พระพรหมสีชมพู
เรื่องพระพรหมสีชมพู เรื่องล่าสุดที่แต่งขึ้นจากจินตนาการ

จะมีประเทศที่ติ๊ต่างขึ้นมาเองนะคะ ผู้แต่งให้ชื่อว่าประเทศกรีนนา

...เป็นเรื่องของสาวน้อยคนไทยที่ไปตามหาพี่ชายต่างสายเลือดที่เธอรักและหวงแหนมาก พอพี่ชายจะไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่นเธอเลยยอมไม่ได้ ความบังเอิญจากอุบัติเหตุทำให้เธอเจอกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นถึงลูกชายประธานาธิบดีแห่งกรีนนา ที่ถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งคู่หมั้นของหล่อนก็คือพี่ชายต่างสายเลือดของแม่สาวน้อยคนไทยนี่เอง

เธอถูกจับมาเป็นตัวประกันชั่วคราวของเขา และอะไรไม่ซวยเท่ากับการที่จู่ ๆ เธอก็เกิดสัมผัสพิเศษสามารถเห็นเหตุการณ์อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ได้ล่วงหน้าเหตุการณ์จริง 1 นาที จากแค่ตัวประกัน เลยกลับกลายเป็นต้องอยู่คอยคุ้มภัยเขาราวผูกตัวติดกันซะอย่างนั้น...

..."เมื่อพี่ชายของคุณเป็นคนทำให้ผมถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน คนที่น่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ก็เห็นที่ว่าคงต้องเป็นคุณซะแล้วแหละ แม่หนูน้อยหมวกแดง"

..."ไม่เอา...ปล่อยฉันนะ อีตาเฒ่าทารก"

..."ภายในสองเดือน ถ้าคุณทำให้พี่ชายของคุณถอนหมั้นกับแจนได้ ผมจะปล่อยคุณไป"

Tags: น่ารัก+บู๊เล็ก ๆ

ตอน: ตอนที่ 1 พระพรหมสีชมพู

ตอนที่ 1

สองเดือนก่อนหน้านี้ประเทศกรีนนา หมู่เกาะเล็ก ๆ และยังคงไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติมากกว่าหกสิบเปอร์เซ็นต์ ภายบริเวณรั้วโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

“แม่ระงับเครติดการ์ดของเน่ย์ใช่ไหมคะ อย่าคิดนะคะว่าแม่ใช้วิธีนี้แล้วเน่ย์จะยอมกลับบ้าน” หัวคิ้วเรียวได้รูปชนกันเกือบชิด ดวงตากลมดำขลับในยามปกติเปลี่ยนเป็นสีขุ่นมัว บวกกับเรียวปากบางที่งอง้ำ ไม่ต่างจากเด็กน้อยถูกขัดใจ “แต่ช่างเถอะ เน่ย์จะกดเงินจากเอทีเอ็มออกมาใช้ให้เกลี้ยงเลยคอยดู”

“ก็ลองดูถ้าคิดว่าทำได้” มารดาตอบกลับเสียงเย็น ทำบุตรสาวแทบจะกระทืบเท้าเร่า ๆ

“นั่นมันบัญชีของเน่ย์นะคะ แม่ไม่มีสิทธิ์ทำอะไร” บุตรสาวกรอกเสียงกังวานหากห้วนจัดลงไปกับมือถือข้างหู รู้ว่ามารดาของเธอมีปัญญาทำได้มากกว่าที่คิดไว้เยอะ ท่านชอบใช้สิทธิการเป็นบุพการีบีบบังคับให้เธอจำยอมด้วยวิธีของท่านเสมอ เธอเลยเรียกการกระทำพวกนั้นว่าอิทธิพลมืด แต่ใช่ว่าจะใช้ได้กับเด็กดื้ออย่างเธอเสมอไปซะเมื่อไหร่

“แต่เงินในบัญชีนั้นมันเป็นเงินของแม่ ถ้าเน่ย์ไม่อยากอดตายก็รีบกลับบ้านตอนนี้เลย” เสียงของมารดายังคงเยียบเย็น แล้วตามด้วยเสียงถอนหายใจยาวเหยียดอย่างอิดหนาระอาใจ เนรัญบุตรสาวเพียงคนเดียว ที่หล่อนเลี้ยงดูเอาใจเกินเหตุ จนทุกวันนี้กลายเป็นคนเอาแต่ใจ ทำอะไรแทบจะไม่เห็นหัวคนเป็นพ่อเป็นแม่ “ถ้าเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าตอนนี้ ก็คงน่าจะยังพอมีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเชียงใหม่ได้ แต่ถ้ายังดึงดันอยู่กรุงเทพฯ ต่อ ก็เตรียมตัวกลายเป็นเด็กจรจัดได้เลย”

คำขู่ของมารดาเหมือนไม่เป็นผล เนรัญไม่มีทีท่าว่าเกรงกลัวต่อคำขู่แม้แต่นิด เธอเชิดจมูกแหลมขึ้นสูง สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง ก่อนพูดอย่างหมายมาดว่า

“เน่ย์ไม่มีทางกลับแน่ ถ้าไม่มีพี่ตั้งกลับไปด้วย แล้วตอนนี้เน่ย์ก็ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ ค่ะ”

“ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ !” ปลายสายอุทาน เสียงเรียบเย็นในตอนแรกเปลี่ยนเป็นร้อนรน “อยู่ไหนยายเน่ย์ บอกแม่มาเดี๋ยวนี้เลย”

“พี่ตั้งอยู่ประเทศไหน เน่ย์ก็อยู่ที่นั้นแหละค่ะ เน่ย์จะมาพาพี่ตั้งกลับ จะไม่ยอมให้ใคร ๆ พากันบีบบังคับให้พี่ตั้งแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่รู้จักหรอกนะคะ”

