ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
เรื่องย่อ...
พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
เรื่องย่อ...
พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy
ตอน: เริ่มต้น
ตอนที่ 30
ฉันมองคุณนรินทร์ด้วยความงุนงง ในห้องนอนขณะที่เรากำลังเก็บสัมภาระจะไปภูเก็ตเย็นนี้
“ตกลงเราจะไปกันกี่วันคะ”
คุณนรินทร์ที่กำลังยัดผ้าเช็ดตัวใส่เป้ขนาดกลางเป็นสิ่งสุดท้ายก็ตอบขึ้น
“ห้าวันน่ะ นี่คุณเก็บของเสร็จหรือยัง”
ฉันกวาดตามองสัมภาระของตัวเอง ฉันก็เตรียมของไปสำหรับห้าวันเหมือนกัน แต่ของฉันเป็นกระเป๋าเดินทางขนาดพอดี สองใบ แต่คุณนรินทร์นี่สิ เขาทำกับว่า ไปเช้าเย็นกลับ
“ทำไมคุณเอาของไปน้อยจัง”
เขารูดซิปปิดกระเป๋า ก่อนจะตบมันให้เป็นทรง
“คุณนั่นแหละสิดี จะย้ายบ้านหรือไงกัน ผมไม่ได้บอกเหรอว่าเราจะไปกันแบบลุยๆ ไปรถไฟ กลับรถไฟ อยู่กับโฮมสเตย์”
อ้าวอีตาบ้า จะไปแบบนั้นก็ไม่บอกล่ะ ฉันก็จะได้จัดให้พอดี
“คุณไม่เห็นจะบอกฉันอย่างนั้นเลยนี่!”
เขาทำท่าครุ่นคิด
“อืม…ผมลืมบอกจริงๆ เอาเถอะๆ ขนของลงไปกันได้แล้ว”
เขาเริ่มสะพายเป้ตัวเอง แล้วยกกระเป๋าหนักๆของฉันสองใบ ก่อนจะบ่นอุบ
“แม่คุณ นี่ขนตู้เย็นกับไมโครเวฟไปด้วยหรือไงกัน”
พอลงมาชั้นล่าง ฉันเห็นคุณรันที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนก็กำลังออกจากบ้านพอดี เขาหันมาทักทายเราสองคนอย่างชื่นมื่น
“จะไปกันเย็นนี้เหรอพี่ริน เที่ยวให้สนุกนะ”
“อืม เดี๋ยวซื้อของมาฝาก แกจะไปหาแจ๊กกี้เหรอ”
“ฮะ คุณสิดีครับ ทำใจหน่อยนะ อาจจะเป็นฮันนีมูนที่ไม่เหมือนใคร แต่ก็สไตล์พี่รินเขาแหละ ผมไปละครับ” แล้วคุณรันก็จากไป
คุณพ่อคุณแม่มาส่งเราสองคนที่หน้าบ้านด้วยความเป็นห่วง เพราะมันช่างเป็นฮันนีมูนที่แสนประหลาดเหลือเกิน แต่สำหรับฉันแล้ว มันก็น่าตื่นเต้นไปอีกแบบ นอนโฮมสเตย์ หวาวววววววววววว!!!!
“คิดอะไรแผลงๆตาริน ฮันนีมูนแบบราคาประหยัดเนี่ยนะ” คุณแม่บ่นขณะมายืนส่งเราสองคนขึ้นรถ
คุณพ่อมองไปที่คุณนรินทร์แล้วทำท่าประมาณว่า ‘ไม่ต้องไปฟังแม่แก’
“รีบๆขนของแล้วให้ตาชุ่มไปส่งที่สถานีรถไฟเร็ว ก่อนที่แม่แกจะห้ามไม่ให้ไป”
ตอนนี้ฉันกำลังจะเข้าไปในโบกี้รถไฟกับคุณนรินทร์ เขาดูหงุดหงิดเหลือเกินที่ต้องช่วยแบกสัมภาระหนักๆของฉัน คุณนรินทร์วางกระเป๋าใบหนึ่งของฉันลง ก่อนจะพยายามแบกมันขึ้นไหล่อีกครั้ง
“ไหนบอกผมซิคุณขนอะไรมาบ้าง” เขาถามพลางเหงื่อแตก
ฉันเริ่มหงุดหงิดบ้าง เขาจะรู้ไปทำไมนักหนานะ ฉันก็หนักเหมือนกันแหละน่า
“ก็ของจำเป็นนี่คะ ใครจะรู้ว่าจะไปอยูโฮมสเตย์ ถ้าคุณบอกให้เร็วกว่านี้ ฉันจะได้จัดกระเป๋าให้คล่องตัว”
คุณนรินทร์เดินนำฉันเข้าโบกี้ ก่อนจะเดินดุ่มไปหาที่นั่งที่จองไว้
“ของจำเป็นน่ะ คือแปรงสีฟัน กับผ้าเช็ดตัวผืนเดียวก็พอแล้ว”
บ้าเหรอ ถ้าอย่างนั้นแน่จริงเขาก็ไม่ต้องเอากระเป๋ามาสิ หยิบผ้าเช็ดตัวคลุมไหล่ผืนหนึ่ง ปากคาบแปรงสีฟันอีกแท่ง ก็จบ
“ถึงแล้วที่ของเรา” เขาพูดด้วยความดีใจ แล้วรีบปลดกระเป๋าออกจากบ่า
