Marine, Tree, Coffee & Milk #3 Milk (ตีพิมพ์กับสนพ.มายดรีมค่ะ)
เขาพยายามสุดความสามารถแล้วในการห้ามใจไม่ให้เข้าไปข้องแวะกับหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์...
แต่ให้ตาย ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถที่จะพาหัวใจหนีพ้นหล่อนไปไหนได้ไกล

รอก่อนเถอะศวัลญา... เรียนจบเมื่อไหร่เขาไม่ปล่อยให้หลุดมือแน่!
Tags: อาจารย์เติม คุณชายเติม เอญ่า

ตอน: บทที่ ๒

ปกติเติมจะต้องมาถึงหน้าห้องเลคเชอร์ก่อนเริ่มเวลาสอนอย่างน้อยสิบนาที... เขาจะนั่งรอในห้องพักอาจารย์ที่มีประตูเชื่อมติดกับห้องเลคเชอร์ รอจนกว่าอาจารย์ท่านก่อนหน้านี้จะใช้ห้องเรียนเสร็จและเดินผ่านห้องพักอาจารย์ออกไปแล้ว ตนเองจึงจะเปิดประตูเข้าไป ทำเช่นนี้ทุกวัน ตลอดเวลาการเป็นอาจารย์มาห้าปีนับตั้งแต่อายุยี่สิบแปด แล้วก็ไม่เคยมีนิสิตคนไหนเข้ามาก่อนเขาได้เลยแม้แต่คนเดียว เขาจะรู้สึกดีกว่าหากตนเองเป็นฝ่ายนั่งรอ ไม่ใช่ให้เด็กเป็นฝ่ายนั่งรอแทน เช่นนั้นจะทำให้เขามีความรู้สึกว่าขาดความรับผิดชอบอย่างไรชอบกล...

แต่วันนี้ เมื่อเปิดประตูห้องเลคเชอร์เข้าไป เติมกลับมองเห็นภาพหญิงสาวผมยาวถึงกลางหลัง ติดกิ๊บเป็นกระเปาะเล็กๆด้านหน้าเผยดวงหน้ารูปไข่สวยคมตามฉบับลูกครึ่ง ดวงตาสีเขียวอมเทาเอาเรื่องจ้องมองเขาทุกอิริยาบถนับตั้งแต่เขาเปิดประตูเข้ามา มันทำให้อาจารย์หนุ่มอดขันไม่ได้ในความอยากเอาชนะของเจ้าหล่อน

“มาเร็วนะวันนี้” เปรยเบาๆขณะเริ่มเตรียมสื่อการเรียนการสอน กระนั้นหางตายังมองเห็นว่าหล่อนเชิดหน้าชูคอขึ้นอย่างเอาเรื่องแกมหยิ่งทะนงคล้ายเป็นผู้ชนะนิดๆในวันนี้ “ปกติหนูไม่เคยเข้าเรียนสาย แต่วันนี้มันมีอุบัติเหตุจริงๆค่ะ”

“ช่วยเด็กที่จักรยานล้มอยู่ข้างถนน... อืม อุบัติเหตุจริงๆ”

ไม่รู้ทำไม... ศวัลญารู้สึกเหมือนเขากำลังหัวเราะหล่อนอยู่ทั้งๆที่ปากเขาไม่ได้แย้มขึ้นแม้แต่นิดเดียว!

“ถ้าเป็นอาจารย์ อาจารย์จะทำยังไงคะ”

“ผมจะตามให้ผู้ใหญ่แถวนั้นมาช่วย เพราะมีภารกิจที่ต้องทำเหมือนกันนั่นคือการเข้าเรียนให้ตรงต่อเวลา” หล่อนอยากย้อนกลับเหลือเกินว่าไม่ใช่คนใจดำขนาดนั้นที่เห็นเด็กร้องไห้แล้วตนเองเข้าไปปลอบแต่จู่ๆจะหนีออกมาเสียดื้อๆ หากเพราะคนที่นั่งอยู่เหนือเวทีเล็กๆข้างหน้าได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ จึงทำได้แค่นิ่งเงียบเสีย

“ผมสั่งรายงานไปแล้ว รู้หรือเปล่า”

อาการเงียบไปพร้อมทำหน้าเหรอหราทำให้ชายหนุ่มรับรู้ได้โดยอีกฝ่ายไม่ต้องเอ่ยปาก

“ผมสั่งให้ไปทำรายงานคู่ เกี่ยวกับฟาร์มสัตว์เศรษฐกิจในประเทศไทย ผมจะพาไปดูงาน ในฟาร์ม แล้วแต่ใครจะไปที่ไหน เช่นฟาร์มไก่ สุกร กระบือ โคเนื้อ โคนม ซึ่งส่วนมากคนที่ลงชื่อไปที่ต่างๆกันก็จะสนใจทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องนั้น”

