เพลงมาร
'เพลงมาร' จุดเริ่มต้นของเรื่องราวการตายอย่างมีเงื่อนงำ หลายชีวิตที่จากไป ล้วนเกี่ยวโยงกับมัน

ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
Tags: เพลง ความตาย อาถรรพ์ อุปรากร ลี้ลับ

ตอน: องก์ที่ ๑๐

+++++++++++++++

ดารุจหันไปมองพะเนินหนังสือเก่าข้างโต๊ะทำงาน สภาพแต่ละเล่มไม่ต่างจากคนสวมเสื้อผ้าปะขาด บางเล่มแม้จะเก่าเก็บจนหน้ากระดาษเหลืองกรอบคล้ายสตรีรุ่นป้า หากเนื้อหาภายในยังคงไว้ซึ่งความล้ำสมัย ก้าวหน้าเกินกว่าหนังสือในยุคนี้จะมีได้

ดังนั้น สิ่งที่บรรณารักษ์จะต้องทำ ก็คือซ่อมแซมพวกมันให้สามารถใช้งานได้ต่อไป

ห้องทำงานของดารุจอยู่ชั้นบนของหอสมุดแห่งชาติ ถูกแยกเป็นสัดส่วนเอกเทศ เขามีหน้าที่หลักในการซ่อมแซมหนังสือที่เสียหาย จัดการกับหนังสือ นิตยสาร หรือเอกสารเก่าเก็บเย็บเข้าเล่ม ก่อนจัดไว้เป็นหมวดหมู่ในห้องหนังสือเก่าซึ่งมีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำงานอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่ค่อยมีใครเห็นหน้าค่าตาของเขา

ยิ่งเวลาหอสมุดมีกิจกรรมสำหรับวันเด็ก วันสำคัญทางหน่วยราชการ กระทั่งวันสำคัญทางศาสนาด้วยแล้ว ดารุจก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกกีดกันออกจากสังคม ตัวเขามักถูกหัวหน้าบรรณารักษ์ใช้งานจนไม่มีเวลามาร่วมกิจกรรมด้านล่าง และห้องเก็บหนังสือเก่าอันเป็นห้องทำงานของเขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ใครเข้ามาเยี่ยมชม

นี่ล่ะ...กระดังงา...หัวหน้าบรรณารักษ์

กระดังงาเป็นสาวใหญ่ร่างอวบท้วม นอกจากความเชื่อและโชคลางที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของหล่อนแล้ว กระดังงายังได้ชื่อว่าเป็นคนระเบียบจัดเป็นที่หนึ่ง งานการที่มอบหมายให้ทำต้องเรียบร้อยสมบูรณ์แบบ มาทำงานต้องตรงเวลา สายนิดเดียวหล่อนก็จะยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาลงโทษโดยง่าย

แต่วันนี้สิน่าแปลก สายจนป่านนี้ดารุจยังไม่เห็นแม้เงาหัวหน้าบรรณารักษ์ ทั้งที่ปกติหล่อนเป็นจะต้องมาทำงานก่อนใครเพื่อน ลองเดินไปถามใครต่อใคร ต่างก็ส่ายหน้าเป็นทิวแถว

กระทั่งเวลาใกล้เที่ยงนั่นเอง สาวใหญ่จึงปรากฏตัว ประจวบเหมาะพอดีที่ดารุจเดินลงมาข้างล่างเพื่อติดต่อขอผ้าแรกซีนและกระดาษแข็งสำหรับซ่อมปกหนังสือชำรุด แรกเห็นสีหน้าก็บอกได้ว่าหล่อนกำลังหงุดหงิดอย่างที่สุด

"อ้าว! ทำไมมาเอาป่านนี้ล่ะพี่แขก หนูก็กลัวว่าพี่จะเป็นอะไรหรือเปล่า โทร. หาก็ไม่ติด" บรรณารักษ์หญิงคนหนึ่งถามขึ้นเมื่อเห็นกระดังงาเดินเข้ามาพลางเหวี่ยงกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงาน

