ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ
ตอน: อัสวาน (๒)
นวนิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คแล้ว
++++++++++++++++
สร้อยคอพร้อมจี้รูปแมวถูกถอดโยนลงบนเตียงสีเข้มลายทาง หญิงสาวเชิดหน้าพลางบีบน้ำตาร้องห่มร้องไห้ หล่อนแทบไม่อยากเชื่อ ว่าจะถูกเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ตีท้ายครัว มิหนำซ้ำยังเข้ามาทางประตูหลัง แค่คิดอารีสก็แทบหมดเรี่ยวแรง
แต่คิดอีกที...สีหน้าอนัตตาไม่ได้บ่งบอกความมีเลศนัยใดๆ กับวิลเลียมแม้แต่นิด นอกจากสนิทสนมในฐานะเพื่อน
‘บางที’ อาจเป็นวิลเลียมคนเดียวก็เป็นได้ที่หวังจะแย่งอนัตตาไปจากหล่อน เพราะเพื่อนกัน ชายหนุ่มก็คงดูออกว่าหล่อนรู้สึกอย่างไรกับอนัตตา นี่ขนาดหล่อนพยายามเก็บงำความรู้สึกแล้ว ยังไม่อาจรอดพ้นสายตาของวิลเลียมไปได้
น่าเจ็บใจนัก...
หล่อนชกฝ่ามือ ขบปากเคี้ยวฟัน จากนั้นจึงเดินวนไปเวียนมาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา หากอยู่ๆ เสียงครวญครางบางอย่างก็ลอยออกมาตามสายลม
ตราบเท่านาน...คำสาปแช่ง คำอธิษฐาน จะยังคงอาบอยู่บนผ้าลินินผืนนี้
จวบ ‘พวกนาง’ ล่วงเข้าสู่มตภพดูอัต สู่การพิพากษาจนสำเร็จสิ้นจากเทวีแห่งความเที่ยงธรรม
ความคิดฟุ้งซ่านมลายหายในพริบตา อารีสหันมองรอบตัว พยายามเงี่ยหูฟัง เสียงเมื่อครู่เหมือนเสียงที่หล่อนเคยได้ยินมาหลายครั้ง มันลอยตามลม วนเวียน แว่วอยู่ข้างๆ หู หญิงสาวกำลังพยายามค้นหาอยู่
มันดังมาจากที่ใด...
เสียงเย็นเยียบ ยานคาง คล้ายบทสวดวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า หากอารมณ์ในเนื้อเสียงกลับเต็มไปด้วยความรันทด เสียใจ โกรธแค้นและอาลัยระคนกัน
กระทั่งเดินตามเสียงไปจึงพบกับถุงใส่ผ้าลินินโบราณที่หล่อนวางอยู่บนโต๊ะกระจก ข้างๆ มีกระเป๋าสัมภาระบังเอาไว้มิดชิด
“อารีส...อารีส...อารีส...”
คล้ายเสียงนั้นจะเรียกหล่อน ก้องสะท้อนราวการพูดผ่านห้วงลึกกว้าง
“จงระวัง...ระวัง...ระวัง...”
หญิงสาวขนลุกเกรียวในเดี๋ยวนั้น เสียงที่หล่อนได้ยินเย็นเยียบ เย็นจนสันหลังเสียววาบ โหยหวนจนหล่อนนึกถึงความตายกับลมหายใจที่กำลังจะถูกพรากทุกขณะเวลา
อารีสยื่นมือ ตั้งใจจะจับถุงผ้านั้นขึ้นมาแล้วลองคลี่ออก บางทีมันอาจจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้หล่อนเห็นอีกครั้งก็เป็นได้ หลังจากวันที่ผ่านมามันกลับเป็นเพียงโบราณวัตถุจำพวกผ้าชิ้นหนึ่งเท่านั้น
“อารีส...อารีส...อารีส...”
เสียงนั้นสะท้อนก้อง ราวซ่อนกระซิบจากผ้าลินินที่อยู่ภายใน
“จงระวัง...ระวัง...ระวัง...”
อารีสตั้งใจจะหยิบถุงผ้ามาดูให้แน่ใจว่าตนไม่ได้หูฝาด ทว่าปลายนิ้วยังไม่ทันสัมผัสเนื้อลินินของถุงผ้า เสียงเคาะประตูจากภายนอกก็ชิงดังขัดจังหวะเสียก่อน
“ดอกเตอร์วลัยกุลครับ...ดอกเตอร์”
หญิงสาวสะดุ้ง ชักมือหนีเสียจากสิ่งที่ตั้งใจจะจับ อยู่ๆ หัวใจก็กระตุกวูบ เต้นหนักหน่วงราวกับเพิ่งออกกำลังหักโหม สายตาที่จับจ้องมองดูถุงบรรจุผ้าลินิน ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
เสียงเมื่อครู่บอกให้หล่อน ‘ระวัง’
แล้วหล่อนต้อง ‘ระวัง’ สิ่งใดกัน
หญิงสาวส่ายหน้า ถอนหายใจแรง ก่อนจะละสายตาจากถุงผ้า จากนั้นจึงวิ่งไปที่ประตูห้อง ขานรับเสียงเคาะที่ดังเป็นระยะ
“รอสักครู่ค่ะ” หล่อนตะโกนตอบเป็นภาษาอังกฤษ กระทั่งเปิดประตูออกจึงพบว่าเป็นหลุยส์กำลังยืนอยู่ สองมือพยายามดึงชายกางเกงที่เลื่อนลงต่ำขึ้นจนเกือบชิดอก
“ดอกเตอร์วลัยกุล...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมเรียกตั้งนานไม่เห็นตอบ” ชายหนุ่มพูดพลางขยับขาแว่น
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” หญิงสาวยิ้มกลบเกลื่อน “ว่าแต่ดอกเตอร์ มีอะไรหรือเปล่าคะ” หล่อนถาม พลางมองอีกฝ่ายพยายามดึงเอวกางเกงขึ้นอย่างนึกสังเวชใจในการแต่งตัว
“คุณเกียนโทร.มาแจ้งวิลครับ...เย็นนี้เรามีนัดพบกันที่ภัตตาคาร ผมเลยมาแจ้งดอกเตอร์ทราบ”
เรื่องความสงสัยเกี่ยวกับผ้าลินินมลายหายในฉับพลัน หญิงสาวขมวดคิ้ว กำลังสงสัยว่าทำไมวิลเลียมจึงให้หลุยส์มาแจ้งข่าวนี้แก่หล่อน เขาอยู่ห้องเดียวกับอนัตตา ควรจะให้อนัตตามาแจ้งข่าวนี้แก่หล่อนถึงจะถูก นี่คงรู้ว่าอนัตตาเริ่มมีใจให้หล่อนขึ้นมากระมัง เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดจึงพยายามกีดกันจากอนัตตา
“ชั่วร้ายที่สุด!”
