กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 26

ตอนที่ ๒๖

“อย่าค่ะ!” วริณสิตาร้องห้ามพร้อมเบียดตัวเข้าบังสายสุนีย์ไว้ เพราะงั้นทั้งน้ำในแก้วและมือคนเหวี่ยงแก้วจึงสาดเข้ามาที่หน้าเต็มๆ!

“ว้าย!” สายสุนีย์กรี๊ดลั่น ขณะที่วริณสิตานั้นเสียหลักล้มทันที แล้วหนนี้ก็

เพล้ง!

เสียงนั้นดังสนั่นเข้าขั้นบาดหู เพราะทั้งแก้วทั้งถาด เทกระจาดตกพื้นแตกละเอียดจนทุกใบ!

“หนู!” สายสุนีย์ปรี่ลงไปประคองวริณสิตาทันใด “หนูเป็นยังไงบ้าง?!”

คนถูกถามกะพริบตาถี่ๆ พยายามไล่ความแสบระคายจากน้ำที่เข้าไปในตาก่อนจะรู้สึกได้ว่ามือขวาที่ยันพื้นไว้เจ็บแปลบๆยังไงพิกล สาวน้อยค่อยๆหงายมือขึ้นดูเพียงเพื่อจะพบว่า บนฝ่ามือ เปรอะด้วยเลือดสีแดงสด ที่ไหลออกมามากจนเริ่มหยดลงพื้นแล้ว!

“หนู! นี่หนูถูกแก้วบาดนี่!” คุณผู้หญิงบ้านวรโชติร้องโวยวายทันทีที่เห็นวริณสิตาบาดเจ็บ แต่ใครอีกคนกลับตรงกันข้าม สาวสวยเชิดหน้า เอ่ยวาจาอย่างไม่รู้สึกรู้สากับเลือดที่ไหลออกมาท่วมมือวริณสิตาสักนิด!

“สมน้ำหน้า อยากแส่เข้ามาทำไม!”
“คุณหะ!”
“อะไรน่ะ?! เสียงดังเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?!”

สายสุนีย์ชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องถามขึ้นจากด้านหลัง แน่นอนว่าเสียงแก้วที่แตกนับสิบใบนั่น ย่อมสามารถเรียกให้ใครก็ตามที่ได้ยินให้ต้องรีบมาดู เฉพาะอย่างยิ่งตัวของเจ้าบ้าน หทัยรักเองก็ฉวยโอกาสนั้นทันทีเช่นกัน หญิงสาวปรี่เข้าไปเกาะแขนผู้เป็นบิดาตั้งแต่ที่ฝ่ายนั้นยังเดินมาไม่ถึงด้วยซ้ำ

“คุณพ่อ!”
“ยายรัก อะไร? เสียงดังโครมครามเมื่อกี้มันเกิดอะไรกันขึ้นฮึ?” คุณอมรเปิดฉากถาม และหทัยรักก็สามารถตอบให้ได้ทันควันเหมือนกัน
“ก็พวกคนใช้น่ะคะ มันซุ่มซ่ามหกล้มจนแก้วแตก!”
“อะไรนะ?” คุณอมรพูดเหมือนสบถก่อนจะก้าวยาวๆเข้ามาแล้วพบว่าวริณสิตานั่งแปะบนพื้น เลือดอาบเต็มมือ

“โว้ย! มันอะไรกันนักหนาเนี่ย?” แล้วก็ถึงกับสบถออกมาอย่างอัดอั้น ก็นี่ตั้งใจจัดงานมงคล แล้วทำไมมันถึงได้เกิดแต่เรื่องอัปมงคลอย่างนี้! คุณอมรหงุดหงิดเต็มที่ และไม่มีอารมณ์อื่นใดนอกจากนั้นปะปนเลย! ทว่าสำหรับคนอื่นไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อแหวกผ่านฝูงแขกที่มุงอยู่เข้ามาได้ เมื่อเห็นว่าเด็กในปกครองของตัวเองมีสภาพเป็นยังไง ผู้ปกครองก็ใจหล่นวูบ

“วริณสิตา!” เขาเกือบผวาลงไปคุกเข่าแล้ว แต่ทว่านาทีนั้น หนุ่มน้อยอีกคนกลับแทรกตัวทรุดลงไปนั่งคุกเข่าข้างสาวน้อยอย่างไว!