ที่นั่งเป็นเบาะสองฟากหันหน้าชนกัน อยู่เป็นล็อกๆ ไปตลอดโบกี้ ผนังข้างที่นั่งแต่ละล็อกมีหน้าต่างรถไฟ สามารถนั่งชมวิวเคลื่อนที่ได้ตลอดการเดินทาง แถมที่นั่งนี้ พอพลบค่ำ พนักงานรถไฟจะมาแปลงโฉมให้กลายเป็นเตียงสองชั้นได้อย่างน่าทึ่ง ฉันจะหลอกล่อให้คุณนรินทร์ไปนอนเตียงบน ตัวฉันเองจะได้ลัลล้ากับกับวิวข้างหน้าต่างของเตียงล่าง
เมื่อจัดแจงวางของให้พอเหมาะกับที่นั่งแล้ว คุณนรินทร์ก็เอนตัวพิงพนัก พร้อมหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ขึ้นมาอ่าน ฉันเอาอย่างเขาบ้างแต่พอค้นของในกระเป๋าแล้วกลับไม่พบหนังสือสักเล่ม เมื่อไม่มีอะไรจะทำ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือนั่งมองวิวข้างหน้าต่างรถไฟ ฉากของตึกในตัวเมืองเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เริ่มเห็นบ้านเรือน ต้นไม้ และทุ่งหญ้ามากขึ้น แสงของพระอาทิตย์ค่อยๆจางลง จนในที่สุดเริ่มมืดมิดเมื่อแสงสุดท้ายของวันลับขอบฟ้าไป
ฉันละสายตาจากหน้าต่าง แล้วห่อตัวเล็กน้อยเพราะเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมา พอหันไปมองคุณนรินทร์ ฉันก็ได้เห็นว่าเขาก็มองฉันอยู่เหมือนกัน แต่ก็ได้รีบเบนหน้าไปทางอื่น อะไรของเขา หน้าฉันมีคราบน้ำลายหรือไงกัน
เขาปาดหางตามามองฉันอีกที ก่อนจะหันหน้าตรงๆมาเผชิญกัน แล้วถอดเสื้อคลุมที่ใส่อยู่ก่อนจะยื่นให้ฉัน
“ใส่เสียสิ ผมเห็นคุณหนาว”
ฉันลุกขึ้น บิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะหาวออกมา
“ขอบคุณค่ะ แต่ขอฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ อ้อ! ถ้าพนักงานมาทำเตียงล่ะก็ ขอฉันนอนล่างนะคะ” ฉันพูดพลางมองพนักงานรถไฟที่กำลังปูเตียงให้ผู้โดยสารคนอื่น
เขาพยักหน้ารับอย่างง่ายดาย ฉันจึงผละออกมาเข้าห้องน้ำ
ฉันปลดทุกข์และล้างหน้าล้างตาสองสามนาทีก็เดินกลับมาที่เดิม เห็นเตียงปูสองชั้นเสร็จสรรพ เมื่อมองไปที่ชั้นบนก็เห็นว่ามีผ้าม่านปิดไว้มิดชิด คุณนรินทร์คงขึ้นไปอยู่แล้ว
ไม่รอช้า ฉันรีบแหวกม่านเตียงชั้นล่างแล้วแทรกตัวเข้าไปทันที ก่อนหย่อนตัวลงนอนด้วยความสบายสุดขีด
“นี่คุณ! ผมนอนอยู่ไม่เห็นหรือไง!”
เสียงห้าวๆที่ฉันพึ่งรู้สึกได้ว่านอนทับอยู่ก็ดังขึ้นชัดเจน
“ว้าย!!!! แล้วคุณเข้ามานอนได้ไง ฉันบอกแล้วนี่ว่าจะนอนล่าง” ฉันโวยวาย
เขาเบียดตัวถอยห่างฉันนิดหนึ่ง แต่ยังคงนอนกอดผ้าห่มหดตัวเหมือนกุ้ง
“ผมก็ให้คุณนอนอยู่นี่ไง เพราะผมก็จะนอนล่างเหมือนกัน”
ฉันจ้องเขาเนิ่นนาน ไม่รู้จะเถียงอะไร คนดื้อและอวดดีอย่างเขายังไงก็ไม่ยอมลุกไปอยู่ชั้นบนเป็นแน่
“โอเคค่ะ คุณไม่ไป ฉันไปเองก็ได้” ฉันแหวกม่านและดันตัวเองออกมา
เขาหาวเสียงดังก่อนจะพูดเสียงต่ำ เป็นเชิงว่าฉันไม่ต้องฟังก็ได้
“ข้างบนน่ะของเต็ม แถมหนาวอีก ผ้าห่มนี่ก็ไม่ช่วยอะไรเลย”
จะพูดอะไรก็พูดเถอะ ฉันไม่สนใจร้อก แล้วฉันก็ลุกออกมาอยู่นอกเตียงได้อย่างสมบูรณ์
“อย่างกับเราไม่เคยนอนด้วยกัน หรือคุณกลัวจะเผลอใจให้ผมหรือไงกัน”
คราวนี้เขาพูดเสียงดังอย่างตั้งใจ โชคดีที่ผู้โดยสารคนอื่นเข้าไปอยู่ในเตียงของตัวเองหมดแล้ว ฉันจึงไม่ถูกรุมมองเป็นตาเดียว
กลัวเผลอใจให้เขาอย่างนั้นเหรอ???