คราวนี้ศวัลญานิ่งไปอีกครั้ง ก่อนจะตอบเสียงใสพร้อมเงยหน้าขึ้นสบประสานสายตาเขา

“โคนมแล้วกันค่ะ หนูชอบเรื่องโคนม... กำลังคิดเหมือนกันว่าเรียนจบแล้วจะเปิดร้านนมสด ขนม เครื่องดื่มทุกอย่างต้องทำมาจากนม คงจะมีความสุขน่าดู”

มาเป็นสะใภ้บ้านเขาไหมเล่า... หม่อมราชวงศ์เติมอยากถามออกไปดังๆแต่ก็ได้แค่คิด บ้านเขาเป็นบริษัทผลิตโคนมรายใหญ่ของเมืองไทย มีแม่วัวของตัวเองรวมๆแล้วก็หลายพันตัว มีฟาร์มขนาดใหญ่ในโคราชและโรงงานผลิตวัวนมอยู่ที่นั่น

ขณะที่พี่สาวเขาเรียนเกี่ยวกับการบริหารโรงงาน ตัวเขาเองก็เรียนเกี่ยวกับสัตวบาลซึ่งก็คือการดูแลสัตว์ในฟาร์มนั่นเอง ทุกสุดสัปดาห์ เติมจะขับรถออกต่างจังหวัดเพื่อไปดูแลความเรียบร้อยของฟาร์มโคนมแล้วก็จะกลับมาในวันอาทิตย์ตอนเย็นๆ

“ก็ตามใจ ทำให้ดีแล้วกัน” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เขาได้คุยกับหล่อนเนื่องจากเมื่อมีนิสิตคนอื่นๆทยอยเข้ามาชายหนุ่มก็จำต้องนั่งเงียบรอทำการสอนไปโดยปริยาย

เดี๋ยวจะโดนข้อหาเลือกที่รักมักที่ชังเสียอีก...

+++++++++++++++++++++++++

‘อย่าลืมไปรับตินตินนะเติม...’

ให้ตายสิ เขาเกือบลืมไปแล้ว นี่ถ้าข้อความนี้ไม่มีจุดๆต่อท้าย... เติมคงไม่เห็นว่าข้อความนี้น่ากลัวสักเท่าไร หากเพียงแค่คิดเห็นหน้าพี่สาวที่กำลังพิมพ์ข้อความด้วยสีหน้าเครียดจัด และยิ่งถ้าลากเสียงด้วยความเข้มงวดด้วยแล้ว ข้อความนี้มันช่างเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์และน่ากลัวขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว

ชายหนุ่มจึงรีบเก็บเอกสารวิชาการกองสุมๆไว้บนโต๊ะ คว้ากระเป๋าแลปท็อปและกุญแจรถได้ก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินลงมาจากห้องพักอาจารย์โดยไม่ต้องอาศัยลิฟต์ โชคดีที่โรงเรียนของตินตินเป็นโรงเรียนสาธิตซึ่งอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยที่ผู้เป็นน้าสอนอยู่นั่นเอง ทำให้ไม่ต้องเดินทางไกลเท่าที่ควร

รถสปอร์ตแวนสี่ประตูสีขาวจอดเทียบหน้าประตูโรงเรียน ส่งบัตรประจำตัวผู้ปกครองให้กับคุณครูที่ยืนรออยู่ด้านนอก ไม่นานนักเด็กชายตินตินวัยหกขวบก็สะพายกระเป๋าเบ็นเท็นวิ่งปร๋อมาทางที่รถเขาจอดอยู่

เมื่อขึ้นมานั่งบนรถ เจ้าตัวเล็กก็ออกคำสั่งทันที “น้าเติม ตินอยากกินเค้กนมกับนมปั่นที่ร้านน้าปูน”

“ร้านน้าปูนที่ไหนล่ะ ร้านน้าเติมเหมือนกัน”

“นั่นแหละ... พาตินไปนะครับน้าเติม”

“นี่เป็นคำสั่งหรือประโยคขอร้อง”

“ตินขอร้องคร้าบบบ ได้โปรดดด ตินขอร้องงง” มือเล็กๆเกาะหมับเข้าที่แขน
เสื้อของผู้เป็นน้าพร้อมส่งสายตาเป็นประกายวิบวับ น่าสงสารจนจะอ้าปากปฏิเสธไม่ได้ “ตินต้องโทรศัพท์บอกแม่ก่อนนะครับ ไม่อย่างนั้นแม่จะเป็นห่วง”