“จิ๊บ! จิ๊บโดนอะไร เป็นไงบ้าง?!” การนนท์แทบจะคว้ามืออาบเลือดของวริณสิตาออกมาจากมือของสายสุนีย์เพราะความร้อนรนปนห่วง แต่หนุ่มน้อยก็ไม่ใช่คนสุดท้าย เพราะทันทีที่นางบัวศรีพาร่างตุ้ยนุ้ยแหวกกลุ่มแขกขามุงเข้ามาได้ นางก็ร้องแล้วถลาเข้ามาคว้ามือวริณสิตาอีกคน

“ตายแล้ว เจ้าจิ๊บ! โอย! ไปโดนอะไรมา ทำไมเลือดอาบอย่างนี้ล่ะลูก?!” นางบัวศรีกรีดเสียงโวยวายด้วยความตกใจจนคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องรีบอธิบาย

“ก็เด็กเขา”

แต่แล้วก็ราวกับมีบางสิ่งผิดไป คำพูดถูกกลืนหายทันใดเมื่อคุณผู้หญิงคนใหม่ของบ้านวรโชติกับนางบัวศรีเงยหน้าขึ้นมองกัน!

นางบัวศรีอ้าปากค้างขณะที่คุณผู้หญิงของบ้านก็เบิกตากว้างแล้วผงะ! และชั่วเสี้ยวของนาทีสายสุนีย์ก็ดีดตัวลุกพรึ่บก่อนจะโพล่ง

“ก็...ก็เด็กเขาโดนแก้วบาดไง! ระ...รีบพาไปทำแผลได้แล้ว!” เสียงนั้นทั้งดังและสั่นกว่าปกติอย่างจับได้ชัด แต่ในสถานการณ์ที่เด็กคนหนึ่งนั่งเลือดอาบ ก็ไม่มีใครเอะใจว่าอาการพูดโพล่งแล้วหน้าซีดกะทันหันอาจเกิดจากสาเหตุอื่นนอกเหนืออุบัติเหตุ!

“ใช่!” คุณอมรเอ่ย “รีบๆเอาเข้าไปทำแผลข้างในเลย แล้วไม่ต้องออกมาแล้วนะ เฮ้ย! งานมงคลแท้ๆ มีแต่เรื่องอะไรไม่รู้!” แล้วคนพูดก็มองวริณสิตาด้วยสีหน้าเอือมๆคล้ายกับว่าไอ้เหตุการณ์เลือดตกยางออกนี่มันความผิดคนเจ็บล้วนๆ!

และกับวาจารวมถึงสีหน้าอย่างนั้น ก็ทำให้พีรพัฒน์ถึงกับนึกเดือดลึกๆเลยทีเดียว!

“อ่า...ผมต้องขออภัยนะครับ บังเอิญเด็กมันซุ่มซ่ามไปหน่อย” คุณอมรหันไปสนทนากับบรรดาแขกขามุง “ก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรง ยังไงเชิญทุกท่านกลับเข้าไปในงานดีกว่า ไป ไปเถอะหลานชาย” ท้ายประโยคนั่นก็พูดกับพีรพัฒน์

และแน่แหละ! นาทีนี้ชายหนุ่มก็ไม่นึกจะให้ความสนใจคำพูดผู้ใหญ่พรรค์อย่างนี้แล้ว! พีรพัฒน์ตัดสินใจทรุดตัวลงไปหาเด็กในปกครองโดยไม่หันไปมองคุณอมรสักนิด!

