นห่วง
“เสียสิยะ ก็งานที่นายต้องให้ฉันตรวจก่อนส่งผู้จัดการตอนสิบโมงน่ะ นี่มันจะสิบเอ็ดโมงอยู่แล้ว”
หญิงสาวสาธยายเสียงเครียด

“แล้วเจ้านายว่าไงบ้างอะ ผมขอโทษจริงๆ คุณเลยพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“จะว่ายังไงล่ะ เย็นนี้หลังเลิกงาน..ผู้จัดการเรียกเราสองคนไปคุย”
สาวสวยยักไหล่ทำหน้าเบื่อโลกอย่างสุดขีด

“หยั่งงี้แหละ ฉันบอกแล้วว่าให้เตือนเขาตั้งแต่เมื่อวาน เธอไว้ใจคนแปลกหน้ามากเกินไปนะยัยนกยูง”

เสียงแหลมเล็กตะโกนมาจากโต๊ะทำงานเยื้องกับปรีย์เพียงไม่กี่คืบ ชายหนุ่มต้องนับหนึ่งถึงสิบอีกคำรบ คำนึงถึงศีล และท่องคำว่านรกจนขึ้นใจจนเกือบจะหมดวัน


ค่ำวันนั้นปรีย์กลับมานอนแผ่หราบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน เขาไม่เคยรู้สึกเหนื่อยแบบนี้มาก่อน เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ แต่เหนื่อยใจนี่สิหนักหนาพอตัว

หลังจากโดนเจ้านายเทศนาแกมตักเตือนเรื่องงานที่ส่งไม่ทันเวลา เพราะความไม่รับผิดชอบของเขา ชายหนุ่มก็ได้แต่นั่งทบทวนตัวเองตลอดการเดินทางกลับบ้านบนรถเมล์สายเก่า คราวนี้ไม่ได้มีผู้เดือดร้อนเพียงแค่เขาคนเดียว แต่เพื่อนร่วมงานสาวคนนั้นยังต้องมาร่วมชะตากรรม มีประวัติด่างพร้อยไปด้วย ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่นิดเดียว เห็นปากบ่นกับเขาอย่างนั้นเมื่อเช้า แต่เอาเข้าจริงสาวเจ้าก็มีน้ำใจล้นเอ่อ ยอมรับความผิดร่วมกันโดยไม่มีคำแก้ตัว ซึ่งหล่อนสามารถทำได้เต็มที่ หรือแม้กระทั่งจะโยนความผิดมาให้เขาคนเดียวยังไหว..แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะไม่ทำ

ปรีย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงตลอดวันที่ผ่านมา วันนี้มันวันอะไร..ขนาดขากลับรถยังอุตส่าห์ติดได้อีก กว่าจะมาถึงบ้านก็ปาไปหนึ่งทุ่ม อารมณ์บ่จอยมันทำให้เขาไม่อยากกินอาหารอะไรเลยสำหรับมื้อเย็น ความอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเกือบทำให้ปรีย์เคลิ้มหลับ ทว่าเสียงออดจากชั้นล่างกรีดโสตประสาทของเขาให้ต้องบิดขี้เกียจลงมาจากเตียงด้วยความไม่เต็มใจ

เมื่อวิ่งลงบันไดไปถึงชั้นล่าง ปรีย์ก็ไขแม่กุญแจออกจากประตูเหล็กก่อนจะใช้ฝ่ามือดันขึ้นไปจนสุด พบปรัชกำลังยื่นหน้าทำตากลอกกลิ้งพร้อมชูขวดสุรายี่ห้อดังขึ้นเหนือศีรษะ เจ้าของบ้านเห็นแล้วก็ทำหน้าเหวอราวกับเจอผีที่ไหนมายืนหลอกหลอน

