ภพรักรุ่งสาง
เมื่อปรีย์ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ๋..เพื่อนางฟ้าองค์นั้นที่เขาคิดว่าเป็นเนื้อคู่!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๖ ดาวดึงส์

หลังจากชื่นชมผนังห้องสี่เหลี่ยมกว้างใหญ่ประกายเลื่อมทองไปแล้ว ปรีย์ก็เริ่มเดินสำรวจเฟอร์นิเจอร์เกือบทุกชิ้นอย่างละเอียด ราวกับจะบันทึกภาพเหล่านั้นไว้เป็นความทรงจำไม่ให้หล่นหายแม้เพียงเศษเสี้ยว

ห้องที่เขาโผล่ขึ้นมายืนอยู่ในขณะนี้จัดแต่งคล้ายห้องรับรองแขกตามบ้านมหาเศรษฐีในโลกมนุษย์ ทว่าจรัสแสงพราวระยับมากกว่า จนไม่อาจเปรียบเทียบกันได้

เก้าอี้ตัวยาววาววามคล้ายทำจากแก้วทั้งชิ้น พินิจดูใกล้ๆกลับพิเศษกว่านั้น ผลึกหลายรูปทรงสะท้อนแสงออกมาจนต้องตะลึงมอง ตรงขอบพนักพิงเหมือนประดับด้วยเพชรกะรัตงามเหนือคำบรรยาย ไม่ว่าโต๊ะ ตู้ หรือเครื่องเรือนชิ้นไหนก็เหมือนถูกประดิดประดอยมาอย่างประณีตด้วยผลึกแก้วเจียระไนเนื้อดี ปรีย์เชื่อทีเดียวว่าสถาปนิกผู้ออกแบบผลงาน และผู้สร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาต้องหาได้ยากบนโลก หรืออีกที..คือหาไม่ได้เลย

สีสันที่สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาของชายหนุ่มล้วนมีความนวลลออ ส่งกระแสฉ่ำเย็น บริสุทธิ์ และสะอาด เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นหากมองแค่เพียงรูปทรง การจัดวาง ก็ไม่ต่างจากมิติเดิมที่เขาเคยพบเท่าใดนัก ทว่าทุกสัมผัสซึ่งกระทบจักขุวิญญาณผ่านครรลองสายตานั้นเปี่ยมไปด้วยรัศมี ความสว่างไสวแผ่ขยายออกมาจนกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันไปทั่วอาณาบริเวณ

สัมผัสทางใจบอกเขาว่า..นี่ไม่ใช่โลก!

ปรีย์เดินระเรื่อยจนหยุดตรงขอบหน้าต่างกรอบทอง เขาเอื้อมมือไปลูบไล้ม่านสีขาวสะท้อนครามอร่ามเรือง ความนุ่มลื่นทำให้ชายหนุ่มเคลิ้มหลงกับสัมผัสทางกายจนต้องหลับตา ครู่หนึ่งมีลมอ่อนอุ่นพัดผ่านมาปะทะใบหน้า ปรีย์สูดหายใจเข้าเต็มปอดได้ความสดชื่นยิ่งกว่าที่พักตากอากาศชั้นดี หรือโอโซนแห่งไหนที่เขาเคยเจอยิ่งนัก พระพายศักดิ์สิทธิ์นี้ช่างละเมียดละไม ราวกับจะหล่อเลี้ยงชีวิตเขาให้สุขสำราญไปทั่วสรรพางกาย

เปลือกตาสีขาวขยับขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อรับรู้ถึงแสงสว่างจากทิศเบื้องหน้า รุกขชาติเขียวขจีท่ามกลางละอองหมอกขาวนวลกระจายรัศมีสีทองสาดส่องไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ณ ทัศนียภาพอันทอดยาวไปไกล ปรีย์แลเห็นยอดเขาสูงใหญ่ตั้งตระหง่านตรงใจกลาง จุดประกายกลายเหลี่ยมที่โปรยปรายอยู่โดยรอบ พินิจคลับคล้ายกระรัตเพชรผสมอัญมณีสูงค่าที่ปรีย์ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน

ละจากการชื่นชมทิวทัศน์อร่ามตาตรงขอบหน้าต่างกรอบทอง ปรีย์ก็สืบเท้านิ่มนวลย่ำไปบนพื้นห้องที่ใสกระจ่างราวกระจก ทว่าเย็นรื่นไล้ผิวเบื้องบาทจนแทบอยากหยุดยืนรับความสำราญอยู่อย่างนั้นไม่เคลื่อนไปไหน โคมระย้าบนเพดานเหนือศีรษะบริเวณกึ่งกลางห้องส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง ระยับแสง ทำให้ชายหนุ่มต้องแหงนหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะผินหน้าไปสนใจกระจกทรงโบราณบานใหญ่ที่ล้อมกรอบด้วยลายกุหลาบขาวขึ้นเงาวับ ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่เพียงสามก้าวเดิน

กลิ่มหอมหวนราวกับขจรขจายมาจากกลีบกุหลาบดอกสวยซึ่งเกี่ยวกระหวัดกรอบกระจกบานสูงจนถึงขอบโต๊ะ ปรีย์นึกเดาว่าวัตถุที่เห็นเบื้องหน้า คงเป็นโต๊ะเครื่องแป้งที่นางสวรรค์ผู้เป็นเจ้าของใช้นั่งตบแต่งเรือนกาย เก้าอี้แก้วพราวใสหน้าโต๊ะติดกระจกบานนั้นเหมือนมีแรงดึงดูดให้เขาอยากหย่อนกายลงนั่ง แพรพรรณเนื้อดีสีฟ้าครามห่มคลุมพาดพนักพิงทำให้เขาสบายแผ่นหลังเหลือคณายิ่งนัก

เสียงกระแอมไอดังขึ้นจากทางด้านหลัง เงาร่างของผู้หญิงดวงหน้างดงามผิดมนุษย์ปรากฏยืนอยู่ในเงากระจกถึงสองคน ปรีย์หันขวับกลับไปมองที่มาของเสียงและภาพซึ่งไม่ได้รับเชิญด้วยความตกใจ