“เป็นยังไงบ้าง?” เขาเองก็เริ่มถามด้วยความเป็นห่วง แต่เสียงห้าวๆของเด็กหนุ่มอีกคนก็สวน

“ผมว่าไม่ใช่เวลามานั่งถามหรอก ไปเถอะจิ๊บ รีบไปทำแผล” การนนท์ว่าก่อนจะตวัดร่างบางๆของวริณสิตาขึ้นอุ้มจนใครหลายคนแทบตาค้าง!

“กะ การนนท์!” แม้แต่สาวน้อยเองก็ตกใจเมื่อร่างทั้งร่างเกิดลอยละลิ่วขึ้นไปอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนหนุ่ม วริณสิตารีบบอกเสียงสั่น “ปละ...ปล่อยเราลงเถอะ เราเดินเองได้!”

แต่การนนท์ก็จ้ำลิ่วฟังใครเสียที่ไหน มิหนำซ้ำตะโกนลั่น

“ใครก็ได้ เอาชุดปฐมพยาบาลให้ที เร็วเข้า!”

นาทีนี้การนนท์ดูไม่ใช่เด็กหนุ่มวัยรุ่นเลยสักนิด แต่กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่พร้อมสั่งการบริวารใต้อาณัติด้วยความเด็ดขาดเต็มขั้นจนคนรอบข้างยังต้องนึกทึ่ง หนุ่มน้อยพาวริณสิตามายังเรือนทำครัว สาวใช้บ้านวรโชติคนหนึ่งกระวีกระวาดนำชุดปฐมพยาบาลมาให้ การนนท์ก็จัดการให้ทันที เมื่อน้ำสะอาดถูกเปิดผ่านมือเพื่อชำระล้างแผลเป็นเบื้องต้นก็ทำให้เห็นได้ว่าวริณสิตาน่ะยังโชคดีอยู่ เพราะแผลที่ถูกแก้วบาดนั้นไม่ลึกเท่าไหร่ แต่เลือดที่ออกเยอะเพราะจำนวนเศษแก้วที่กระเด็นโดนมากกว่าที่ทำให้มีแผลบนฝ่ามือมากถึงห้าแผล การนนท์ใช้ผ้าสะอาดกดห้ามเลือดอยู่พักก่อนจะแตะแผลซ้ำด้วยก้อนสำลีที่ชุบน้ำยาล้างแผลสีฟ้าใส

“โอ๊ย!” วริณสิตาสะดุ้งน้อยๆทันทีที่ก้อนสำลีแตะถูกเนื้อ
“แสบเหรอ อันนี้แค่น้ำยาล้างแผลเอง ทนหน่อยนะ เดี๋ยวใส่ยาจริงๆจิ๊บก็จะแสบอีกรู้มั้ย”
“อื้อ” วริณสิตาพยักหน้า “ไม่เป็นไร เราทนได้”

การนนท์ยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าลงไปเช็ดแผลให้ต่อ

“ถ้าเจ็บก็บอกเรานะ เราจะพยายามทำเบามือที่สุดเลย” หนุ่มน้อยบอก พร้อมเป่าแผลให้ ไม่ต่างอะไรกับพี่ชายดูแลน้องน้อย วริณสิตารู้สึกว่าทุกสรรพสำเนียงเงียบสนิท ชั่วขณะนั้นใส่ใจกับคนตรงหน้าเสียราวกับว่าโลกนี้มีเพียงเพื่อนผู้แสนดีที่กำลังทำแผลให้เธอเท่านั้น กระทั่งสายตาไล่ไปจนสะดุดกับร่างสูงใหญ่ที่ยืนนิ่งกอดอกมองเธออยู่

และแม้ดวงตาคมคู่นั้นจะมิได้บ่งแววใดชัดเจนนัก แต่มันกลับทำให้ใจหายอย่างบอกไม่ถูก!