“ไม่เอา...” ตินตินส่ายหน้าหวือ “ถ้าตินโทรไปบอกแม่ แม่ต้องไม่ให้ไปแน่เลยครับ ปกติแม่ก็ไม่ชอบให้กินนมปั่นอยู่แล้ว นี่ที่ตินขอร้องน้าเติมก็เพราะเห็นว่าน้าเติมจะพาตินไปกินนะครับ”

“นี่ตกลงนายเป็นเด็กหกขวบจริงเหรอตินติน” ผู้เป็นน้าทำตาโต ทั้งขันทั้งฉิวในเวลาเดียวกัน “น้าเติมใจดี... ต้องพาตินไปแน่เลย ใช่ไหมครับ”

“เออๆ เอา ไปก็ไป”

“แต่ห้ามบอกแม่นะครับ เป็นสัญญาระหว่างเราสองคน” นิ้วก้อยเล็กๆชูขึ้นแทนคำสัญญาซึ่งเมื่อเติมยอมเกี่ยวนิ้วก้อยเข้าด้วยจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าหลังมือของหลานชายมีรอยถลอกซึ่งเริ่มตกสะเก็ดบ้างแล้วเป็นบางส่วน มันทำให้ชายหนุ่มใจหายวูบ แล้วเริ่มไล่สายตาไปยังส่วนอื่นๆของร่างกายต่อทันที

“ตินติน... มือไปโดนอะไรมา แล้วยังจะขาอีก”

“รถจักรยานล้มน่ะครับ ตอนวันจันทร์ ตินยืมจักรยานเพื่อนไปปั่นแล้วโดนรถเฉี่ยว”

“แล้วคุณครูปล่อยออกมานอกโรงเรียนได้ยังไงน่ะติน”

“แอบหนีออกมาน่ะครับ...”

“แม่รู้แล้วใช่ไหม”

“ครับ... โดนทั้งแม่ ทั้งหม่อมยายด่าไปแล้ว” เติมถอนหายใจเบาๆเมื่อเห็นอาการซึมเศร้าของหลานชาย จึงวางมือลงบนศีรษะพร้อมโยกไปมาเบาๆ “ไม่เจ็บมากก็ดีแล้วครับ น้าเติมไม่ว่าอะไรหรอก แค่ตกใจเฉยๆ ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วครับ เราไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่าเนอะ”

+++++++++++++++++++++++++

เสียงกริ่งหน้าร้านฉุดให้ชายหนุ่มผิวขาวสะอาดสะอ้าน ท่าทางใจดีและมองโลกในแง่ดีเงยหน้าขึ้นมองโดยอัตโนมัติ หากเมื่อเห็นว่าลูกค้าไม่ใช่ใครอื่นไกลเสียนอกจากญาติที่เป็นทั้งเพื่อนสนิททำให้รอยยิ้มอบอุ่นละมุนละไมเกิดขึ้นบนใบหน้าของปริสุทันที

“อ้าว คุณชายเติม พายุอะไรหอบมาครับเนี่ย”

“อย่าประชดครับคุณปูน” เติมใช้มือข้างหนึ่งผลักประตูค้างเอาไว้แล้วมืออีกข้างใช้จับจูงหลานชายตัวเล็ก

ตินตินวิ่งปร๋อเข้าไปจับจองที่นั่งประจำริมกระจกด้านข้างของร้าน ขณะที่คนเป็นน้าเดินมาหาเพื่อนสนิท แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาเตอร์ “เมื่อวันก่อนผมก็เข้ามาร้าน สาลี่ไม่ได้บอกเหรอ”

“ผมรู้แล้ว ก็ผมเป็นคนบอกให้สาลี่โทรศัพท์ตามคุณเอง” ปริสุรินน้ำเย็นใส่แก้วแล้วยื่นให้เพื่อน ก่อนจะชะเง้อคอไปหาตินติน “ตินตินจะกินอะไรดีครับ วันนี้น้าปูนเลี้ยงเอง”

“เค้กนมสดกับนมปั่นครับ”

“รอสักครู่นะครับ” รับออเดอร์แล้วจึงเอี้ยวตัวกลับไปหาลูกน้อง เมื่อสั่งต่อแล้วจึงหันกลับมาหาเพื่อน “ช่วงนี้คุณเจอคุณเสือบ้างหรือเปล่า”