“สวัสดีจ้ะ..แขกวีไอพี”

ผู้มาใหม่เอ่ยทักประสานเสียงเป็นประโยคเดียวกัน ปรีย์เงยหน้ามองสองสาวที่บัดนี้ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เขารู้สึกตอนนี้ร่างทั้งร่างชาวาบไปหมด กระดุกกระดิกไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“เอ..เป็นใบ้รึเปล่าน้า” นางหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางหันไปทำท่าปรึกษากับสหายอีกคน

“ฉันว่าเขากำลังตื่นเต้นมากกว่านะนาคิน” คู่หูให้ข้อเสนอแนะ

“งั้นหรือ อืม..คงงั้นมั้ง” นาคินหัวเราะคิกคักสุรเสียงกังวานลั่นทั่วทั้งอาณาเขต หล่อนพยักเพยิดให้เพื่อนอัปสรดูมนุษย์ตรงหน้า “ดูสิ..หน้าซีดเป็นกระดาษเลย”

อนงค์นางอีกคนได้แต่ยิ้มในหน้า นิลเนตรวาววามทอดมองมายังชายหนุ่มด้วยแววเมตตา ทำให้ปรีย์ค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง เขาเรียกลมหายใจที่หายไปชั่วครู่กลับคืนสู่ปอดอย่างนุ่มนวล อารมณ์หนึ่งเดียวที่เป็นราวเกาะชั้นดีให้กับสติ ทำให้เขาสีหน้าเหมือนปกติมากขึ้น ชายหนุ่มค่อยๆยันตัวยืนตรง ค้อมศีรษะให้นางทั้งสองด้วยความเคารพ

“ท่านเป็นนางฟ้า เหมือนอัปสราใช่ไหมครับ” ปรีย์เอ่ยถามเสียงนบนอบเพื่อยืนยันความเข้าใจเบื้องต้น เขาลอบมองรัศมีสีน้ำเงินสดใจซึ่งแผ่กระจายออกมารอบองค์ของนาคินและกรกชด้วยความสงสัย..แสงสีแบบนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“เป็นนางยักษ์มั้งจ๊ะ สวยออกขนาดนี้” นาคินแกล้งล้อเสียงแจ๋ว เพื่อนซี้ได้แต่สะกิดเตือนให้รู้จักวางตัวเหมือนเทพธิดาองค์อื่นๆเสียบ้าง

“องค์อัปสราให้เราสองคนมารอต้อนรับคุณ” กรกชช่วยไขข้อข้องใจให้ชายหนุ่ม
“หรือครับ..เอ่อ แล้วเธอ” ปรีย์พยายามควบคุมน้ำเสียงของตนไม่ให้สั่น ทว่าเนินแก้มที่เริ่มแดงนั้นปิดความในใจของเขาไว้ไม่มิด “ผมหมายถึงอัปสราน่ะครับ เธออยู่ไหนหรือ”

“บังอาจจริงๆ คุณนึกว่าตัวเองเป็นใคร” เสียงกังวานใสของนาคินแทรกกลางเข้ามา ดวงหน้านวลแอร่มซ่อนแววไม่พอใจบางอย่างในดวงตาคู่งาม “ขนาดเรายังต้องเรียกว่าองค์อัปสรา..คุณเป็นแค่มนุษย์ต่ำต้อยคนหนึ่ง ระวังคำพูดให้ดีนะ”

“เอาน่า..เขาเพิ่งมา คงยังไม่รู้อะไร” กรกชรีบเอ่ยปรามสหายคนสนิท “ไปนั่งคุยกันตรงนั้นก่อนเถิดคุณปรีย์ ฉันมีบางอย่างต้องบอกให้คุณเข้าใจ”

เทพธิดาองค์นั้นเดินนำเขาไปถึงบริเวณที่มีเก้าอี้เรือนแก้วพราวแสงระยับจับตา เครื่องทรงอาภรณ์ของนางทั้งสองคล้ายคลึงกับหญิงในดวงใจที่เขาเคยเห็นครั้งแรก

“ผมต้องขอโทษนะครับ ถ้าพูดจาไม่เหมาะสม..คือผมไม่รู้ว่าคนที่นี่เขาต้องพูดกันยังไงน่ะครับ เพิ่งเคยมา”
ปรีย์รีบออกตัวเมื่อหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อย

“ถ้าเดาไม่ผิด ที่นี่คือสวรรค์ใช่หรือเปล่าครับ”
“เข้าใจถูกแล้ว ที่นี่คือดาวดึงส์” กรกชช่วยขยาย นาคินเพิ่งหย่อนตัวลงนั่งด้านข้าง ความขุ่นใจเล็กๆจางคลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสำรวจแล้วว่าชายหนุ่มเป็นเพียงมนุษย์ไร้เดียงสาคนหนึ่ง อาจพูดจาอะไรด้วยความไม่รู้จริง นางทิพย์ยกมือปิดปากหัวเราะคิกเมื่อเห็นเขาทำหน้าเหลอหลา

“ชื่อบ้านหรือครับ..ดาวดึงส์”
คราวนี้นาคินระเบิดหัวเราะออกมาเต็มเสียงตามนิสัยเดิมที่ติดมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ ผู้อยู่ก่อนมานานอย่างกรกชซึ่งพอปรับตัวปรับมารยาทได้ดีแล้ว จึงต้องหันไปส่งสายตาเอ็ดคนข้างกาย

“ไม่ใช่หรอกจ้ะ เป็นชื่อชั้นของสวรรค์” กรกชหันกลับมาอธิบาย รอยยิ้มอิ่มเอิบเป็นประกายประดับดวงหน้าให้ชวนพิศอยู่ทุกขณะ