หลุยส์สะดุ้งโหยง จ้องมองหญิงสาวด้วยความตระหนกตกใจ
“กะ...เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
อารีสเพิ่งได้สติ เห็นหลุยส์หน้าซีดหน้าเซียวก็พยายามยิ้มกลบเกลื่อน นึกเจ็บใจตัวเองที่เผลอไผลโกรธเพื่อนหนุ่มจนลืมตัว
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คือ...ดิฉัน...เอ่อ...” หล่อนอ้ำอึ้ง พยายามหาคำแก้ตัวที่เหมาะสมกับคำตะคอกเมื่อครู่ กระทั่งแสงสว่างกระจ่างวาบในความคิดจึงยิ้มออก
“กำลังซ้อมละครค่ะ”
หลุยส์ขมวดคิ้ว เอียงหน้ามองอย่างสงสัย หากอารีสคร้านจะหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลมากกว่านี้แล้ว ท้ายที่สุดจึงขอบคุณชายหนุ่ม ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ ทิ้งให้หลุยส์ได้แต่งุนงงสงสัย พลางส่ายหน้าอย่างนึกสังเวชหญิงสาว
“ผู้หญิงอะไรแปลกพิลึก” หนุ่มแว่นพึมพำระหว่างทางเดินกลับห้อง “เพี้ยนๆ พิกล แต่งตัวก็ดูไม่ได้ ทาหน้าทาตาอย่างกับนกแก้วมาคอร์ สีชุดเหรอก็ตัดกันเร่อร่า เฮ้อ...น่าสงสาร”
เขาว่าพลางดึงเอวกางเกงขึ้น จากนั้นจึงไขกุญแจเข้าห้องของตน ปิดประตูแล้วลงกลอน
+++++++++++++
“ยายอารีสแต่งตัวอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ บางวันก็ดูดี แต่วันไหนนึกครึ้มอกครึ้มใจ...ก็ใส่เหมือนไฟจราจร หรือไม่ก็ลายเป็นนกแก้วมาคอร์”
วิลเลียมซึ่งกำลังเดินยืดเส้นยืดสายบรรยายความเป็นมาเป็นไปของอารีสให้อนัตตาฟังเพิ่มเติม ในห้องชุดดังกล่าว อนัตตานั่งอยู่ที่โซฟาชุดรับแขก ถอดเสื้อเชิ้ตพาดเก้าอี้ เหลือเพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงขากระบอก ไม่ต่างจากวิลเลียม
“แล้วอย่างนี้คนที่มหาวิทยาลัยไม่ล้อเธอแย่เหรอ”
“มีสิ...ที่มหาวิทยาลัยมีแต่คนว่าอารีสเป็นยายเพี้ยน เรียนจนเพี้ยน บ้างก็ว่าดอกเตอร์สติเฟื่อง ไม่ค่อยมีใครกล้าคบอารีสหรอกนอกจากฉันกับเพื่อนอีก ๒ – ๓ คน ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ค่อยต่างกัน เพราะนอกจากจะล้นๆ เกินๆ ก็ยังอารมณ์ขึ้นลงบ่อยๆ” วิลเลียมชี้แจง จากนั้นจึงไปหยิบน้ำเย็นจากตู้มานั่งดื่มข้างๆ อนัตตา “แต่เรื่องเรียนนี่ต้องยอมรับเลยว่าเธอเก่งกว่าใครในชั้น เก่งมากจนอาจารย์ชม มิหนำซ้ำยังเข้าชมรมศิลปะการต่อสู้ด้วยนะ กระบอง ไม้พลอง มีดเธอเก่งอย่าบอกใคร”
อนัตตาฟังแล้วก็ยิ้ม เชื่ออย่างที่วิลเลียมเล่ามา ระหว่างการนั่งฟังได้กลิ่นหอมของคาโมไมล์ระเหยจากเนื้อกายเป็นระยะ ชวนให้ระลึกถึงหญิงสาวอยู่ร่ำไป วิลเลียมเองก็คงได้กลิ่นจึงได้พูดคุยถึงประเด็นของฝากจากข่าน เอล – คาลีลี
“เป็นกลิ่นปกติของนายไปเลยนะ...คาโมไมล์เนี่ย แต่รู้สึกกลิ่นนี้จะแปลกไปนิด ของอารีสซื้อให้ใช่ไหม”
ชายหนุ่มพยักหน้าพลางยิ้มเป็นคำตอบ ดอกเตอร์หนุ่มเมืองผู้ดีจึงโอบไหล่กระชับพลางตบบ่า ก่อนจะลุกขึ้นไปจัดการเสื้อผ้าที่ยังกองอยู่บนเตียง
“ว่าแต่...นายคิดว่าอารีสเขาจะชอบฉันหรือเปล่า” อนัตตาถาม สีหน้าดูขัดเขิน
“ร้อยเปอร์เซ็นต์” เสียงตอบรับมั่นใจยิ่งยวด “ไม่เห็นสายตาท่าทางเวลายายนั้นมองนายเหรอ โอ้โห...เหมือนจะกลืนนายลงท้อง อีกอย่าง...ตอนฉันแกล้งทำท่าว่าจะฉกนายไป หน้าตาอารีสนี่ดูไม่ได้เลย”
ถึงตรงนี้อนัตตาก็หัวเราะชอบใจ “ขนาดนั้นเชียว”
“แน่ล่ะ บางที...อาจเพราะเธอเสียพ่อกับพี่ชายด้วยล่ะ ฉันว่า...” วิลเลียมพูดต่อ หากด้วยเสียงที่พยายามให้เบาลงราวเกรงว่าใครจะได้ยิน “เรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครรู้ เห็นว่านายรักที่จะคบอารีส ฉันเลยเล่าให้ฟัง”
อนัตตาฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
“พ่อกับพี่ชายเหรอ?”
“ใช่” วิลเลียมว่าพลางจัดเสื้อผ้าใส่ไม้แขวน “ฉันมีโอกาสไปเที่ยวบ้านอารีสที่กรุงเทพฯ ได้คุยกับแม่กับพี่สาว เธอเป็นลูกคนสุดท้อง เป็นสุดที่รักของพ่อแล้วก็พี่ชายเลยล่ะ ฉันเห็นรูปถ่ายของอารีสถ่ายคู่กับพ่อแล้วก็พี่ชายเยอะแยะ เป็นภาพที่มีรอยยิ้มทุกภาพ แม่ของอารีสเล่าว่าพ่อกับพี่ชายของอารีสเป็นคนยิ้มง่าย ยิ้มเก่ง มีเหตุมีผลและคอยดูแลปกป้องอารีสมาแต่ไหนแต่ไร แต่สุดท้ายพ่อกับพี่ชายก็มารถคว่ำเสียชีวิตในวันที่เธอจบปริญญาตรี”
อยู่ๆ ในอกของอนัตตาก็วูบไหว นัยน์ตารื่นด้วยน้ำคลอหน่วย ความรู้สึกสงสารผุดขึ้นจับหัวใจ ภาพในความคิดปรากฏเป็นหญิงสาวในชุดครุยรับพระราชทานปริญญาบัตรทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อและพี่ชาย น้ำตาไหลพราก ร้องห่มร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตายเสียตรงนั้น
บางทีสิ่งนี้เองที่อาจจะทำให้หล่อนเลือกจะเป็นคนยิ้ม หัวเราะและสร้างสีสันอยู่ตลอดเวลา อาจเพราะต้องการกลบเกลื่อนสีดำซึ่งฝังอยู่ในจิตใจ
“แม่ของอารีสเล่าว่าหลังจากนั้นอารีสก็เงียบขรึมลง เอาแต่มุ่งมั่นเรียน หลังจากล้มป่วยจนเข้าโรงพยาบาล เธอก็ลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัวแบบที่นายเห็นอยู่ทุกวัน จนคนที่บ้านปรับตัวไม่ทัน หัวเราะร่าเริงบ่อยครั้ง แต่อารมณ์ก็ขึ้นลงเดาได้ยาก อาจเพราะต้องการกลบรอยด่างดำในชีวิต” วิลเลียมถอนใจเหนื่อยอ่อน “แล้วบังเอิญ นายก็คงไปคล้ายพ่อกับพี่ชายของอารีส ฉันไม่แปลกใจหรอกที่ยายนั่นจะรีบคว้าตัวนายเอาไว้เป็นหลักยึดเกาะ”
แล้ววิลเลียมก็หันมาพูดกับอนัตตาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉันรู้จักนายมาพอสมควรนะนัต นายเป็นคนดี ถ้าเลือกจะรักอารีส ฉันขอขอบใจแทนเพื่อนของฉัน อารีสเป็นคนที่น่าสงสารมาก”
อนัตตาได้แต่นิ่งอั้น ไม่อาจปริปากบอกคำมั่นใดได้ หากในใจชายหนุ่มสัญญากับตัวเอง รวมถึงพ่อและพี่ชายของหญิงสาว ว่าจะรักและคอยดูแลอารีสให้ดีที่สุด