“ตาตั้งไม่ได้ถูกบีบบังคับนะ พี่เขาโตแล้วมีคู่หมั้นและก็ถึงเวลาต้องแต่งงาน” มารดาอธิบายอย่างใจอ่อน ยามรู้ว่าบุตรสาวแสนดื้อบินข้ามประเทศมาไกลเพื่อตามหาพี่ชายต่างสายเลือด และเกินจะห้ามปรามได้ทันแล้ว

“ไม่จริงค่ะ” เนรัญตอบกลับเสียงสูงลิบ “พวกผู้ใหญ่จับพี่ตั้งหมั้นกับยายจาอะไรนั้นเองต่างหาก พี่ตั้งไม่ได้อยากจะหมั้น อยากจะแต่งสักหน่อย”

“ทำไมถึงได้ดื้อด้านอย่างนี้นะยายเน่ย์ ตาตั้งเขาเป็นแค่พี่ชายของเรา จะไปเกาะติดเขาแจตลอดชีวิตได้ยังไงกัน” ผู้เป็นมารดาทำเสียงหนักใจขึ้นกว่าเดิม เรื่องที่บุตรสาวติดพี่ชายต่างสายเลือดเข้าขั้นที่เรียกว่าเป็นเอามาก มันเป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ทั้งที่คิดว่าพอโตขึ้นนิสัยพวกนี้จะหายเอง ทว่าสำหรับเนรัญความรักและผูกพันที่มีต่อพี่ชายคนนี้ ดูจะทวีความรุนแรงมากทุกวันจนน่ากลัว

“ก็เน่ย์รักพี่ตั้ง เน่ย์จะไม่ยอมปล่อยให้พี่ตั้งแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นเด็ดขาด ประเทศนี้เล็กนิดเดียว เน่ย์มั่นใจว่าใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ เน่ย์จะสามารถพาตัวพี่ตั้งกลับไปด้วยได้แน่” ความมุ่งมาดของหล่อนไม่ได้ลดน้อยลงเลย แถมยังตัดบทอย่างท้าทายบุพการีอีกด้วยว่า “แค่นี้นะคะแม่ เชิญแม่ตัดบัตรเครติด ตัดเอทีเอ็ม ตัดน้ำตัดไฟตามสบายเลยค่ะ ยังไงเน่ย์ก็ไม่มีทางกลับจนกว่าจะเจอพี่ตั้ง”

หญิงสาวเก็บโทรศัพท์มือถือยัดลงกระเป๋าสะพายไขว่ใบเล็กข้างกายทันที หลังจากตัดสายสนทนาทิ้ง ร่างบอบบางยืดตัวตรง เชิดหน้าเรียวรูปไข่อย่างหมาดมั่นอีกครั้ง ก่อนจะคลี่ยิ้มให้กำลังใจตัวเองกับจุดหมายความสำเร็จข้างหน้า จากข้อมูลที่สืบรู้มาคู่หมั้นของพี่ชายเธอชื่อจาริณรัตน์ ธนกอบกุล อายุยี่สิบหกหยก ๆ เป็นน้องสาวของเอกอัคราชทูตไทยในประเทศกรีนนา นางพยาบาลที่ทั้งสวย เก่งและใจดี แล้วนี่ก็คือ...โรงพยาบาลแห่งที่สองที่เนรัญจะมาสืบถามหาเจ้าหล่อน เพราะถ้าเจอจาริณรัตน์ ก็แสดงว่าการตามหากันกริช พี่ชายต่างสายเลือดของเธอก็กำลังจะประสบผลสำเร็จ ระหว่างที่หญิงสาวก้าวเท้าเดินไปยังตึกสูงเบื้องหน้าด้วยความครื้มอกครื้มใจ หางตาก็สะดุดกับบางสิ่ง ขาว ๆ ล่องลอยลงมาจากชั้นสูงแวบ ๆ และเมื่อหันไปมองเต็มสองตา เนรัญก็ถึงกับถลึงตาแทบถลนออกจากเบ้า

ร่างผู้หญิงคนหนึ่งลอยละลิ่วเบาราวกระดาษ หากตอนล่วงกระทบสู่พื้นเบื้องล่างดังสนั่น ร่างในชุดสีเขียวอ่อนของโรงพยาบาลนอนคว่ำหน้า กระตุกเพียงสองครั้งแรง ๆ จากนั้นก็นิ่งเงียบไป สวนทางกับเสียงกรีดร้องของผู้คนบริเวณนั้น ซึ่งตื่นตกใจจากเหตุการณ์สดสะเทือนขวัญ

“กรี๊ดดด...! คนตกตึก !” เสียงแหลมจากผู้คนรอบข้างตัวเนรัญวีดร้องประสานอย่างพร้อมเพรียง ระหว่างนั้นก็มีหญิงสาวหลายคนพากันเป็นลมล้มพับ

กระดาษใบเล็กที่เหมือนจะล่วงมาพร้อม ๆ กับร่างที่นอนแน่นิ่งไปแล้วตรงหน้า ปลิวหวือตามลมมาหยุดตรงปลายเท้าเนรัญ มีข้อความเขียนด้วยหมึกสีแดงเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘รักนิรันดร์ฉันและเธอ’

เรียวหน้าเล็กซีดเผือดอยู่แล้วก่อนหน้ายิ่งขาวเกือบไม่มีสี เธอพยายามทรงตัวยืนให้อยู่ไหวทั้งที่เรี่ยวแรงแข้งขากำลังอ่อนและสั่นเทาไม่ต่างจากร่างกาย หญิงสาวค่อย ๆ หันกลับช้า ๆ เดินเนิบเนือยตาค้างตาลอย พร้อมกับหัวใจเต้นแรงเร็ว มือเท้าเย็นเฉียบสั่นและชุ่มเต็มด้วยเหงื่อ

