เรือนกุหลาบ
กุหลาบแสนสวยดอกนั้น ช่างแสนดี เป็นที่รักเทิดทูนบูชาของหล่อนสุดหัวใจตั้งแต่เล็กจนโต..หญิงสาวไม่รู้เลย ว่าเบื้องหลังกุหลาบสีสวยนั้นซ่อนคมหนามไว้มิดชิด..เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของหล่อนทุกวิถีทาง!

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่๑๔ แปลงโฉม ๒/๒

ไพลินเหลียวหลังมองพี่สาวต่างสายเลือดอย่างงุนงง หล่อนเพิ่งกลับจากโรงเรียน กำลังจะเดินขึ้นมาเก็บกระเป๋าไว้ในห้องนอน ผ่านห้องน้องสาวก็นึกอยากชวนลงไปกินข้าวด้วยกันจึงหยุดเคาะหน้าประตู พักเดียวก็ได้ยินเสียงน้องคนเล็กร้องโอดครวญ และเสียงแพรวาดังแว่วออกมา พอเห็นกัน ชุดหรูที่ดีไซเนอร์สาวใส่หล่อนก็รู้เลยว่าคงจะไปงานราตรีไฮโซที่ไหนสักแห่ง ท่าทางดูรีบร้อน ไม่เข้าใจกับประโยคฝากฝังเมื่อครู่นี้นัก หญิงสาวตัดสินใจเข้าไปถามเรื่องราวจากมุกดา หล่อนถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ..

“ทำอะไรน่ะยายไข่มุก!”
ความมั่นใจที่ปริ่มจะตกขอบอยู่แล้ว ยิ่งร่วงผล็อยลงหุบเหวไปทันที
“พี่ลินเห็นแล้วรับไม่ได้เลยใช่ไหม”
คำถามนั้นไม่ต้องการคำตอบอีกแล้ว เมื่อพี่สาวทำหน้าเหมือนของแสลงติดคอ

“พี่ว่า..ไปเปลี่ยนชุดใหม่ดีกว่านะ”
ไพลินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น หล่อนพยายามพูดอย่างถนอมน้ำใจที่สุด และไม่ทันคาดคิด น้องสาวทิ้งตัวลงไปบนเก้าอี้หน้ากระจกอย่างแรงชนิดปราศจากแรงต้าน มุกดายกมือปิดหน้าร้องไห้โฮ..

“ปวดท้องมากหรือ.. พี่ได้ยินเราร้องตั้งแต่อยู่หน้าห้องแล้ว ไปโรงพยาบาลดีกว่า หรือจะให้ตามหมอมาที่นี่” คุณครูสาวเข้าใจไปอีกทางหนึ่ง มุกดาได้สติก็พยายามกลั้นสะอื้น เปิดหน้ามองพี่สาว ส่ายศีรษะน้อยๆ

“ไม่ใช่ค่ะพี่ลิน ไข่มุกแกล้งบอกไปยังงั้นเอง ที่จริงไม่ได้เป็นอะไร”
สีหน้าและแววตาใต้กรอบแว่นหนาเตอะบ่งบอกว่างงหนักกว่าเดิม มุกดาจึงรีบขยายต่อ

“พี่แพรชวนไข่มุกไปงานเลี้ยงนักเรียนทุน เขาบอกให้พาคนรู้จักไปได้อีกสองคน”
ไพลินพอจะเข้าใจขึ้นมาลางๆ หล่อนวางมือบนไหล่น้องสาว ถามเสียงเครียด

“พี่แพรแต่งตัวให้เธอใช่ไหม?”
มุกดาพยักหน้าแทนคำตอบ ดวงตากลมโตแดงก่ำ


“พี่เชื่อว่าเธอคงไม่ชอบ ปกติไข่มุกไม่เคยแต่งตัวแบบนี้”
ไพลินลากเก้าอี้แบบกลมหมุนได้รอบข้างผนังห้องมานั่งข้างน้องสาว หล่อนพยายามนึกหาเหตุผลในแง่ดีมาปลอบโยน

“พี่แพรเขาเป็นดีไซเนอร์..เขาอาจจะเห็นเป็นแฟชั่นโก้หรู คงไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเธอหรอก”