“แล้วเรื่องอารีสกับไอซ์ล่ะ เคยฟังมาบ้างว่าไม่ถูกกัน แต่เพราะอะไรเหรอ” เขาถามต่อ พยายามเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องอื่น อาจเพราะรู้สึกในอกขมมากขึ้นทุกขณะ
“มันมีเหตุมาจากผู้ชายคนหนึ่ง และต่อมาก็อีกหลายคน” วิลเลียมเล่าพลางจัดเก็บชุดจากเตียงเข้าสู่ตู้เสื้อผ้า “รู้สึกผู้ชายคนนั้นจะอยู่คณะวิทยาศาสตร์ กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่เหมือนกัน เป็นคนรูปหล่อ คนสัน มีฐานะ ขับรถสปอร์ตมาเรียนทุกวัน พอดีช่วงนั้นเข้ามาติดพันอารีส”
วิลเลียมจัดของเสร็จเรียบร้อยก็ปิดประตูตู้ จากนั้นจึงเดินมานั่งข้างๆ อนัตตาต่อ
“ใครจะเชื่อว่าคนอย่างอารีสจะมีคนมาสนใจติดพัน” หนุ่มอังกฤษทำหน้าราวไม่อยากเชื่อ “แต่นั่นล่ะ...ดูเขารักอารีสมาก ดูแลเธอดีทุกอย่างจนคนในมหาวิทยาลัยอิจฉา ส่วนไอซ์...ตอนนั้นเธอโด่งดังในคณะและมหาวิทยาลัย ชอบล้อเลียน ชอบแกล้งอารีสแต่ไหนแต่ไร เลยถือโอกาสแย่งผู้ชายคนรักของอารีสไป จนสุดท้ายก็คว้าผู้ชายคนนั้นไปครอง”
“เป็นสาเหตุให้อารีสเกลียดไอซ์อย่างนั้นสินะ” อนัตตาพยักพเยิดเข้าใจ
“ใช่” วิลเลียมสำทับ “อารีสเลยเกลียดไอซิสมาตั้งแต่นั้น พยายามหาทางล้างแค้นจนสุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็หลุดมือไอซ์ไปหาคนอื่นจนได้ เลยกลายเป็นสงคราม แล้วทีนี้เรื่องราวมันก็บานปลาย รุนแรงขึ้นเพราะผู้ชายอีกหลายคนที่เข้ามาพัวพันในสนามรบของสองคน มีคนหนึ่งที่ตัดสินใจกระโดดตึกตายเพราะไอซ์หักอก เคราะห์ร้ายที่ผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนรักของอารีสด้วย คราวนี้อารีสก็เลยกัดไอซ์ไม่ปล่อยเลยล่ะ”
วิลเลียมเล่าพลางเอนหลังลงเบาะ ทอดหายใจเหนื่อยอ่อนกับเรื่องราวของเพื่อนสาวทั้งสองที่รบราฆ่าฟันกันมาหลายต่อหลายปี
“ไอซ์เองก็ใช่เล่น รายนั้นไม่รู้สำนึกหรอก ชอบทำให้อารีสเสียหน้าอยู่เรื่อย แต่เธอก็เรียนสู้อารีสไม่ได้หรอก อาจารย์มักชมอารีสเสมอ ไอซ์อยู่ชมรมศิลปะการต่อสู้เหมือนกันกับอารีสล่ะ เคยมีประลองดาบไม้กันครั้งหนึ่ง อาจารย์คงไม่รู้ว่าสองคนนี้ไม่ค่อยลงรอยกันอยู่เลยจับคู่กัน ปรากฏว่าสนามประลองคราวนั้น ยายสองคนก็ฟันกันเต็มที่ แต่สุดท้ายไอซิสแพ้ ถูกอารีสเตะเข้าเต็มๆ แรง ไม่รู้เพราะอย่างนี้หรือเปล่า มันก้เลยเป็นเรื่องที่สะสมทับถมกันมาเรื่อยๆ”
“โอ้โห ฉันจะรอดไหมเนี่ย” อนัตตาแสดงความเห็น “ผู้หญิงนี่น่ากลัวจริงๆ”
วิลเลียมยักไหล่ พลางโอบบ่าชายหนุ่มเข้าแนบชิด
“เพราะอย่างนี้ยังไง ฉันเลยตัดสินใจไม่สนใจพวกผู้หญิง” หนุ่มอังกฤษว่าพลางกระหยิ่มยิ้มมองอนัตตา “เรื่องมาก น่ากลัว สู้ผู้ชายด้วยกันไม่ได้ เข้าใจกันมากกว่า”
อนัตตารีบถองจนอีกฝ่ายคู้ตัวร้องครวญ จากนั้นจึงส่ายหน้าพลางยิ้มให้กับความขี้เล่นของเพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษที่รู้จักกันมาพอสมควร
“นั่นเก็บไว้ใช้กับหลุยส์ของนายเถอะ”
ได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้นเข้า วิลเลียมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันที
“รายนั้นเคยรู้อะไรบ้าง หน้าจมอยู่กับอักษรเฮียโรกลีฟิก จนปาก จมูก คิ้ว ตา จะกลายเป็นอักษรภาพหมดแล้ว” วิลเลียมได้แต่ส่ายหน้า เกาหัวอย่างจนปัญญา “ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว คนอะไรช่างไม่คิดเรื่องอื่นเลยนอกจากการดึงเอวกางเกงให้สูง”
อนัตตาหัวเราะดังลั่น ตามมาด้วยวิลเลียมที่เสียงดังไม่ต่างกันเมื่ออนัตตาสวนความกลับคืน
“ใครจะไปเหมือนนาย คิดแต่เรื่องดึงเอวกางเกงให้ต่ำ”
+++++++++++++++++++
ตกเย็นทุกคนลงมาที่ห้องอาหารของโรงแรมตามที่นัดกันไว้ อีริคกำชับว่าแต่งกายตามสบาย ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ตัวเขาเองจะตามมาทีหลัง
สองหนุ่ม...วิลเลียมและอนัตตา สวมเพียงเสื้อเชิ้ต สูทสีดำกันหนาวกับกางเกงขากระบอก ส่วนไอซิสยังคงความเป็นตัวเอง หรูหราด้วยเดรสผ้าซาตินสีดำ คว้านคอลึกจนเผยเนื้อนวลไหล่และเนินอกรำไรขาวผุดผ่อง รอบคอระหงพันด้วยผ้าพันคอขนสัตว์สีดำฟูฟ่อง ผมรวบเป็นมวยกลัดด้วยปิ่นประดับเพชรเม็ดย่อม ดวงหน้าเข้มกับริมฝีปากสีเชอร์รีสุกยังคงเฉิดฉายเช่นเคย
อารีสและหลุยส์ก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง หนุ่มฝรั่งเศสสวมเสื้อลายตารางสีแดงตัวโคร่งกับสูทกันหนาวสีน้ำตาลเป็นขุย นุ่งกางเกงเอวสูงเกือบเท่าอก ผมยังคงเลียบแปล้มันย่อง เหมาะสมกับหน้าขาวซีดสวมแว่นตาหนาเตอะ
ส่วนอารีสสวมชุดตัดจากผ้าลินินเหมือนวันแรกที่มาไคโร เป็นเสื้อลินินจีบระบายสีขาวบางกับกระโปรงผ้าลินินขาวยาวกรอมเท้า ประดับประดาด้วยสร้อยคอ สร้อยข้อมือ และเข็มขัดที่ถูกกรองร้อยจากหินแม่สี เข้ากับเปลือกตาสีเทอร์คอยซ์และริมฝีปากสีนู้ด
เย็นนี้อารีสไม่สู้จะแจ่มใสนัก มีหลายเรื่องที่หล่อนต้องขบคิด ไหนจะเรื่องผ้าลินินกับการตามหาความเป็นมา ไหนจะเรื่องเพื่อนหนุ่มอย่างวิลเลียมที่พยายามฉกชิงชายที่หล่อนรักไป ยิ่งเวลานี้เห็นทั้งสองพากันหัวเราะหยอกล้อ หล่อนก็แทบน้ำตาตกในอยู่แล้ว
ในอกของหญิงสาวปั่นป่วน ภายนอกแม้จะเรียบเฉย หากภายในกำลังเกิดมรสุมใหญ่หลวง ดังคลื่นใต้ทะเลลึก แม้ผิวน้ำจะเรียบสงบ หากภายใต้ความสงบ กลับมีพลังร้ายคอยสร้างความเสียหายแก่ตัวมันเอง
นี่แหละเขาถึงเรียก ‘อารมณ์’
ไม่มีใครล่วงรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น หรือจะหยุดลงเมื่อไหร่ จะดีจะร้ายมันก็คือ ‘อารมณ์’ สิ่งที่ผูกพันเป็นเสมือนห่วงผูกรัดมนุษย์ ยิ่งถูกปรุงแต่ง คลื่นแห่งอารมณ์ก็ยิ่งรุนแรงเป็นทบทวี
“อารีส คุณเกียนมาแล้ว” เสียงของวิลเลียมปลุกหญิงสาวจากภวังค์ หล่อนสะดุ้งน้อยๆ หากเมื่อเห็นว่าเพื่อนหนุ่มเป็นผู้ออกปากเรียก จึงเชิดหน้าเสีย ไม่ยอมมอง