ไม่นะไม่ ! คนอย่างเธอเกิดมาเกือบเข้าวัยเลขสอง ไม่มีสักครั้งที่จะเป็นลมเป็นแร้ง หญิงสาวปลอบตัวเอง ขณะพาร่างกายก้าวกลับออกไปนอกรั้วโรงพยาบาลเบลอ ๆ หัวสมองเริ่มเวิ้งว้าง สติขาดดับเป็นระยะ ๆ บนทางฟุตปาธผู้คนที่สวนทางไปมารอบกายเธอ ราวกับเป็นภาพมวลอากาศในความฝัน สติห้วงสุดท้ายที่กำลังจะดับ เธอเห็นเงาสูงของใครบางคนเดินตรงมาทางเธอเร็ว ๆ

ผัวะ ! ร่างเล็กถูกผู้ชายสูงโปร่งคนนั้นชนเต็มแรง เขารับร่างที่โงนเงนและเหมือนจะล้มทั้งยืนเอาไว้ได้ทัน

“คุณ ! พระเจ้า...ชนแค่นี้ถึงกับเป็นลมเลยหรือวะ” เขาอุทานหน้าตาเหยเก ก่อนตวัดร่างหญิงสาวขึ้นไว้ในวงแขน

++++++++++++++++++++

กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ลอยเข้าจมูก คนเลือกใช้น้ำหอมกลิ่นนี้เป็นผู้ชายที่มีคลาสน่าดู ผู้ชายอย่างนั้นเหรอ ! เปลือกตาที่ค่อยปรือช้า ๆ ลืมโพลง แล้วก็เจอกำแพงหนาเป็นต้นคอขาว ๆ ยาว ๆ ของใครสักคน

หญิงสาวเงยหน้าจากไหล่กว้างที่ซบนอนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ออกห่างทันที และพอชายแปลกหน้าเจ้าของไหล่อุ่น ๆ หอม ๆ หันมาประสานตา เนรัญก็ชะงักกึกจ้องมองเข้าไปนัยน์ตาสีเทาคู่นั้น หัวใจเธอเบาโหวงราวจะล่องลอยได้ ความรู้สึกและประสาทสัมผัสของร่างกายตอนนี้เย็นสลับร้อนเหมือนจะเป็นไข้ เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มันไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะว่าหน้าตาหล่อเหลาลงตัว หรือหุ่นดีกระชากใจของเขาหรอก แต่มันมากกว่านั้นมีบางอย่างทำให้เธอรู้สึกแปลก ๆ

“ฟื้นแล้วหรือครับหนูน้อย เล่นซะผมตกใจหมด ชนนิดชนหน่อยขวัญอ่อนถึงกับเป็นลมเลยนะเรา”

เนรัญสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงทุ้มหล่อไม่ต่างจากใบหน้าทักทายเป็นภาษาสากล ซึ่งทำให้เธอหลุดจากภวังค์ หญิงสาวรีบผละตัวออกห่างชายแปลกหน้า หากความรู้สึกบางอย่างที่แปะตรงช่วงเอวคอดทำให้เธอหันไปมอง

“ปล่อยฉันนะไอ้ตาลุงลามก” คนที่พึ่งรู้สึกตัว ฟาดมือเต็มกำลังที่มือลงบนต้นแขนและฝ่ามือใหญ่ที่โอบรอบตัวเธอจากด้านหลัง ตลอดเวลาที่เธอไม่มีสติไอ้ลุงหน้ายาวคนนี้ทำมิดีมิร้ายอะไรกับเธอไปบ้างแล้วก็ไม่รู้ นอกเหนือจากการกอด หญิงสาวฉุกคิดนึกกลัวไปต่างๆ นานา หันมองรอบกายก็ถึงได้รู้ว่าเธอกำลังอยู่บนรถยนต์คันกว้างขวางกับเขาเพียงลำพัง ไม่ซิมีคนขับอีกคนหนึ่ง แต่ทว่านั่นก็คือคนของเขาเช่นกันนี่หนา “จอดรถเดี๋ยวนี้นะ คุณจะพาฉันไปไหน เห็นผู้หญิงหมดสติแทนที่จะเป็นพลเมืองดีช่วยเหลือ แต่นี่พวกคุณคิดจะทำไม่ดีกับฉันใช่ไหม ปล่อยเลยนะ ปล่อย...” เธอใส่เขารัวเร็วเป็นชุด ฟาดมือทุบตีไปตามลำตัวของอีกฝ่ายไม่นับ

“โอ้ย...! หยุดตีก่อนซิคุณ ผมเจ็บ !” การิมตวาดเสียงแข็ง พร้อมล็อกข้อมือเล็กทั้งสองไว้มั่น “ที่ผมพาคุณขึ้นรถมาด้วยไม่ปล่อยนอนอยู่ข้างทาง ยังไม่เรียกว่าเป็นการช่วยเหลืออีกหรือครับ ผมให้คุณได้นั่งพักฟื้นบนรถคันนี้ ได้นอนซบไหล่ผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดในประเทศ คุณยังไม่พอใจอีกเรอะ ไม่ใช่ว่าใครจะมีโอกาสนี้ง่าย ๆ นะครับหนูน้อย”

“แอวะ !” คนฟังทำหน้าเลี่ยน “ถ้าบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ทำไมไม่พาฉันไปโรงพยาบาลละ ทำไมต้องลากขึ้นรถมาด้วย หรือว่าเป็นพวกค้ามนุษย์ เห็นฉันเป็นคนต่างชาติคิดจะทำอะไรอย่างนั้นก็ได้ใช่ไหม” ร่างบางสะบัดสะบิ้งตัวกระเถิบหนีไปนั่งริมสุดอีกฝั่งของเบาะรถ “ฝันไปเถอะไอ้เฒ่าทารก คนอย่างเนรัญยอมตายดีกว่าเสียตัวให้ผู้ชายที่ไม่ได้รัก” ประโยคหลังเธอก่นด่าเป็นภาษาไทย ทำการิมได้แต่ฉงนจ้องตาปริบ ๆ หากคนที่อยู่ตอนหน้าในตำแหน่งคนขับ หัวเราะคึก ๆ ในลำคอราวกับว่าเขาฟังภาษาไทยรู้เรื่อง