“เจอหน้าไม่เจอหรอก... ก็คุยโทรศัพท์กันบ้าง ล่าสุดบอกว่าไปเก็บข้อมูลที่เชียงใหม่ ไม่รู้จะกลับมาหรือยัง คุณสิ อยู่บ้านรั้วเดียวกันกับคุณเสือทำไมมาถามผม”

“รั้วเดียวกันแต่ไม่ได้อยู่หลังเดียวกันนะครับ บ้านคุณยายพื้นที่น้อยๆซะที่ไหน ผมไปหาคุณยายเมื่อวานคุณยายยังถามถึงคุณกับคุณเสืออยู่เลย”

“โอเค ว่างๆผมจะแวะไปเยี่ยมคุณยายแล้วกัน”

“ดีครับ ได้ยินคุณยายท่านบ่นว่าท่านเหงาๆเหมือนกัน ลูกหลานเยอะแยะนับได้เป็นสิบแต่ไม่เคยมีใครมาเยี่ยม บ้านก็ห่างกันแค่นี้ก็ไม่คิดจะเดินมาท่านบ้าง”
“แล้ววิทยานิพนธ์เป็นยังไงบ้าง”

เมื่อพูดถึงการเรียน คนที่ดูอารมณ์ดีเป็นนิจก็เหมือนจะอารมณ์ห่อเหี่ยวขึ้นมาเสียดื้อๆ “ทำไมคุณเสือกับคุณเติมไม่บอกผมบ้างว่าเรียนปริญญาเอกมันยาก ผมแก้จนเหนื่อยแล้วเนี่ย”

“ฮ่า!” คุณชายเติมหัวเราะลั่น “เอาน่า... เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ลองมาเป็นอาจารย์อย่างพวกผมเมื่อไหร่คุณจะรู้ว่านรกมีจริง แล้วยิ่งหนักหนากว่าตอนเรียนซะอีก รีบเรียนรีบจบนะครับ... ชีวิตการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยรอคุณอยู่”

ที่ขู่อย่างนั้นเพราะรู้ว่าเพื่อนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและญาติใกล้ชิดจากฝั่งมารดาได้รับทุนของมหาวิทยาลัยที่มีพันธะผูกพันต่อเนื่องถึงการเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัย แล้วเขาเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาก่อนทำไมจะไม่รู้ว่ามันเหนื่อยและหนักมากแค่ไหน

"พี่สาว!!" เสียงเจ้าตัวเล็กเรียกความสนใจให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเอี้ยวตัวกลับไปมอง ก่อนที่ตินตินจะกระโดดลงมาจากเก้าอี้แล้ววิ่งไปเกาะกระจกหน้าร้าน นั่นทำให้เติมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยเพราะไม่เคยเห็นหลานชายกระตือรือร้นในการที่จะพบใครขนาดนี้มาก่อน พลันเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับคนที่ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี

การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดคำถามขึ้นในใจของปริสุทันที "เป็นอะไรไปคุณเติม... ทำหน้าเหมือนจะหายใจไม่ออก"

"ผมไปรอหลังร้านนะ เด็กคนนั้นไปเมื่อไหร่บอกผมด้วยแล้วกัน" ยิ่งนับเวลาที่รู้จักกันเพิ่มมากขึ้นเมื่อไหร่ เติมยิ่งรู้สึกว่าศวัลญามีแรงดึงดูต่อสายตาและความรู้สึกของเขาเข้มข้นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เขาต้องพยายามพาตนเองออกห่างคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนิสิตของตนเอง... ก่อนที่ปีศาจร้ายในตัวมันจะทำร้ายกรอบของความเหมาะสมออกมาไล่ล่าเจ้าหล่อน

ถึงตอนนั้นใครจะซวยล่ะถ้าไม่ใช่ศวัลญา...

"เด็กคนไหน"

"ศวัลญา" เมื่อนิสิตปริญญาเอกขมวดคิ้วแทนความสงสัย เติมจึงพยักพเยิดออกไปด้านหน้าร้านซึ่งเป็นภาพที่หลานชายของตนกำลังพูดคุยจ้อยๆอยู่กับหญิงสาวผู้นั้น

"อ้อ น้องเอญ่าน่ะเหรอ" เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะรีบเสทำท่าว่าจะเดินหนี
ปริสุคว้าแขนเพื่อนเอาไว้ในตอนที่คุณชายอาจารย์เดินอ้อมมาหลังเคาเตอร์พนักงาน "ทำไมครับ เกิดอะไรขึ้น"

"ผมแค่ไม่อยากเจอหน้าเขาก็แค่นั้น"

"น้องเขาทำอะไรให้คุณหรือเปล่า"

ทำสิ... ทำให้จิตวิญญาณความเป็นครูของเขาโยกไหว กลายเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่อยากได้หล่อนมาเป็นผู้หญิงของเขาอย่างแรงกล้า...