“ไง ตกใจล่ะสิแก” ปรัชทักพลางหัวเราะลั่นบ้าน ปรีย์จำใจต้องเชื้อเชิญเพื่อนยากเข้ามานั่งบนโซฟาเก่าๆ อุตส่าห์ไม่รับโทรศัพท์ก็แล้ว ไม่ตอบเมลล์ก็แล้ว พยายามหลบหลีกช่วงเวลาประจำที่เพื่อนตัวดีชอบแวะมาหาเขาที่บ้าน แต่วันนี้คงผิดพลาดทางเทคนิค ปกติเขาไม่เคยเจอหน้าปรัชในยามหัวค่ำแบบนี้

“ฉันติดต่อแกไม่ได้เลย เสาร์อาทิตย์มาหาก็ไม่เจอ แกจงใจหลบหน้าฉันหรือไงวะไอ้ปรีย์” ปรัชร่ายยาวคิดบัญชี

“เออ..น่า ฉันแค่อยากมีเวลาเงียบๆอยู่กับตัวเอง ไว้ฉันพร้อมเมื่อไหร่แล้วจะไปหาแกถึงที่” ปรีย์ไม่อยากโกหก จึงต้องบอกเพื่อนรักไปตามตรง

“เวลาเงียบๆอะไรของแกวะ มีความลับกับฉันหรือเปล่า” ปรัชยื่นจมูกแหลมๆเข้าไปเกือบประชิดใบหน้าเพื่อนซี้อย่างจะเค้นความจริงให้ได้

“เออ..น่า ถึงเวลาค่อยบอก” เจ้าบ้านเลือกตอบแค่นั้น
“อะไรวะ..” คนช่างสงสัยขมวดคิ้วมุ่น

“แล้วนี่แกมาทำไม ไม่ไปอยู่กับสาว” ปรีย์รีบบอกเป็นเชิงไล่
“มาชวนแกดื่ม อยากไม่ไปเที่ยวกับฉันเองนี่ เลยพามาหาถึงที่”

“ไอ้เพื่อนเวรเอ๊ย..จะเอาฉันลงอบายให้ได้เลยนะแก”
ปรัชเลิกคิ้วฉงนกับคำพูดประหลาดของเพื่อนสนิท

“อบาย?..พูดอะไรของแก”
ปรีย์มองเพื่อนยากหยิบแก้วน้ำใบเก่าบนโต๊ะกลมใกล้มือมารินเหล้าแล้วส่ายหน้า

“ผิดศีลทุกวัน ตายไปตกนรกนะแก เพลาๆมั่งเหอะ ทั้งเหล้าทั้งหญิงน่ะ”
มือที่กำลังจะยื่นแก้วเมรัยให้เพื่อนถึงกับชะงัก ปรัชจ้องปรีย์นิ่งพยายามสำรวจหาความผิดปกติ

“กินยาลืมเขย่าขวดหรือวะไอ้ปรีย์”
ชายหนุ่มทำหน้าจริงจัง ไม่มีทีท่าจะรับสุรายี่ห้อดีไปดื่มเหมือนเคย

“แกต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” ปรัชเอ่ยอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง พลางกระดกแก้วกระเบื้องในมือขึ้นกรอกเหล้าใส่ปาก

เวลาผ่านไปพักใหญ่ ไม่รู้แขกยามค่ำคืนคนนี้มีเรื่องทุกข์โศกอะไรนักหนา ถึงเอาแต่รินสุราใส่แก้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งเหลือเพียงหยดเหล้าติดก้นขวด ปรัชเริ่มออกอาการหน้าแดง พูดจาไม่เป็นภาษา ปรีย์ก็ได้แต่ภาวนาให้หมอนี่กระดกน้ำเมรัยให้หมดเสียที เขาจะได้ไม่ต้องทรมานกลั้นใจตัวเองแบบนี้ ปากก็พูดว่าเพื่อนผิดศีล แต่เอาเข้าจริงชายหนุ่มเองก็ยังไม่ถึงขนาดใจแข็งพอกับสิ่งยั่วยวนกิเลสเบื้องหน้าสักเท่าใด ทุกครั้งที่ปฏิเสธสิ่งมอมเมาพวกนี้มาได้ ก็เพราะหลีกหนีแหล่งอบายมุขทั้งหลายไม่เฉียดกายเข้าไปใกล้ แต่นี่มาพิสูจน์ความแน่กันถึงที่ทีเดียว