วริณสิตาหลุบตาลงต่ำทันที นาทีนี้เรียกว่าแทบจะไม่รู้สึกถึงความแสบระคายของยาใส่แผลเลยด้วยซ้ำ

“ทำแผลเสร็จแล้ว เราจะพาจิ๊บไปหาหมอ แล้วจะไปส่งบ้านนะ”
“แต่ฉันว่า คงไม่ต้องรบกวนเธอมากถึงขนาดนั้นหรอก”

ในที่สุดกระแสเสียงทุ้มๆจากคนที่เอาแต่ยืนจ้องมานานก็ดังขึ้น ชายหนุ่มก้าวยาวๆเข้ามาหา สีหน้าเรียบเฉย

“วริณสิตาอยู่บ้านเดียวกับฉัน เพราะงั้นฉันคงจะพาเด็กในปกครองของฉันกลับบ้านเองได้โดยไม่ต้องรบกวนเธอหรอก” พูดจบเขาก็หันมา “พันแผลเสร็จแล้วใช่มั้ย งั้นก็คงจะไปกันได้แล้วมั้ง?”

เอ่ยปากคล้ายถามไถ่ แต่ไม่ว่าใคร ฟังก็รู้ว่ามันคือคำสั่ง!

พีรพัฒน์หันไปบอกนางบัวศรีให้อยู่ช่วยงานคุณอมรต่อ ถึงจะรู้สึกกรุ่นๆกับความไร้น้ำใจของเจ้าของงานขนาดไหน แต่เขาก็ไม่ใช่จะกลายเป็นพวกไร้น้ำใจตามไปด้วย ถ้ารับปากช่วยก็จะให้คนอยู่ช่วยจนตลอดรอดฝั่ง เมื่อสั่งการเสร็จพีรพัฒน์ก็ก้าวยาวๆนำไปโดยไม่ได้หยุดรอเด็กในปกครองสักนิด วริณสิตาเลยได้แต่กล่าวขอบคุณการนนท์ไวๆแล้วก็ต้องรีบตามผู้ปกครองไป

พีรพัฒน์มุ่งหน้าไปยังรถของตนที่จอดไว้โดยไม่ได้สนใจใครอีก สีหน้าเขาเรียบเฉยมึนตึงแม้กระทั่งตอนที่เปิดประตูรถให้คนที่มือเดี้ยงไปแล้วอย่างเธอ

ชัดเจนแล้วว่าเขาโกรธ สาวน้อยได้แต่ครุ่นคิด

ใช่...เขาคงโกรธ...โกรธที่เธอสร้างปัญหาทำให้งานเลี้ยงคุณอมรต้องเสียบรรยากาศ ทั้งๆที่เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดเลยก็ตาม

แต่ความรู้สึกนั้นคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะการเกิดเหตุเลือดตกยางออกในงานมงคลก็ดูเป็นลางอย่างไม่น่าให้อภัย! วริณสิตาพยายามข่มความรู้สึกโหวงๆที่จู่โจมหนักหน่วงไว้ยามเอ่ย ‘ขอบคุณค่ะ’ เบาๆให้เขาก่อนก้าวเข้าไปนั่งในรถ

เข้มแข็งไว้วริณสิตา...เข้มแข็ง...

“เดี๋ยวฉันจะพาไปหาหมอ ฉีดยากันบาดทะยักก่อนแล้วกัน” เสียงผู้ปกครองบอกเมื่อเข้ามานั่งประจำที่คนขับ แต่ทว่า...

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” สาวน้อยตอบสั้นๆ “เศษแก้วที่บาดมันไม่ได้สกปรกอะไรมาก แล้วหนูก็เคยฉีดวัคซีนมาครบแล้ว คงไม่ต้องลำบากคุณพีหรอกค่ะ” กระแสเสียงนั้นก็ฟังอ่อนๆเฉกเช่นปกติธรรมดาของสาวน้อย ทว่าไอ้ใจความของประโยคนั่นต่างหากที่ทำให้ผู้ปกครองต้องนิ่วหน้า

“อะไรนะ?” เขาถามซ้ำ ทั้งที่ก็ฟังชัดเจนทุกคำ! วริณสิตาสูดหายใจ หลังจากบอกตัวเองให้เข้มแข็งไว้ ใบหน้าน้อยๆก็เชิดขึ้นตามวิสัยโดยไม่ได้รู้ตัวสักนิด

“หนู...เคยฉีดวัคซีนกันบาดทะยักมาครบแล้วค่ะ”
“อ่อ! ดี!” พีรพัฒน์ว่า “เก่งดี! งั้นก็จะได้กลับบ้านกัน!”