"ซวยตั้งแต่เช้าสินังหวี" กระดังงากระฟัดกระเฟียดระหว่างทิ้งบั้นท้ายใหญ่ยักษ์ลงเก้าอี้บุนวม สายตาคมกริบลอบชำเลืองดารุจที่กำลังค้นหาผ้าแรกซีนและกระดาษแข็งในตู้เหล็กด้วยความไม่พอใจ "จะออกจากบ้านจิ้งจกก็ดันร้องทักพอดีหัวพี่เลย ไอ้พี่ก็กลัวว่าจะมาทำงานสาย ก็เลยต้องเดินออกทางหลังบ้านแทน ที่ไหนได้...น่าจะเชื่อจิ้งจกมัน โทร. มาลาหยุดเสียให้รู้แล้วรู้รอด ไม่อยากนั้นคงไม่เจอเรื่องซวยๆ อย่างนี้หรอก"

ดูเหมือนคำว่า 'ซวย' กระดังงาคงหันหน้ามาทางชายหนุ่ม เสียงนั้นถึงดังมากกว่าปกติ

"เชื่อไหม...พี่ขับรถออกมา แมวดำดันวิ่งตัดหน้ารถ ปะเหมาะเคราะห์ร้ายอะไรไม่รู้ หักหลบก็ชนกับเด็กที่มันกำลังเดินอยู่ เลยต้องพามันไปโรงพยาบาล ไกล่เกลี่ยกว่าพ่อแม่มันจะยอม ต้องเสียค่าทำขวัญค่ารักษากันบานเบอะ แถมแบตเตอรี่มือถือก็ดันมาเสื่อมอีก"

พูดเสร็จก็โอดครวญด้วยความโมโห "อยากจะเป็นบ้า มาที่ทำงานก็เจอตัวซวย!"

ดารุจสะดุ้ง รับรู้ทันทีว่ากระดังงาหมายถึงใคร ครั้นแล้วก็ลอบถอนใจพลางส่ายหน้า กี่ครั้งกี่หนที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น หัวหน้าบรรณารักษ์ก็มักโยนความผิดมาให้เขาเสมอ บางครั้งชายหนุ่มก็อยากถามเหมือนกันว่ เขาหรือที่เป็นคนส่งจิ้งจกไปร้องทักหน้าประตูบ้าน หรือว่าส่งแมวดำไปกระโดดข้ามตัดหน้ารถ ไอ้เรื่องเสียเงินเสียทองนั่นอีก เป็นเพราะเขาหรืออย่างไร?

ทั้งหมดแทบไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาแม้แต่น้อย แต่ก็อย่างว่า ลงใครได้รู้จักเขา ก็คงเห็นพ้องเช่นเดียวกันในเรื่อง 'ความซวย'

ดารุจไม่อยู่รอฟังการแดกดันหรือคำเหน็บแนมจากหัวหน้าบรรณารักษ์อีก ได้ของเรียบร้อยก็ปิดตู้เหล็ก หอบผ้าแรกซีนกับกระดาษแข็งสำหรับซ่อมหนังสือขึ้นไปชั้นบน ทว่าระหว่างทางเดินก็ยังได้ยินเสียงพูดคุยของกระดังงาและบรรณารักษ์สาวลอยตามลม

"เมื่อวานนี้เองพี่แขก ไอ้สาว...แม่บ้านใหม่ของเราที่ทำเป็นใจกล้ายังไง ปรากฏว่าตอนนี้นอนแหมะอยู่ที่โรงพยาบาล" ฝ่ายเพื่อนร่วมงานคงเริ่มประเด็นให้กระดังงาฟัง "ผัวเมียข้างบ้านมันตีกัน ทีนี้นางเมียมันก็โยนสากใส่ผัวที่วิ่งหนี แต่เคราะห์หามยามซวยของไอ้สาวมันนั่นล่ะ สากดันลอยไปตำหัวจนแตกเลือดอาบ ต้องเย็บเป็นสิบเข็ม กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่แท้ๆ"

บรรณารักษ์หนุ่มชะลอฝีเท้า พยายามเงี่ยหูฟังเรื่องราว ก็แม่บ้านชื่อสาวมิใช่หรือที่เพิ่งพูดคุยกับเขาเมื่อวันก่อน ทั้งยังบอกกับชายหนุ่มเองว่าไม่เชื่อเรื่องโชคร้ายที่เขานำมาให้คนใกล้ชิด ตามคำร่ำลือของคนในที่ทำงาน