ความทรงจำเก่าๆเริ่มผุดขึ้นเป็นระลอก เมื่อไม่นานมานี้เขาจำได้ดีว่าสนุกกับเครื่องดื่มมีแอลกอฮอลมากขนาดไหน รื่นเริงกับแสงสีเสียงในผับยวดยิ่งไม่ต่างจากปรัชเพื่อนรักของเขาเลย

ราวกับคนเริ่มเมารู้จังหวะพอดิพอดี ปรัชรินเหล้าหยดสุดท้ายลงแก้วจนหมด ทำทีเป็นวนแก้วเป็นวงกลมใกล้ปากตัวเอง สายตาเชิญชวนทรมานใจคนมีศีลเกือบบริสุทธิ์อย่างปรีย์ได้มาก ขนาดต้องกลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ สำนึกส่วนดีที่ฝึกฝนมาสองสัปดาห์คอยพร่ำบอกไม่ให้เขายื่นมือไปแย่งแก้วกระเบื้องนั้นมากระดกอย่างหิวกระหาย ทว่าภาพความสนุกเก่าๆกลับวนเวียนสลับไปสลับมากับความดีที่เพิ่งสร้าง

และวินาทีนั้นเอง ที่ปรัชยื่นแก้วเข้ามาตรงหน้าชายหนุ่มอย่างไม่ทันตั้งตัว สัญชาติญาณเก่าสั่งให้ปรีย์ยื่นมือไปรับมาสนองกิเลสตนให้เต็มปรี่ เขาเกือบเสียที หมดโอกาสแก้ตัวไปแล้ว หากเสียงโทรศัพท์ตั้งโต๊ะข้างโซฟาไม่ดังลั่นขึ้นปลุกสติสัมปัชชัญญะ

ปรีย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่รู้ว่าเสียดายหรืออะไร แต่เขาก็เอื้อมมือไปยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู ไม่ทันได้กรอกเสียงลงไป หัวใจก็แทบกระตุกวูบ

“อย่าดื่มนะ ถ้าคุณยังอยากพบฉันอีก”
เสียงกังวานใสราวเสียงสวรรค์ทรงโปรดในเวลาอันประจวบเหมาะ..

ปรีย์จำได้ดีว่าเป็นเสียงของเธอคนนั้น


ในห้องสี่เหลี่ยมไม้กระดานของอีกมิติ ชายหนุ่มยิ้มยินดีเมื่อหลังเที่ยงคืนวันนั้นได้พบกับท่านพระภูมิเทวาอีกครั้ง..

ผู้ทรงศีลนั่งขัดสมาธิรออยู่แล้วตรงใจกลางห้อง ท่านทอดมองเขาด้วยประกายแห่งความสุข ยิ้มน้อยๆในหน้า

“ดีใจที่ได้พบเธออีก..พ่อหนุ่ม”
ปรีย์รีบคุกเข่าคลานเข้าไปหมอบกราบแทบเท้าผู้มีพระคุณ

“ใจเย็นๆ ฉันไม่ใช่พระนะ ไม่ต้องกราบสามครั้งก็ได้” พระภูมิเทวาหัวเราะเบาๆ เสียงกังวานไปทั่วห้อง

“ผมนึกว่าจะไม่ได้มาหาท่านเสียแล้ว คืนนี้ผมเกือบพลาด”
ชายหนุ่มบอกเล่าเรื่องราวทดสอบใจด้วยความโล่งอก

“นางฟ้าอัปสราไปช่วยเธอทันนี่” ผู้ใจบุญช่วยต่อให้
“ท่านรู้..”