ปรีย์พยักหน้ารับ ชายหนุ่มรู้สึกเขินๆที่ทำตัวเปิ่นต่อหน้าสาวสวยทั้งสอง แม่นางผิวผ่องที่นั่งตรงข้ามก็ชอบมาทำตาโต หัวเราะล้อเขาอยู่นั่น คนยิ่งไม่มีความมั่นใจ

“ชั้นนี้ตั้งอยู่ที่หน้าตัดของเขาพระสิเนรุ ถัดจากเขาสิเนรุออกมาจะมีภูเขาทิพย์ ๗ ลูกอยู่รอบๆ ระหว่างเขาแต่ละลูกมี มหาสมุทรสีทันดรคั่นอยู่ ถัดจากภูเขาทิพย์ทั้ง ๗ ก็คือ ทวีปที่อยู่ของมนุษย์นั่นแหละจ้ะ”

กรกชอธิบายเสริมเพื่อให้ชายหนุ่มพอเห็นภาพ ปรีย์ได้แต่ทำเป็นพยักหน้าตอบรับพอเป็นพิธี ชื่อบางอย่างที่เขาได้ยินก็ยังให้ความรู้สึกแปลกๆ ไม่คุ้นหู นึกภาพตามไม่ค่อยชัดเจน แต่ที่ทำเป็นนิ่งฟังก็เพราะไม่อยากให้แม่สาวช่างล้อคนนั้นหัวเราะเขาอีกจนกลายเป็นตัวตลก

“มนุษย์ที่จะมาเกิดบนนี้ได้ เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ต้องทำบุญเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งดีงาม ควรทำ สั่งสมบุญมีหิริ โอตตัปปะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณธรรมเรื่องความกตัญญูน่ะ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเทพชั้นดาวดึงส์เลยนะ” นาคินยื่นหน้าเอามือเท้าคางศอกยันบนตัก ท่าทางก๋ากั่นของหล่อนไม่ค่อยสมกับอาภรณ์ชุดงามเท่าใดนักในสายตาของปรีย์ “แล้วคุณล่ะ มีสักข้อที่ฉันบอกหรือเปล่า..เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไม่คุณถึงไม่ควรเรียกองค์อัปสราด้วยสรรพนามเสมอตัวอย่างนั้น”

“เข้าใจแล้วครับ..ผมไม่มีสักข้อที่ท่านบอกเลย” ปรีย์แอบฮึ่มฮั่มในใจ เขาขยับจะทำอะไรก็ดูไม่เป็นที่พอใจของนางสวรรค์คนงามเลยสักอย่าง ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตัวเองช่างต่ำต้อย ยิ่งกว่าหมามองเครื่องบิน..อัปสราอยู่สูงกว่าเครื่องบินมากนัก

“นาคิน เธอนี่ชอบแกล้งเขาจังนะ นิ่งเสียเถิด ให้ฉันพูดคนเดียวดีกว่า” กรกชหันไปปรามเพื่อนสาวอีกระลอก

“องค์อัปสราท่านอยู่คนละระนาบจิตกับคุณ เมื่อวัดจากกุศลธรรมสูงขั้นที่นำพาท่านมาอยู่ที่นี่ เทวดาเคารพกันที่รัศมีและสีสันของคุณธรรม อย่างไรเสีย ถึงคุณจะยังไม่มีความสามารถมองเห็นแสงสีเหล่านั้น แต่ฉันอยากบอกให้คุณเข้าใจ ว่าคุณควรจะให้ความเคารพโดยเรียกท่าน อย่างที่ฉันเรียก ใช้สรรพนามว่าท่าน..ไม่ใช่เธอ”

กรกชอธิบายเนิบช้า น้ำเสียงสงบเย็นประกายความเมตตา หล่อนเลือกบอกเป็นนัยอย่างนั้น เพื่อให้เขาเคารพตัวหล่อนและนาคินด้วย

“ตอนนี้ท่านอยู่ในสวน คุณอยากออกไปพบเลยไหม”
นางฟ้าใจงามเอ่ยถามอย่างรู้ใจ

“อยากครับ..แต่ว่า” ชายหนุ่มอึกอักพลางยกมือลูบคอ ไม่กล้าขอตามใจอยาก
กรกชเห็นพลังสีของความเคยชินบางอย่างผุดออกมาจากตัวเขา หล่อนก็เข้าใจได้ทันที

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ..คุณอยากดื่มน้ำสักแก้วใช่รึเปล่า”

“เอ่อ..ท่านรู้ได้ยังไงครับ”

กรกชยิ้มเย็น อนงค์นางที่นั่งข้างๆพยายามรูดซิบปากเงียบกริบ ทว่าชายหนุ่มแอบเห็นว่าหล่อนกำลังนั่งหัวเราะเขาในลำคอจนร่างกระเพื่อมไหว

“เป็นความเคยชินของคุณน่ะค่ะ จิตมันปรุงแต่งขึ้นมาเอง แต่เอาเถิด ฉันจะช่วยสงเคราะห์ให้”

ปรีย์กลืนน้ำลายลงคอเอื้อกใหญ่ รู้สึกลำคอแห้งผากจริงๆนั่นแหละ ทว่าพินิจพิเคราะห์ตามคำที่เทพธิดารูปงามบอกเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้พากายเนื้อมาด้วย มีแต่จิตเท่านั้นที่สว่างวาบขึ้นมาในนี้

ระหว่างที่ปรีย์กำลังสงสัยว่าทำไมเขาถึงหิวน้ำขึ้นมาได้ ชั่วพริบตาเดียวก็มีแก้วน้ำทรงสูงปรากฏเด่นอยู่กลางโต๊ะรับแขกเบื้องหน้า ชายหนุ่มผงะถอยจนแผ่นหลังกระแทกพนักพิง

“ดื่มให้จิตคุณหายคอแห้งเสียหน่อย แล้วเราจะได้ไปกัน”
กรกชผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญให้ปรีย์ยกแก้วขึ้นมาดื่ม แต่ชายหนุ่มยังงงไม่หาย

“มันมาได้ยังไงครับท่าน”

“จิตของเทพน่ะ เพียงตรึกนึกอยากได้อะไร ก็เนรมิตขึ้นมาได้ตามกำลังกุศลกรรมแห่งตน เรื่องแค่นี้ถือว่าเล็กน้อยมาก อีกเดี๋ยวคงมีอะไรแปลกๆให้คุณได้ดูเยอะแยะเทียวล่ะ”

ปรีย์ตาลุกวาว ทอดมองเรื่องเล็กน้อยของกรกชด้วยความตื่นเต้นสุดระทึก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนอย่างเขาจะได้มาเจออะไรแบบนี้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นตบสองแก้มแรงๆ..นี่เขาไม่ได้ฝันไปใช่ไหม!