เขาผิดถนัด ฉันไม่ได้กลัวเลย เพราะฉันได้เผลอใจให้เขาไปแล้วจริงๆ
นั่นสิ ในเมื่อฉันไม่กลัว แล้วฉันจะหนีเขาทำไม
‘ถ้าไม่ปิดตัวเอง สักวันก็จะได้รู้ว่าเขาคิดยังไง’ คำพูดของแม่เมื่อไม่นานมานี้ดังชัดเจนอยู่ในหัว
ฉันเข้าใจแล้ว ฉันควรจะบอกความรู้สึกตัวเองให้เขารู้บ้างใช่ไหม บางที…ทะเบียนสมรส จะได้เป็นทะเบียนสมรสต่อไป…
ฉันลังเลอยู่พักหนึ่ง ฉันรักเขาก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้เขาแตะต้องตัวฉันอย่างไรก็ได้หรอกนะ แต่จะว่าไป…ฉันเชื่อว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษพอ และฉัน…ก็อยากอยู่ใกล้เขาจริงๆ
ทำตามใจตัวเองบ้างจะเป็นไรไป
ฉันแหวกม่านอีกครั้ง และค่อยๆแทรกตัวเข้าไปบนที่ว่างของเตียง ฉันสบสายตาที่บ่งบอกถึงความประหลาดใจของเขา คุณนรินทร์พยุงตัวขึ้นแล้วเขยิบตัวเองชิดฝาผนังด้านตรงข้ามฉัน
ฉันจะเริ่มละนะ…ฉันจะเริ่มปฏิบัติการรักล่ะนะ!!!!!
แล้วฉันก็ส่งยิ้มที่คิดว่าอ่อนโยนที่สุดไปให้
“เอ่อ…” ฉันเริ่มคิดว่าจะพูดอะไรดีให้เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของฉัน ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจพูดออกไป
“….แต่ฉันนอนกรนนะคะ”
ให้ตายสิ!!!! มันสื่อถึงความรู้สึกตัวเองตรงไหนเหรอ
เขาหัวเราะเบาๆ
“แน่นอนผมรู้ แล้วผมก็รู้ด้วยว่าถ้าพูดอย่างนั้น คนที่ชอบเอาชนะอย่างคุณจะต้องกลับเข้ามา” เขาเอื้อมไปหยิบผ้าห่มที่ปลายเท้าแล้วส่งให้ฉัน ก่อนจะหันไปตบหมอนตัวเองแล้วเอนตัวลงนอนอีกครั้ง
เขานี่ช่าง…ซื่อบื้อชะมัดยาด
“ห่มผ้าให้หน่อยสิจ๊ะที่รัก” เขาพูดทะเล้นอย่างที่ชอบทำ ก่อนจะยักคิ้วท้าทาย
ฉันคลี่ผ้าห่มอย่างเซ็งๆ แล้วตวัดมันไปบนตัวเขา
คุณนรินทร์ดึงผ้าปิดมิดถึงคอ ก่อนจะมองฉันด้วยความสงสัยบางอย่าง
“ทำไมคุณยอมทำง่ายดายจัง ปกติต้องเถียงกันไม่จบ”
ใช่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงไม่มีทางทำ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
“ค่ะ…แล้วที่ฉันกลับเข้ามานอน ไม่ใช่เพราะอยากเอาชนะอย่างที่คุณคิดหรอก”
ประกายบางอย่างในแววตาของเขาฉายขึ้น แต่ฉันไม่ได้สนใจมากนัก ก่อนจะหันไปจัดหมอนของตัวเองแล้วล้มตัวลองนอนห่างจากเขาเพียงไม่กี่นิ้ว
“ฝันดีนะคะ”
แล้วฉันก็หลับตาลง ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ถึงแม้เขาจะยังซื่อบื้อ ถึงแม้เขาอาจจะไม่รักฉัน แต่สำหรับฉันแล้ว การที่ได้ส่งความรู้สึกดีดีให้คนที่เรารักบ้าง ช่างมีความสุขเสียจริง
“ครับ ฝันดี” เขาพูดเสียงแผ่วเบาตอบกลับมา
“นี่คุณ!”
ใครพูดอะไรเนี่ย เสียงดังจริง คนกำลังจะหลับจะนอน ฉันพลิกตัวคว่ำหน้า แล้วเอาหมอนปิดทับอีกที
“สิดี!”
คราวนี้ฉันได้ยินชื่อตัวเองชัดเต็มสองรูหู
ฉันลุกพรวดแล้วชนเข้ากับบางอย่าง
“โอ๊ย! นี่ถึงกับต้องทำร้ายกันเลยเหรอ”
ฉันลืมตาสะลึมสะลือแล้วก็ได้เห็นคุณนรินทร์เลือดกลบปาก
เอ่อ…อาจจะเกินจริง แต่ก็มีเลือดออกจากปากเขาละ
“ว้าย!นี่คุณไปฟัดกับหมาที่ไหนมาเหรอคะ!!!!”
เขาทำหน้าโมโหสุดขีด
“ไม่มีหมาที่ไหนหรอกนะ มีแต่คุณที่กรนดังจนผมหลับไม่ได้ แถมยังแย่งผ้าห่มไปจนหมดอีก แล้วยังลุกพรวดพราดมาชนผม…เจ็บชะมัด”
โอย…ฉันทำทุกอย่างที่เขากล่าวหาเลยเหรอ
“ขอโทษด้วยนะคะ” ฉันค้นหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าสะพายข้างที่วางอยู่ไม่ไกล
ฉันกำลังจะเอาผ้าเช็ดหน้าซับเลือดให้ แต่เขาเอนตัวหนี
“คุณจะทำอะไร”
“ก็เช็ดเลือดให้คุณไง อยู่นิ่งๆสิ”
คุณนรินทร์ยอมแต่โดยดี ฉันรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองฉันด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“คุณทำเอาผมหายง่วงไปเลย ให้ตายสิ” เขายังคงบ่นต่อ ฉันหรี่ตามองนาฬิกาข้อมือด้วยแสงสลัวๆ แล้วก็ได้เห็นว่าเป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว
ฉันก็หายง่วงเหมือนกัน กะอีแค่ผ้าห่ม เขาจะดึงมันออกไปดีดีไม่ได้เลยหรือ บ้าชะมัด!