รถยุโรปคันหรูออกตัวพุ่งสู่ถนนเส้นหลักอย่างแรง ไม่มีการสนทนาเกิดขึ้นอีกเลยตลอดทางจนถึงบ้านสุริยะธาดา และถ้าตลอดเวลาที่นั่งอยู่ด้วยกันในรถแคบๆนั่นว่าอึดอัดแล้ว แต่การที่เขายังคงเปิดประตูรถให้เธออีกตอนขาลงก็ยิ่งอึดอัดกว่า!

เพราะถ้านั่นคือสิ่งที่เขาต้องจำใจทำด้วยมันเป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่ดีล่ะก็ วริณสิตาก็อยากตะโกนบอก ว่าไม่ต้องการสักกะนิด!

แต่แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่ได้แต่คิด ในสถานการณ์จริง วริณสิตาก็ทำได้แค่เค้นคำขอบคุณออกมาเบาๆ

“ขอบคุณค่ะ” ทว่ามันก็คงไม่ต่างอะไรกับสายลมกระซิบ เพราะพีรพัฒน์ไม่ได้มีทีท่าว่าจะรับรู้ พอปิดประตูให้เสร็จเขาก็หันหลังเดินลิ่วนำเข้าบ้านไป ไม่ได้สนใจอะไรอีก วริณสิตารู้สึกหวิวๆข้างใน เหมือนมีอะไรสักอย่างกำลังบีบหัวใจให้รู้สึก...เจ็บแปลบๆ...

“เฮ้อ! ไม่หรอกน่า” วริณสิตาพึมพำก่อนสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ไม่หรอก เธอคงสับสนเองแหละ ความรู้สึกหวิวๆในอกนี่คงเกิดจากที่เห็นเลือดตัวเองไหลออกมาเยอะแยะ ส่วนความรู้สึกเจ็บๆแปล๊บๆก็คงเป็น...

เป็นอาการข้างเคียงของแผลนั่นแหละ!

วริณสิตาเผลอสะบัดหน้าพรืดๆสองทีกับสมมติฐานพิลึกพิลั่น! ถึงมันจะดูประหลาด แต่ถ้าไม่สันนิษฐานอย่างนั้นมันก็ไม่มีอะไรให้สันนิษฐานแล้ว! วริณสิตากะพริบตาถี่ๆมองมือที่การนนท์พันผ้าก๊อซปิดแผลให้อย่างชั่งใจก่อนลองขยับฝ่ามือไปมาดูนิดๆ ซึ่งมันก็...

“โอ๊ย!”

วริณสิตาสะบัดมือเร่าๆทันที ใช่จริงๆนั่นแหละ เธอรู้สึกแปล๊บๆที่แผลจริงๆด้วย อาการแบบนี้สงสัยคงจะมีเศษแก้วค้างอยู่ในแผลเธอแน่เลย สาวน้อยชะเง้อคอมองเข้าไปในโถงใหญ่ของบ้าน ไม่เห็นวี่แววของผู้ปกครองอยู่แถวนั้น แบบนี้ก็คงสันนิษฐานได้อีกว่าเขาคงขึ้นห้องเขาไปแล้ว

วริณสิตาใช้มืออีกข้างประคองมือที่เจ็บไว้

...อีกแล้วที่ใจมันรู้สึกแปลบๆ...