“ไข่มุกรู้ค่ะ..ไม่คิดจะโทษพี่แพรเลย แต่ว่า..” หญิงสาวหยุดร้องไห้แล้ว เมื่อมีคนเข้าใจและพร้อมจะฟังหล่อนระบายความรู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถบอกแพรวาได้ “ไข่มุกทนเห็นตัวเองในสภาพนี้ไม่ได้ แล้วก็ไม่กล้าพอจะใส่ไปอวดเพื่อนพี่แพรในงานเลี้ยงด้วย”
ไพลินพยักหน้าบอกความเข้าใจ แตะบ่าน้องสาวเบาๆ

“ถ้างั้นก็ไม่ต้องไป..อาบน้ำแต่งตัวใหม่ดีกว่า พี่จะพาเธอไปกินอะไรอร่อยๆข้างนอก”
เหนือความคาดหมายอีกครั้ง เมื่อมุกดาสั่นศีรษะระรัว ทำหน้าเบ้

“ไม่ไปไม่ได้ค่ะ ไข่มุกรับปากพี่แพรไว้แล้ว”
ไพลินเริ่มทำหน้าไม่ถูก

“อ้าว..แล้วจะไปทั้งชุดแบบนี้หรือ”
มุกดาส่ายหน้าอีกก่อนบอก

“ไม่อยากไปแบบนี้เหมือนกันค่ะ”
“อ้าว..งั้นก็ไม่ต้องไปซี”

คุณครูสาวเริ่มเอามือกุมขมับ หล่อนห่างหายจากอาการปวดศีรษะมาเป็นปี คราวนี้คงได้เวลากำเริบ
“ไข่มุกไม่รู้จะทำยังไง พี่ลินช่วยคิดหน่อยซี ถ้าไม่ไปคงรู้สึกผิดมากๆ พี่แพรเขาจะรู้สึกยังไง ตกลงกันไว้ตั้งแต่อาทิตย์ก่อน”

ไพลินบอกอย่างไม่เห็นทางอื่น
“พี่คิดได้อย่างเดียวคือ..เธอไม่ต้องไป”

“มีทางอื่นไหมพี่ลิน..”
พี่สาวส่ายหน้ายืนยัน มองหล่อนอย่างหมดหนทาง

“ทำไงดีนะ..ไปทั้งยังงี้ก็ทำใจไม่ได้ จะไม่ไปซะเลยก็รู้สึกผิด” มุกดาระบายลมหายใจยาว “ถ้าแต่งหน้าแต่งตัวใหม่ได้ก็คงดี”

คำพูดแบบลอยๆของน้องสาวทำให้แสงสว่างปลายทางอุโมงค์ผุดขึ้นในสมองของไพลิน หล่อนมองน้องสาวอย่างมีความหวัง

“พี่ว่าเพทายช่วยเราได้!”
มุกดาขมวดคิ้วเกือบจะชนกัน

“เพเนี่ยนะ?”
ไพลินพยักหน้ายืนยัน ตอนนี้ความสว่างเริ่มกระจ่างชัด หล่อนยิ้มกว้างมองน้องสาว

“ขอเวลาแป๊บนะ”

มุกดามองพี่สาวด้วยความฉงน เห็นไพลินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อเลขหมายไปถึงใครบางคน แล้วแนบหูรอ พักเดียวก็ได้ยินเสียงหล่อนพูดอย่างกระตือรือร้น

“เพ..จะกลับจากงานแต่งลูกค้ารึยัง”

“ไม่มีอะไรมาก พอดีไข่มุกต้องการความช่วยเหลือจากเธอ..อือ..ฉันกำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี่ไง..”