“เป็นคนที่ไหน จีนหรือไงพูดอะไรไม่รู้เรื่อง” ชายหนุ่มพยักหน้าถามก่อนหันไปทางคนสนิท “มาร์คนายฟังรู้เรื่องเหรอ ยายหนูน้อยเสียงแปดรอดคนนี้ด่าอะไรเราหรือเปล่า”

“ครับด่า” มาร์คพูดกลั้วหัวเราะ “เธอเป็นคนไทยครับไม่ใช่จีน ผมว่าคุณน่าจะอธิบายให้เธอเข้าใจซะจะดีกว่า เพราะถ้าเป็นใครถูกจับยัดขึ้นรถคนแปลกหน้ามาแบบนี้ ก็ต้องตกใจคิดทางไม่ดีไว้ก่อนทั้งนั้นแหละครับ”

เนรัญนิ่วหน้า ก่อนถามคนขับว่า “คุณฟังฉันรู้เรื่องเหรอ”

“ครับ แม่ผมเป็นคนไทย เลยฟังภาษาไทยรู้เรื่องพูดพอได้แต่อ่านไม่ออก” เขายิ้มใจดีผ่านกระจกมองหลังให้เธอ “ไม่ต้องตกใจไปหรอกนะครับ พอดีเจ้านายผมมีธุระด่วนมาก ตอนไปเจอคุณเป็นลมอยู่ที่ทางเท้า ก็เลยอุ้มคุณติดขึ้นรถมาด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นก็กลัวห่วงคุณว่าจะเป็นอะไรไป”

“รีบมากยังไง แต่ก็น่าจะพาฉันไปส่งโรงพยาบาลก่อน”

“แม่หนูน้อยหมวกแดง ผมไม่ใช่หมาป่าไม่ต้องกลัวหรอกครับ” การิมแทรกขึ้น “ผมมีธุระด่วนมาก ถ้าพลาดไปแค่นาทีสองนาทีนั่นหมายถึงผมอาจจะต้องพลาดไปทั้งชีวิต” เขาส่ายหน้าน้อย ๆ มองร่างบางที่นั่งตัวลีบติดขอบประตูรถ “ไม่ขอบคุณแถมยังทำร้ายร่างกาย มันน่าจับส่งตำรวจให้เข็ด”

“เอาซี้...ฉันก็จะแจ้งกลับ ข้อหากระทำชำเราเด็ก”

คำขู่ซื่อ ๆ ของเธอ ทำชายหนุ่มหัวเราะหยัน ดูยังไงเด็กคนนี้อายุไม่น่าถึงยี่สิบห้าหรอก “ใครเขาจะเชื่อเด็กอย่างคุณกัน แล้วก็บอกให้เอาบุญนะครับหนูน้อย ผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับผมเนี้ย อ้อ...ไม่ใช่ซิจะต้องบอกว่าผู้ชายร้อยละเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ชอบผู้หญิงเนื้อนมไข่ ต้องเป็นไข่นกกระจอกเทศด้วยนะครับ ไข่ดาวแบน ๆ อย่างกับเด็กโตไม่เต็มที่อย่างคุณ เขาเก็บไว้ทำน้องสาวแค่นั้นแหละ”

คนฟังสะอึก ก่อนจะหน้าร้อนผ่าวเพราะสายตาทะลึ่งสีเทากวาดไล่มองทั่วร่างบางอย่างเยาะเย้ย ไม่จริงหรอก...ไอ้ลุงหน้ายาวตาถั่วต้มเห็นเธอเป็นไข่ดาวได้ยังไงกัน

“ฉันไม่ใช่เด็ก...” หญิงสาวเว้นจังหวะนิ่งนึกไปชั่ววินาทีก่อนพูดต่อยาวเหยียด “ฉันโตแล้วอายุยี่สิบห้าแล้วด้วย เป็นสาวเต็มตัว และขอความกรุณาเลิกเรียกฉันว่าหนูน้อยด้วย”

การิมกอดอกพยักหน้าเนือย ๆ ประดุจทำความเข้าใจ “เมื่อกี้ยังบอกว่าตัวเองเป็นเด็กอยู่เลยไม่ใช่เรอะ แต่เอาเถอะผมหมดเวลาจะทะเลาะกับคุณแล้ว” เขาทำหน้าสุขุมขึ้นทันควัน เบนสายตามองผ่านกระจกประตูรถไปยังร้านอาหารที่ตอนนี้รถกำลังเลี้ยวเข้าไปจอด “ผมมีธุระต้องทำนั่งอยู่ในรถเงียบ ๆ ละยายเปี๊ยก”

สรรพนามใหม่ทำเนรัญอยากจะกระโดดไปข่วนหลังกว้าง ๆ ของคนเดินลงไปจากรถเสียจริง เธอมองตามร่างโปร่งที่หายลับตาเข้าไปยังด้านในร้านอาหาร ก่อนจะปรายตามองคนขับแล้วถามขึ้นว่า

“แถวนี้มีรถอะไรให้ฉันกลับเข้าไปในเมืองได้บ้างคะ”

“หายากครับ แถวนี้ชานเมืองไม่ค่อยมีรถผ่าน นอกจากรถยนต์ส่วนตัว” มาร์คตอบเสียงสุภาพ ก่อนหันมองคนนั่งตอนหลังของรถ “ผมชื่อมาร์ค มาวินครับ เรียกว่ามาร์คแล้วกัน ว่าแต่คุณชื่ออะไรครับ แล้วทำไมถึงจะไปเป็นล้มอยู่ข้างทางแบบนั้นได้”

หญิงสาวหน้าซีดเด่นโพลงขึ้นพลัน ส่ายหน้าลบภาพน่ากลัวเมื่อราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก่อนออก เธอเลือกที่จะไม่เล่าเพราะต้องการลืมและไม่อยากเข้าไปเป็นพยานข้องเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น เธอมากรีนนาจุดประสงค์เดียวก็คือตามหากันกริช