วิลเลียมขมวดคิ้ว สบตาอนัตตาด้วยความงุนงง หากอารีสที่ลอบชำเลืองกลับเม้มปากค้อนลมค้อนแล้ง นึกเสียใจในตัวเพื่อนรักที่สามารถหักหลังหล่อนได้
เวลานี้อีริคนั่งประจำที่ของตนแล้ว บนโต๊ะอาหารมีมื้อเย็นสารพัดจัดวางไว้ละลานตา ทว่าก่อนจะเริ่มรับประทานอาหาร อีริคก็ได้พยักพเยิดกับเลขานุการหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เป็นสัญลักษณ์ให้อีกฝ่ายรู้ว่าต้องการอะไร
“เมื่อวานผมไปพบมาดามเซติที่เนบที เอารายงานการขุดสำรวจไปให้เธอดู” หนุ่มใหญ่เริ่มประเด็น “เธอค่อนข้างพอใจจึงได้ส่งของพวกนี้มาเป็นรางวัลสำหรับทุกคน” จบคำ เลขานุการหนุ่มก็ได้นำกล่องกำมะหยี่ขนาดต่างๆ แจกจ่ายให้คณะสำรวจที่นั่งรอบโต๊ะคนละกล่อง ครั้นลองเปิดดูข้างใน ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบของล้ำค่าอย่างอัญมณีน้ำงาม
“โอ้โห! สวยเหลือเกิน” ไอซิสออกปากคนแรก หล่อนวางกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน คลายผ้าพันคอขนสัตว์ แล้วหยิบสร้อยเพชรเม็ดงามขึ้นมาทาบลำคอ แสงวูบวาบจากแววเพชรสะท้อนแสงไฟจนระยิบระยับ ครั้นละสายตาจากอัญมณี จึงปรายตาเย้ายวนไปยังหนุ่มใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำภูมิฐานสวมสูทกันหนาว
“คุณเกียนคะ...ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ช่วยสวมสร้อยให้ดิฉันหน่อยได้ไหมคะ”
ทุกคนบนโต๊ะซึ่งกำลังชื่นชมของขวัญจากมาดามเซติถึงกับหันไปมองอย่างคาดไม่ถึง ทว่าอึดใจหนึ่งก็เลิกใส่ใจ ด้วยรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอีริคกับไอซิสพอสมควร
เว้นเสียแต่...อารีส
หล่อนอยากถามวิลเลียมเหลือเกินว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้หล่อนยังคงโกรธเพื่อนหนุ่มอยู่ การจะเข้าไปถามไถ่เห็นจะเป็นการเสียหน้าอย่างรุนแรง ท้ายที่สุดจึงหันไปใส่ใจกับสร้อยข้อมือทองคำ พลอยทับทิมเม็ดเขื่อง เจียระไนจนแวววาว ล้อมด้วยเพชรเม็ดเล็ก ตัวเรือนแต่ละช่วงทำจากทองคำขึ้นรูปเป็นแมงป่องตัวกระจิริด เรียงร้อยต่อกันนับสิบเป็นสายสร้อย หากช่วงเวลาที่กำลังจะวางสร้อยทับทิมทาบบนข้อมือ อยู่ๆ เสียงที่เคยได้ยินก็ดังขึ้นอีกคราว
“อารีส...”
หญิงสาวชะงักโดยฉับพลัน หันซ้ายแลขวาพยายามมองหาต้นเสียง
อารีสวางสร้อยข้อมือทับทิมลงในกล่องแล้วปิดฝาจนเสียงดังคลิก จากนั้นจึงขออนุญาตคนในโต๊ะไปทำธุระด้านนอก ทั้งที่แท้จริงหญิงสาวกำลังตามหาเสียงที่ลอยลมอีกระลอก
“อารีส...จงระวัง”
เสียงนั้นลอยมาจากด้านนอกของภัตตาคาร หล่อนพยายามเดินหาจนถึงบริเวณสระน้ำ
ยามค่ำที่อาบูซิมเบล อากาศหนาวเย็นนัก ชุดลินินของหล่อนไม่อาจปกป้องความเย็นเฉียบที่บาดเนื้อนวลได้ ทว่าหญิงสาวไม่ใส่ใจเท่าเสียงที่ดังอย่างต่อเนื่อง มันลอยตามสายลมที่พาดพัด ทิศทางนั้นดูคล้ายคลาว่าจะมาจากทิศซึ่งเป็นที่ตั้งของ 'วิหารอาบูซิมเบล'
“อารีส...จงระวัง”
เสียงนั้นยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้ง แน่แล้ว...มันลอยมาจากวิหารอาบูซิมเบลจริงๆ ด้วย
หล่อนกลับตัว ปรารถนาจะไปยังมหาวิหาร ทว่าทันทีที่กลับหลังหันเตรียมวิ่ง ก็ชนเขากับใครคนหนึ่งจนตนเองล้มหงายในทันที
“คุณอารีส!” เป็นอนัตตา เขาเข้ามาช่วยพยุงหล่อน ก่อนจะหันมาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงจนอารีสรู้สึกได้ หญิงสาวลืมสิ้นทุกอย่างแม้เสียงเพรียกเมื่อครู่ “ผมเห็นคุณหายเงียบไปนานก็เลยออกมาตาม ไม่คิดว่าจะมาข้างนอกนี่ อียิปต์เวลากลางคืนมันหนาวมากนะครับ ชุดผ้าลินินของคุณก็ดูไม่อุ่นเท่าไรด้วย”
ชายหนุ่มพูดพลางถอดเสื้อสูทของตนสวมให้หญิงสาวซึ่งกำลังตัวสั่นน้อยๆ เรียบร้อยก็ชวนให้เข้าไปรับอาหารเย็นในภัตตาคารข้างใน หากอารีสกลับรั้งแขนของเขาไว้ สบนัยน์ตารียาวคู่นั้น พลางพูดถึงสิ่งที่ค้างคาและรบกวนจิตใจเหลือเกิน
“คุณคิดอะไรกับวิลหรือเปล่า”
อนัตตาถึงกับตาโต สีหน้าราวคาดไม่ถึงกับสิ่งที่หญิงสาวถามขึ้น หากอึดใจจึงยิ้ม ส่ายหน้าเอ็นดู จากนั้นก็จับตัวหล่อนมายืนตรงหน้า สบนัยน์ตาคู่งาม
อารีสรับรู้ได้ แววตาของชายหนุ่มมาดมั่นเหลือเกิน
“ผมไม่เคยคิดกับวิลเกินเพื่อนครับ เราเป็นเพื่อนรักกัน” สองมือของเขาบีบต้นแขนหล่อนผ่านเสื้อสูทที่ให้ความอบอุ่น “ส่วนคนที่ผมคิดอะไรด้วย ผมได้บอกรักเขาผ่านองค์เทวีบาสต์ไปแล้ว” ชายหนุ่มว่าพลางมองที่คอระหง หากต้องขมวดคิ้วเมื่อไม่มีสร้อยคอห้อยจี้รูปแมวขนาดเล็กปรากฏให้เห็น
ฝ่ายหญิงสาวกำลังเพ้อกับคำบอกรักพลันได้สติ สองมือรีบคลำลำคอ นึกขึ้นได้ว่าเพราะอารมณ์โกรธชั่ววูบ จึงได้โยนสร้อยกับจี้แมวทิ้งเสียในห้อง หากจำไม่ได้ว่าที่ไหน
ท้ายที่สุดจึงได้แต่ขายผ้าเอาหน้ารอด
“อุ๊ย! สงสัยฉันคงจะลืมไว้ในห้องน้ำ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เลยรีบออกมา ไม่ทันได้หยิบมาด้วย” หล่อนว่าพลางเอียงอาย หากนึกเวทนาในคำแก้ตัวของตนเอง
นี่ขนาดหล่อนรีบ เปลือกตา หน้า ผม เสื้อผ้ายังเฉิดฉายไร้ที่ติ!
++++++++++++++++++++
++++++++++++++++
สร้อยคอพร้อมจี้รูปแมวถูกถอดโยนลงบนเตียงสีเข้มลายทาง หญิงสาวเชิดหน้าพลางบีบน้ำตาร้องห่มร้องไห้ หล่อนแทบไม่อยากเชื่อ ว่าจะถูกเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด ตีท้ายครัว มิหนำซ้ำยังเข้ามาทางประตูหลัง แค่คิดอารีสก็แทบหมดเรี่ยวแรง
แต่คิดอีกที...สีหน้าอนัตตาไม่ได้บ่งบอกความมีเลศนัยใดๆ กับวิลเลียมแม้แต่นิด นอกจากสนิทสนมในฐานะเพื่อน
‘บางที’ อาจเป็นวิลเลียมคนเดียวก็เป็นได้ที่หวังจะแย่งอนัตตาไปจากหล่อน เพราะเพื่อนกัน ชายหนุ่มก็คงดูออกว่าหล่อนรู้สึกอย่างไรกับอนัตตา นี่ขนาดหล่อนพยายามเก็บงำความรู้สึกแล้ว ยังไม่อาจรอดพ้นสายตาของวิลเลียมไปได้
น่าเจ็บใจนัก...