พระภูมิพยักหน้าช้าๆเป็นเชิงตอบรับ
“ครับ..ถ้าเธอไม่ไปช่วยผม ศีลคงไม่บริสุทธิ์แน่ๆ”

“เอาเถอะ..ผ่านมาได้ก็ถือว่าสั่งสมเหตุปัจจัยไว้ดีแล้ว” ท่านเจ้าที่เพ่งพินิจสายตาลงมองปรีย์ด้วยความเนานิ่ง

“ถึงเวลาแล้ว ฉันจะช่วยเธอรื้อฟื้นความทรงจำ”
ปรีย์เลิกคิ้วประหลาดใจ

“ความทรงจำอะไรหรือครับ”
“เธอมีของเก่าอยู่แล้วเมื่อสองชาติก่อน คืนนี้คงไม่ยากหากตั้งใจทำตามที่ฉันบอก”

แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่พระภูมิบอกมากนัก แต่ปรีย์ก็สูดหายใจลึกเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า

“นั่งตัวตรงในท่าสบาย เธอจะนั่งขัดสมาธิแบบฉันก็ได้ถ้าไม่เมื่อย แต่สำคัญว่ากายต้องสบาย” ผู้ทรงศีลเริ่มสอน

ชายหนุ่มปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย เขาเลือกนั่งขัดสมาธิขาขวาทับขาซ้าย
“มือจะวางยังไงก็แล้วแต่เธอถนัดนะ”

ปรีย์เลือกเอามือขวาทับมือซ้าย แบบท่านพระภูมิทุกประการ

“อืม..ทบทวนตัวเองให้ทั่วพร้อม..ว่ากายสบาย ไม่เกร็งฝืนตรงส่วนไหน”

ชายหนุ่มพยายามตรวจสอบตามคำแนะนำของผู้วิเศษ ก็พบหัวไหล่ข้างซ้ายยังเกร็งๆ จึงค่อยผ่อนคลาย แปลกที่เขาไม่เคยชอบนั่งขัดสมาธิอะไรแบบนี้ แต่ทำไมจึงรู้สึกเหมาะเจาะ ไม่มีฝืดฝืนเลยแม้สักนิด..เสมือนเป็นท่านั่งที่เคยคุ้นมานาน แต่ก็นึกไม่ออกว่าไปคุ้นมันตอนไหน

“ตัดความสงสัยออกไป ปล่อยใจให้เบาสบาย”

พระภูมิเทวาเอ่ยเตือน เหมือนกับอ่านใจเขาออก ปรีย์ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามตัดความกังวลสงสัยออกไป

“อย่าลืมสำรวจบริเวณใบหน้า..หน้าผากยังย่นอยู่ไหม คิ้วขมวดอยู่หรือเปล่า ริมฝีปากเม้มแน่นเกินไป..เปลือกตาบังคับฝืนให้ปิดสนิทเกินธรรมชาติหรือไม่”

ปรีย์สำรวจทุกอย่างไล่เรียงไปเรื่อยๆ ก็พบว่าทั่วทั้งใบหน้าของเขาผ่อนคลายปราศจากความตึงเครียด

“ถ้าแน่ใจว่าผ่อนคลายทั่วทั้งกายดีแล้ว ก็เอาจิตมาจับไว้ตรงปลายจมูก”
พระภูมิเห็นปรีย์ขมวดคิ้วย่นก็พอรู้ว่าคงไม่เข้าใจกับคำบางคำ ท่านจึงขยายความให้

“เอาความรู้สึกจับไว้ตรงปลายจมูก พอสัมผัสได้ลมหายใจออกแผ่วเบารดผ่าน”