ไม่ได้การ เศษแก้วในมือคงทำพิษจริงๆ สาวน้อยจึงเดินเร็วๆเข้าไปในบ้าน จำได้ว่าป้าบัวศรีเคยบอกว่าตู้ยาสามัญประจำบ้านของคฤหาสน์ใหญ่มีอยู่แถวเคาเตอร์เครื่องดื่มในห้องโถงด้วย วริณสิตาใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ในการค้นหา เพราะตู้ยาอยู่ในที่ๆเห็นง่ายหยิบใช้ง่ายอยู่ แต่ที่ยังลำบากเห็นจะเป็นที่ว่าตู้ยาสามัญไม่ได้มีอุปกรณ์ทุกอย่างสำหรับคนที่มีเศษแก้วค้างในมือต่างหาก

สาวน้อยได้แต่นิ่วหน้าเมื่อแกะผ้าก๊อซที่ปิดแผลออก ไม่ใช่น้อยๆหรอกแผลเธอน่ะ เห็นตอนมีเลือดว่าน่าตกใจแล้ว ไอ้ตอนเลือดหยุดแต่ต้องมาเห็นรอยปริแยกของเนื้อนี่ก็ใช่ย่อยล่ะ! แต่ถึงยังไงก็ต้องแข็งใจ วริณสิตาพยายามใช้คอตตอนบัดเขี่ยตรงที่รู้สึกแปลบๆ หวังให้เศษแก้วที่ฝังอยู่โผล่ขึ้นมาให้พอเห็นแล้วเขี่ยออกได้บ้าง แต่แน่ล่ะ ง่ายเสียที่ไหน เพราะงั้นจากรอยเนื้อปริแยกธรรมดา แค่อึดใจก็เริ่มมีเลือดสีแดงสดซับติดขึ้นมากับปลายก้านสำลี

เหงื่อเม็ดเล็กชักผุดพรายขึ้นตามใบหน้า แต่ว่ายังไงเธอก็ต้องทน วริณสิตาคิด เพราะเลือกเจ็บแค่ตอนนี้ดีกว่าที่จะให้เศษแก้วคอยทิ่มแปล๊บๆต่อไป และเพราะการเขี่ยหาเศษแก้วด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย วริณสิตาเลยตั้งใจมากเสียจนไม่รู้สึกเลยว่าใครมายืนดูอยู่ข้างหลังแล้ว

“นั่นเธอทำอะไร?”

วริณสิตาตกใจสะดุ้งพรวดก่อนร้อง ‘โอ๊ย!’ เสียงหลงสะบัดมือเร่าๆ

ก็เพราะเสียงทุ้มที่ทักขึ้นด้านหลังนั่น ทำให้ตกใจจนเผลอทิ่มคอตตอนบัดกระแทกแผลเข้าไปเต็มๆน่ะซี! คราวนี้เลยเจ็บจนเหงื่อหยด ส่วนเลือดที่แค่ซึมๆก็เอ่อก่อนจะหยดแปะ!

ผู้ปกครองขมวดคิ้วมุ่นทันใด

“ฉันถาม ว่าเธอทำอะไรของเธอ?!” พีรพัฒน์เสียงดุ ก้าวเข้ามาคว้ามือเด็กในปกครองที่ตอนนี้แผลปริเลือดทะลักไปแล้ว ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อกดห้ามเลือดให้ สีหน้านี่ถมึงทึงกว่าตอนไม่พูดไม่จากันสักล้านเท่า สาวน้อยพูดอะไรไม่ออก

“เอ่อ...คือ...คือ...โอ๊ย!” แต่เพราะมือหนักๆที่กดผ้าไว้ไปสะกิดโดนเศษแก้วที่ค้างในแผล วริณสิตาก็สะดุ้งอีก ผู้ปกครองตวัดสายตาขึ้นมองทันที

“อะไร ฉันกดห้ามเลือดให้นี่ มันเจ็บขนาดนั้นเลย?” อาจถือเป็นโชคร้ายที่น้ำเสียงที่เขาใช้ยังคล้ายจะมีกระแสประชดประชัน เพราะอย่างนั้นคนถูกถามก็เลย...