ระลอกน้ำสะบัดพลิ้วราวผ้าแพรเนื้อดีมีใครคอยกระพือไหว กระไอเย็นฉ่ำชื่นฉาบไล้ทั่วเรือนองค์ รัศมีทองสว่างเจือขอบน้ำเงินสีสดใสเป็นประกาย เหมือนทุกวันที่อัปสราชอบมาเล่นในสระโบกขรณีอันเลื่องชื่อ เทวนารีแหงนมองนภาโปร่งเบื้องบนด้วยนัยน์เนตรดำขลับเป็นเงาวับ ณ ดาวดึงส์แห่งนี้ ปลาสนาการสิ้นจากมหาภูตรูปทั้งสี่ อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อย่างเมืองมนุษย์

สรรพสิ่งรายรอบล้วนเป็นสภาพทิพย์ ไม่มีความหยาบกระด้าง แม้แต่ดวงตาของหล่อน ก็หาได้มีหยากเยื่อสกปรกบิดเบือนความบริสุทธิ์ใสของทัศนียภาพอันเป็นทิพย์ ไม่มีหนังหุ้มกระดูก และเลือดเนื้อฉาบทา ปราศจากของเสียสิ่งปฏิกูลใดๆอย่างในร่างกายของมนุษย์

ทว่าที่เห็นเหมือนยังมีน้ำ มีลม มีความสว่าง มีไออุ่น และมีพื้นดิน ก็เป็นเพราะความเคยชินของสภาวจิต ที่ปรุงแต่งขึ้นมาสนองตอบความต้องการ ต่างกับปรีย์ตรงที่ เครื่องทิพย์ซึ่งปรากฏให้เสพสุขล้วนเกิดจากอิทธิฤทธ์ทางใจอันเหนือสามัญ ด้วยอำนาจกุศลกรรมที่สั่งสมมาแต่ครั้งเป็นมนุษย์ จิตของอัปสราในเวลานี้สามารถตรึกนึก เนรมิตได้ตามใจปรารถนาทุกประการ


แผ่นฟ้าเหนือศีรษะของนาง ไม่มีพระอาทิตย์ ดวงดาว พระจันทร์ ให้แลเห็น มีแต่แสงโพลนสาดเต็มกระจ่างจ้าจากเบื้องบนที่เปิดโล่ง ทอแสงฉ่ำละอองใสระยิบระยับ แผ่ซ่านลงมาเหมือนหนึ่งจะอาบรดดวงวิญญาณให้สะอาดใสพรักพร้อม

จิตของหล่อนเพลินนิ่งรับสุขเวทนาจากละอองทิพย์ที่ชโลมอาบเรือนกาย สีสันแห่งธรรมชาติเบื้องหน้าและรอบกายมีแต่ความคมกริบชัดเจนตามทิพยอำนาจในคลองจักษุประดุจแก้วชั้นเลิศ คลองเนตรอันปราศจากฝ้าธุลีของนางนั้นเอื้อประโยชน์ให้รับอารมณ์ปีติอย่างเอนกอนันต์ตามวิถีแห่งสวรรค์สมบัติ

อัปสราแหวกว่ายผ่านกระแสน้ำเรียบนิ่งสัมผัสละมุนไปถึงขอบสระ ไม่มีวารินสักหยดฉาบทาเรือนกายของหล่อน ทั้งที่ร่างทิพย์ทั้งองค์สรงสราญอยู่ในธารสวรรค์แห่งนั้น อาจเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับนัยน์ตาหยาบโลนของมนุษย์ผู้ต่ำต้อย ทว่าสำหรับนางฟ้าอย่างหล่อนนั้นรู้ดี..เพราะสิ่งที่สัมผัสเหล่านี้หาใช่ธาตุน้ำ หนึ่งในมหาภูตรูปทั้งสี่อย่างแท้จริงไม่ วัตถุสมบัติส่วนรวมของเทพยดาทั้งมวลล้วนบันดาลขึ้นจากอำนาจจิตซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม

กระถางอันมีดอกไม้สีสันสวยสดไม่ไกลจากริมขอบสระ แลเห็นทะลุปรุโปร่งด้วยความที่กอปรด้วยเนื้อใสเทียบเคียงกับผลึกแก้วเจียระไนชั้นเลิศ ความงดงามของเนื้อแก้ว แสงทิพย์ที่สาดกระทบยังสร้างความสุขุมวิจิตรทางอารมณ์ได้ไม่เท่า กับเมื่อหล่อนส่งป้อนคลื่นความสุขจากใจเข้าหา ดอกไม้สีสดในกระถางใบนั้นก็แปรสภาพเป็นกระจกเงามหัศจรรย์ คือเปล่งประกายเจิดจรัส เกิดกราวเสียงกรุ๋งกริ๋งเสนาะโสต ส่งกลิ่นหอมเกินตัวดอกไม้ที่ ประดับอยู่เต็มต้น

รวมทั้งรำเพยละอองไอฉ่ำชวนเคลิ้มกลับมา ยกระดับความสุขให้ขยายผลขึ้นได้ เพียงส่งใจไปคราเดียว สะท้อนกลับมาเป็นผัสสะถึงสี่ช่องทางพร้อมกัน คือตาเห็นรูปงามขึ้น จมูกได้กลิ่นหอมล้ำลึกมากขึ้น โสตได้รับเสียงไพเราะยิ่งขึ้น และกายได้สัมผัสละเมียดละไมมากขึ้น