ชายหนุ่มจึงค่อยคลายความข้องใจ ลมอุ่นๆระบายยาวออกมา รดจุดกึ่งกลางตรงปลายจมูก ไล่เลยไปจนเหนือริมฝีปากด้านบน

“อืม..ดีแล้ว ต่อจากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึกจนท้องป่องออก แต่ไม่ยังไม่ต้องไปเพ่งจับที่ลมหายใจเข้า”

ปรีย์ทำตามคำบอก จนหน้าท้องป่องพองไปจนสุด ไม่เพ่งจับลมหายใจเข้า

“ค่อยๆผ่อนลมออกมา ไม่ต้องรีบร้อน คราวนี้เอาความรู้สึกไปจับอยู่ที่ลมออก แต่ไม่ต้องถึงกับเพ่งจนเครียด”

ชายหนุ่มทำตามอย่างราบรื่น ไม่มีติดขัด

“นั่นแหละดี...ถัดจากนี้เอาจิต หรือความรู้สึกแยกไว้ต่างหาก สังเกตลมหายใจเข้าออกตามธรรมชาติของมัน ไม่ต้องบังคับลม”

ผู้ทรงคุณอธิบายเนิบช้า เฝ้าสำรวจอากัปกิริยาของมนุษย์ตรงหน้าด้วยความเอาใจใส่
“หายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่ายาว หายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่าสั้น..หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่ายาว หายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่าสั้น”


เริ่มแรกปรีย์รู้สึกว่าลมหายใจตัวเองยาวบ้างสั้นบ้างคละเคล้ากันไป แต่เขาก็พยายามไม่ฝืนบังคับลมให้เป็นไปตามที่ใจอยาก

“สำคัญคืออย่าบังคับลม..ทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ดี ให้รู้ว่าธรรมชาติของกายลมนั้นเป็นอย่างไร กายเนื้ออย่าลืมผ่อนคลาย หากรู้สึกส่วนไหนขมวดตึง หรือกำเกร็งให้รีบผ่อนคลายตรงจุดนั้นก่อน แล้วค่อยกลับไปสังเกตลมอีกครั้ง”

ปรีย์ไล่ทบทวนทุกอย่างตามที่ท่านพระภูมิเทวาชี้แนะ เขาพบว่าทุกส่วนยังปกติดี จึงจับลมแบบสังเกตการณ์ต่อไป สัมผัสถึงความนิ่งสงบในใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“รู้สึกอย่างไร ก็ปล่อยมันไป อย่าเพิ่งตื่นเต้น”

ผู้ทรงศีลรู้ทันทุกห้วงอารมณ์ของเขาอีกตามเคย ท่านปล่อยให้ปรีย์สังเกตลมเข้าออกอย่างอิสระสักพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าเขาเริ่มจับธรรมชาติของลมได้ถูกต้องแล้ว จึงค่อยๆอธิบายต่อ

“คราวนี้สังเกตเพิ่มอีกหน่อย ว่าลมแบบไหนทำให้กายสบาย แบบไหนทำให้กายตึงเครียด แต่ละจังหวะไม่เหมือนกัน”

ชายหนุ่มทำตามจนเริ่มรู้จังหวะว่าช่วงไหนควรผ่อนออกยาว ช่วงไหนควรผ่อนออกสั้น และช่วงไหนควรดึงเข้ายาว ช่วงไหนควรดึงเข้าสั้น

“ระวังอย่าบังคับฝืน..ถ้าสังเกตดีแล้ว ก็ค่อยๆปรับลมหายใจอย่างนุ่มนวล แบบไหนทำให้กายสบายก็ให้รักษาลักษณะลมนั้นไว้ให้คงที่”

ชายหนุ่มสังเกตตาม พร้อมปรับลมให้พอเหมาะแก่สรรพางกาย ครู่เดียวทั่วทั้งร่างก็เริ่มผ่อนคลายอย่างเต็มที่ มีไออุ่นๆผุดขึ้นตรงกลางหน้าอก