ทว่าตอนนี้เป็นอย่างไร...ลาลับกันวันเดียวก็มีอันต้องเข้าโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าหลังกลับมาทำงาน ท่าทีของหล่อนจะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า

"สมน้ำหน้ามัน!" เป็นเสียงกระดังงาแน่ชัด "อวดเก่ง! เป็นยังไงล่ะ บุญแล้วที่นางเมียข้างบ้านไม่ได้ขว้างปังตอ ไม่อยากนั้นก็คงเป็นผีหัวขาดเสียล่ะ เรื่องแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ กลับมาต้องพามันไปทำบุญเก้าวัด บริจาคโลงศพ ออ...อย่าลืมพามันทำพิธีล้างเสนียดด้วย บอกแล้วไม่เชื่อ ตัวเสนียดโชคร้ายมันมีจริงนะโว้ย!"

น้ำเสียงซึ่งถูกลากยาวทำเอาดารุจชาวาบราวถูกราดด้วยน้ำเย็นเฉียบ แม้สองเท้าพยายามเดินหน้าต่อ ทว่าร่างกายกลับคลอนแคลนจวนล้มอยู่รอมร่อ

++++++++++++++

วิถีชีวิตในปัจจุบันของคนเรา พระท่านว่าเกิดแต่บุญทำกรรมแต่ง เคยทำสิ่งใดในอดีตก็ย่อมได้รับผลนั้นตามมา ก็ถ้าด้วยเหตุนั้นแล้ว บุญกรรมอะไรกัน จึงทำให้เขากลายเป็นที่รังเกียจของใครต่อใคร ผู้คนรอบข้างต่างหวาดกลัว เกรงเขาจะนำความโชคร้ายและหายนะไปสิงสู่

ดารุจปรารถนาล่วงรู้เหลือเกิน...เพราะอะไร?

ครั้นนึกถึงความโชคร้ายที่เกิดแก่คนรอบข้าง บรรณารักษ์หนุ่มก็อดคิดถึงเรื่องเมื่อคืนก่อนไม่ได้ ในงานเลี้ยงครบรอบวันเกษียณอายุของครูอินทร์

นั่นก็หายนะอีกเรื่อง!

งานเลี้ยงแสนหรูหราที่เดชาจัดให้ครูอินทร์ มันควรจะจบอย่างสวยงามหรือไม่ใช่ แต่ก็เพราะเขาเองนั่นล่ะที่ทำให้งานเลี้ยงล่มไม่เป็นท่า ผู้คนแตกตื่นหวาดกลัว

กว่าครึ่งปีแล้ว ที่ดารุจไม่ได้ยินเสียงแผดร้องของหญิงสาว เสียงที่คอยทำให้ชีวิตหวาดกลัวว่าจะทำให้คนรอบข้างเกิดเรื่องราวร้ายกาจ กระทั่งหลังจากได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับผีสาวแบนชี นางพรายผู้เตือนถึงหายนะด้วยเสียงกรีดร้อง แม้ไม่อยากเชื่อว่าแบนชีจะมีตัวตน ทว่าเรื่องเล่าขานหรือตำนานมักมีเค้าความจริงปะปนอยู่ไม่มากก็น้อย

บางที...เสียงที่ชายหนุ่มได้ยินอาจเป็นเสียงเพรียกถึงลางมรณะ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น มันกำลังบ่งบอกว่าความตายกำลังคืบคลานไปหาใครกัน

ได้แต่หวังว่า...คงไม่ใช่ 'เจ้าของงาน'

อีกประการ...ภายหลังการสะกดจิตบำบัด ปุณฑริกได้แนะนำให้เขาลองเปิดใจรับฟังเสียงที่คอยรบกวนชีวิต อาจเพราะหล่อนคาดว่าคงมีอะไรบางอย่างแอบแฝงซ่อนเร้น

'ลองทำใจให้สบาย อยากให้แกลองฟังเสียงนั่น ถ้าได้ยินมันอีกครั้ง ก็ลองฟังดู นอกจากเสียงกรีดร้องของผู้หญิง แกได้ยินอะไรอื่นอีก'

ไม่มีใครรู้ว่าดารุจพยายามทำตามคำแนะนำของเพื่อนสาว เมื่อเขาเริ่มได้ยินเสียงกรีดร้องแว่วดังอยู่ในหู ขณะที่ทุกคนกำลังสนใจบทเพลงเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่นที่ทองธารกำลังขับขาน