มุกดาได้ยินเสียงพี่สาวเบาลงเรื่อยๆ เมื่อไพลินลุกเดินออกไปสาธยายความกับพี่สาวตัวแสบต่อตรงริมระเบียง หญิงสาวไม่นึกหวังว่าเพทายจะช่วยหล่อนได้ จึงไม่ลุกตามไปฟังว่าไพลินคุยอะไรต่อ ทำได้เพียงหมดแรงนั่งแหมะอยู่ที่เดิม พยายามนึกหาทางออกเอาเอง..ทว่านึกเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบ

“รอเดี๋ยวนะไข่มุก ยายเพกำลังจะมาแก้ปัญหาให้เธอ”

มุกดาได้ยินประโยคนั้นเมื่อไพลินเดินกลับเข้ามาบอกหน้าตาสดใส หล่อนทำเพียงยิ้มรับเจื่อนๆ ไม่มีแก่ใจจะฟัง ไม่กระตือรือร้นจะรอ เพราะไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว..ว่าคนจอมกวนอย่างเพทางจะมาแก้ปัญหาให้หล่อนได้ ถ้าเพิ่มปัญหาล่ะก็ไม่แน่ ไพลินพูดอะไรต่ออีกสองสามคำ หญิงสาวฟังผ่านหูด้วยความเลื่อนลอย เห็นภาพสะท้อนของตัวเองในกระจกแล้วยิ่งรู้สึกหดหู่ นึกไปว่าหากแพรวามาแต่งแบบนี้คงจะสวยเซ็กซี่น่าดู หล่อนบุญไม่ถึงเองที่แต่งเก๋ๆอย่างพี่สาวไม่เลยสักครั้ง

มุกดานั่งหน้าซึม มองคราบมาสคาร่าที่ไหลนองอาบแก้มในกระจกด้วยความสมเพชตัวเอง สภาพที่ว่ารับไม่ได้ในตอนแรก ยิ่งดูน่าเกลียดหนักกว่าเดิม หล่อนทอดถอนใจไปไม่รู้กี่ร้อยรอบ รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะถี่ๆและไม่รอให้หล่อนลุกไปเปิดประตูต้อนรับ เจ้าของเสียงก็ก้าวเข้ามาพร้อมกับของพะรุงพะรังในมือ

“ยายเด็กโง่..ยอมให้เค้าแกล้งได้ยังไงขนาดนี้”

เปิดฉากมาก็กระแทกเสียงใส่หล่อนเสียหูชา..แล้วแบบนี้หรือจะมาช่วยแก้ปัญหาให้ มุกดาเบะปาก ย่นจมูกใส่ ตอบกลับไปแบบเสียอารมณ์

“อย่ามาหาเรื่องกันนะ..คนยิ่งกลุ้มๆอยู่”
เพทายทำเหมือนหูทวนลม ระบายต่ออย่างเหลืออด

“ฉันนึกอยู่แล้วเชียว วันนั้นที่เธอแต่งตัวเปรี้ยวคงเป็นฝีมือยายแม่มดด้วยใช่ไหม..ใช่ ต้องใช่แน่ๆ ลองมาอีหรอบนี้ ไม่มีทางเดาผิด”

ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ..ฉายาใหม่ของแพรวา ทำให้คนเสียอารมณ์เผลอปล่อยกิ๊กออกมา
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม..หรือว่าตัวอิจฉาเค้า”

“เฮ้อๆๆๆ..ยายเด็กน้อยเอ๋ย ยายเด็กอ่อนต่อโลก ยายเด็กอ่อนหัด ยายเด็กไม่ประสีประสา ยายเด็ก..”

มุกดารีบโบกมือห้าม กลัวพี่สาวจะปล่อยคำสาธยายที่มันน่าเกลียดกว่านี้ออกมา

“หยุดได้แล้ว เลิกด่าเค้าซะที”

เมื่อได้ยินเสียงเล็กใสร้องบอกบวกกับสายตาวิงวอนยิ่งกว่าคำพูด เพทายจึงถอนหายใจคำรบสุดท้าย ก่อนจะพุ่งเข้าประเด็น

“เอาล่ะ..ฉันจะไม่เสียเวลากับเธอแล้ว พูดไปก็ทะลุหูซ้าย ออกหูขวา กระเด้งกลับเข้ามาในปากฉันเหมือนเดิม...ไปล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนชุดใหม่ซะ”


พูดเสร็จก็ยื่นชุดในห่อพลาสติกที่หอบติดมือเข้ามาให้น้องสาว มุกดาอยากจะทำเป็นไม่สนใจ เพราะคิดว่าเพทายคงนึกทำอะไรที่ไม่เข้าท่า แต่ก็ต้องชะงักมอง เพราะสีขาวเลื่อมมุกของชุดราตรียาวสะท้อนออกมาจากถุงเคลือบพลาสติกดึงดูดสายตาหล่อน

“อะไร?”