“สัมผัสความรู้สึกไปที่ลมเข้าผ่านลึกจนถึงคอหอยและหลอดลม หายใจออกสัมผัสแผ่วที่ปลายจมูกกับลมอุ่นๆ ความนึกคิดใดๆแวบผ่านเข้ามาก็ให้รู้ทัน แล้วตั้งสติกลับมาสังเกตลมเหมือนเดิม”

มีความคิดนึกปรุงแต่งเรื่องอื่นแวบผ่านเข้ามาระยะสั้นๆ ปรีย์พยายามรู้ทันแล้วกลับไปจับลมหายใจตามเดิม

“นิวรณ์ทั้งห้า คืออุปสรรคเครื่องกั้นขวางความสำเร็จของการทำสมาธิ” พระภูมิเทวาอธิบายด้วยความเข้าใจผ่านประสบการณ์ตรง

“ท่านอัปสรา ถึงได้บอกให้เธอคอยเจริญเมตตา ไมตรี และละความพยาบาท ทำอย่างนั้นเพื่อนำมาเสริมกำลัง..ตัดเครื่องกั้นขวางของสมาธิ”
ปรีย์นิ่งฟังด้วยความผ่อนคลาย ไม่ลืมสังเกตพร้อมปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ เหมาะสม

“กามฉันทะคือศัตรูประการที่หนึ่ง ตัดความตรึกนึกถึงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันน่าพึงพอใจไปเสีย หากนึกถึงมันขึ้นมาก็ให้รู้ทัน แล้วกลับไปมองลมหายใจ..”


ท้องเริ่มร้อง ภาพอาหารจานโปรดลอยเข้ามาในห้วงคำนึง ด้วยความที่ไม่ได้กินมื้อเย็น จึงมีมารเข้ามาขวางกั้นในเบื้องต้น แต่ปรีย์ก็ยังพอรู้ทัน แล้วหันกลับมาให้ความรู้สึกกับลมดังเดิม

“พยาบาท..ความเกลียดโกรธ โทษแค้น คอยระวังรักษาอย่าให้มันเขามากล้ำกรายในจิตใจ หรือถ้ามีก็ให้รู้ทันไปตามธรรมชาติ แล้วกลับมาสังเกตลมเหมือนเดิม”

ประเด็นที่สองเขามีนึกเข้ามาแวบเดียว เป็นชื่อของเจ้านายเก่า แต่ก็รีบตัดความทรงจำนั้นทิ้งไป ด้วยความรู้ทันว่าถ้าปล่อยให้มันครอบงำ ใจเขาต้องร้อนรุ่มไม่เป็นอันทำอะไรแน่นอน

“ความฟุ้งซ่านวกวน ไม่เป็นสาระ จะเรื่องงานที่ได้ทำมาทั้งวัน หรือจะเป็นข่าวสารตามสื่อที่ได้ยินผ่านหู ความทรงจำในอดีต ความเพ้อฝันถึงอนาคต พยายามรู้ทันมันให้ได้ แล้วตัดทิ้งให้เหลือเพียงลมหายใจเข้าออกเป็นหนึ่งเดียว”

ความวุ่นวายที่เขาเจอมาทั้งวัน ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกคิดปรุงแต่งวกวนในหัว นานทีเดียวกว่าจะพอรู้ทัน ชักความรู้สึกกลับเข้าสู่ลมหายใจเสียได้

ชั่วอึดใจต่อมา เมื่อทุกสิ่งเริ่มปลาสนาการหายไป ความสงสัยก็เริ่มเข้าครอบงำ..พระภูมิให้เขานั่งดูลมหายใจไปเพื่ออะไร ในเมื่อทุกวันเขาก็เคยชินกับมันอยู่แล้ว

“ความลังเลสงสัย..เป็นธรรมดาของปุถุชนที่จะเกิดมีระหว่างการทำสมาธิ”