เครื่องประดับบนโลกสวรรค์เป็นเครื่องสะท้อนว่า เมื่อธาตุทิพย์เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับวิญญาณที่มีบุญฤทธิ์ระดับสูงเข้าแล้ว จะก่อรูปก่อร่างเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง รวมถึงลากจูงส่วนสัมพันธ์แหวกจินตนาการมนุษย์พ่วงมาด้วย

แหงนมองท้องฟ้าเห็นแต่ความว่างเปล่า อัปสรานึกสนุกจึงน้อมนึกถึงกองกุศลแห่งตนและเนรมิตรูปนกยูงรำแพนตัวหนึ่งขึ้นในจิต ฉับพลันหล่อนก็กลับกลายเป็นนกตัวนั้นได้ดั่งใจถวิล

ยูงทิพย์แพนปีกหลากสีเลื่อมพราย ก่อนจะเดินเยื้องย่างสง่าขึ้นไปบนฝั่ง ความพิสดารเหนือสัตว์ธรรมดาทำให้นกยูงนิรมิตตัวนั้นเหาะเหินขึ้นสู่กลางนภาวาดลมในอากาศเป็นสีสันแห่งรุ้งประกายโค้งเหนือสระโบกขรณี

ล่องลอยเหินเวหาด้วยจิตหฤหรรษ์เพลินทิพยสภาพจนพอใจ ก็ตรึกนึกถีงรูปผีเสื้อปีกบางสีส้มแสดพริบตาเดียวก็เนรมิตร่างไปสู่จินตนาการแห่งจิตได้อย่างง่ายได้ ผีเสื้อสวรรค์ขยับปีกสดสวยลงมาเกาะที่กลีบดอกไม้ในกระถาง ส่งทอดความสุขที่เกิดจากจิตโสมนัสลงไปหาดอกไม้ เพียงเท่านั้นกลีบที่เคยหุบเหงาก็ชูช่อเบ่งบานสะพรั่งดารดาษตา

ภาพทุกอย่างที่ปรากฏในชั่วเวลาไม่กี่ลมหายใจเข้าออกล้วนตกอยู่ในครรลองสายตาอันเป็นธาตุหยาบของมนุษย์อย่างปรีย์ เขาซุ่มดูความมหัศจรรย์สุดจินตนาการอยู่หลังหมู่ปาล์มสูงใหญ่ นาคินและกรกชพาเขามาปล่อยไว้ในสวนรุกขชาติแห่งเมืองสวรรค์นานแล้ว สองอนงค์นางหายวับไปกับสายลมตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบได้ รู้แต่ว่าตอนนี้ชายหนุ่มช่างมีความสุขเหลือแสน อยากให้เวลาหยุดหมุนมีเพียงเขาและหล่อนท่ามกลางดินแดนเหนือโลกเช่นนี้ไปตลอดกาล


ต้นไม้ใบบังไม่สามารถเร้นซ่อนสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวอยู่ด้วยลมหายใจทุกห้วงอณู อภิญญาจิตอันเป็นสมบัติที่ได้มาทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในแดนสวรรค์ ทำให้อัปสราสัมผัสพลังแห่งมหาภูตรูป นิลเนตรดำขลับเล็งแลตามกระแสจิตของตนปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเขา

“ฉันรู้นะว่าคุณอยู่ตรงนั้น..ออกมาคุยกันดีๆเถิด”

ปรีย์ขยับลุกจากบริเวณที่หลบอยู่ด้วยความกล้าๆกลัว ชายหนุ่มยืนนิ่งงัน ก้าวขาไม่ออก อัปสราจึงต้องคืนร่างจากผีเสือแสนสวยลงมาครองอัตภาพทิพย์เป็นเทวนารีดังเดิม ตรึกนึกพักเดียว หล่อนก็เหาะมาหยุดลงต่อหน้าเขาได้อย่างง่ายดาย


อิตถีเพศที่เห็นเบื้องหน้า คือเทพธิดาในพัสตราภรณ์เต็มอิสริยยศ เรือนกายอันมีทรวดทรงองค์เอวสมส่วนเกลากลึงนั้นซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์สีขาวสว่างเนื้อเนียนละเอียดสมตัว ชายภูษายาวกรุยกรายกรอมเท้า

มงกุฏชฎาประดับสง่าอยู่บนเศียรที่เกล้าสูงไว้อย่างสวยงาม หน้าผากมนรับกับเครื่องประดับล้อมกรอบพักตร์สีนวลแอร่ม คิ้วโก้งสัดส่วนลงตัวกับเคียวตาเรียวยาว นิลเนตรขึ้นเงาวะวับดำขลับนั่นดุจจะกลืนร่างมนุษย์ตรงหน้าให้จมดิ่งไปกับห้วงนิทรารมย์ แพขนตางามงอนกระพือขึ้นลงเนิบช้า ความตัดเข้มของสีสันบริเวณขอบตาโดยรอบเสริมให้ดวงเนตรลุ่มลึกทอประกายจรัสแสง พินิจไล่เรื่อยลงมาตรงเนินอุระมีสร้อยสังวาลพาดผ่านชวนตะลึงแล ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัด กำไลข้อมือ หรือกระทั่งสร้อยข้อเท้าล้วนระยิบระยับงดงามราวประดิษฐ์มาจากอัญมณีน้ำเพชร ทว่าทรงสง่าเฉิดฉายเกินบรรยายยิ่งกว่า