“ฉันชื่อเน่ย์ค่ะ” ยิ้มหน้าเจื่อนก่อนพูดต่อเสียงเบาอุบอิบ “สงสัยแดดที่ประเทศนี้ร้อนมากไปหน่อย ฉันก็เลยเป็นลมแดด”

“อ๋อ..อย่างนั้นเหรอครับ” ชายหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนเอ่ยชักชวนต่อว่า “เอาอย่างนี้เราลงไปซื้อไอศกรีมทานกันดีกว่าไหมครับ ระหว่างรอคุณฌานออกมาจากร้านอาหาร”

ทั้งสองเดินลงมาจากรถคนใหญ่ ตรงไปยังเคาน์เตอร์ด้านหน้าร้านสำหรับขายไอศกรีมหลังจากซื้อเรียบร้อยแล้ว หนุ่มสาวก็เดินถือแก้วกระดาษที่มีของเย็นหวานลิ้น ไปหย่อนตัวลงนั่งตรงมุมด้านข้างร้านที่ทำเป็นซุ้มไม้สีขาวสำหรับนั่งทาน

เนรัญตักของหวานเย็นใส่ปากด้วยสีหน้าชื่นชอบ รสชาติถูกใจทำเธอรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นจนเผลอมีรอยยิ้มผุดเล็ก ๆ ตรงมุมปาก ขณะที่สายตากลมโตก็กวาดมองรอบด้าน หวังจะหาทางกลับไปโรงแรมที่ตนพักอยู่ เพราะยามนี้เธอไม่กล้าที่จะกลับเข้าไปตามหาพี่ชายในโรงพยาบาลนั่นอีกเป็นแน่ ยังไงซะก็น่าจะรอจนกว่ามีคนไปเคลียร์สถานที่และตำรวจจัดการเรื่องคดีคนกระโดดตึก ผ่านไปสักหนึ่งวันเสียก่อน

“แถวนี้หารถเมล์กับแท็กซี่ยากจริง ๆ ด้วย ไม่เห็นเหมือนเมืองไทยเลย” หญิงสาวพึมพำ

“แล้วคุณเน่ย์พักที่ไหนละครับ ถ้าคุณฌาน...” เขาเว้นช่วงนิด และพูดต่อเมื่อนึกขึ้นได้ “อ้อ...ผู้ชายคนเมื่อกี้เป็นเจ้านายผมเองครับ ชื่อการิม แต่ผมเรียกว่าฌาน ถ้ายังไงเจ้านายผมเสร็จธุระแบบไม่มีปัญหาอะไรเพิ่มเติม ผมคงจะไปส่งคุณได้เลย”

“พักที่โรงแรมในเมืองค่ะ” เธอหันมามองคู่สนทนาอย่างตั้งใจ “ถามทีเถอะค่ะ ธุระสำคัญมากแบบไหนกันคะ ธุรกิจระดับประเทศเหรอ...เจ้านายของคุณถึงได้ไม่มีเวลาแม้จะไม่ส่งฉันก่อน”

“มันเป็นเรื่องที่วัดกันถึงอนาคตของครอบครัวครับ” ตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะเบิกตาโต มองเนรัญที่นั่งตรงกันข้าม เพราะจู่ ๆ เธอก็ลุกพรวดหันหลังขวับไปมองยังรถยนต์คันของพวกเขาที่จอดอยู่ริมถนน “มีอะไรหรือครับ ?” เขาถามงง ๆ

“ไม่แน่ใจค่ะ เหมือนเห็นอะไร” คำตอบของเนรัญยิ่งทำให้มาร์คแปลกใจ เธอจะเห็นอะไรได้ยังไง ก็ในเมื่อเธอนั่งหันหลังให้กับรถ เขาต่างหากที่ต้องเห็นเพราะว่านั่งหันหน้าไปทางนั้น ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เพียงแค่ติดใจกับกิริยาของสาวไทยตัวเล็กหน้าสวยคนนี้เท่านั้น

เหมือนว่าเนรัญก็ไม่ต่างกัน เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองจะมีสัมผัสแปลก ๆ แต่คงไม่หรอก...บางทีอาจเป็นเพราะนอนไม่พอ กินไม่อิ่มเลยฟุ้งซ่านกระมัง หญิงสาวปลอบใจตัวเอง

และ...เพียงแค่สิบห้านาทีต่อมาสำหรับการรอคอย คนสนิทก็เห็นเจ้านายเดินจ้ำพรวด ๆ ออกมาจากร้าน ไม่ต้องเดาก็พอรู้คำตอบดี ว่าการเข้าไปเจรจาบางอย่างไม่เป็นผลสำเร็จ มาร์คสะกิดเนรัญให้ลุกตาม แล้วสาวเท้ายาวให้ทันคนตัวสูงที่หน้าบอกบุญไม่รับ

“คุณฌาน คำตอบออกมาเหมือนเดิมซินะครับ” ลูกน้องซึ่งเดินไปเคียงคู่ทัน ถามขึ้นโดยที่เจ้านายไม่มีทีท่าจะชะลอฝีเท้า

“ใช่น่ะซิ แจนปฏิเสธการขอแต่งงานของเราเป็นครั้งที่สองแล้ว แต่ครั้งนี้มันทำให้เรารู้สึกแย่มาก เพราะอะไรรู้ไหมมาร์ค” การิมสีหน้าเคร่งเครียด เส้นเอ็นปูดโปนเพราะความโกรธหรือไม่ก็แย่มากจริง ๆ อย่างเขาบอก มือใหญ่กระชากประตูรถยนต์คันหรูเปิดเต็มแรง ดึงค้างไว้ก่อนพูดต่อโดยที่คนสนิทไม่ต้องอ้าปากถาม “เพราะว่าแจนมีคู่หมั้นแล้ว ที่เธอกล้าปฏิเสธแต่งงานกับเรา ก็เพราะมีไอ้คู่หมั้นคนไทยหน้าเข้มอยู่แล้ว คงกลัวเราไม่เชื่อที่เธอพูดละมั้ง วันนี้เลยลากไอ้หมอนั่นมาเปิดตัวด้วยซะเลย สะใจชะมัด” ท้ายประโยคราวเยาะหยันตัวเอง แล้วเข้าไปกระแทกตูดนั่งในรถ พร้อมปิดประตูตามหลังดังโครมใหญ่