ฮ้า!!! ฉันคิดอะไรออกแล้ว ปฏิบัติการรักของฉันน่ะสิ เอ…ฉันชักจะเปิดใจมากไปไหมนี่
“งั้นเรามานั่งคุยกันดีไหมคะ” ฉันถามหยั่งเชิง
“เอาสิ ผมคงนอนต่อไม่ได้แล้ว” แล้วเขาก็จัดหมอนสำหรับนั่งพิงอย่างสบายตัว
“จริงๆแล้ว เราเคยคุยแบบไม่กัดกันสักครั้งนี่มีบ้างไหมนะ” เขาพูดขึ้น
ช่างเป็นคำถามที่ดีจริงๆ นั่นเพราะเมื่อก่อนฉันเอาแต่ไม่ซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง แต่จากนี้ไป ฉันจะไม่กวนโมโหใส่เขาอีกแล้ว และเมื่อไรที่เขายียวนกลับมา ฉันจะเป็นคนใจเย็นเอง
ฉันเอนตัวพิงหมอนข้างๆเขา
“ครั้งนี้ครั้งแรกมั้งคะ” ฉันพูดขำๆ
เขาหัวเราะเบาๆ
“ผมมาเที่ยวแบบนี้ไม่บ่อยนักหรอก แต่เวลามีโอกาสก็มักจะมาแบบ bagpack นี่แหละ ได้รสชาติดี สมัยที่รันยังไม่ไปเมืองนอก เราสองคนก็มักจะมาด้วยกัน”
“ดีจังนะคะ ฉันเป็นลูกคนเดียว เมื่อก่อนก็เล่นกับพ่อ พอพ่อเสีย ฉันก็เล่นคนเดียวมาตลอด ฉันถึงติดบ้านมากกว่าที่ไหนในโลก เพราะมีทั้งของกิน ทีวี หนังสือ ที่สำคัญ…มีแม่”
“ที่คุณต้องจากมาอย่างนี้ คงไม่มีความสุขเท่าไรสินะ” เขาพูดเสียงแข็งๆ
จะเริ่มทะเลาะหรือไงกัน
“ไม่เลยค่ะ ฉันมีความสุขดี” ฉันตอบเสียงหนักแน่น
เขาเงียบ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“จะเป็นยังไงต่อไป ถ้าผมกล่อมรันไม่ได้ คุณอาจจะต้องติดแหง็กอยู่กับผมตลอดไปก็ได้นะ คราวนี้คงได้ร้องไห้ขี้มูกโป่งคิดถึงแม่แน่ๆ”
ฉันเงียบบ้าง จะให้ตอบว่าอะไรล่ะ ถ้าตอบตามหัวใจตัวเอง มันคงเร็วเกินไป แต่ถ้าพูดตรงข้ามกับความรู้สึก ฉันว่าเราคงต้องทะเลาะกันอีก
“แต่ถ้าคุณรันไม่แต่งงาน ก็มีค่าเท่ากันสิคะ” ฉันถามเบี่ยงประเด็น
“ฮึ หมอนั่นมีออกเยอะแยะ แต่ยังไม่จริงจังเท่านั้น”
“แล้วถ้าคุณรันไม่จริงจังกับใครเลยล่ะ” ฉันถามต่อ ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองต่างหากที่จะจนมุม
คุณนรินทร์หันมามองฉันผ่านแสงไฟจากภายนอกยามค่ำคืน
“ผมว่า คุณต่างหากนะที่ต้องตอบคำถามนี้”
แต่แล้วแสงไฟก็มืดลง เขาคงไม่สามารถเห็นได้ว่า ใบหน้าของฉันเปี่ยมไปด้วยความหมายเพียงไร สายตาของฉัน พยายามมองค้นหาบางอย่างในแววตาของเขาผ่านความมืดมิด
ฉันหาอะไรในดวงตาเขาน่ะเหรอ…หาว่าฉันมีความหมายต่อเขาบ้างหรือเปล่าน่ะสิ
“คุณต่างหากล่ะคะ ที่ต้องตอบ” ฉันย้อนกลับ
มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้าฉันมัวแต่พูดไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนี้ ฉันก็คงไม่สามารถเข้าไปถึงจิตใจของเขาได้ หรือฉันควรจะบอกความรู้สึกของตัวเองออกมาให้หมดเปลือกเลยหรือไง
“คุณอยากจะฟังตอนนี้เลยไหมล่ะ” เขาพูดเสียงทีเล่นทีจริง
ฉันเม้มปาก กลัวที่สุดถ้าเขาจะพูดอะไรออกมา แต่ความกล้าหาญในใจกลับประกาศกร้าว
“ก็ได้ค่ะ”
แต่คุณนรินทร์กลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ เขาเลื่อนตัวลงราบกับเบาะเหมือนพร้อมจะนอนอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ฉันก็รู้สึกได้ถึงมือที่โอบล้อมตัวฉันไว้ ความตกใจทำเอาฉันคิดอะไรไม่ออก รู้ตัวอีกที ก็ถูกแขนแข็งแรงคู่นั้นดึงเข้าไปประชิดตัวแล้ว
คุณนรินทร์ใช้แขนทั้งสองกระหวัดรอบเอวฉัน ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปกดศีรษะของฉันให้แนบแผ่นอกของเขา
ฉันสูดกลิ่นตัวเขาเข้าเต็มๆ เหมือนมีมนต์สะกด ฉันยอมให้เขากอดฉันไว้เนิ่นนาน ความหนาวจากเครื่องปรับอากาศในรถไฟมลายหายไป ตอนนี้ฉันรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน
แต่……
“กรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ฉันร้องสุดเสียงเมื่อสติกลับคืนมา ก่อนจะผลักเขาอย่างแรง แล้วดันตัวออกห่าง
“คุณทำบ้าอะ….”