ประกายแสงสว่างเรืองแกมทองที่แผ่รัศมีออกมาจากเรือนองค์ของนางอัปสรา และขอบวงในกรอบแสงอันแต่งแต้มไปด้วยสีน้ำเงินสดใสคุ้นตานั้น ทำให้หล่อนดูยิ่งใหญ่ทรงอำนาจเหนือมนุษย์ต่ำต้อยอย่างปรีย์ ชายหนุ่มไม่อาจต้านทานกระแสตาจากเทพเจ้าได้นานจึงต้องผินหน้าไปอีกทาง หลุบตาลงต่ำโดยยากจะฝืดฝืน กลิ่นกายอันหอมสะอาด ปลอดโปร่งจิตใจ กับทั้งผิวพรรณวรรณะที่นวลใยผุดผ่องทั่วเรือนร่างนั้น ทำให้ปรีย์ถึงกับแอบลอบยิ้มพอใจทั้งที่กำลังก้มหน้างุดหนีนางอนงค์นั้น

อัปสราเห็นว่าปรีย์อาจรู้สึกแปลกแยก หรือไม่กล้าสบตาคุยกับหล่อนตรงๆ หญิงสาวจึงอธิษฐานจิตเก็บซ่อนรัศมีสีสัน และความสว่างเรืองของเครื่องประดับทุกชั้นลงไป หล่อนระบายยิ้มอ่อนๆตรงมุมปากส่งทอดไปถึงดวงใจที่กำลังประหม่า ให้ช้อนตามองขึ้นมาอย่างไม่ขลาดกลัว

“ยินดีด้วยนะกับความสำเร็จขั้นต้น” เทพธิดาผู้แช่มช้อยโสภาเอ่ยจากความรู้สึกกลางหทัย
ปรีย์เงยหน้าขึ้นมอง รอยยิ้มของเขาเวลานี้นั้นปิดไม่มิด ริมฝีปากฉีกกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงติดกันเป็นระเบียบ

“ผมดีใจมาก ที่ได้เจอคุณ..เอ่อ” ความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นเหมือนมีสิ่งกระตุ้นเตือนเมื่อสบพักตร์งาม “ที่ได้เจอท่านอีก”

อัปสรายิ้มฝืนกับสรรพนามที่จำใจต้องรับ เพื่อระยะห่างของความสัมพันธ์บางประการ


“ฉันพาคุณมาที่นี่ เพื่อฉลองความสำเร็จ..จะได้เป็นกำลังให้คุณพัฒนาตัวเองในขั้นต่อไป” หล่อนอธิบาย ฉับพลันทันใดก็แปรสภาพบรรยากาศรอบด้านด้วยจิตอันเป็นทิพย์ เปลี่ยนผืนนภาสว่างโพลนให้กลายเป็นค่ำคืนประดับดาวดารดาษ มีเสี้ยวจันทร์เพ็ญห้อยเด่นอยู่ตรงกลาง โคมไฟนับร้อยผุดขึ้นรอบตัว แสงสีหลากประเภททอประกายเรื่อเรืองอ่อนๆ พอให้เห็นนวลตา พระพายเนรมิตพัดผ่านผิวกายแต่เพียงแผ่วเบา กลิ่นกุหลาบสีขาวขจรขจายไปทั่วพร้อมๆกับกลีบดอกของมันซึ่งโปรยปรายลงมาประดับฉาก

“นี่หรือดาวดึงส์” ปรีย์อุทานออกมาด้วยความทึ่งสุดขีด
อัปสราส่ายหน้าแช่มช้า

“ดินแดนในฝัน..ฉันนิรมิตขึ้นมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ”
“เพื่อผม?” ปรีย์ชี้นิ้วเข้าอกตัวเองด้วยความประหลาดใจ

เทวนารีผู้สูงศักดิ์พยักหน้าแทนคำตอบ ไม่ทันให้เขาได้พูดอะไรมากกว่านี้ หล่อนก็ดลกายทิพย์ชั่วคราวของชายหนุ่มให้เคลื่อนขยับเข้ามาใกล้กัน มือไม้ของเขายกขึ้นประจำตำแหน่งโดยอัตโนมัติเสมือนหุ่นยนต์ถูกกดปุ่มเดินเครื่อง

ทั้งที่เคยเต้นรำลีลาศเพียงครั้งเดียวในช่วงมัธยมปลายคาบวิชาพลศึกษา ทว่ายามนี้เขากลับเยื้องย่าง เคลื่อนไหวเรือนกายได้อย่างคล่องแคล่วนุ่มนวล มือที่โอบรอบเอวสะคราญ กับเป็นพานรองหัตถ์เรียวสีงาช้างของหล่อนอีกข้าง สัมผัสถึงไออุ่นสายใยแห่งความรู้สึกที่หล่อนมอบให้

“นาคินกับกรกชพาคุณมาหาฉันที่นี่หรือ” อัปสราเอ่ยถามเมื่อเห็นเขาเอาแต่นิ่งเงียบ สำรวจเรือนองค์แห่งนางไม่มีจบสิ้น

“ไม่รู้ซี รู้แต่ว่ามีนางฟ้าหน้าตาสวยน้อยกว่าท่านพาผมมาทิ้งไว้ในสวน แล้วจู่ๆก็หายตัวไปเลย ไม่รู้ไปไหนกัน” เป็นครั้งแรกที่ปรีย์นึกอยากพูดจาหวานๆกับผู้หญิงเพื่อให้หล่อนรู้สึกชื่นชมในตัวตนและความงาม

อัปสรายิ้มด้วยท่าทีสงบ ไม่วูบไหวไปกับคำพูดแฝงคำชมเชยอันนั้นของปรีย์

“นั่นแหละ เธอชื่อกรกช..คนที่เรียบร้อยและเป็นผู้ใหญ่กว่าอีกคนน่ะ” หล่อนอธิบาย นิลเนตรที่ทอดมองมายังเขาเนานิ่งเคลือบความอ่อนโยน “ส่วนนาคิน..นางอาจจะพูดจาไม่ถูกหูคุณบ้าง ก็อย่าถือสาเธอเลยนะ นางฟ้าองค์นี้ปากร้ายแต่ใจดี”