ปรีย์สะดุดกึกทันที รีบตัดความสงสัยอันนั้นออกไป ต่อจากนี้ต้องระวังแม้แต่ความคิดเล็กน้อย เพราะสำเหนียกดีแล้วว่าผู้วิเศษตรงหน้าอ่านจิตเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งทีเดียว

“จิตที่เป็นปกติย่อมน้อมนำให้เข้าสมาธิได้โดยราบรื่น” ผู้ทรงศีลอธิบายต่อ “เธอจึงจำเป็นต้องถือศีลห้าให้บริสุทธิ์ เพื่อสำรวมการกระทำทางกาย วาจา..และเมื่อนั้นก็ส่งผลโดยตรงมาที่จิต จิตย่อมเป็นปกติเมื่อมีศีลห้าบริบูรณ์”

นั่งตามลม นิ่งฟังไปเรื่อย เวลาผ่านไปอีกหลายลมหายใจเข้าออก ปรีย์เริ่มง่วงงุน ทำท่าจะโอนเอนโย้ไปข้างหน้า เย้ไปข้างหลัง สติเริ่มเขวออกจากลมที่เคยจับไว้แน่วนิ่ง

“ความง่วง เป็นธรรมดาอีกข้อที่เธอควรระวัง คราวนี้ตั้งสันมือข้างขวาขึ้นบนตัก แล้วคว่ำหงายสลับกันแบบเร็วๆ เปลี่ยนอารมณ์ไปจับที่กึ่งกลางสันมือชั่วคราว”

ปรีย์ทำตามอย่างเป็นธรรมชาติ ครู่เดียวก็เริ่มหายง่วง มีกำลังสติจับอารมณ์เดียวตรงสันมือไว้ได้มั่นคง ความเคลื่อนไหวรัวเร็วของกาย ทำให้พละกำลังในการทำสมาธิกลับคืนมาง่ายดาย

“หายง่วงแล้ว ก็เอาความรู้สึกกับมาอยู่ที่ลมเหมือนเดิม รักษาความปลอดโปร่งของกายลมให้สมดุลกับกายเนื้อ ทำไปเรื่อยๆ ถ้าง่วงอีกก็ทำแบบเมื่อกี้สลับกันไปนะ”

ชายหนุ่มทำตามคำบอกอย่างเรียบรื่น เขาไม่รู้สึกง่วงอีกแล้ว อารมณ์สมาธิมั่นคงอยู่กับลมหายใจแทบไม่กวัดแกว่ง จนกระทั่งเวลาเคลื่อนผ่านไปเกือบชั่วโมง

พระภูมิเทวานิ่งมองศิษย์เอกด้วยความพึงพอใจ รูปการที่เห็นตรงหน้าใกล้บรรลุผลเข้าไปทุกที

ลมหายใจของปรีย์เริ่มเป็นหนึ่งเดียวแนบแน่น ความรู้สึกถึงการมีอยู่ของกายส่วนอื่นค่อยๆหายไป พลังจิตพอกพูนเป็นผนึกกับลมหายใจอย่างยิ่งยวด ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนคลำทางเก่าพบผุดขึ้นในห้วงมโนสำนึก ปรีย์คลับคล้ายคลับคลาว่าตนเคยผ่านจุดนี้มาแล้ว..แต่ไม่ใช่ในชาตินี้

เสียงกังวานของท่านพระภูมิเริ่มแผ่วจางไปจนกระทั่งเงียบสนิท ชายหนุ่มไม่ได้ยินส่ำเสียงใดเลย แม้แต่ความคิดในหัว ปีติบังเกิดแผ่ซ่านตั้งแต่กลางอก ขยายออกจนทั่วทุกขุมขน ขนลุกซู่อย่างยากจะควบคุม ไออุ่นฉาบทาแฝงความนิ่งเย็นภายใต้สมาธิอันเอกอุ