บรรณารักษ์หนุ่มพยายามเปิดใจ สูดลมหายใจลงลึก เงี่ยหูฟังเสียงอื่นนอกจากเสียงแผดร้องที่กำลังดังขึ้นเรื่อยๆ แล้วในที่สุด เขาก็ได้รับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่แอบซ่อน เป็นเสียงอื่นที่ละม้ายการขับกล่อมบทเพลงของผู้หญิง ราวบทวิงวอนเทพเจ้าที่เอื้อนเอ่ยในมหาวิหาร แม้เพียงท่อนแรกที่จับใจความได้ ดารุจก็พอจะคาดเดาว่าเป็นเพลงสวดขอพร

'ข้า...ขอวิงวอนเถิดหนา สูงเสียดเหนือแผ่นฟ้า ดิ่งลึกมหานที
พระสมุทร...พระองค์ผู้ทรงศักดิ์ศรี เจ้าแห่งเวิ้งวารี บารมีคณนา'

ชายหนุ่มสลัดภาพความทรงจำจากเมื่อคืน ฉวยสมุดพกแล้วตั้งสมาธิจดเนื้อเพลงที่สามารถจับใจความลงไป แน่แท้ว่าในเสียงกรีดร้องยังมีเสียงเพลงสวดวิงวอนเทพเจ้า มิหนำซ้ำยังเอ่ยถึง 'พระสมุทร' ซึ่งจะด้วยความบังเอิญหรือไม่ก็ตามที เหตุใดมันจึงคล้ายเนื้อเรื่องในหนังสือเล่มหนึ่งที่กำลังจมพะเนินหนังสือเก่ารอการซ่อม

"น่าแปลก!" ดารุจขมวดคิ้ว ละสายตาจากสมุดพก

เขาก้มลงค้นหาหนังสือที่มีส่วนเกี่ยวข้องและคล้ายคลึงกับบทเพลงท่อนแรกที่ได้ยิน จำได้ว่ามันอยู่ในพะเนินหนังสือสภาพย่ำแย่นี่เอง ด้วยสภาพของมันก็ไม่ย่อหย่อนไปกว่าเพื่อน ทว่ายังไม่ทันจะหาเจอ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ชิงดังขึ้น ครั้นหยิบมาดูก็พบว่าเป็นหมายเลขของปุณฑริก

"สวัสดีปุ่น...กำลังอยากคุยกับแกอยู่เลย" ดารุจตั้งใจว่าจะพูดเรื่องการพยายามเปิดใจรับฟังเสียงกรีดร้องที่อีกฝ่ายแนะนำ แต่ยังไม่ทันจะได้อธิบาย ปลายสายก็ชิงพูดตัดหน้าด้วยเรื่องที่ร้ายแรงกว่าหลายเท่า

"แย่แล้วรุจ!" เสียงหล่อนสั่นเครือ ทั้งการเรียกขานก็ดูเอาจริงเอาจัง บ่งบอกให้รู้ว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย "แกรู้หรือยัง...ครูอินทร์ตายแล้ว!"

บรรณารักษ์หนุ่มนิ่งอั้น ตัวแข็งทื่อราวถูกสาป โทรศัพท์เคลื่อนที่เลื่อนหลุดจากมือตกลงแทบเท้า เสียงปุณฑริกแม้ยังดังออกมาเรื่อยๆ ทว่าไม่อาจจับใจความได้ ด้วยโสตประสาทนั้นอื้ออึงไปหมด

แบนชี...ลางมรณะในเสียงนั้น...คือครูอินทร์!