ยังโวยวายไม่จบเขาก็เอาฝ่ามือใหญ่ๆมาปิดปาก
“คุณจะบ้าเหรอ นี่เขาหลับกันทั้งโบกี้นะ”
ฉันพยายามดิ้นพรวดพราว พร้อมส่งปลายลิ้นเลียมือเขายกใหญ่
โว้ย…เค็มชะมัด
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
พนักงานดูแลรถไฟส่งไฟฉายแว่บๆผ่านม่านเข้ามา
คุณนรินทร์ยังปิดปากฉันอยู่
“เอ่อ…ภรรยาผมฝันร้ายน่ะครับ” เขาพูดทั้งๆที่กำลังต่อสู้กับฉัน
“อ้อครับ” แล้วพนักงานดูแลรถไฟก็จากไป
เขาหันมาถลึงตาใสฉัน
“คุณต้องสัญญาว่าจะไม่ส่งเสียงถ้าผมปล่อยมือ”
ฉันรีบพยักหน้าตอบรับ เพราะมือเขารสชาติฝาดเหลือเกิน
คุณนรินทร์ปล่อยมือออก แล้วรีบเช็ดน้ำลายของฉันกับกางเกงตัวเอง
“สกปรกชะมัด” เขาบ่น
แต่ฉันไม่รอช้า พอคว้าหมอนได้ถนัดมือ ก็กระหน่ำฟาดเขาไม่ยั้ง
“คุณมันพวกฉวยโอกาส คุณทำบ้าอะไรหา!!!!!”
ฉันเกรี้ยวกราดแบบเงียบๆ
น่าแปลก เขาปล่อยให้ฉันทุบจนสะใจโดยไม่ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย จนฉันเริ่มเหนื่อย จึงปล่อยหมอนลง แสงไฟจากข้างทางสาดส่องเข้ามาจนเห็นใบหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจปรากฏชัด
ตายล่ะ ปฏิบัติการักของฉันพังไม่มีชิ้นดี ฉนทำอะไรลงป๊ายยยยยย
“คุณไม่มีสิทธิ์โมโหฉันนะคะ คุณเริ่มก่อน” ฉันชิงพูดข่ม
เขาไม่พูดอะไร แค่เริ่มต้นลงนอนอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับหันหลังให้ฉันแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัว
“เอาเถอะ ผมรู้คำตอบของคุณก็แล้วกัน”
นั่นเขาพูดอะไร ฉันไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด แต่เมื่อสักครู่เรายังคุยกันรู้เรื่องอยู่เลยไม่ใช่หรือ ทำไมช่วงเวลาดีดีของเรามันช่างสั้นนัก
ฉันสั่นสะท้านในความมืด รู้สึกง่วงอีกครั้ง และเมื่อมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าตีสองกว่าๆแล้ว ฉันเอนตัวนอนลงบ้าง และหันหลังให้เขาเช่นกัน ฉันดึงผ้าห่มมาจากเขาบางส่วนเพื่อคลุมตัวเอง แต่ก็รู้สึกได้ว่าเขาก็ดึงผ้าห่มกลับไปเช่นกัน
เอาวะ! พรุ่งนี้ค่อยเริ่มปฏิบัติการรักใหม่ก็ได้
ฉันมองคุณนรินทร์ด้วยความงุนงง ในห้องนอนขณะที่เรากำลังเก็บสัมภาระจะไปภูเก็ตเย็นนี้
“ตกลงเราจะไปกันกี่วันคะ”
คุณนรินทร์ที่กำลังยัดผ้าเช็ดตัวใส่เป้ขนาดกลางเป็นสิ่งสุดท้ายก็ตอบขึ้น
“ห้าวันน่ะ นี่คุณเก็บของเสร็จหรือยัง”
ฉันกวาดตามองสัมภาระของตัวเอง ฉันก็เตรียมของไปสำหรับห้าวันเหมือนกัน แต่ของฉันเป็นกระเป๋าเดินทางขนาดพอดี สองใบ แต่คุณนรินทร์นี่สิ เขาทำกับว่า ไปเช้าเย็นกลับ
“ทำไมคุณเอาของไปน้อยจัง”
เขารูดซิปปิดกระเป๋า ก่อนจะตบมันให้เป็นทรง
“คุณนั่นแหละสิดี จะย้ายบ้านหรือไงกัน ผมไม่ได้บอกเหรอว่าเราจะไปกันแบบลุยๆ ไปรถไฟ กลับรถไฟ อยู่กับโฮมสเตย์”
อ้าวอีตาบ้า จะไปแบบนั้นก็ไม่บอกล่ะ ฉันก็จะได้จัดให้พอดี
“คุณไม่เห็นจะบอกฉันอย่างนั้นเลยนี่!”