“ท่านทั้งสองเป็นเพื่อน..เอ่อ องค์อัปสราหรือครับ” ชายหนุ่มเอ่ยขานนามหญิงงามตรงหน้าด้วยความฝืดฝืน

“พวกเธอเป็นบริวารของฉัน” เทวนารียิ้มตอบ
“โห..น่าอิจฉาจังเลย ท่านเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ชั้นนี้นี่ช่างมีแต่ความสุขสบายนะครับ ขยับไปทางในก็ดูเจริญหูเจริญตาไปหมด”

ปรีย์เอ่ยจากความรู้สึกจริงๆตั้งแต่เขาโผล่ขึ้นมาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่เรือนรับรองแห่งนั้น

“วิเวกชาภูมิ และอารมณ์มหาปีติจิตของคุณก็เป็นหน่วยกิจของสวรรค์นะรู้ไหม ขณะแห่งความรู้สึก โปร่ง โล่ง เบา อิ่มเย็น นั่นแหละ คือสวรรค์ที่เกิดขึ้นแล้วในใจคุณ หมั่นทำความดีไว้เถิด กุศลธรรมจะสั่งสมอยู่ในภพของจิต รักษาความดีงามเอาไว้จนถึงลมหายใจสุดท้ายก่อนตาย แล้วภวังคจิตจะรวบรวมสวรรค์สมบัติทั้งหมดที่เก็บสะสมในใจคุณ เพื่อตัดสินให้คุณไปสู่สุคติโลกสวรรค์”

อัปสราอธิบายยาว คนฟังทำท่าเคลิ้มหลง ทั้งในสุ้มเสียงเสนาะกังวาน และรูปลักษณ์อันหยาดเยิ้มจับใจ

“มนุษย์ก็มีพลังงานที่กระจายออกมาเป็นแสงสีเหมือนกันนะ แต่ตาเนื้อธรรมดาอาจมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไปได้” หล่อนเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ปลุกสติของปรีย์ให้ตื่นขึ้นกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ เสียงพิณบรรเลงท่วงทำนองแสนหวานคลอเคล้ามากับสายลม ช่างเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขเหลือแสน ไม่อยากให้มันสูญหายไปเลยจริงๆ

“เหมือนรัศมีของท่านใช่ไหมครับ” เขาถือโอกาสถามสิ่งที่ยังคาใจ “สีน้ำเงินสดใสของท่าน เหมือนกับนางฟ้าบริวารสององค์นั้นเลย ผิดกันนิดเดียวคือความสว่างที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่กว่า”

“นั่นเป็นแสงของคุณธรรมด้านการสละออก อภัยทาน และการสละชีวิต” อัปสราช่วยไขข้อสงสัย

“สละชีวิต!” ชายหนุ่มอุทานด้วยความอัศจรรย์ใจ เขาไพล่นึกไปถึงผู้หญิงในอดีตอีกคน

“อิง..เพื่อนผมคงเป็นเหมือนท่านสินะครับ เธอคงมาเกิดเป็นนางฟ้าสักองค์ บนสวรรค์สักชั้น” ชายหนุ่นพร่ำเพ้อถึงหญิงผู้เคยเป็นดวงใจก่อนหน้าอัปสรา แววหม่นหมองซ่อนเงาอยู่ใต้แพขนตาดำขลับ และวูบหายไปอย่างรวดเร็วจนปรีย์ไม่ทันได้สังเกต

“ต่อไปคุณคงได้รู้อะไรมากกว่านี้”
ปรีย์เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ

“สมาธิขั้นต้น ทำให้ฉันผนึกอำนาจทิพย์รวมกับคุณ พาคุณมาที่นี่ได้” หญิงสาวเอ่ยเสียงนิ่ง “ต่อไปคุณอาจทำอะไรได้มากกว่าฉัน และมาที่ดาวดึงส์ได้ด้วยตัวคุณเอง”

ชายหนุ่มถึงกับอ้าปากค้าง แทบไม่อยากเชื่อหูกับสิ่งที่หล่อนบอก
“ผมเนี่ยนะ..”

อัปสราพยักหน้าเป็นเชิงยืนยัน

“ในอนาคตอันใกล้ คุณเร่งความเพียรเข้าเถิด ไม่นานจะได้ของดี”

เทวนารีรูปงามยืนยันคำพูดของหล่อนด้วยแววตา และแรงบีบบนมือเขาราวกับจะให้กำลังใจ สัมผัสจากเรือนกายอันเป็นทิพย์ชวนฝันนั้นทำให้ชายหนุ่มเคลิ้มหลงจนหลับตาพริ้ม

“พลังสีของคุณตอนนี้เป็นยังไงรู้ไหม”
เสียงสวรรค์แห่งนางกระตุ้นเตือนความรู้สึกตัว ปรีย์ขยับเปลือกตาขึ้นมองพร้อมรอฟังคำเฉลย
“เป็นยังไงหรือครับ”

อัปสรายิ้มแฝงนัยบางอย่างก่อนตอบ

“เป็นสีแดงสด ชัดเจนทีเดียวล่ะ”

“สีแดง?..หมายถึงอะไรหรือครับ”

“สีแดงสดที่ฉายออกมาจากตัวคุณตอนนี้น่ะนะ..เป็นตัวแทนของราคะ เหมือนความรู้สึกที่คนรักอยู่ใกล้กัน มองตากันก็รู้ใจ มีความรู้สึกวาบหวิวตรงกลางอก ร้อนรุ่ม แต่ก็เต็มไปด้วยความอบอุ่นชวนฝัน”

ปรีย์ถึงกับหน้าแดงเป็นลูกตำลึงเมื่อได้ฟังคำตอบ

“คุณรักฉันใช่ไหม” อยู่ดีๆหล่อนก็ถามเขาออกมาตรงๆ ไม่มีความเขินอายยิ่งอิสตรีหลุดลอดให้เห็นจากดวงตาคู่งาม ผิดกับปรีย์ที่เวลานี้เอาแต่ก้มหน้างุดๆ ไม่กล้าสบตาเทวนารีตรงหน้า