++++++++++++++++

ทองธารกับสาลี่ออกไปซื้อผลไม้สดมาจัดลงตะกร้า ตั้งใจไว้ว่าจะนำไปเป็นของขวัญแก่ลุงของหล่อน ที่เลือกมาส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นผลไม้ซึ่งผู้สูงวัยชอบทั้งสิ้น

นักร้องสาวแบ่งผลไม้เป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งล้างเรียบร้อยก็จัดลงตะกร้าหวาย อีกส่วนนำมาปอกเปลือกแล้วล้างน้ำ หั่นเป็นชิ้นสวยงามน่ารับประทาน จากนั้นจึงจัดวางลงจานไม้ขัดมัน หุ้มพลาสติกใสอีกชั้นให้ดูสะอาดน่ารับประทาน

การเตรียมผลไม้ที่ต้องหั่นใส่จานทุลักทุเลพอสมควร เหตุสำคัญเพราะในห้องชุดของโรงแรมไม่มีพื้นที่ให้เตรียมอาหาร นักร้องสาวกับผู้จัดการส่วนตัวจึงต้องหากระดาษหนังสือพิมพ์มารองบนโต๊ะทำงานต่างที่จัดเตรียมอาหารในห้องครัว

คิดๆ ก็น่าเสียดาย มาอยู่ภูเก็ตทั้งทีกลับไม่ได้พักที่บ้านเป็นหลักแหล่ง ไม่อย่างนั้นการทำกิจกรรมหลายอย่างคงสะดวกสบายขึ้น แต่ทำอย่างไรได้...ในเมื่อบ้านที่มีอยู่ก็เป็นของบิดาซึ่งมีปัญหาไม่ลงรอยกัน ครั้นจะไปพักบ้านครูอินทร์ผู้เป็นลุง หล่อนก็เกรงใจเกินกว่าจะไปขออาศัย ด้วยหอบหิ้วสาลี่มาอยู่เป็นเพื่อนด้วยอีกคน

แต่จะว่าไป ชีวิตของทองธารก็ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยเสียแล้ว หล่อนมีเหตุสารพัดอย่างให้ต้องเดินทางไปพักที่อื่นอยู่เรื่อยร่ำ อย่างเวลาอยู่กรุงเทพฯ ไม่บ่อยนักที่จะได้ไปพักบ้านอันเป็นสมบัติของมารดา เพราะบ้านนั้นตั้งอยู่ไกลถึงเขตหนองแขม ฝั่งธนบุรี ห่างจากที่ทำงานหล่อนมากโข การเดินทางไปมาแต่ละครั้งไม่สู้สะดวก

ท้ายที่สุดหญิงสาวจึงตัดสินใจหาคอนโดมีเนียมอาศัยอยู่กับผู้จัดการส่วนตัว บ้านที่หนองแขมก็เป็นอันฝากให้น้าสาวดูแลแทน

ส่วนบ้านที่ภูเก็ตของบิดา นอกจากปัญหาความไม่ลงรอย ยังพ่วงด้วยปัญหายืดเยื้อกับแม่เลี้ยง รวมถึงนายปถวี พี่ชายนอกไส้อีกคน กี่ครั้งแล้วที่นางยุพาและลูกคอยหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหรือพยายามทำร้ายหล่อน จนหญิงสาวเป็นฝ่ายทนไม่ไหว ต้องออกจากบ้านไปเสียเอง

อย่างไรก็ดี ถึงแม้จะมีปัญหาไม่ลงรอยในครอบครัว หากบิดาก็ยังไม่ใจไม้ไส้ระกำ ตัดลูกสาวคนเดียวออกจากกองมรดก สมบัติหลายอย่างที่เคยเป็นของหล่อนและแม่ผู้จากไป ผู้เป็นบิดายังคงเก็บไว้อย่างดีไม่ให้ใครแตะต้อง แม้แต่แม่เลี้ยงอย่างนางยุพาที่จับจ้องสมบัติเหล่านั้นตาเป็นมัน

เวหา น้องชายร่วมบิดานั่นล่ะที่กระซิบบอก ข้าวของและห้องนอนของหล่อนรวมถึงมารดาที่จากไป บิดายังคงปิดไว้ไม่ให้ใครเข้าอยู่ แม้แต่นางยุพาซึ่งเป็นแม่ของเขาเองก็เป็นถูกเอ็ดอึงเมื่อไปวอนขอ จึงกลายเป็นสาเหตุให้แม่เลี้ยงไม่พอใจ ถึงที่สุดเมื่อหญิงสาวจำเป็นต้องเข้าไปเอาของบางอย่างที่บ้านนั้น นางยุพาก็พานหาเรื่องหล่อนจนได้