หล่อนชกฝ่ามือ ขบปากเคี้ยวฟัน จากนั้นจึงเดินวนไปเวียนมาเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา หากอยู่ๆ เสียงครวญครางบางอย่างก็ลอยออกมาตามสายลม
ตราบเท่านาน...คำสาปแช่ง คำอธิษฐาน จะยังคงอาบอยู่บนผ้าลินินผืนนี้
จวบ ‘พวกนาง’ ล่วงเข้าสู่มตภพดูอัต สู่การพิพากษาจนสำเร็จสิ้นจากเทวีแห่งความเที่ยงธรรม
ความคิดฟุ้งซ่านมลายหายในพริบตา อารีสหันมองรอบตัว พยายามเงี่ยหูฟัง เสียงเมื่อครู่เหมือนเสียงที่หล่อนเคยได้ยินมาหลายครั้ง มันลอยตามลม วนเวียน แว่วอยู่ข้างๆ หู หญิงสาวกำลังพยายามค้นหาอยู่
มันดังมาจากที่ใด...
เสียงเย็นเยียบ ยานคาง คล้ายบทสวดวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า หากอารมณ์ในเนื้อเสียงกลับเต็มไปด้วยความรันทด เสียใจ โกรธแค้นและอาลัยระคนกัน
กระทั่งเดินตามเสียงไปจึงพบกับถุงใส่ผ้าลินินโบราณที่หล่อนวางอยู่บนโต๊ะกระจก ข้างๆ มีกระเป๋าสัมภาระบังเอาไว้มิดชิด
“อารีส...อารีส...อารีส...”
คล้ายเสียงนั้นจะเรียกหล่อน ก้องสะท้อนราวการพูดผ่านห้วงลึกกว้าง
“จงระวัง...ระวัง...ระวัง...”
หญิงสาวขนลุกเกรียวในเดี๋ยวนั้น เสียงที่หล่อนได้ยินเย็นเยียบ เย็นจนสันหลังเสียววาบ โหยหวนจนหล่อนนึกถึงความตายกับลมหายใจที่กำลังจะถูกพรากทุกขณะเวลา
อารีสยื่นมือ ตั้งใจจะจับถุงผ้านั้นขึ้นมาแล้วลองคลี่ออก บางทีมันอาจจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้หล่อนเห็นอีกครั้งก็เป็นได้ หลังจากวันที่ผ่านมามันกลับเป็นเพียงโบราณวัตถุจำพวกผ้าชิ้นหนึ่งเท่านั้น
“อารีส...อารีส...อารีส...”
เสียงนั้นสะท้อนก้อง ราวซ่อนกระซิบจากผ้าลินินที่อยู่ภายใน
“จงระวัง...ระวัง...ระวัง...”
อารีสตั้งใจจะหยิบถุงผ้ามาดูให้แน่ใจว่าตนไม่ได้หูฝาด ทว่าปลายนิ้วยังไม่ทันสัมผัสเนื้อลินินของถุงผ้า เสียงเคาะประตูจากภายนอกก็ชิงดังขัดจังหวะเสียก่อน
“ดอกเตอร์วลัยกุลครับ...ดอกเตอร์”
หญิงสาวสะดุ้ง ชักมือหนีเสียจากสิ่งที่ตั้งใจจะจับ อยู่ๆ หัวใจก็กระตุกวูบ เต้นหนักหน่วงราวกับเพิ่งออกกำลังหักโหม สายตาที่จับจ้องมองดูถุงบรรจุผ้าลินิน ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย
เสียงเมื่อครู่บอกให้หล่อน ‘ระวัง’
แล้วหล่อนต้อง ‘ระวัง’ สิ่งใดกัน
หญิงสาวส่ายหน้า ถอนหายใจแรง ก่อนจะละสายตาจากถุงผ้า จากนั้นจึงวิ่งไปที่ประตูห้อง ขานรับเสียงเคาะที่ดังเป็นระยะ
“รอสักครู่ค่ะ” หล่อนตะโกนตอบเป็นภาษาอังกฤษ กระทั่งเปิดประตูออกจึงพบว่าเป็นหลุยส์กำลังยืนอยู่ สองมือพยายามดึงชายกางเกงที่เลื่อนลงต่ำขึ้นจนเกือบชิดอก
“ดอกเตอร์วลัยกุล...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมเรียกตั้งนานไม่เห็นตอบ” ชายหนุ่มพูดพลางขยับขาแว่น
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” หญิงสาวยิ้มกลบเกลื่อน “ว่าแต่ดอกเตอร์ มีอะไรหรือเปล่าคะ” หล่อนถาม พลางมองอีกฝ่ายพยายามดึงเอวกางเกงขึ้นอย่างนึกสังเวชใจในการแต่งตัว
“คุณเกียนโทร.มาแจ้งวิลครับ...เย็นนี้เรามีนัดพบกันที่ภัตตาคาร ผมเลยมาแจ้งดอกเตอร์ทราบ”
เรื่องความสงสัยเกี่ยวกับผ้าลินินมลายหายในฉับพลัน หญิงสาวขมวดคิ้ว กำลังสงสัยว่าทำไมวิลเลียมจึงให้หลุยส์มาแจ้งข่าวนี้แก่หล่อน เขาอยู่ห้องเดียวกับอนัตตา ควรจะให้อนัตตามาแจ้งข่าวนี้แก่หล่อนถึงจะถูก นี่คงรู้ว่าอนัตตาเริ่มมีใจให้หล่อนขึ้นมากระมัง เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดจึงพยายามกีดกันจากอนัตตา
“ชั่วร้ายที่สุด!”