หญิงสาวได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปแค่นั้น มือก็ยื่นรับชุดใหม่มาถือแล้วยกขึ้นพินิจใกล้ๆอย่างลืมตัว

“ถามได้..ไม้กวาดมั้งหล่อน!”

เพทายแหวกลับด้วยเสียงหมั่นเขี้ยว

“มีสมองน่ะ อย่าให้เป็นแค่เนื้อนิ่มๆในกะโหลก หัดเพิ่มรอยหยัก รู้จักคิด บ้างอะไรบ้าง”

มุกดาทำปากยู่ใส่พี่สาวแวบหนึ่ง แต่แล้วก็กลับไปสนใจของเตะตาตรงหน้า หล่อนรูดซิบพลาสติกมันเงาที่ห่อคลุมชุดราตรีตัวนั้นออก แล้วคลี่ผ้าเนื้อแพรออกให้เห็นเต็มตา

ชุดยาวตัวนั้นทำจากผ้าแพรเนื้อดี สีของมันขาวบริสุทธิ์ออกเลื่อมมุกวาววับทั้งตัว ส่วนบนเป็นเกาะอกเข้ารูปมีสายคล้องคลองร้อยด้วยไข่มุกเม็ดงาม ส่วนกระโปรงบานออกเล็กน้อยตั้งแต่ช่วงสะโพกลงไปก่อนจะทิ้งชายยาวกรอมเท้า ช่วงล่างมีลายลูกไม้น่ารักเล่นระบายอยูจนสุดขอบ มุกดาเผลอยิ้มออกมาอย่างถูกใจ

“มันอาจจะดูเหมือนชุดแต่งงานไปหน่อย..อื้ม พูดตรงๆก็คือ มันคือชุดแต่งงานสไตล์ใหม่ ที่พอจะกล้อมแกล้มใส่ไปงานราตรีได้”

เพทายอธิบายน้องสาวอย่างตรงไปตรงมา

“สวยมาก..”

มุกดายังจับจ้องอยู่กับรายละเอียดของชุด “แต่งงาน” นั้น พอเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นพี่สาวยิ้มกว้าง ยืดอกภูมิใจจนน่าหมั่นไส้ หล่อนจึงปั้นหน้าขรึม พูดแบบกัดฟันว่า..

“ก็งั้นๆแหละ ของโหลเกลื่อนตลาด”

เมื่อเห็นพี่สาวยังไม่เลิกหุบยิ้ม ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงประชดของหล่อน มุกดาเลยถามต่อด้วยความสงสัย

“ไปเอามาจากไหน ขโมยใครมารึเปล่า?”

“ดูดู๋ ดูพูดเข้า ฉันเป็น wedding planner นะยะ บ้านก็มีกินมีใช้ ของลูกค้าเขาฝากมาซักต่างหากย่ะ..อุ๊บ!” ตอนท้ายต้องรีบยกมืออุดปากตัวเอง เมื่อเผลอพูดอะไรที่ตรงความจริงจนเกินเลย มุกดาเบิกตากว้าง ยกนิ้วชี้หน้าพี่สาวทันที

“นั่นไง..ก็ขโมยน่ะแหละ ไม่ผิดกันหรอก”

“ใครบอก..ยังงี้เขาไม่เรียกขโมย เขาเรียกยืมมาใช้”

“บอกเจ้าของเขาแล้วหรือไง?”

เพทายส่ายหน้าแทนคำตอบ ไม่มีแวววิตกทุกข์ร้อนอะไร

“เอาน่า..ยังไงฉันก็ต้องส่งชุดคืนเขาพรุ่งนี้ เอามาซักทั้งทีขอยืมใช้สักคืนจะเป็นไรไป”
“แล้วใจคอเพจะให้เค้าใส่ชุดที่เขาเพิ่งใช้มาหมาดๆเนี่ยนะ?”
มุกดาทำหน้าเหวอ นึกไม่ถึงกับความก๋ากั่นและบ้าบิ่นของพี่สาว

“บอกมาคำเดียว..จะใส่หรือไม่ใส่?” เพทายยื่นคำประกาศิต แถมขยายความต่อเพื่อให้เหยื่อหมดทางปฏิเสธ “ไหนบอกว่าไม่ไปจะรู้สึกผิด ถ้าไปก็อายคน ใส่ไปทั้งชุดแบบนี้เนี่ย รับรองเธอโดนข่มขืนแน่!”