เขาทำท่าครุ่นคิด
“อืม…ผมลืมบอกจริงๆ เอาเถอะๆ ขนของลงไปกันได้แล้ว”
เขาเริ่มสะพายเป้ตัวเอง แล้วยกกระเป๋าหนักๆของฉันสองใบ ก่อนจะบ่นอุบ
“แม่คุณ นี่ขนตู้เย็นกับไมโครเวฟไปด้วยหรือไงกัน”
พอลงมาชั้นล่าง ฉันเห็นคุณรันที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนก็กำลังออกจากบ้านพอดี เขาหันมาทักทายเราสองคนอย่างชื่นมื่น
“จะไปกันเย็นนี้เหรอพี่ริน เที่ยวให้สนุกนะ”
“อืม เดี๋ยวซื้อของมาฝาก แกจะไปหาแจ๊กกี้เหรอ”
“ฮะ คุณสิดีครับ ทำใจหน่อยนะ อาจจะเป็นฮันนีมูนที่ไม่เหมือนใคร แต่ก็สไตล์พี่รินเขาแหละ ผมไปละครับ” แล้วคุณรันก็จากไป
คุณพ่อคุณแม่มาส่งเราสองคนที่หน้าบ้านด้วยความเป็นห่วง เพราะมันช่างเป็นฮันนีมูนที่แสนประหลาดเหลือเกิน แต่สำหรับฉันแล้ว มันก็น่าตื่นเต้นไปอีกแบบ นอนโฮมสเตย์ หวาวววววววววววว!!!!
“คิดอะไรแผลงๆตาริน ฮันนีมูนแบบราคาประหยัดเนี่ยนะ” คุณแม่บ่นขณะมายืนส่งเราสองคนขึ้นรถ
คุณพ่อมองไปที่คุณนรินทร์แล้วทำท่าประมาณว่า ‘ไม่ต้องไปฟังแม่แก’
“รีบๆขนของแล้วให้ตาชุ่มไปส่งที่สถานีรถไฟเร็ว ก่อนที่แม่แกจะห้ามไม่ให้ไป”
ตอนนี้ฉันกำลังจะเข้าไปในโบกี้รถไฟกับคุณนรินทร์ เขาดูหงุดหงิดเหลือเกินที่ต้องช่วยแบกสัมภาระหนักๆของฉัน คุณนรินทร์วางกระเป๋าใบหนึ่งของฉันลง ก่อนจะพยายามแบกมันขึ้นไหล่อีกครั้ง
“ไหนบอกผมซิคุณขนอะไรมาบ้าง” เขาถามพลางเหงื่อแตก
ฉันเริ่มหงุดหงิดบ้าง เขาจะรู้ไปทำไมนักหนานะ ฉันก็หนักเหมือนกันแหละน่า
“ก็ของจำเป็นนี่คะ ใครจะรู้ว่าจะไปอยูโฮมสเตย์ ถ้าคุณบอกให้เร็วกว่านี้ ฉันจะได้จัดกระเป๋าให้คล่องตัว”
คุณนรินทร์เดินนำฉันเข้าโบกี้ ก่อนจะเดินดุ่มไปหาที่นั่งที่จองไว้
“ของจำเป็นน่ะ คือแปรงสีฟัน กับผ้าเช็ดตัวผืนเดียวก็พอแล้ว”
บ้าเหรอ ถ้าอย่างนั้นแน่จริงเขาก็ไม่ต้องเอากระเป๋ามาสิ หยิบผ้าเช็ดตัวคลุมไหล่ผืนหนึ่ง ปากคาบแปรงสีฟันอีกแท่ง ก็จบ
“ถึงแล้วที่ของเรา” เขาพูดด้วยความดีใจ แล้วรีบปลดกระเป๋าออกจากบ่า
ที่นั่งเป็นเบาะสองฟากหันหน้าชนกัน อยู่เป็นล็อกๆ ไปตลอดโบกี้ ผนังข้างที่นั่งแต่ละล็อกมีหน้าต่างรถไฟ สามารถนั่งชมวิวเคลื่อนที่ได้ตลอดการเดินทาง แถมที่นั่งนี้ พอพลบค่ำ พนักงานรถไฟจะมาแปลงโฉมให้กลายเป็นเตียงสองชั้นได้อย่างน่าทึ่ง ฉันจะหลอกล่อให้คุณนรินทร์ไปนอนเตียงบน ตัวฉันเองจะได้ลัลล้ากับกับวิวข้างหน้าต่างของเตียงล่าง
เมื่อจัดแจงวางของให้พอเหมาะกับที่นั่งแล้ว คุณนรินทร์ก็เอนตัวพิงพนัก พร้อมหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ขึ้นมาอ่าน ฉันเอาอย่างเขาบ้างแต่พอค้นของในกระเป๋าแล้วกลับไม่พบหนังสือสักเล่ม เมื่อไม่มีอะไรจะทำ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือนั่งมองวิวข้างหน้าต่างรถไฟ ฉากของตึกในตัวเมืองเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เริ่มเห็นบ้านเรือน ต้นไม้ และทุ่งหญ้ามากขึ้น แสงของพระอาทิตย์ค่อยๆจางลง จนในที่สุดเริ่มมืดมิดเมื่อแสงสุดท้ายของวันลับขอบฟ้าไป