มาร์คยืนส่ายหน้าละเหี่ย มองเจ้านายที่คงกำลังพยายามสงบสติอารมณ์อยู่ นึกไปแล้วการิมก็น่าสงสารไม่น้อย ผู้ชายสมบูรณ์แบบที่แค่กระดิกนิ้วเบา ๆ สาว ๆ ก็พร้อมใจจะพากันคลานเข้ามาพลีกายให้ กลับไปแอบหลงใหลแม่พยาบาลสาวสวยคนไทยในตาคม ใช้เวลาตามตื้อจีบหล่อนอยู่เป็นปี สรุปที่คิดว่าจีบติดกลายเป็นคิดผิดไปฝ่ายเดียว

ลูกน้องถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนหันมองหาคนตัวเล็กที่เดินตามติดมาเมื่อครู่ ทว่ากลับเห็นเนรัญยืนนิ่งมองหนุ่มสาวคู่หนึ่งซึ่งกำลังออกมาจากร้านอาหาร และเดินตรงไปยังรถของพวกเขา เสี้ยวนาทีต่อมามาร์คก็ถึงกับตะลึง ยามที่เจ้าหล่อนตะโกนพร้อมกับที่วิ่งตามคนทั้งสองนั้นไป

ชายหนุ่มเคาะกระจกหน้าต่างรถด้านที่คนเป็นนายนั่งอยู่รัวเร็ว พอเจ้านายลดกระจกลง มาร์คก็รีบละล่ำละลักคำ

“คุณฌานครับ ผู้หญิงกับผู้ชายที่เด็กสาวไทยคนนั้นวิ่งตามใช่คุณแจนกับคู่หมั้นของเธอหรือเปล่า”

การิมชะโงกหน้าออกมาจากรถมองตาม แวบแรกที่เห็นคำตอบบอกว่าใช่ ผู้หญิงคนนั้นคือคนที่พึ่งทำเขาอับอายมาหยก ๆ และไอ้ล่ำนั่นก็ใช่คู่หมั้นของเธอแน่นอน แต่ว่าที่ไม่รู้คือเหตุใดยายเปี๊ยกตัวเล็กถึงได้วิ่งกระเตง ๆ ตามพวกนั้นไป

“ยายเด็กนั่น รู้จักสองคนนั้นเหรอ ?” เจ้านายถามพลางเปิดประตูรถออก ประสานตากับลูกน้องรู้ใจเพียงหางตา ก็สาวเท้ายาวแกมวิ่งไปรั้งร่างเนรัญไว้

ร่างบอบบางที่จู่ ๆ ถูกขืนให้หยุดด้วยสองแขนแกร่ง สะบัดตัวดิ้นแรง หันมาตวาดใส่การิมเสียงเขียว “คุณจะมาดึงฉันไว้ทำไม ปล่อยนะฉันจะไปตามพี่ตั้งกลับบ้าน” แว้ดเสียงแหลม ก่อนจะหันกลับไปตะโกนเรียกชื่อคนที่เดินไปขึ้นรถ และเหมือนฝ่ายนั้นจะไม่ได้ยินเสียงเรียกของเธอเลยแม้แต่น้อย “พี่ตั้ง พี่ตั้ง รอเน่ย์ก่อน เน่ย์อยู่นี่”

“รู้จักไอ้ผู้ชายไทยคนนั้นเหรอ” การิมถามเสียงเข้ม มือก็ยังดึงร่างเล็กที่ยันเท้าดิ้นขลุก ๆ

“รู้จักซิ รู้จักดีซะด้วย คุณปล่อยฉันได้แล้ว พี่ตั้งกำลังจะไปแล้วนั่น คุณไม่เห็นเหรอ ถ้าฉันตามเขาไม่ทันฉันจะฆ่าคุณซะ” เธอแกะมือเหนียว ๆ ที่จับติดหนึบบนต้นแขนทั้งสองข้างออก หวังให้วิ่งไปทันรถของพี่ชายที่กำลังแล่นไป แต่เหมือนหนทางจะดับวูบ เพราะตอนนี้รถคันของกันกริชกับจาริณรัตน์ไปไกลเกินเธอจะวิ่งตามไหว “อีตาลุงบ้า คุณมาจับตัวฉันไว้ทำไม ดูซิยายจานั่นพาพี่ตั้งหนีไปจนได้ เพราะคุณคนเดียวเลย ต้องรับผิดชอบเลยนะที่ทำให้ฉันตามพี่ชายไม่ทัน” ระดมทุ่มหมัดเล็กด้วยความโกรธทั้งหมดลงบนกลางลำตัวใหญ่ หญิงสาวกัดฟันแน่นถลึงตาโตวาวราวจะฆ่าคนตรงหน้าเสียให้ได้ ข้อหาที่มาทำให้เธอพลาดโอกาสสำคัญ

ชายหนุ่มนิ่วหน้า ก่อนย้ำคำ “พี่ชาย ! นี่แม่หนูน้อยตะกี้พูดว่าอะไรนะ ? คุณบอกว่าไอ้หน้าเข้ม คิ้วหนา หุ่นล่ำนั่น เป็นพี่ชายของคุณอย่างนั้นใช่ไหม”

“ก็ใช่นะซิ” เนรัญเชิดคางสะบัดเสียงตอบ หงุดหงิดเหลือเกินและไม่มีอะไรจะน่าโมโหเท่ากับการเห็นหน้าอีลุงบ้านี่อีกแล้วใช้ตาย เธอมองเขาตาเขียวปัด แต่กลับได้รับรอยยิ้มเหยียด ๆ เจ้าเล่ห์ตอบกลับ