มุกดาทำหน้าเง้า..หล่อนหมดหนทางจริงๆนั่นแหละ จริงอย่างที่เพทายบอก เป็นไงเป็นกัน..เราแค่ยืมมาใส่ หล่อนยอมศีลด่างพร้อยสักวันก็แล้วกัน

“แล้วหน้าล่ะ..ผมล่ะ เพจะให้เค้าใส่ชุดหวานสีสะอาดกับหน้าแบบนี้เหรอ”

มุกดาชี้ให้เห็นปัญหาที่ยังเหลืออยู่ เพทายรับฟังอย่างใจเย็น หล่อนยกยิ้มมุมปากพลางตบหน้าอกด้วยความภาคภูมิ

“อย่าลืมสิ..ฉันเป็น wedding planner /ฝีมือการแต่งหน้าทำผมต้องหยั่งงี้”
สาวจอมกวนยกนิ้วโป้งขึ้นชูระดับศีรษะ บอกให้รู้ว่าระดับไหน

“ถ้าฝีมือหยั่งงี้จริง..แล้วหน้าตัวเองทำไมเป็นหยั่งงี้”
มุกดาทำเสียงล้อเลียน พลางคว่ำหัวแม่โป้งลงพื้นเมื่อเอ่ยตอนท้าย คนฟังชักจะหงุดหงิดขึ้นมาติดหมัด จึงยื่นคำขาด

“จะใส่หรือไม่ใส่..ถ้าไม่ใส่จะได้เอาไปซัก!”

นั่นแหละ..น้องสาวคนเล็กถึงหุบปากฉับไว้แค่นั้น รีบเข้าไปจัดการล้างเครื่องสำอางเก่าออกจากใบหน้า พร้อมสลัดชุดเก่าเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ออกมานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ากระจกให้ “Wedding planner” ตบแต่งหน้าตาและทรงผมเสียใหม่แต่โดยดี

“เฮ้อ!..ไม่รู้พี่หวานจะไปงานด้วยรึเปล่า”


มุกดาบ่นพึมพำเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่าตั้งใจให้อีกคนได้ยิน ทว่าเพทายหูไวเกินกว่าจะปล่อยเรื่องแม้เพียงเล็กน้อยลอยผ่านไปง่ายๆ หล่อนตบแต่งหน้าตาให้น้องสาวใหม่จนออกมาใสปิ๊งเข้ากับธรรมชาติของเจ้าตัว ริมฝีปากชมพูเคลือบลิปกล๊อสสีชมพูอ่อนใส แก้มปัดบลัชออนสีพีช เปลือกตาแต้มสีน้ำตาลอ่อน แพขนตางามก็ปล่อยไว้ให้งอนอย่างเดิม ไม่เพิ่มของปลอมทับเข้าไป คิ้วเรียวลากโค้งด้วยสีน้ำตาลอ่อนสีเดียวกับเปลือกตา ส่งให้ดวงหน้าดูสว่าง อ่อนโยน มีเสน่ห์ชนิดที่ยิ่งมองยิ่งติดตรึง หล่อนมองผลงานอย่างพอใจ ก่อนจะเปลี่ยนมาจัดการทรงผมยุ่งๆ ให้น้องสาว

“ยายหวานน่ะเหรอ...ยังคบกับยายแม่มดอยู่อีก ไม่อยากเชื่อ!”
“เพรู้จักพี่หวานด้วยเหรอ?”