หลุยส์สะดุ้งโหยง จ้องมองหญิงสาวด้วยความตระหนกตกใจ
“กะ...เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
อารีสเพิ่งได้สติ เห็นหลุยส์หน้าซีดหน้าเซียวก็พยายามยิ้มกลบเกลื่อน นึกเจ็บใจตัวเองที่เผลอไผลโกรธเพื่อนหนุ่มจนลืมตัว
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คือ...ดิฉัน...เอ่อ...” หล่อนอ้ำอึ้ง พยายามหาคำแก้ตัวที่เหมาะสมกับคำตะคอกเมื่อครู่ กระทั่งแสงสว่างกระจ่างวาบในความคิดจึงยิ้มออก
“กำลังซ้อมละครค่ะ”
หลุยส์ขมวดคิ้ว เอียงหน้ามองอย่างสงสัย หากอารีสคร้านจะหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลมากกว่านี้แล้ว ท้ายที่สุดจึงขอบคุณชายหนุ่ม ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำ ทิ้งให้หลุยส์ได้แต่งุนงงสงสัย พลางส่ายหน้าอย่างนึกสังเวชหญิงสาว
“ผู้หญิงอะไรแปลกพิลึก” หนุ่มแว่นพึมพำระหว่างทางเดินกลับห้อง “เพี้ยนๆ พิกล แต่งตัวก็ดูไม่ได้ ทาหน้าทาตาอย่างกับนกแก้วมาคอร์ สีชุดเหรอก็ตัดกันเร่อร่า เฮ้อ...น่าสงสาร”
เขาว่าพลางดึงเอวกางเกงขึ้น จากนั้นจึงไขกุญแจเข้าห้องของตน ปิดประตูแล้วลงกลอน
+++++++++++++
“ยายอารีสแต่งตัวอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ บางวันก็ดูดี แต่วันไหนนึกครึ้มอกครึ้มใจ...ก็ใส่เหมือนไฟจราจร หรือไม่ก็ลายเป็นนกแก้วมาคอร์”
วิลเลียมซึ่งกำลังเดินยืดเส้นยืดสายบรรยายความเป็นมาเป็นไปของอารีสให้อนัตตาฟังเพิ่มเติม ในห้องชุดดังกล่าว อนัตตานั่งอยู่ที่โซฟาชุดรับแขก ถอดเสื้อเชิ้ตพาดเก้าอี้ เหลือเพียงเสื้อกล้ามกับกางเกงขากระบอก ไม่ต่างจากวิลเลียม
“แล้วอย่างนี้คนที่มหาวิทยาลัยไม่ล้อเธอแย่เหรอ”
“มีสิ...ที่มหาวิทยาลัยมีแต่คนว่าอารีสเป็นยายเพี้ยน เรียนจนเพี้ยน บ้างก็ว่าดอกเตอร์สติเฟื่อง ไม่ค่อยมีใครกล้าคบอารีสหรอกนอกจากฉันกับเพื่อนอีก ๒ – ๓ คน ซึ่งแต่ละคนก็ไม่ค่อยต่างกัน เพราะนอกจากจะล้นๆ เกินๆ ก็ยังอารมณ์ขึ้นลงบ่อยๆ” วิลเลียมชี้แจง จากนั้นจึงไปหยิบน้ำเย็นจากตู้มานั่งดื่มข้างๆ อนัตตา “แต่เรื่องเรียนนี่ต้องยอมรับเลยว่าเธอเก่งกว่าใครในชั้น เก่งมากจนอาจารย์ชม มิหนำซ้ำยังเข้าชมรมศิลปะการต่อสู้ด้วยนะ กระบอง ไม้พลอง มีดเธอเก่งอย่าบอกใคร”
อนัตตาฟังแล้วก็ยิ้ม เชื่ออย่างที่วิลเลียมเล่ามา ระหว่างการนั่งฟังได้กลิ่นหอมของคาโมไมล์ระเหยจากเนื้อกายเป็นระยะ ชวนให้ระลึกถึงหญิงสาวอยู่ร่ำไป วิลเลียมเองก็คงได้กลิ่นจึงได้พูดคุยถึงประเด็นของฝากจากข่าน เอล – คาลีลี
“เป็นกลิ่นปกติของนายไปเลยนะ...คาโมไมล์เนี่ย แต่รู้สึกกลิ่นนี้จะแปลกไปนิด ของอารีสซื้อให้ใช่ไหม”
ชายหนุ่มพยักหน้าพลางยิ้มเป็นคำตอบ ดอกเตอร์หนุ่มเมืองผู้ดีจึงโอบไหล่กระชับพลางตบบ่า ก่อนจะลุกขึ้นไปจัดการเสื้อผ้าที่ยังกองอยู่บนเตียง
“ว่าแต่...นายคิดว่าอารีสเขาจะชอบฉันหรือเปล่า” อนัตตาถาม สีหน้าดูขัดเขิน
“ร้อยเปอร์เซ็นต์” เสียงตอบรับมั่นใจยิ่งยวด “ไม่เห็นสายตาท่าทางเวลายายนั้นมองนายเหรอ โอ้โห...เหมือนจะกลืนนายลงท้อง อีกอย่าง...ตอนฉันแกล้งทำท่าว่าจะฉกนายไป หน้าตาอารีสนี่ดูไม่ได้เลย”
ถึงตรงนี้อนัตตาก็หัวเราะชอบใจ “ขนาดนั้นเชียว”
“แน่ล่ะ บางที...อาจเพราะเธอเสียพ่อกับพี่ชายด้วยล่ะ ฉันว่า...” วิลเลียมพูดต่อ หากด้วยเสียงที่พยายามให้เบาลงราวเกรงว่าใครจะได้ยิน “เรื่องนี้ไม่ค่อยมีใครรู้ เห็นว่านายรักที่จะคบอารีส ฉันเลยเล่าให้ฟัง”
อนัตตาฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว
“พ่อกับพี่ชายเหรอ?”
“ใช่” วิลเลียมว่าพลางจัดเสื้อผ้าใส่ไม้แขวน “ฉันมีโอกาสไปเที่ยวบ้านอารีสที่กรุงเทพฯ ได้คุยกับแม่กับพี่สาว เธอเป็นลูกคนสุดท้อง เป็นสุดที่รักของพ่อแล้วก็พี่ชายเลยล่ะ ฉันเห็นรูปถ่ายของอารีสถ่ายคู่กับพ่อแล้วก็พี่ชายเยอะแยะ เป็นภาพที่มีรอยยิ้มทุกภาพ แม่ของอารีสเล่าว่าพ่อกับพี่ชายของอารีสเป็นคนยิ้มง่าย ยิ้มเก่ง มีเหตุมีผลและคอยดูแลปกป้องอารีสมาแต่ไหนแต่ไร แต่สุดท้ายพ่อกับพี่ชายก็มารถคว่ำเสียชีวิตในวันที่เธอจบปริญญาตรี”
อยู่ๆ ในอกของอนัตตาก็วูบไหว นัยน์ตารื่นด้วยน้ำคลอหน่วย ความรู้สึกสงสารผุดขึ้นจับหัวใจ ภาพในความคิดปรากฏเป็นหญิงสาวในชุดครุยรับพระราชทานปริญญาบัตรทราบข่าวการเสียชีวิตของพ่อและพี่ชาย น้ำตาไหลพราก ร้องห่มร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตายเสียตรงนั้น
บางทีสิ่งนี้เองที่อาจจะทำให้หล่อนเลือกจะเป็นคนยิ้ม หัวเราะและสร้างสีสันอยู่ตลอดเวลา อาจเพราะต้องการกลบเกลื่อนสีดำซึ่งฝังอยู่ในจิตใจ
“แม่ของอารีสเล่าว่าหลังจากนั้นอารีสก็เงียบขรึมลง เอาแต่มุ่งมั่นเรียน หลังจากล้มป่วยจนเข้าโรงพยาบาล เธอก็ลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัวแบบที่นายเห็นอยู่ทุกวัน จนคนที่บ้านปรับตัวไม่ทัน หัวเราะร่าเริงบ่อยครั้ง แต่อารมณ์ก็ขึ้นลงเดาได้ยาก อาจเพราะต้องการกลบรอยด่างดำในชีวิต” วิลเลียมถอนใจเหนื่อยอ่อน “แล้วบังเอิญ นายก็คงไปคล้ายพ่อกับพี่ชายของอารีส ฉันไม่แปลกใจหรอกที่ยายนั่นจะรีบคว้าตัวนายเอาไว้เป็นหลักยึดเกาะ”
แล้ววิลเลียมก็หันมาพูดกับอนัตตาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉันรู้จักนายมาพอสมควรนะนัต นายเป็นคนดี ถ้าเลือกจะรักอารีส ฉันขอขอบใจแทนเพื่อนของฉัน อารีสเป็นคนที่น่าสงสารมาก”
อนัตตาได้แต่นิ่งอั้น ไม่อาจปริปากบอกคำมั่นใดได้ หากในใจชายหนุ่มสัญญากับตัวเอง รวมถึงพ่อและพี่ชายของหญิงสาว ว่าจะรักและคอยดูแลอารีสให้ดีที่สุด
“แล้วเรื่องอารีสกับไอซ์ล่ะ เคยฟังมาบ้างว่าไม่ถูกกัน แต่เพราะอะไรเหรอ” เขาถามต่อ พยายามเบี่ยงเบนประเด็นไปเรื่องอื่น อาจเพราะรู้สึกในอกขมมากขึ้นทุกขณะ
“มันมีเหตุมาจากผู้ชายคนหนึ่ง และต่อมาก็อีกหลายคน” วิลเลียมเล่าพลางจัดเก็บชุดจากเตียงเข้าสู่ตู้เสื้อผ้า “รู้สึกผู้ชายคนนั้นจะอยู่คณะวิทยาศาสตร์ กำลังเรียนปริญญาเอกอยู่เหมือนกัน เป็นคนรูปหล่อ คนสัน มีฐานะ ขับรถสปอร์ตมาเรียนทุกวัน พอดีช่วงนั้นเข้ามาติดพันอารีส”
วิลเลียมจัดของเสร็จเรียบร้อยก็ปิดประตูตู้ จากนั้นจึงเดินมานั่งข้างๆ อนัตตาต่อ
“ใครจะเชื่อว่าคนอย่างอารีสจะมีคนมาสนใจติดพัน” หนุ่มอังกฤษทำหน้าราวไม่อยากเชื่อ “แต่นั่นล่ะ...ดูเขารักอารีสมาก ดูแลเธอดีทุกอย่างจนคนในมหาวิทยาลัยอิจฉา ส่วนไอซ์...ตอนนั้นเธอโด่งดังในคณะและมหาวิทยาลัย ชอบล้อเลียน ชอบแกล้งอารีสแต่ไหนแต่ไร เลยถือโอกาสแย่งผู้ชายคนรักของอารีสไป จนสุดท้ายก็คว้าผู้ชายคนนั้นไปครอง”
“เป็นสาเหตุให้อารีสเกลียดไอซ์อย่างนั้นสินะ” อนัตตาพยักพเยิดเข้าใจ