แค่คิด... เติมก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างขยับแว่นตาแก้เก้อ กระแอมไอเบาๆแล้วขืนท่อนแขนออกจากมือของเพื่อน เอ่ยด้วยความนิ่งระดับสูงสุดเท่าที่จำทำได้ "ผมแค่ไม่อยากเสวนากับนิสิตของผมนอกสถานศึกษาถ้าไม่จำเป็น"

"คุณเติมนี่คิดอะไรแปลกๆแฮะ... ไม่เห็นเหมือนไอ้เสือ เอ๊ย คุณเสือ ผมก็เห็นเขาเฮฮากับนิสิตเขาดี"

อนรรฆเป็นผู้ชายคนเดียวที่ปริสุใช้คำสุภาพด้วยนานๆไม่ได้เสียที อาจจะเป็นเพราะความสนิททั้งยังเติบโตมาด้วยกันในบ้านรั้วเดียวกันด้วยกระมัง แถมรายนั้นยังทั้งดิบทั้งห่าม คำพูดคำจาก็ออกจะห้าวหาญชาญชัยมากเสียหน่อย กว่าจะเปลี่ยนจาก 'เอ็งกับข้า' อย่างที่ใช้คุยกันมาตั้งแต่เด็ก มาเป็น 'คุณกับผม' ตามวุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้นและเพราะคุณยายชบาเป็นผู้ร้องขอเพื่อความเหมาะสม... ก็เล่นเอากระอักกระอ่วนไปหลายวัน

"ผมไม่ใช่อาจารย์เฮฮาเหมือนไอ้เสือ... ผมใจร้าย จำไม่ได้เหรอว่านิสิตตั้งฉายาให้ผมว่ายังไง"

"ว่ายังไงครับ ผมไม่รู้"

"หล่อประหาร... เขาตั้งฉายาให้ผมแบบนั้น" ยิ่งมองเห็นเพื่อนเอ่ยฉายาด้วยท่าทางนิ่งๆ มันยิ่งทำให้คนฟังอดขำไม่ได้จริงๆ "แต่ดูคุณ... อึดอัด ไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้"

"ช่างผมเถอะน่าคุณปูน คราวนี้ผมไปหลังร้านได้หรือยัง ยิ่งอยู่นานยิ่งอึดอัด"

"เอ้าๆ เชิญครับ" ฝ่ายปริสุแกล้งผายมือล้อเลียน

คล้อยหลังเติมที่หายลับไปหลังร้านเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงเดินออกไปหน้าร้านเพื่อนทักทายสาวน้อยลูกค้าประจำที่มีดวงตากลมโตสุกสกาวสดใสอยู่ตลอดเวลา

เมื่อมองเห็นเจ้าของร้านที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ศวัลญาก็ยกมือขึ้นไหว้ทันที "สวัสดีค่ะพี่ปูน"

"นี่เอญ่ารู้จักกับตินตินด้วยเหรอครับ"

"พี่สาวช่วยตินไว้ตอนตินจักรยานล้มครับน้าปูน นี่ไงแผล" เจ้าตัวเล็กยกแขนขึ้นโชว์ "คุณแม่บอกว่าถ้าเจอพี่สาวอีก วันหลังต้องมาขอบคุณ"

"เอญ่าเจอน้องตินนั่งร้องไห้อยู่ริมถนนน่ะค่ะ เลยพาไปทำแผลที่สถานพยาบาลแล้วก็โทรศัพท์ตามคุณแม่กับคุณพ่อมาให้" หล่อนช่วยขยายความแทนตินติน "ไม่คิดเลยว่าจะเจอกันอีก โลกกลมจังเลยเนอะ"

"ตินมาทานเค้กกับน้าเติมครับ... พี่สาวมาในร้านก่อนสิ จะได้ทานเค้กด้วยกัน"

ไม่ว่าเปล่า ตินตินยังคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของหญิงสาว ทำเอาศวัลญาหน้าเหวอ ท่าทางอึกอัก ขณะที่ปริสุเห็นเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาทันทีเมื่อแค่คิดว่าถ้าเพื่อนเดินออกมาแล้วพบว่าสาวน้อยผู้นี้ที่ดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าหนักหนา กำลังนั่งขนมเค้กอยู่กับหลายรักจะมีอาการอย่างไรกันหนอ...