การวิวาทระหว่างแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงในคราวนั้น ทองธารจำได้แม่นยำว่ารุนแรงถึงขึ้นลงไม้ลงมือ นักร้องสาวก็สู้ยิบตาไม่ยอมถอย กระทั่งสุดท้ายเมื่อผละหนีออกมาได้ หล่อนก็ตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในทันที

"มะละกอจะปอกหมดเลยไหมคะน้องน้ำ" ทองธารหันไปมองก็เห็นผู้จัดการสาวชี้ไปที่มะละกอสุกในถุงหิ้วสีขาวพิมพ์ตราห้างสรรพสินค้าเด่นชัด

"ออ...ปอกแค่ลูกเดียวก็พอค่ะพี่สาลี่ อีกลูกจัดใส่ตะกร้ารวมกับอย่างอื่น ไว้ให้แม่ครัวที่บ้านคุณลุงเขาจัดการเอง" ทองธารว่าพลางหันไปจัดการผ่าแก้วมังกรสีชมพูริ้วเขียวออกเป็นสี่ส่วนเท่าๆ กัน "เราเตรียมแค่พอกิน ไว้ไปร่วมโต๊ะอาหารมื้อเย็นเป็นเพื่อนลุงอินทร์เท่านั้นล่ะค่ะ"

วันนี้ทองธารสวมชุดอย่างลำลอง เป็นเสื้อแขนกุดสีขาวปกฮาวาย นุ่งกางเกงสามส่วนสีชมพูกลีบบัวโรย ผมดำขลับยาวสยายไม่ได้รวบมัด ส่วนสาลี่นุ่งกางเกงขาสั้นสีแดง ตัดกับสีเขียวที่สามารถสะท้อนแสงจนแสบตาของตัวเสื้อ

"เอ...คุณลุงอินทร์ของน้องน้ำท่านไม่มีลูกหรือคะ" สาลี่ถามขณะก้มหน้าก้มตาปอกเปลือกมะละกอสุก วิวิกผมบ๊อบสั้นหั่นหน้าม้าระพวงแก้มจนต้องเกี่ยวทัดใบหู

"ลุงอินทร์กับป้านิดไม่มีลูกค่ะ" ทองธารบรรจงวางแก้วมังกรผ่าเป็นสี่ส่วนพิถีพิถัน ก่อนจะหุ้มด้วยพลาสติกใสให้ดูสะอาดน่ากิน "ท่านอยู่ด้วยกันสองคนสามีภรรยา อันที่จริงท่านก็ชวนน้ำไปอยู่ด้วยนะคะตอนที่มีปัญหากับทางบ้าน"

นักร้องสาวเล่าเรื่องราวได้อย่างไม่ตะขิดตะขวง เพราะสำหรับหล่อนแล้ว สาลี่เป็นเสมือนพี่สาวคนหนึ่งที่คอยเอาใจใส่และคอยดูแลอย่างดีเยี่ยม ประวัติความเป็นมาของผู้จัดการสาวเอง ทองธารก็รู้ลึกซึ้งถ่องแท้ไม่แพ้กัน

"แต่พอดีทางน้าทับทิม น้องสาวของแม่น้ำสิคะ ท่านเกิดมีปากเสียงกับ...เอ่อ...พ่อ น้าทับทิมก็เลยยื่นคำขาดรับตัวน้ำไปเรียนตั้งแต่จบมอสาม"

"นี่ล่ะค่ะปัญหาแม่เลี้ยงลูกเลี้ยง" สาลี่ออกความเห็นขณะเดินเข้าห้องน้ำเพื่อล้างมะละกอที่ปอกเปลือกเรียบร้อย "กี่ยุคกี่สมัยก็เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าแม่เลี้ยงที่ดีไม่มีนะคะ มันย่อมมีอยู่แล้ว แต่พูดก็พูดเถอะ เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม ยังไงมันก็ไม่สนิทใจ"

ทองธารถือขวดน้ำดื่มซื้อใหม่เข้าไปช่วยเทล้างผลมะละกอสุก พยักพเยิดเห็นด้วยกับความคิดของผู้จัดการสาว

สะเด็ดน้ำจนมะละกอหมาด สาลี่ก็นำไปฝานเป็นแว่น เขี่ยเมล็ดสีดำออกจนเหลือแต่เนื้อสุกงอม จากนั้นจึงปล่อยให้นักร้องสาวจัดเรียงอย่างประณีตบนจานไม้ที่ซื้อสดใหม่จากห้างสรรพสินค้า