มุกดาเงยหน้าถามด้วยความแปลกใจ ช่างทำผมจำเป็นตีเผียะเข้าให้ที่ไหล่กลมกลึงข้อหาทำให้หล่อนเสียสมาธิในการจัดแต่งทรงผม ก่อนเอ่ย

“ถ้าเธอหมายถึงยายหวาน..มานิตา ล่ะก็ ฉันรู้จักดี”
“อื้อ..เขาเป็นเพื่อนสนิทพี่แพร เพไปรู้จักเขาได้ไง”

เพทายทำเป็นหูทวนลมกับคำถามท้ายประโยค หล่อนตอบไปอีกเรื่อง

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอไปขัดใจกับยายนั่นเรื่องไหน..แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะเจอกันในงาน เพราะยายหวานไม่ใช่นักเรียนทุน..แล้วก็ไม่เฉิดฉายในการเรียนพอจะกล้าไปเชิดคอในงานของเด็กหัวกะทิ”


มุกดาเลิกคิ้วผ่านกระจกเงา คราวนี้หล่อนฉลาดพอจะไม่เงยหน้าขึ้นไปอีก
“ไม่ใช่นักเรียนทุน..แล้วเขาสนิทกับพี่แพรตอนไหน?”

คำตอบของเพทายเหนือความคาดหมายของมุกดา หล่อนแทบชะงักเมื่อได้ยิน

“สนิทกันอยู่ปีเดียวก่อนยายแม่มดไปอเมริกา..เรียกว่าสนิทก็ไม่แน่..ถ้าบอกว่าจำใจต้องสนิทล่ะฉันเชื่อ!”


โรงแรมระดับห้าดาวที่หล่อนเพิ่งก้าวเข้ามาในล็อบบี้ชั้นล่างนั้นตกแต่งอย่างหรูหรา ตึกสูงระฟ้าตั้งอยู่ริมถนนใหญ่สายสำคัญ สะดวกแก่การเดินทาง ทุกอย่างในเย็นวันนี้ดูผิดแผนไปหมด แม้กระทั่งบุคคลที่หล่อนพามาด้วย..หรือจะเรียกให้ถูกคืออาศัยรถเขามาคือเพทาย แทนที่จะเป็นไพลินพี่สาวผู้ใจดี

ตลอดเส้นทางที่การจราจรติดขัดเหลือแสน มุกดาก็ต้องพยายามเก็บปากเก็บคำ สงบใจไม่ให้ต่อล้อต่เถียงกับพี่สาวตัวแสบ ที่ช่างสรรหาถ้อยคำบาดหูมาแขวะหล่อน..ในสายตาเพทาย หล่อนเป็นแค่เด็กโง่คนหนึ่งซึ่งไม่รู้จักโต หญิงสาวเข้าใจว่าพี่สาวหวังดี แต่ปากร้ายไปอย่างนั้นเอง ทว่าหลายๆครั้งหล่อนก็นึกอยากให้เพทายไปหัดเรียนวิธีพูดให้คนฟังรู้สึกสบายใจ ฟังแล้วระรื่นหูมากกว่านี้

เมื่อถึงล็อบบี้ มุกดาทำท่าเงอะงะหันรีหันขวางไม่รู้จะไปทางไหนต่อ ไม่ได้ถามแพรวาไว้ด้วยว่างานจัดชั้นไหน ห้องอะไร จึงเป็นหน้าที่ของพี่สาวแสนดีอย่างเพทาย ที่เบื่อจะรอน้องสาวเคลียร์ปัญหา ตัวเองต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเสียก่อนจะหมดเวลางานในค่ำคืนนี้ คำตอบที่ได้จากพนักงานต้อนรับของโรงแรมคือ ห้องบอลรูมชั้นสอง ซึ่งเป็นห้องจัดงานที่ใหญ่ที่สุดในโรงแรม..