"นั่นสิครับ เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง" เขายิ้มด้วยท่าทางใจดีที่ทำให้คนมองใจอ่อนยวบ แล้วเดินเข้าไปในร้านแต่โดยดี

+++++++++++++++++++++++++

เติมแทบคลั่งเมื่อเดินกลับออกมาจากหลังร้านแล้วพบว่าหลานชายกำลังนั่งหัวเราะอยู่กับหญิงสาวคนที่เขาไม่อยากอยู่ใกล้มากทั้งสุดทั้งๆที่ปริสุเพิ่งเดินเข้าไปบอกว่าศวัลญากลับไปแล้ว... แบบนี้มันกำลังปั่นหัวเขาอยู่ชัดๆ! เห็นยิ้มๆ อารมณ์ดีแบบนี้ใครจะไปรู้ล่ะว่าคนที่ดื้อที่สุดในบรรดาหลานรุ่นเดียวกันก็คือปริสุ คนที่ยายเรียกว่าไอ้เจ้ายิ้ม เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเขาผู้นี้จะยิ้มไว้ก่อนเสมอ... หากภายใต้รอยยิ้มนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ค่อยว่ากันอีกที

"น้าเติมมมม" แรกทีเขากำลังจะเดินกลับเข้าไปหลังร้าน หากไม่ไวเท่าสายตาของเจ้าตัวเล็กที่เมื่อเห็นปุ๊บ ก็รีบตะโกนเรียกชื่อเขาปั๊บ "มานั่งด้วยกันสิคร้าบบบ พี่สาวคนนี้ไงที่ช่วยตินเอาไว้ตอนตินจักรยานล้ม"

"อะไรนะ?" เขามองหน้าหลานชายสลับกับศวัลญา พลันสมองอันฉลาดปราดเปรื่องก็ประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว "คุณ... ช่วยหลานผมไว้เหรอ"

ในขณะที่เติมยังอึ้งไม่หาย ศวัลญาเองก็อยู่ในอาการที่อึ้งไม่ต่างกัน เพราะนอกจากตนจะโคจรกลับมาพบกับหนุ่มน้อยแก้มยุ้ยผมม้าเต่อคนนี้แล้วยังพบว่าตินตินเป็นหลานชายของอาจารย์เติม... คู่ปรับ (ที่หล่อนคิดไปเองฝ่ายเดียว) อีกด้วย แรกทีที่หล่อนเห็นเขาเดินออกมาจากหลังร้าน ใจมันก็หล่นไปกองแทบตาตุ่มแล้ว นี่ยังเป็นน้าเป็นหลานกันเสียอีก ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ทำไมหล่อนจึงได้รู้สึกร้อนๆหนาวๆอย่างน่าประหลาด

หรืออาจจะเป็นเพราะช่วงนี้หล่อนพบอาจารย์เติมบ่อยจนเกินไปก็เป็นได้... จนกลัวว่าชีวิตจะต้องข้องเกี่ยวกันไปมากกว่านี้ทั้งที่เขาเกลียดหล่อนจะเป็นจะตาย

"พี่สาวช่วยพาตินไปโรงพยาบาล แล้วก็โทรศัพท์ตามคุณแม่กับคุณพ่อมาให้ครับ"

"อ้อ... อย่างนั้นรึ" ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ "ยังไงก็ขอบใจแล้วกัน"

"อย่างน้อยการเข้าเรียนสายของหนูก็ไม่ได้แย่เสมอไปใช่ไหมล่ะคะอาจารย์..." แม้จะเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆ แต่เติมรู้สึกว่าเจ้าหล่อนกำลังพึงพอใจอย่างมากที่เห็นเขาหน้าเสีย...

โอเค เขายอมรับผิดก็ได้ที่ลืมคิดไปว่าถ้าเป็นลูกหลานตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายแบบนั้นแล้วถ้าศวัลญาไม่เข้ามาช่วยเหลือจะเป็นอย่างไรต่อไป

"พี่สาวใจดีครับ จะทานอะไรอีกมั้ยครับ ผมจะให้น้าเติมเลี้ยง"

"ไม่เป็นไรจ้า" หล่อนตอบพลางยิ้มตาหยีด้วยความเอ็นดูในความช่างพูดของเจ้าตัวเล็ก "พี่สาวต้องไปแล้วล่ะ นัดกับเพื่อนเอาไว้... แล้ววันหลังเจอกันอีกนะ"

"เดี๋ยวครับ... ตินของเบอร์โทรศัพท์ของพี่สาวไว้ได้ไหมครับ"

"นายมีโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไหร่" เท่าที่รู้ พี่สาวของเขาไม่เคยสนับสนุนให้ลูกเป็นพวกวัตถุนิยมที่อายุแค่เจ็ดขวบก็ต้องใช้เครื่องมือสื่อสารพวกนี้เสียแล้ว เต็มจันทราอยากให้ลูกเติบโตอย่างไปในวิถีทางที่เด็กควรจะเป็น

"ก็โทรศัพท์น้าเติมไงครับ... ตินของยืมหน่อย"

"เฮ้ย"

"นะครับ... ตินขอร้องงง ได้โปรดดด" อีกแล้ว... ไอ้ประโยคตินขอร้องประกอบกับการทำตาเล็กตาน้อยประกบมือกันไว้ตรงหน้าอกเป็นเชิงเว้าวอนนี่มันทำให้เขาปฏิเสธไม่ลงจริงๆ คุณชายเติมจึงจำเป็นต้องควักโทรศัพท์หน้าจอทัชสกรีนขึ้นมาส่งให้หลานชาย แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่รับเอาไว้ "ใช้ไม่เป็นฮะ พี่สาวบอกเบอร์โทรศัพท์สิครับ จะได้ให้น้าเติมจดเอาไว้"

"เอ่อ..."

"ไม่สะดวกใจก็ไม่ต้องให้ก็ได้" เขารีบตัดบท เพราะกลัวว่าถ้าได้ช่องทางติดต่อสื่อสารกับหล่อน จิตใจอาจจะรุ่มร้อนมากกว่านี้ก็เป็นได้ แต่ศวัลญากลับตีความหมายที่เขารีบเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋ากางเกงไปอีกทาง... ว่าเขาไม่อยากให้หล่อนเข้าใกล้หลานชายถ้าไม่จำเป็น... "ตินไม่ต้องไปกวนพี่เขาหรอก เกรงใจ"

"แต่ตินอยากเจอพี่สาวอีกนี่ครับ"

"เยอะไปแล้วไอ้หนู" เติมรีบปรามหลานชาย "พี่เขาจะไปธุระก็ให้เขาไปได้แล้ว เราเองก็รีบกิน แล้วจะได้กลับบ้านกัน กลับช้าแล้วโดนแม่ว่า น้าไม่ช่วยนะ บอกไว้ก่อน"

ตินตินมีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด มองไปทางผู้เป็นน้าทีสลับกับไปทางพี่สาวใจดีที เห็นแล้วศวัลญาเองก็อดสงสารไม่ได้

"พี่จะจดเบอร์โทรศัพท์ใส่กระดาษให้แล้วกันนะครับ ถ้าตินตินแวะมาที่นี่อีกก็โทรศัพท์มานะ พี่อยู่ห้องข้างบนนี่เอง"

"ห้องไหนบอกได้มั้ยครับ"

"ติน..." เขาเอ่ยเสียงต่ำ...เมื่อเห็นว่าหลานชายล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายมากไปแล้ว หากหญิงสาวกลับยิ้มอย่างไม่ถือสาพร้อมเดินไปขอเศษกระดาษและปากกาที่เคาเตอร์พนักงานกับปริสุซึ่งยืนกอดอกยิ้มมองดูเหตุการณ์มาโดยตลอด เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของเพื่อนแล้วมันยิ่งทำให้เขามีความสุข...

ก่อนจะเดินย้อนกลับมาที่โต๊ะพร้อมยื่นเศษกระดาษให้ตินติน "อย่าลืมโทรมานะ... พี่ไปก่อนล่ะ อ้อ ก่อนไป ขอหอมแก้มทีนึงเร็ว"

เติมถึงกับกลอกตาขึ้นมองเพดานด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ ทั้งยังอิจฉาหลานขึ้นมาเสียอย่างนั้น พร้อมมีความคิดบ้าๆที่ว่าอยากย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กเสียจริงๆ!