“ดีเลย ถ้าคุณเป็นน้องสาวไอ้หมอนั่นจริง ๆ เราคงต้องมีเรื่องคุยกันยาว” พูดจบมือใหญ่ก็ลากให้คนตัวเล็กเดินถูลู่ถูกังตามไปยังรถของตน แม้หญิงสาวจะโวยวาย ขืนตัวดิ้นรนไม่ยอมตามไปง่าย ๆ แต่ก็ใช่ว่าจะต้านแรงไหว

“คุณฌานต้องถึงกับลากกันอย่างนี้เลยรึครับ” มาร์คท้วงขึ้นทันทีที่เห็นเจ้านายคล้ายจะทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ

“ไม่ต้องถามหรอก นายรีบเปิดประตูรถให้เราเร็ว ๆ” การิมสั่งเสียงดุ คนสนิทรีบเปิดประตูรถให้งง ๆ มองดูคนเป็นนายที่ยัดร่างเล็กเข้าไปนั่งด้านในรถ ก่อนที่จะพาตัวเองตามเข้าไปประกบไม่ห่าง พร้อมตะโกนออกคำสั่งเสียงดังอีกระลอก ยามเห็นว่าลูกน้องมัวแต่ชักช้าใจเย็น “ยืนงงอะไรละมาร์ค นายก็รีบมาขับรถซิ เดี๋ยวแม่ตัวประกันคนนี้ก็หนีไปได้พอดี”

“ตัวประกัน ? ” คนที่เข้ามาประจำในตำแหน่งคนขับขมวดคิ้ว มองผ่านกระจกส่องหลังก็เห็นเนรัญถูกล็อกตัวแน่นอยู่ในวงแขนใหญ่ทั้งสองของเจ้านายตัวเอง แบบชนิดที่ไม่มีทางหลุดออกได้เลย “คุณฌานหมายถึงอะไรกันแน่ครับ ใครคือตัวประกันของใคร”

“ก็แม่หนูน้อยคนนี้ไง ต่อไปเธอจะมาเป็นตัวประกันของเรา...”

“คุณพูดเรื่องบ้าอะไร ใครเป็นตัวประกันของคุณกัน !” คนที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนใหญ่จนหอบ หากก็พอมีแรงตวาดเสียงสูง “ปล่อยนะ ปล่อยซิ บอกให้ปล่อยตัวฉัน...”

การิมช้อนคางมนให้เงยค้าง ประสานตาสีเทากับนัยน์ตากลมที่เริ่มแดงด้วยความกรุ่นโกรธ “ฟังนะแม่หนูน้อย พี่ชายของคุณเป็นคนที่ทำให้ผมถูกแจนปฏิเสธการขอแต่งงาน...”

“พี่ตั้งไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องของพวกคุณด้วย แล้วยายแจนอะไรที่ไหนฉันไม่รู้จัก” คนที่ถูกล็อกคางแน่น ยื่นปากสบตาท้าทายอย่างไม่ได้เกรงกลัว

“ก็คนที่คุณวิ่งตามไปเมื่อกี้ไง หญิงชายสองคนนั่น คุณบอกเองว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นเป็นพี่ชายของคุณ” เนรัญนิ่งคิดตามไปชั่วขณะ ที่แท้คู่หมั้นของกันกริชก็เป็นผู้หญิงเก่าของไอ้ตาลุงหน้ายาวมาก่อนนี่เอง

“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง แต่ว่ามันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันนี่ คุณอยากได้ยายจาคืนก็ไปตามแย่งคืนมาจากพี่ชายของฉันเองซิ หรือว่าไม่มีฝีมือ” เธอแสยะยิ้มเยาะเล็ก ๆ

การิมกัดกรามแน่น ขยับหน้าใกล้หญิงสาวจนเกือบชิด ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายเผยยิ้มมีเล่ห์ออกมาบ้าง

“ฝืมืออาจสู้พี่ชายคุณไม่ได้ แต่ฝีปากใครได้ชิมไม่รู้ลืมเลยละคุณ...จะบอกให้” ชายหนุ่มไม่ได้ทำให้คนฟังหน้าเหวอรอนาน ไวเท่าความคิดริมฝีปากหนาก็โฉบลงประกบเรียวปากบางเร็วพลัน ใช้ความชำนาญจู่โจมจูบจากมือใหม่ไม่ให้ตั้งตัว เพียงแค่ลิ้นสากได้แตะต้องโพรงปากเล็กเพียงน้อยนิด เขาก็คล้ายจะร้อนวูบทั่วสรรพางค์กาย และ...การิมก็รู้ตัวทันทีว่าเขาพลาดถนัดที่คิดเล่นพิเรนทร์เช่นนี้ ปากนุ่มนิ่มของเธอที่เขาได้สัมผัสดูดดื่มมันให้ความรู้สึกประหลาดกว่าหญิงอื่นที่เคยพบพาน แล้วเคยลิ้มลองมาโดยสิ้นเชิง จูบนี้มันมากกว่าหวานล้ำ เกินคำว่าซาบซ่าน เธอกำลังทำให้เขาร้อนรุ่มกับรสจุมพิตของเด็กน้อย เหมือนกับว่าตอนนี้เขากำลังจะดำดิ่งลงสู่ใต้พื้นทะเลลึกไปพร้อม ๆ กับเธอ ก่อนทุกอย่างเริ่มจะเบาเคว้งล่องลอยขึ้น ลอยสูงขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้ง...