“เปล่าค่ะ” ปฏิเสธเบาๆ แต่มีหรือที่คนเป็นผู้ใหญ่กว่าจะดูไม่ออก ชายหนุ่มหรี่ตา แสร้งพยักหน้าก่อนที่จะกดซ้ำอีกที!
“โอ๊ย!” แล้วหนนี้ก็ชัด วริณสิตาสะดุ้งโหยงทั้งที่แรงที่ใช้ไม่ได้มากไปกว่าการแตะเบาๆสักนิด พีรพัฒน์เดาได้ทันที
“ทำไม? ไอ้ที่แกะผ้าพันแผลออกแล้วพยายามแงะดูเนี่ย เพราะเศษแก้วมันค้างในแผลเธอใช่มั้ย?” ชายหนุ่มเดาได้ถูกเป๊ะ แต่ไอ้จะให้รับไปตรงๆว่า ‘ใช่ค่ะ’ ก็จะดูเสียท่าไปหน่อย สาวน้อยเลยเลือกที่จะบอกเสียงอ่อย

“มันรู้สึกแปล๊บๆในแผลค่ะ”
“อ่อ! แล้วไง ไม่บอกใคร คิดว่าจะเอาออกเองได้ว่างั้น?”

ก็คนที่มีให้บอก น่าบอกเสียที่ไหน! วริณสิตาได้แต่ก้มหน้าไม่ตอบเขา แต่นั่นเพียงพอแล้วที่จะรู้

“อวดเก่ง!” เสียงเขาว่า เค้นคำออกมาเบาๆแต่สาวน้อยร้อนเห่อไปทั้งหน้ากับคำกล่าวหาที่ออกมาจากปากของผู้ปกครองหนุ่ม แต่ดูเหมือนเขาก็ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีกตามเคยเมื่อน้ำเสียงเฉียบขาดยังคงออกคำสั่ง

“กดไว้ซิ จนกว่าเลือดจะหยุด” คนถูกสั่งได้แต่ทำตามเหมือนหุ่นขณะที่ชายหนุ่มก็ผละลุกไป วริณสิตาไม่อาจมองตามได้ว่าเขาลุกไปไหนเพราะในหัวยังอื้ออึงด้วยคำบางคำที่ดังชัด

‘อวดเก่ง! เธอมันอวดเก่ง!’

กระทั่งโสตประสาทได้ยินเหมือนโลหะกระทบกันเมื่อนั้นจึงได้เห็นว่า พีรพัฒน์โยนแหนบสีเงินอันเล็กๆลงไปในถาดแสตนเลสที่เทแอลกอฮอล์ล้างแผลไว้ อึดใจหนึ่งก็หยิบขึ้นมา สะบัดให้แห้งสักนิดก่อนเอื้อมมือมาคว้ามือวริณสิตาไว้อีกหน นาทีนี้สาวน้อยรู้แล้วว่าเขาจะทำอะไร

ชั่วเสี้ยวนาทีที่มองหน้า ตาสบตา ก็มีแต่ความเฉยชาเท่านั้นที่ฉายชัด

พีรพัฒน์ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อก้มลงไปใส่ใจกับการเพ่งหาเศษแก้วในบาดแผล เขาไม่พูด ไม่ซัก ไม่แม้แต่จะถามเสียด้วยซ้ำว่าเธอเจ็บแปลบปลาบที่ตรงไหน

ใช่! ก็เขาจะมาเสวนากับคนที่เขาให้คำจำกัดความว่าเป็นแค่ ‘เด็กอวดเก่ง’ ทำไม แค่เขาอุตส่าห์มองหาเศษแก้วให้ก็ดีถมไปแล้ว วริณสิตาสูดลมหายใจ แม้จะพยายามสะกดกลั้นสักเพียงไหน

แต่น้ำตา...ก็เอ่อออกมาจนได้
....................



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2554, 09:23:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2554, 09:23:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 3124





<< ตอนที่ 25   ตอนที่ 27 >>
XaWarZd 25 ส.ค. 2554, 13:02:50 น.
ใจร้าย


ยี้ก้อยแม้วน้อยกลอยใจ 25 มี.ค. 2555, 03:15:39 น.
ไม่ชอบ การนนท์ สายสุนี เปนแม่ ใช่ไหม นะ ต้องใช่สิ ต้องย้อนกลับไปอ่านตอนแร กก ๆ ซะละ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account