+++++++++++++++++++++++++

จะพยายามอัพให้ได้อาทิตย์ละสองตอนนะคะ
พอดีป.โทยังไม่เปิดเทอมเลยไม่รู้ว่ามันเรียนเยอะ เรียนหนักแค่ไหน
ถ้าเข้าวงจรสัปดาห์นรกเมื่อไหร่แล้วเขียนได้ไม่ต่อเนื่องอาจจะลดลงเหลืออาทิตย์ละตอน T^T



อนัญชนินทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2555, 17:54:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 มิ.ย. 2555, 17:54:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 4224





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
หมูบูลิน 7 มิ.ย. 2555, 18:24:39 น.
ตินตินน่ารัก


น้องแสตมป์ 7 มิ.ย. 2555, 18:42:41 น.
ชอบตินติน


มะดัน 7 มิ.ย. 2555, 18:59:51 น.
ให้ตินตินเป็นพระเอกดีกั่ว


only4u 7 มิ.ย. 2555, 19:01:05 น.
หล่อประหาร^^


goldensun 7 มิ.ย. 2555, 19:06:46 น.
หลานน่ารักขนาดนี้ คุณน้าชิดซ้ายเลย ยิ่งต้องเก็บอาการ ยิ่งดุเข้าไปใหญ่
ตอนที่แล้วมีเขียนว่าเติมเป็นบุตรีอยู่จุดนึงด้วยค่ะ


raindeer 7 มิ.ย. 2555, 19:27:38 น.
อ่านเรื่องอื่นไม่ทัน เสียดายจริงเชียว


ใบบัวน่ารัก 7 มิ.ย. 2555, 20:12:15 น.
น่ารัก จะทนได้ไหมนะเอญ่าน่ารักขนาดนี้
เป็นอาจารย์2คน น่าสนุกจัง


mhengjhy 7 มิ.ย. 2555, 20:57:15 น.
'มาเป็นสะใภ้ไหม' 5555 ชอบใจ
อาจารย์เติมใกล้ตบะแตก


คิมหันตุ์ 7 มิ.ย. 2555, 22:18:36 น.
ห้าห้า น้องตินติน น่ารักดี


sai 7 มิ.ย. 2555, 22:31:18 น.
น้าเติมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม จะน่ารักไปไหนเนี่ยยย

ปล.ขอสมัครเป็นสะใภ้ด้วยคนได้ป่าวค่ะะ



invisible 8 มิ.ย. 2555, 00:12:54 น.
อาจารย์เติม จะตบะแตกเมื่อไรน้าาา


ไรน้ำ 8 มิ.ย. 2555, 00:45:09 น.
อยากเป็นนักเรียนของ อ.เติม อะ ตอนเรียน ป.ตรี มีอาจารย์ที่พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ แอบกรี๊ดแบบนี้เลย ชื่อ อ.เสือ หล่อ แต่ปากร้ายสุดๆ อ่านแล้วย้อนถึงวันวาน


oolong 8 มิ.ย. 2555, 01:34:16 น.
ชอบค่ะน่ารักดีทั้งน้าทั้งหลาน


grazioso 8 มิ.ย. 2555, 07:30:57 น.
มากรี๊ดคุณหลานตินตินค่ะ :)


sam 8 มิ.ย. 2555, 09:35:59 น.
อ๊ายน่ารักมากค่ะ


หมูอ้วน 8 มิ.ย. 2555, 13:49:43 น.
ตินตินน่ารักมาก ๆ ค่ะ


anOO 8 มิ.ย. 2555, 14:32:50 น.
น่ารักมากมาย คุณชายเติมเกือบจะตบะแตกแล้ว


กานตี 8 มิ.ย. 2555, 14:57:59 น.
ตบะแทบแตกตั้งกะต้นเรื่องแบบนี้ จะทนไปได้นานแค่ไหนเนี่ย


Setia 8 มิ.ย. 2555, 20:23:21 น.
ฮ่าๆๆ น้าเติมอิจฉาหลานตินติน


bsirirata 8 มิ.ย. 2555, 21:28:41 น.
เรื่องนี้น่ารักมากจริงค่ะ ติดอีกแล้วววววว

มาเป็นสะใภ้มั้ยล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ อาจารย์ฮาอ่ะค่ะ


ukkanirut 9 มิ.ย. 2555, 23:43:26 น.
อรั๊ยยยย จะทนไหวมั้ยอาจารย์


maplezaa 10 มิ.ย. 2555, 21:32:52 น.
คุณชายเติมอึดอัดเพราะอยากจีบนักศึกษาใช่มั้ยค่ะ อิอิ

ตินติน มาเป้นสะพานหน่อยเร็ว


Zephyr 12 มิ.ย. 2555, 18:15:41 น.
ฮ่าๆๆๆๆ ให้หลานช่วยก็หมดเรื่องแล้วคุณชาย เก๊กอยู่นั่นแหละ


ทราย 26 มิ.ย. 2555, 19:44:14 น.
ตินติน น่ารัก


chocoholic 4 ส.ค. 2555, 23:07:49 น.
อ่า เพิ่งมีเวลามาอ่านอย่างจิงจัง ตกหลุมรัก ตินติน ไปเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account