ฉันละสายตาจากหน้าต่าง แล้วห่อตัวเล็กน้อยเพราะเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมา พอหันไปมองคุณนรินทร์ ฉันก็ได้เห็นว่าเขาก็มองฉันอยู่เหมือนกัน แต่ก็ได้รีบเบนหน้าไปทางอื่น อะไรของเขา หน้าฉันมีคราบน้ำลายหรือไงกัน
เขาปาดหางตามามองฉันอีกที ก่อนจะหันหน้าตรงๆมาเผชิญกัน แล้วถอดเสื้อคลุมที่ใส่อยู่ก่อนจะยื่นให้ฉัน
“ใส่เสียสิ ผมเห็นคุณหนาว”
ฉันลุกขึ้น บิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนจะหาวออกมา
“ขอบคุณค่ะ แต่ขอฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ อ้อ! ถ้าพนักงานมาทำเตียงล่ะก็ ขอฉันนอนล่างนะคะ” ฉันพูดพลางมองพนักงานรถไฟที่กำลังปูเตียงให้ผู้โดยสารคนอื่น
เขาพยักหน้ารับอย่างง่ายดาย ฉันจึงผละออกมาเข้าห้องน้ำ
ฉันปลดทุกข์และล้างหน้าล้างตาสองสามนาทีก็เดินกลับมาที่เดิม เห็นเตียงปูสองชั้นเสร็จสรรพ เมื่อมองไปที่ชั้นบนก็เห็นว่ามีผ้าม่านปิดไว้มิดชิด คุณนรินทร์คงขึ้นไปอยู่แล้ว
ไม่รอช้า ฉันรีบแหวกม่านเตียงชั้นล่างแล้วแทรกตัวเข้าไปทันที ก่อนหย่อนตัวลงนอนด้วยความสบายสุดขีด
“นี่คุณ! ผมนอนอยู่ไม่เห็นหรือไง!”
เสียงห้าวๆที่ฉันพึ่งรู้สึกได้ว่านอนทับอยู่ก็ดังขึ้นชัดเจน
“ว้าย!!!! แล้วคุณเข้ามานอนได้ไง ฉันบอกแล้วนี่ว่าจะนอนล่าง” ฉันโวยวาย
เขาเบียดตัวถอยห่างฉันนิดหนึ่ง แต่ยังคงนอนกอดผ้าห่มหดตัวเหมือนกุ้ง
“ผมก็ให้คุณนอนอยู่นี่ไง เพราะผมก็จะนอนล่างเหมือนกัน”
ฉันจ้องเขาเนิ่นนาน ไม่รู้จะเถียงอะไร คนดื้อและอวดดีอย่างเขายังไงก็ไม่ยอมลุกไปอยู่ชั้นบนเป็นแน่
“โอเคค่ะ คุณไม่ไป ฉันไปเองก็ได้” ฉันแหวกม่านและดันตัวเองออกมา
เขาหาวเสียงดังก่อนจะพูดเสียงต่ำ เป็นเชิงว่าฉันไม่ต้องฟังก็ได้
“ข้างบนน่ะของเต็ม แถมหนาวอีก ผ้าห่มนี่ก็ไม่ช่วยอะไรเลย”
จะพูดอะไรก็พูดเถอะ ฉันไม่สนใจร้อก แล้วฉันก็ลุกออกมาอยู่นอกเตียงได้อย่างสมบูรณ์
“อย่างกับเราไม่เคยนอนด้วยกัน หรือคุณกลัวจะเผลอใจให้ผมหรือไงกัน”
คราวนี้เขาพูดเสียงดังอย่างตั้งใจ โชคดีที่ผู้โดยสารคนอื่นเข้าไปอยู่ในเตียงของตัวเองหมดแล้ว ฉันจึงไม่ถูกรุมมองเป็นตาเดียว
กลัวเผลอใจให้เขาอย่างนั้นเหรอ???
เขาผิดถนัด ฉันไม่ได้กลัวเลย เพราะฉันได้เผลอใจให้เขาไปแล้วจริงๆ
นั่นสิ ในเมื่อฉันไม่กลัว แล้วฉันจะหนีเขาทำไม
‘ถ้าไม่ปิดตัวเอง สักวันก็จะได้รู้ว่าเขาคิดยังไง’ คำพูดของแม่เมื่อไม่นานมานี้ดังชัดเจนอยู่ในหัว
ฉันเข้าใจแล้ว ฉันควรจะบอกความรู้สึกตัวเองให้เขารู้บ้างใช่ไหม บางที…ทะเบียนสมรส จะได้เป็นทะเบียนสมรสต่อไป…
ฉันลังเลอยู่พักหนึ่ง ฉันรักเขาก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะให้เขาแตะต้องตัวฉันอย่างไรก็ได้หรอกนะ แต่จะว่าไป…ฉันเชื่อว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษพอ และฉัน…ก็อยากอยู่ใกล้เขาจริงๆ
ทำตามใจตัวเองบ้างจะเป็นไรไป
ฉันแหวกม่านอีกครั้ง และค่อยๆแทรกตัวเข้าไปบนที่ว่างของเตียง ฉันสบสายตาที่บ่งบอกถึงความประหลาดใจของเขา คุณนรินทร์พยุงตัวขึ้นแล้วเขยิบตัวเองชิดฝาผนังด้านตรงข้ามฉัน
ฉันจะเริ่มละนะ…ฉันจะเริ่มปฏิบัติการรักล่ะนะ!!!!!