“ใช่” วิลเลียมสำทับ “อารีสเลยเกลียดไอซิสมาตั้งแต่นั้น พยายามหาทางล้างแค้นจนสุดท้ายผู้ชายคนนั้นก็หลุดมือไอซ์ไปหาคนอื่นจนได้ เลยกลายเป็นสงคราม แล้วทีนี้เรื่องราวมันก็บานปลาย รุนแรงขึ้นเพราะผู้ชายอีกหลายคนที่เข้ามาพัวพันในสนามรบของสองคน มีคนหนึ่งที่ตัดสินใจกระโดดตึกตายเพราะไอซ์หักอก เคราะห์ร้ายที่ผู้ชายคนนั้นเป็นเพื่อนรักของอารีสด้วย คราวนี้อารีสก็เลยกัดไอซ์ไม่ปล่อยเลยล่ะ”
วิลเลียมเล่าพลางเอนหลังลงเบาะ ทอดหายใจเหนื่อยอ่อนกับเรื่องราวของเพื่อนสาวทั้งสองที่รบราฆ่าฟันกันมาหลายต่อหลายปี
“ไอซ์เองก็ใช่เล่น รายนั้นไม่รู้สำนึกหรอก ชอบทำให้อารีสเสียหน้าอยู่เรื่อย แต่เธอก็เรียนสู้อารีสไม่ได้หรอก อาจารย์มักชมอารีสเสมอ ไอซ์อยู่ชมรมศิลปะการต่อสู้เหมือนกันกับอารีสล่ะ เคยมีประลองดาบไม้กันครั้งหนึ่ง อาจารย์คงไม่รู้ว่าสองคนนี้ไม่ค่อยลงรอยกันอยู่เลยจับคู่กัน ปรากฏว่าสนามประลองคราวนั้น ยายสองคนก็ฟันกันเต็มที่ แต่สุดท้ายไอซิสแพ้ ถูกอารีสเตะเข้าเต็มๆ แรง ไม่รู้เพราะอย่างนี้หรือเปล่า มันก้เลยเป็นเรื่องที่สะสมทับถมกันมาเรื่อยๆ”
“โอ้โห ฉันจะรอดไหมเนี่ย” อนัตตาแสดงความเห็น “ผู้หญิงนี่น่ากลัวจริงๆ”
วิลเลียมยักไหล่ พลางโอบบ่าชายหนุ่มเข้าแนบชิด
“เพราะอย่างนี้ยังไง ฉันเลยตัดสินใจไม่สนใจพวกผู้หญิง” หนุ่มอังกฤษว่าพลางกระหยิ่มยิ้มมองอนัตตา “เรื่องมาก น่ากลัว สู้ผู้ชายด้วยกันไม่ได้ เข้าใจกันมากกว่า”
อนัตตารีบถองจนอีกฝ่ายคู้ตัวร้องครวญ จากนั้นจึงส่ายหน้าพลางยิ้มให้กับความขี้เล่นของเพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษที่รู้จักกันมาพอสมควร
“นั่นเก็บไว้ใช้กับหลุยส์ของนายเถอะ”
ได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้นเข้า วิลเลียมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันที
“รายนั้นเคยรู้อะไรบ้าง หน้าจมอยู่กับอักษรเฮียโรกลีฟิก จนปาก จมูก คิ้ว ตา จะกลายเป็นอักษรภาพหมดแล้ว” วิลเลียมได้แต่ส่ายหน้า เกาหัวอย่างจนปัญญา “ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว คนอะไรช่างไม่คิดเรื่องอื่นเลยนอกจากการดึงเอวกางเกงให้สูง”
อนัตตาหัวเราะดังลั่น ตามมาด้วยวิลเลียมที่เสียงดังไม่ต่างกันเมื่ออนัตตาสวนความกลับคืน
“ใครจะไปเหมือนนาย คิดแต่เรื่องดึงเอวกางเกงให้ต่ำ”
+++++++++++++++++++
ตกเย็นทุกคนลงมาที่ห้องอาหารของโรงแรมตามที่นัดกันไว้ อีริคกำชับว่าแต่งกายตามสบาย ไม่ต้องมีพิธีรีตอง ตัวเขาเองจะตามมาทีหลัง
สองหนุ่ม...วิลเลียมและอนัตตา สวมเพียงเสื้อเชิ้ต สูทสีดำกันหนาวกับกางเกงขากระบอก ส่วนไอซิสยังคงความเป็นตัวเอง หรูหราด้วยเดรสผ้าซาตินสีดำ คว้านคอลึกจนเผยเนื้อนวลไหล่และเนินอกรำไรขาวผุดผ่อง รอบคอระหงพันด้วยผ้าพันคอขนสัตว์สีดำฟูฟ่อง ผมรวบเป็นมวยกลัดด้วยปิ่นประดับเพชรเม็ดย่อม ดวงหน้าเข้มกับริมฝีปากสีเชอร์รีสุกยังคงเฉิดฉายเช่นเคย
อารีสและหลุยส์ก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง หนุ่มฝรั่งเศสสวมเสื้อลายตารางสีแดงตัวโคร่งกับสูทกันหนาวสีน้ำตาลเป็นขุย นุ่งกางเกงเอวสูงเกือบเท่าอก ผมยังคงเลียบแปล้มันย่อง เหมาะสมกับหน้าขาวซีดสวมแว่นตาหนาเตอะ
ส่วนอารีสสวมชุดตัดจากผ้าลินินเหมือนวันแรกที่มาไคโร เป็นเสื้อลินินจีบระบายสีขาวบางกับกระโปรงผ้าลินินขาวยาวกรอมเท้า ประดับประดาด้วยสร้อยคอ สร้อยข้อมือ และเข็มขัดที่ถูกกรองร้อยจากหินแม่สี เข้ากับเปลือกตาสีเทอร์คอยซ์และริมฝีปากสีนู้ด
เย็นนี้อารีสไม่สู้จะแจ่มใสนัก มีหลายเรื่องที่หล่อนต้องขบคิด ไหนจะเรื่องผ้าลินินกับการตามหาความเป็นมา ไหนจะเรื่องเพื่อนหนุ่มอย่างวิลเลียมที่พยายามฉกชิงชายที่หล่อนรักไป ยิ่งเวลานี้เห็นทั้งสองพากันหัวเราะหยอกล้อ หล่อนก็แทบน้ำตาตกในอยู่แล้ว
ในอกของหญิงสาวปั่นป่วน ภายนอกแม้จะเรียบเฉย หากภายในกำลังเกิดมรสุมใหญ่หลวง ดังคลื่นใต้ทะเลลึก แม้ผิวน้ำจะเรียบสงบ หากภายใต้ความสงบ กลับมีพลังร้ายคอยสร้างความเสียหายแก่ตัวมันเอง
นี่แหละเขาถึงเรียก ‘อารมณ์’
ไม่มีใครล่วงรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น หรือจะหยุดลงเมื่อไหร่ จะดีจะร้ายมันก็คือ ‘อารมณ์’ สิ่งที่ผูกพันเป็นเสมือนห่วงผูกรัดมนุษย์ ยิ่งถูกปรุงแต่ง คลื่นแห่งอารมณ์ก็ยิ่งรุนแรงเป็นทบทวี
“อารีส คุณเกียนมาแล้ว” เสียงของวิลเลียมปลุกหญิงสาวจากภวังค์ หล่อนสะดุ้งน้อยๆ หากเมื่อเห็นว่าเพื่อนหนุ่มเป็นผู้ออกปากเรียก จึงเชิดหน้าเสีย ไม่ยอมมอง
วิลเลียมขมวดคิ้ว สบตาอนัตตาด้วยความงุนงง หากอารีสที่ลอบชำเลืองกลับเม้มปากค้อนลมค้อนแล้ง นึกเสียใจในตัวเพื่อนรักที่สามารถหักหลังหล่อนได้
เวลานี้อีริคนั่งประจำที่ของตนแล้ว บนโต๊ะอาหารมีมื้อเย็นสารพัดจัดวางไว้ละลานตา ทว่าก่อนจะเริ่มรับประทานอาหาร อีริคก็ได้พยักพเยิดกับเลขานุการหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เป็นสัญลักษณ์ให้อีกฝ่ายรู้ว่าต้องการอะไร
“เมื่อวานผมไปพบมาดามเซติที่เนบที เอารายงานการขุดสำรวจไปให้เธอดู” หนุ่มใหญ่เริ่มประเด็น “เธอค่อนข้างพอใจจึงได้ส่งของพวกนี้มาเป็นรางวัลสำหรับทุกคน” จบคำ เลขานุการหนุ่มก็ได้นำกล่องกำมะหยี่ขนาดต่างๆ แจกจ่ายให้คณะสำรวจที่นั่งรอบโต๊ะคนละกล่อง ครั้นลองเปิดดูข้างใน ทุกคนก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบของล้ำค่าอย่างอัญมณีน้ำงาม
“โอ้โห! สวยเหลือเกิน” ไอซิสออกปากคนแรก หล่อนวางกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงิน คลายผ้าพันคอขนสัตว์ แล้วหยิบสร้อยเพชรเม็ดงามขึ้นมาทาบลำคอ แสงวูบวาบจากแววเพชรสะท้อนแสงไฟจนระยิบระยับ ครั้นละสายตาจากอัญมณี จึงปรายตาเย้ายวนไปยังหนุ่มใหญ่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำภูมิฐานสวมสูทกันหนาว
“คุณเกียนคะ...ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ช่วยสวมสร้อยให้ดิฉันหน่อยได้ไหมคะ”
ทุกคนบนโต๊ะซึ่งกำลังชื่นชมของขวัญจากมาดามเซติถึงกับหันไปมองอย่างคาดไม่ถึง ทว่าอึดใจหนึ่งก็เลิกใส่ใจ ด้วยรู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอีริคกับไอซิสพอสมควร
เว้นเสียแต่...อารีส
หล่อนอยากถามวิลเลียมเหลือเกินว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทว่าเวลานี้หล่อนยังคงโกรธเพื่อนหนุ่มอยู่ การจะเข้าไปถามไถ่เห็นจะเป็นการเสียหน้าอย่างรุนแรง ท้ายที่สุดจึงหันไปใส่ใจกับสร้อยข้อมือทองคำ พลอยทับทิมเม็ดเขื่อง เจียระไนจนแวววาว ล้อมด้วยเพชรเม็ดเล็ก ตัวเรือนแต่ละช่วงทำจากทองคำขึ้นรูปเป็นแมงป่องตัวกระจิริด เรียงร้อยต่อกันนับสิบเป็นสายสร้อย หากช่วงเวลาที่กำลังจะวางสร้อยทับทิมทาบบนข้อมือ อยู่ๆ เสียงที่เคยได้ยินก็ดังขึ้นอีกคราว
“อารีส...”