"ที่สำคัญนะคะ..." สาลี่พูดต่อ สองมือยังสาละวนห่อเปลือกมะละกอทิ้งลงถัง "ยายแม่เลี้ยงยุพาก็ดันมีลูกติดเป็นผู้ชาย ซ้ำร้ายยังเป็นหนุ่มวัยกำดัดกลัดมันเสียด้วย เดชะบุญแค่ไหนคะที่น้องน้ำไม่ตกเป็นเมียมัน พูดแล้วพี่ยังขนลุกไม่หาย"

ทองธารถอนใจอ่อนระโหย มือซึ่งกำลังจัดผลไม้ชะงักงัน 'กลัดมัน' เช่นนั้นหรือ ฟังดูแล้วหยาบคาย หากสาลี่ไม่ได้พูดเกินความจริงแม้แต่นิด

"ช่างเถอะค่ะพี่สาลี่" ว่าพลางถอนใจ "ยังไงน้ำก็รอดมาได้ ก็ไม่คิดอยากไปข้องแวะยุ่งเกี่ยวด้วยแล้ว"

"น้องน้ำละก็...เป็นแม่พระแม่ชีมันทุกที" ผู้จัดการสาวกระฟัดกระเฟียด หันไปฉวยมีดปอกผลไม้มากวัดแกว่งกลางอากาศ " เป็นพี่ล่ะไม่ได้ แม่จะรอตอนเผลอ จับขึงพืดแล้วเฉือนพวงสวรรค์ สับจนละเอียดแบบที่ต่อไม่ติด แล้วค่อยโยนให้เป็ดกินเสียให้เข็ด"

นัยน์ตาผู้จัดการสาววาวเหี้ยม ท่าทีถือมืดปอกเปลือกผลไม้น่ากลัวจนนักร้องสาวต้องร้องห้าม

"พอเถอะค่ะพี่สาลี่" ทองธารนิ่วหน้าพะอืดพะอม "ฟังแล้วคลื่นไส้ยังไงไม่รู้ แล้วก็เลิกแกว่งมีดไปมาเถอะค่ะ ประเดี๋ยวผีผลักไม่รู้ด้วย"

"แหม...ก็มันจริงนี่คะ" ผู้จัดการสาวสะบัดหน้าพลางวางมีด จากนั้นจึงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมอย่างนึกขัดใจ "อย่าหาว่าพี่ลามปามเลยนะคะน้องน้ำ คุณพ่อน้องน้ำก็ช่างกะไร ลูกสาวตัวจะถูกลูกชายนางแม่เลี้ยงจับทำเมียอยู่รอมร่อยังไม่เชื่อลูก กลับตะเพิดลูกเสียอย่างนั้น"

"พี่สาลี่!" ทองธารปรามเสียงเข้ม จนในที่สุดสาลี่ก็ยอมรามือ

"เอาเถอะค่ะ พี่ไม่พูดแล้ว เรื่องเก่าๆ พูดไปก็แสลงใจ"

จบประเด็นการพูดคุย ทุกอย่างก็เงียบงัน สาลี่ไม่พูดอะไรอีกตามที่บอกไว้ เอาแต่นั่งนิ่งกวาดสายตามองไปรอบห้อง ทองธารเองก็หย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้บุนวมข้างผู้จัดการสาวแล้วถอนหายใจอ่อนระโหย

ความเงียบสงัดครอบงำอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งในที่สุดก็ถูกทำลายด้วยเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกระเป๋าหนังสะพายบ่าของนักร้องสาว

ทองธารลุกไปฉวยกระเป๋ามาเปิดเอาโทรศัพท์อย่างขี้เกียจ กระทั่งเมื่อเห็นหมายเลขบนหน้าจอจึงยิ้มออก พลางวิ่งไปยื่นให้สาลี่เห็นด้วยอีกคน

"ดูสิคะพี่สาลี่ ใครโทร. มา"

ผู้จัดการสาวหันมองอย่างเสียไม่ได้ ทว่าทันทีที่เห็นชื่อ พร้อมภาพถ่ายหนุ่มหล่อผมหยักศกกำลังส่งยิ้ม รอยยิ้มแป้นก็คลี่แย้มอย่างรวดเร็ว