“คุณฌาน ! ” มาร์คอุทานตกใจ ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยให้ตายเถอะ เจ้านายของเขากำลังทำล่วงเกินเด็กสาววัยกระเตาะนะนั่น

เนรัญผลักอกแกร่งออกแรง ๆ พร้อมกับผละตัวห่าง ยกมือแตะเรียวปากตัวเองอย่างแสนเสียดาย นี่มันจูบแรกของเธอ แต่กลับถูกช่วงชิงไปแล้วโดยผู้ชายที่พึ่งเจอหน้า ขณะที่จะอ้าปากต่อว่าด่าทอให้ตาลุงโรคจิตหน้าหล่อ ภาพจากที่ไหนก็ไม่รู้แล่นแวบเข้ามาในห้วงความคิด หญิงสาวหลับตาประมวลภาพราง ๆ นั้นก่อนจะกระจ่างชัดเจนในความมืด เธอว่าเธอเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังทำอะไรสักอย่างกับรถคันนี้ ตอนที่จอดอยู่ตรงริมขอบถนนหน้าร้านอาหารเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา

“รถถูกตัดสายเบรก !” เธออุทาน ลืมตาโพลงมองหน้าการิมสลับกับคนขับ ความกลัวพลุ่งพล่านขึ้นจนตัวสั่น เธอสลัดเรื่องจูบไร้สาระเมื่อวินาทีก่อนทิ้งไปอย่างไม่เหลือคราบ หันมาให้ความเชื่อมั่นกับภาพที่เกิดขึ้นในหัวสมองของเธอว่าเป็นเรื่องจริง “คุณมาร์คลองเหยียบเบรกรถซิคะ ลองตอนนี้เลย” เธอบอกรัวเร็ว

ชายหนุ่มทำตาม แล้วก็ต้องหน้าซีดเผือดเมื่อวินาทีก่อนรู้สึกว่าเบรกยังพอจะใช้ได้อยู่เลย แต่ทว่าตอนนี้เหมือนเขาเหยียบลม “รถเบรกไม่ได้จริง ๆ ด้วยครับคุณฌาน”

การิมที่หลงอยู่ในห้วงรสจูบหมาด ๆ สะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินคนสนิทยืนยันเช่นนั้น เขาหันสบตากับเนรัญอีกครั้งก่อนที่จะประสานเสียงพร้อมกับหญิงสาวราวนัดไว้

“ข้างหน้าเป็นทางชัน !”

แม้ชายหนุ่มนึกเอะใจอยู่บ้างว่าทำไมแม่สาวน้อยต่างชาติถึงได้รู้เส้นทางนี้ดี แต่ใช่เวลานี้จะหาคำตอบ การิมรวบรวมสติซึ่งคงพอ ๆ กับมาร์คในตำแหน่งคนขับ ที่มีสติมากพอจะจับพวงมาลัยรถมั่น

“มาร์คค่อย ๆ ดึงเกียร์ลดต่ำสุด” คนสนิททำตามทันควัน การิมสูดหายในลึกคุมความตื่นเต้น ก่อนพูดต่อในวินาทีติด ๆ กัน “ดึงเบรกมือที่ละนิด ช้า ๆ นะ” รถเริ่มชะลอความเร็วลงหลังจากมาร์คควบคุมสถานการณ์ตามคำเจ้านาย และจากประสบการณ์ทางทฤษฎีที่พอติดตัวมาบ้าง ทุกอย่างเกือบจะดีที่สุดอยู่แล้วหากไม่ติดว่า อีกไม่กี่เมตรข้างหน้าจวนเจียนจะถึงทางชันเต็มที และเหมือนจะมีรถหลายคันที่วิ่งนำอยู่

“ทำยังไงต่อครับคุณฌาน” ลูกน้องหันมองสองข้างทาง เป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้านายก็พยายามดูและคิดวิธีหยุดรถแบบคับขันเช่นกัน ช่วงระยะทางนี้เป็นต้นไม้ใหญ่ตลอดแนว ไม่มีบ้านเรือน...

การิมตัดสินใจอีกครั้งหันมองคนตัวเล็กที่นั่งกัดริมฝีปากเงียบตัวสั่นเทา วินาทีนั้นไม่รู้เพราะว่าสัญชาตญาณของความเป็นลูกผู้ชายที่ต้องปกป้องเพศอ่อนแอกว่าหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ หรือเพราะเกิดสงสารเห็นใจที่เด็กผู้หญิงซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลยจะมาโชคร้ายพร้อมกับเขา ด้วยเหตุนี้การิมจึงรีบกระโจนตัวไปรวบร่างบางให้ซุกอยู่กลางอกกำยำซึ่งคิดว่ามันคงจะคุ้มครองเธอได้ พร้อมกันนั้นก็ใช้ทั้งตัวปกป้องเธอไว้ให้มิดจากอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น พร้อม ๆ กับที่ตะโกนสั่งประโยคสุดท้ายเสียงเฉียบขาด

“หักหลบเข้าข้างทาง ชนต้นไม้ไปเลย !” มาร์คพยายามประคับประคองรถให้วิ่งไปตามซอกและช่องระหว่างต้นไม้เพื่อให้การเสียดสีข้างตัวรถหยุดรถให้ได้นิ่มเต็มความสามารถ

โครม ! เสียงกระแทกชนดังสนั่น เมื่อต้นไม้ใหญ่ข้างหน้าไม่มีทางเลี้ยวหลบได้ทันอีกแล้ว

“มาร์คนายโอเคใช่ไหม ?” เจ้านายเงยหน้าขึ้นถามอย่างเป็นกังวล พอได้ยินเสียงลูกน้องตอบว่าโอเคก็ถอนหายใจโล่งอก แต่ทว่าคนในวงแขนที่เขารวบตัวเธอลงมานั่งกอดกลมอยู่ใต้เบาะรถกลับนิ่งเงียบ “คุณ คุณ ! ยายเปี๊ยกเอ้ยตื่นซิ !” ขอร้องละพระเจ้า ขอเธออย่างเป็นอะไรเลย



กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2555, 18:45:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2555, 18:45:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1404





<< บทนำ   ตอนที่ 2 พระพรหมสีชมพู >>
ปลายสี 10 มิ.ย. 2555, 23:38:55 น.
สนุกค่ะ รอติดตามนะคะ


กันเหงา 11 มิ.ย. 2555, 07:36:41 น.
ขอบคุณนะคะ


เทียนจันทร์ 11 มิ.ย. 2555, 19:09:43 น.
แวะมาเป็นกำลังใจค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account