หญิงสาวชะงักโดยฉับพลัน หันซ้ายแลขวาพยายามมองหาต้นเสียง
อารีสวางสร้อยข้อมือทับทิมลงในกล่องแล้วปิดฝาจนเสียงดังคลิก จากนั้นจึงขออนุญาตคนในโต๊ะไปทำธุระด้านนอก ทั้งที่แท้จริงหญิงสาวกำลังตามหาเสียงที่ลอยลมอีกระลอก
“อารีส...จงระวัง”
เสียงนั้นลอยมาจากด้านนอกของภัตตาคาร หล่อนพยายามเดินหาจนถึงบริเวณสระน้ำ
ยามค่ำที่อาบูซิมเบล อากาศหนาวเย็นนัก ชุดลินินของหล่อนไม่อาจปกป้องความเย็นเฉียบที่บาดเนื้อนวลได้ ทว่าหญิงสาวไม่ใส่ใจเท่าเสียงที่ดังอย่างต่อเนื่อง มันลอยตามสายลมที่พาดพัด ทิศทางนั้นดูคล้ายคลาว่าจะมาจากทิศซึ่งเป็นที่ตั้งของ 'วิหารอาบูซิมเบล'
“อารีส...จงระวัง”
เสียงนั้นยิ่งชัดเจนแจ่มแจ้ง แน่แล้ว...มันลอยมาจากวิหารอาบูซิมเบลจริงๆ ด้วย
หล่อนกลับตัว ปรารถนาจะไปยังมหาวิหาร ทว่าทันทีที่กลับหลังหันเตรียมวิ่ง ก็ชนเขากับใครคนหนึ่งจนตนเองล้มหงายในทันที
“คุณอารีส!” เป็นอนัตตา เขาเข้ามาช่วยพยุงหล่อน ก่อนจะหันมาถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงจนอารีสรู้สึกได้ หญิงสาวลืมสิ้นทุกอย่างแม้เสียงเพรียกเมื่อครู่ “ผมเห็นคุณหายเงียบไปนานก็เลยออกมาตาม ไม่คิดว่าจะมาข้างนอกนี่ อียิปต์เวลากลางคืนมันหนาวมากนะครับ ชุดผ้าลินินของคุณก็ดูไม่อุ่นเท่าไรด้วย”
ชายหนุ่มพูดพลางถอดเสื้อสูทของตนสวมให้หญิงสาวซึ่งกำลังตัวสั่นน้อยๆ เรียบร้อยก็ชวนให้เข้าไปรับอาหารเย็นในภัตตาคารข้างใน หากอารีสกลับรั้งแขนของเขาไว้ สบนัยน์ตารียาวคู่นั้น พลางพูดถึงสิ่งที่ค้างคาและรบกวนจิตใจเหลือเกิน
“คุณคิดอะไรกับวิลหรือเปล่า”
อนัตตาถึงกับตาโต สีหน้าราวคาดไม่ถึงกับสิ่งที่หญิงสาวถามขึ้น หากอึดใจจึงยิ้ม ส่ายหน้าเอ็นดู จากนั้นก็จับตัวหล่อนมายืนตรงหน้า สบนัยน์ตาคู่งาม
อารีสรับรู้ได้ แววตาของชายหนุ่มมาดมั่นเหลือเกิน
“ผมไม่เคยคิดกับวิลเกินเพื่อนครับ เราเป็นเพื่อนรักกัน” สองมือของเขาบีบต้นแขนหล่อนผ่านเสื้อสูทที่ให้ความอบอุ่น “ส่วนคนที่ผมคิดอะไรด้วย ผมได้บอกรักเขาผ่านองค์เทวีบาสต์ไปแล้ว” ชายหนุ่มว่าพลางมองที่คอระหง หากต้องขมวดคิ้วเมื่อไม่มีสร้อยคอห้อยจี้รูปแมวขนาดเล็กปรากฏให้เห็น
ฝ่ายหญิงสาวกำลังเพ้อกับคำบอกรักพลันได้สติ สองมือรีบคลำลำคอ นึกขึ้นได้ว่าเพราะอารมณ์โกรธชั่ววูบ จึงได้โยนสร้อยกับจี้แมวทิ้งเสียในห้อง หากจำไม่ได้ว่าที่ไหน
ท้ายที่สุดจึงได้แต่ขายผ้าเอาหน้ารอด
“อุ๊ย! สงสัยฉันคงจะลืมไว้ในห้องน้ำ อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เลยรีบออกมา ไม่ทันได้หยิบมาด้วย” หล่อนว่าพลางเอียงอาย หากนึกเวทนาในคำแก้ตัวของตนเอง
นี่ขนาดหล่อนรีบ เปลือกตา หน้า ผม เสื้อผ้ายังเฉิดฉายไร้ที่ติ!
++++++++++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มิ.ย. 2555, 09:08:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มิ.ย. 2555, 09:08:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 1437
<< อัสวาน (๑) | อัสวาน (๓) >> |
นภาสรร 8 มิ.ย. 2555, 09:23:57 น.
มีความรู้สึกเหมือนอ่านหนังสือแปลเลย สำนวนพริ้วไหวมากจ้ะ ชอบๆ ^_^
มีความรู้สึกเหมือนอ่านหนังสือแปลเลย สำนวนพริ้วไหวมากจ้ะ ชอบๆ ^_^
นาถลดา 8 มิ.ย. 2555, 10:32:07 น.
เรื่องนี้แต่งไปฮาไปครับ ฮานางเอก *0*
เรื่องนี้แต่งไปฮาไปครับ ฮานางเอก *0*
นภาสรร 8 มิ.ย. 2555, 10:52:12 น.
ใช่ จะบอกว่าแอบฮาจริงๆ ^_^
ใช่ จะบอกว่าแอบฮาจริงๆ ^_^
แล่นแต๊ 8 มิ.ย. 2555, 19:10:34 น.
นางเอกแอบฮานะคะนี่ ^^
นางเอกแอบฮานะคะนี่ ^^