เพทายจูงมือน้องสาวมาถึงหน้างาน หล่อนทำท่าเหมือนถูกเชิญมางานเสียเอง เดินกึ่งลากกึ่งจูงนำหน้ามุกดาตรงไปที่กลุ่มหญิงสาวในชุดราตรีสีสดหน้าโต๊ะของชำร่วย..ซึ่งหล่อนเห็นแล้วนึกดูถูกผู้จัดที่ไม่รู้จักมีไอเดียแปลกใหม่ ซ้ำยังลอกเลียนแพทเทิร์นงานแต่งงานมาจัดเสียอีก

มุกดากระโดดตัวลอย เขย่าแขนพี่สาวแรงๆเมื่อเห็นแพรวายืนเฉิดฉายอยู่ในมุมหนึ่งของงานมีหนุ่มสาวต่างชาติกับคนไทยแค่ไม่กี่คนรายล้อม จนลืมไปว่าตัวเองใส่รองเท้าส้นสูงกว่าปกติ ไม่ทันระวังเท้าข้างขวาจึงพลิกเกือบล้มหมดท่า โชคดีที่เพทายระวังตัวทันจึงรั้งน้องสาวเอาไว้ให้พอทรงตัวอยู่ได้


“เป็นบ้าอะไรเนี่ย..ทำตัวเหมือนเด็ก ล้มไปล่ะก็ฉันอายเขาแย่”
มุกดาทำหน้าย่น ก่อนบอกเสียงอ่อย

“แค่จะบอกเพว่า พี่แพรอยู่ตรงนู้น ไม่ต้องถามใครแล้ว”
“หึ..นี่ขนาดแค่นะ ถ้าตั้งใจบอกจะขนาดไหน”

เสียงของเพทายดังไม่ใช่เล่น เรียกความสนใจของกลุ่มนักเรียนทุนที่ยืนอยู่มุมเดียวกับแพรวาให้หันมามองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ใครคนหนึ่งเอื้อมมือไปสะกิดดีไซเนอร์สาวที่กำลังพูดคุยกับอาจารย์อาวุโสคนหนึ่งอย่างออกรสให้หันมามองทางเดียวกัน


มุกดาเลิกใส่ใจเสียงด่าทอของเพทายทันทีที่สายตาปะทะกับพี่สาวคนเก่ง แวบแรกที่เห็นกรอบเรียวรูปหงส์กับนัยน์ตาดำมีแววลุ่มลึกของแพรวา ขาที่กำลังจะก้าวตรงไปหาก็แทบชะงักกึก มุกดาไม่เคยเห็นแววตาชนิดนั้นจากพี่สาวแสนสวย และแสนดี มันเหมือนมีรังสีอำมหิตแผ่ซ่านเข้าครอบงำความสดใสของสีสันและผู้คนในงานรื่นเริงจนดำมืด หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆแล้วปรับโฟกัสการมองเห็นของตนเสียใหม่ก็พบว่าประกายตาแบบนั้นเลือนหายไปแล้ว แทนที่ด้วยแววอ่อนโยนกับรอยยิ้มกระจ่างบนใบหน้าเรียวสวย ขาที่ชะงักหยุดอยู่ จึงก้าวต่อไปอย่างคล่องตัวขึ้น มุกดานึกโล่งอก..เมื่อครู่หล่อนคงตาฝาดไป

“ฉันไม่ได้เชิญเธอนะ..เพทาย มาได้ยังไงกัน”

แทนคำทักทายอ่อนหวาน เมื่อดีไซเนอร์สาวเหลือบไปเห็นใครอีกคนเดินมาหยุดอยู่ข้างมุกดา

เพทายยิ้มเยือกเย็นที่สุดเท่าที่น้องสาวเคยเห็นมา ก่อนยื่นหน้าเข้าไปใกล้ สืบเท้าเข้าไปยืนแทบประชิดพี่สาวต่างสายเลือด บอกเสียงชัดเจน ไม่มีวี่แววของความเคารพนับถือ

“ขอโทษด้วย..พอดีฉันเป็นคน..หน้าด้าน!”



ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2555, 10:33:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2555, 10:33:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1715





<< บทที่๑๔ แปลงโฉม ๑/๒   บทที่๑๕ ไม่ขอให้เป็นเหมือนใคร ๑/๒ >>
แล่นแต๊ 10 มิ.ย. 2555, 12:29:18 น.
เอาแล้ว เพทายปะทะแพรวาค่อยสูสีหน่อย อิอิ


ศิลาริน 10 มิ.ย. 2555, 16:56:34 น.
^__^


เดิมเดิม 10 มิ.ย. 2555, 19:36:32 น.
ดีนะ พี่ๆ ช่วยกันปกป้องไข่มุกน้อย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account