“..ตั้งแต่..แรกพบ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างติดขัด แต่นั่นก็เป็นความในใจอันล้นเอ่อ ซึ่งเขาอยากระบายออกมาให้หล่อนได้รับรู้ไว้บ้าง

“ตอนนี้..” อัปสราพยายามกล้ำกลืนและเก็บกักเสียงสะอื้นในลำคอเอาไว้ เขาไม่รู้หรอกว่าหล่อนเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องพูด “เราอยู่คนละระนาบกันแล้วนะปรีย์ คุณไม่ควรคิดเลยเถิดเกินความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกัน”

หัวใจชายแทบหล่นวูบเมื่อได้ฟังเช่นนั้นจากปากคนที่เขารักสุดใจ

“คุณรักฉันได้..เพราะความรักเป็นสิ่งสูงค่าและงดงามเสมอ”

หญิงสาวกระพริบตาเนิบช้า

“แต่ขอให้หยุดไว้ตรงคำว่ารัก..อย่าคิดไกลไปมากกว่านี้”

ดวงตาของมนุษย์ผู้ต่ำต้อยเวลานี้มีแววบอบช้ำ หัวใจแทบแหลกสลาย

“แล้วผม...” ปรีย์เอื้อนเอ่ยประโยคนั้นออกมาด้วยความยากเย็น เสียงของเขาเหมือนเรียบนิ่ง ทว่าสั่นเครืออยู่ภายในใจ “ผมจะฝ่าฟันทุกอย่างไปเพื่ออะไร..ถือศีล ฝึกสมาธิ ทั้งที่ไม่เคยแต่ ท่านรู้ไหมผมทำสิ่งเหล่านี้เพื่อใคร”

อัปสราพยักหน้ารับรู้ ประกายเนตรทอแววเห็นใจและสงสารชายหนุ่มอันเป็นที่รักเหลือแสน
“เพื่อฉัน”

“ใช่..แล้วนี่หรือสิ่งตอบแทนที่ท่านให้ผม”
ประกายวาววามฉาบทาน้ำตาทิพย์ แต่หล่อนก็พยายามเก็บกลั้นไม่ให้มันไหลรินออกมาต่อหน้าเขา

“มีบางอย่างที่สำคัญมากกว่าฉัน..อนาคตของคุณ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าเหมือนไม่อยากรับรู้อะไรนอกเหนือจากนี้อีกต่อไปแล้ว

“ฉันจะพาคุณไปดูอะไรบางอย่าง”

หล่อนตัดสินใจเอ่ย..เพียงพริบตาเดียว สภาวะ ดั่งใจนึก ก็นำพาร่างทิพย์ของเขาและอัปสรามาหยุดยืนอยู่หน้าปราสาทขาวแห่งหนึ่ง

เทพธิดาผู้งามสง่าจูงมือที่ไร้ความรู้สึกของปรีย์ให้เดินตามไปบนหินสีอันทอดยาวสู่สิ่งสำคัญบางอย่างที่หล่อนต้องการให้เขาประจักษ์ด้วยตาตัวเอง

หญิงสาวหันไปเห็นดวงตาไร้แววของเขาแล้วให้เจ็บลึกในหัวใจ แต่หล่อนก็ฝืนทนรักษาสีหน้าสงบนิ่งเอาไว้ เพื่อบอกสิ่งที่สำคัญกว่า อัปสราหยุดประทับบาทลงบนแผ่นอัญมณีหน้าเทวรูปองค์หนึ่ง

พลังศักดิ์สิทธิ์มีกำลังสาดส่องทะลุถึงวิญญาณ ปรีย์รู้สึกเหมือนถูกบังคับให้แหงนหน้าเพื่อพบกับรูปปั้นอันเจิดจรัสเหนือคำพรรณนา

“นางฟ้าองค์นี้ ท่านจุติลงไปเกิดบนโลกมนุษย์นานแล้ว..ตั้งแต่ก่อนฉันตาย” อัปสราอธิบายที่มาของรูปปั้น ปรีย์นิ่งฟังทั้งที่ยังทรมานหัวใจสุดขีด “เพื่อนเทพ เทวดาทั้งปวงต่างก็รักและนับถือในคุณธรรมน่ายกย่องของท่านผู้นี้ บริวารทั้งหลายจึงรับคำจากเทพเหล่านั้น ให้สร้างเทวรูปแทนองค์เพื่อรำลึกถึงอดีตกาลครั้งเคยอยู่ร่วมภพเดียวกัน”

อัปสราสบตามองลึกอย่างจะส่งผ่านความทรงจำนี้ไว้ให้ชายหนุ่มรับรู้

“นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคุณ..อีกไม่นานคงได้พบเธอ”

เทวนารีสีขาวทั้งองค์ลออโฉม ผนึกสายตาให้ประทับนิ่งเนานาน สัดส่วนทรงสะคราญ หาหญิงใดมาเปรียบ ดวงเนตรใสกระจ่างฉายแววมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ริมฝีปากอวบอิ่มทำให้เขาต้องหยุดมองเป็นครู่ใหญ่

รูปปั้นขนาดเท่าตัวคนบนแท่นอัญมณีนั้นเรืองรองประกายแสงชวนพิศ..ปรีย์ไม่ปฏิเสธว่านางฟ้าที่อัปสรากล่าวถึงนั้นมีพลังดึงดูด ติดตาแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก

ทว่า..ณ เวลานี้ ความเจ็บปวดมันกินลึกจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
ชีวิตของเขาต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกนานเท่าใดหนอ
ความรัก...เขาจะจดจำคำนี้เอาไว้

ไม่มีวันลืมว่าครั้งหนึ่งเคยทำให้ตนทุกข์ทรมานเพียงใด..เขาสัญญา



ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2555, 21:59:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2555, 21:59:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1103





<< บทที่ ๕ เข้าสมาธิ   บทที่ ๗ ผิดสัญญา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account