"อุ๊ยตาย! น้องเล็กสุดหล่อ" สาลี่ฉีกยิ้มจนหุบไม่ลง

เห็นดังนั้นทองธารก็รู้สึกสบายใจ บรรยากาศก่อนหน้าทำให้ทั้งห้องอึมครึมราวกำลังจะมีฝนตก ยังโชคดีที่เวหาโทร. มาได้จังหวะ

ทองธารกดรับสาย เปิดลำโพงให้ได้ยินเสียงสนทนาโดยทั่วถึง

"ว่ายังไงตาเล็ก..." หญิงสาวทักทายเสียงแจ่มใส ทว่าทันทีที่ปลายสายพูดขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าของหล่อน รวมถึงผู้จัดการสาวกลับเจื่อนลงในพริบตา

"พี่น้ำ...แย่แล้ว!" ปลายสายละล่ำละลัก "ลุงอินทร์เสียแล้วนะพี่ ตอนนี้พ่อโกรธมาก จะไปตามหาพี่ถึงโรงแรมเลย!"

สาลี่ที่นั่งฟังปากอ้าตาค้าง สีหน้างุนงงเห็นได้ชัด ฝ่ายหญิงสาวเองก็กำลังตระหนกไม่ต่างกัน อยากถามเวหาเกี่ยวกับเรื่องการเสียชีวิตของผู้เป็นลุง ทว่าก็หวั่นใจเรื่องของบิดา

"ผมห้ามพ่อแล้ว แต่แกไม่ฟังเลย" เวหายังคงพูดต่อไป น้ำเสียงบอกความร้อนใจยิ่งยวด "พอดีพี่ใหญ่แกบอกพ่อว่าพี่น้ำไปร้องเพลงเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่นในงานของลุงเข้า คราวนี้พ่อก็เลยโกรธเป็นไฟ ผมพยายามอธิบายแกก็ไม่ฟัง นี่ยังจับผมขังในห้อง แล้วให้พี่ใหญ่ขับรถไปตามหาพี่น้ำที่โรงแรม"

ทองธารนิ่งอั้น แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทว่ามันเป็นไปแล้ว ปถวีมาเกี่ยวข้อง เวหาก็ต้องมาตกที่นั่งลำบาก

หล่อนรู้นิสัยบิดาดี เขาเป็นคนเผด็จการ ใครไม่เชื่อฟังหรือไม่อยู่ในโอวาท เหล่านั้นย่อมถูกลงโทษเสมอ ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือเมีย หล่อนเองก็เคยถูกลงโทษในลักษณะดังกล่าว แต่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับน้องชาย ที่เวลานี้ตัวสูงใหญ่ พละกำลังก็ไม่น่าด้อยให้กับบิดาซึ่งอายุมากขึ้น

เชื่อเถอะ...นายปถวีต้องอยู่เบื้องหลัง

อีกอย่าง ในงานเลี้ยงของลุงหล่อนมีนายปถวีไปร่วมด้วยเสียเมื่อไร แล้วเขาจะมารู้ได้อย่างไรว่าหล่อนร้องเพลงในงาน มิหนำซ้ำยังรู้ด้วยว่าหล่อนร้องเพลงเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น

"พี่จัดการเอง เราพยายามหาทางออกจากห้องเถอะตาเล็ก" หญิงสาวแนะพลางชักสีหน้า รู้ชัดว่าเวหาคงถูกขังในห้องที่เต็มไปด้วยลูกกรงเหล็กดัด เฉกที่หล่อนเคยถูกกระทำในอดีต "พี่โมโหพ่อจริงๆ เชียว!"

พูดจบก็กดวางสาย ประจวบเหมาะพอดีที่มีสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์ในห้องชุด ผู้จัดการสาวที่อยู่ใกล้จึงฉวยคว้า พูดคุยครู่หนึ่งก็วางหู ก่อนที่จะหันมาหาทองธารด้วยความวิตก

"คุณพ่อมารอพบน้องน้ำอยู่ข้างล่างแล้ว!"

++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 มิ.ย. 2555, 21:52:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 มิ.ย. 2555, 21:52:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1326





<< องก์ที่ ๙   องก์ที่ ๑๑ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account