มีความตื่นใจกับสภาพดังกล่าวเพียงครู่เดียว ก็เริ่มคุ้นชินกับสภาวะนั้นจนเหลือแต่ความสุขสงบกลมกลืนเป็นเหนึ่งเดียว ไม่มีความซาบซ่านอย่างเก่าหลงเหลืออีกเลย เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดไม่รู้ ชายหนุ่มรู้สึกมีความสุขยิ่งกว่าความรื่นรมย์ไหนๆบนโลกมนุษย์ มันเป็นความรู้สึกประหลาดซึ่งอยู่เหนือวิสัยของอัตภาพเก่าๆที่เขาเคยพบเจอตั้งแต่ลืมตาดูโลก

ปรีย์หฤหรรษ์กับความสุขเย็นแบบใหม่อยู่เป็นครู่จนอิ่มเอิบทั่วทั้งกายใจ ลมที่รักษาเอาไว้แต่แรกเริ่มปราศนาการไปจากความรู้สึก ชั่ววูบชายหนุ่มรู้สึกกระตุกที่ใจด้วยความตื่นกลัวกับสภาวะที่ตนสัมผัส มันเหมือนร่างทั้งร่างถูกกลืนหายไปกับอากาศ ลมหายใจเริ่มขาดเหมือนคนไม่มีชิวิต

“ไม่ต้องกลัว...นั่นเป็นภาวะของฌานอย่างหนึ่ง ปล่อยวางความกังวลทิ้งไป แล้วเตรียมพร้อมกับแสงสว่างที่กำลังจะมาถึง” เสียงกังวานทุ้มของพระภูมิเทวาแทรกเข้ามาในจังหวะพอดี ปรีย์มีสติรู้ทันความ่กลัวในชั่วขณะหนึ่ง


และก่อนสมาธิจะดำเนินจนเข้าขั้นอุเบกขาภูมิ แสงสว่างเรืองรองก็ฉายวาบขึ้นมาในห้วงมโนทวาร มันเป็นแสงสว่างอันจัดจ้ากว่าที่เขาเคยพบเคยเห็นในโลกมนุษย์ แต่ก็มีไออุ่นและความนุ่มนวลแห่งรัศมีกลมกลืนแบบทำให้มองแล้วสบายตา มหาปีติแผ่เต็มหัวใจ ณ เวลานี้ ปรีย์รู้สึกเหมือนกำลังลืมตาอยู่ในความว่าง..เป็นสุข..สงบเย็น เหลือคำใดๆจะพรรณนาได้

อำนาจความสว่างค่อยๆแผ่กระจายไปรอบทิศ ขยายออกจากศูนย์กลางคือตัวเขาที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางอากาศ เพียงพริบตาเดียวสถานที่มโหฬารแห่งใหม่ก็เริ่มปรากฏเข้าสู่ครรลองสายตา เงาสะท้องสีทองเรื่อเรืองระยิบระยับรายรอบ เครื่องประดับทุกชิ้นดุจแก้วเจียระไนเนื้อดีหาที่เปรียบได้ยากในโลกไหนๆ แจกันตรงหน้ามีดอกไม้หน้าตาประหลาดปักอยู่ ทว่าสีสันและความคมชัดของมันทำให้ปรีย์นิ่งมองด้วยความตื่นตะลึง กลิ่นหอมจรุงใจอันเคยคุ้นเมื่อครั้งพบเจอนางสวรรค์ลอยมากระทบนาสิก

บางที..เขาอาจไม่ได้ใช้ดวงตาอันเป็นวัตถุหยาบเพ่งมอง

หากแต่ใจบริสุทธิ์เท่านั้น..ที่จะเข้าถึงได้
ในสัมผัสแปลกใหม่ครั้งนี้!








ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2555, 21:51:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2555, 21:58:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1017





<< บทที่ ๔ พิมพ์ลดา   บทที่ ๖ ดาวดึงส์ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account