แล้วฉันก็ส่งยิ้มที่คิดว่าอ่อนโยนที่สุดไปให้
“เอ่อ…” ฉันเริ่มคิดว่าจะพูดอะไรดีให้เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกของฉัน ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจพูดออกไป
“….แต่ฉันนอนกรนนะคะ”
ให้ตายสิ!!!! มันสื่อถึงความรู้สึกตัวเองตรงไหนเหรอ
เขาหัวเราะเบาๆ
“แน่นอนผมรู้ แล้วผมก็รู้ด้วยว่าถ้าพูดอย่างนั้น คนที่ชอบเอาชนะอย่างคุณจะต้องกลับเข้ามา” เขาเอื้อมไปหยิบผ้าห่มที่ปลายเท้าแล้วส่งให้ฉัน ก่อนจะหันไปตบหมอนตัวเองแล้วเอนตัวลงนอนอีกครั้ง
เขานี่ช่าง…ซื่อบื้อชะมัดยาด
“ห่มผ้าให้หน่อยสิจ๊ะที่รัก” เขาพูดทะเล้นอย่างที่ชอบทำ ก่อนจะยักคิ้วท้าทาย
ฉันคลี่ผ้าห่มอย่างเซ็งๆ แล้วตวัดมันไปบนตัวเขา
คุณนรินทร์ดึงผ้าปิดมิดถึงคอ ก่อนจะมองฉันด้วยความสงสัยบางอย่าง
“ทำไมคุณยอมทำง่ายดายจัง ปกติต้องเถียงกันไม่จบ”
ใช่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงไม่มีทางทำ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
“ค่ะ…แล้วที่ฉันกลับเข้ามานอน ไม่ใช่เพราะอยากเอาชนะอย่างที่คุณคิดหรอก”
ประกายบางอย่างในแววตาของเขาฉายขึ้น แต่ฉันไม่ได้สนใจมากนัก ก่อนจะหันไปจัดหมอนของตัวเองแล้วล้มตัวลองนอนห่างจากเขาเพียงไม่กี่นิ้ว
“ฝันดีนะคะ”
แล้วฉันก็หลับตาลง ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ถึงแม้เขาจะยังซื่อบื้อ ถึงแม้เขาอาจจะไม่รักฉัน แต่สำหรับฉันแล้ว การที่ได้ส่งความรู้สึกดีดีให้คนที่เรารักบ้าง ช่างมีความสุขเสียจริง
“ครับ ฝันดี” เขาพูดเสียงแผ่วเบาตอบกลับมา
“นี่คุณ!”
ใครพูดอะไรเนี่ย เสียงดังจริง คนกำลังจะหลับจะนอน ฉันพลิกตัวคว่ำหน้า แล้วเอาหมอนปิดทับอีกที
“สิดี!”
คราวนี้ฉันได้ยินชื่อตัวเองชัดเต็มสองรูหู
ฉันลุกพรวดแล้วชนเข้ากับบางอย่าง
“โอ๊ย! นี่ถึงกับต้องทำร้ายกันเลยเหรอ”
ฉันลืมตาสะลึมสะลือแล้วก็ได้เห็นคุณนรินทร์เลือดกลบปาก
เอ่อ…อาจจะเกินจริง แต่ก็มีเลือดออกจากปากเขาละ
“ว้าย!นี่คุณไปฟัดกับหมาที่ไหนมาเหรอคะ!!!!”
เขาทำหน้าโมโหสุดขีด
“ไม่มีหมาที่ไหนหรอกนะ มีแต่คุณที่กรนดังจนผมหลับไม่ได้ แถมยังแย่งผ้าห่มไปจนหมดอีก แล้วยังลุกพรวดพราดมาชนผม…เจ็บชะมัด”
โอย…ฉันทำทุกอย่างที่เขากล่าวหาเลยเหรอ
“ขอโทษด้วยนะคะ” ฉันค้นหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าสะพายข้างที่วางอยู่ไม่ไกล
ฉันกำลังจะเอาผ้าเช็ดหน้าซับเลือดให้ แต่เขาเอนตัวหนี
“คุณจะทำอะไร”
“ก็เช็ดเลือดให้คุณไง อยู่นิ่งๆสิ”
คุณนรินทร์ยอมแต่โดยดี ฉันรู้สึกได้ว่าเขากำลังมองฉันด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“คุณทำเอาผมหายง่วงไปเลย ให้ตายสิ” เขายังคงบ่นต่อ ฉันหรี่ตามองนาฬิกาข้อมือด้วยแสงสลัวๆ แล้วก็ได้เห็นว่าเป็นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว
ฉันก็หายง่วงเหมือนกัน กะอีแค่ผ้าห่ม เขาจะดึงมันออกไปดีดีไม่ได้เลยหรือ บ้าชะมัด!
ฮ้า!!! ฉันคิดอะไรออกแล้ว ปฏิบัติการรักของฉันน่ะสิ เอ…ฉันชักจะเปิดใจมากไปไหมนี่
“งั้นเรามานั่งคุยกันดีไหมคะ” ฉันถามหยั่งเชิง
“เอาสิ ผมคงนอนต่อไม่ได้แล้ว” แล้วเขาก็จัดหมอนสำหรับนั่งพิงอย่างสบายตัว
“จริงๆแล้ว เราเคยคุยแบบไม่กัดกันสักครั้งนี่มีบ้างไหมนะ” เขาพูดขึ้น
ช่างเป็นคำถามที่ดีจริงๆ นั่นเพราะเมื่อก่อนฉันเอาแต่ไม่ซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง แต่จากนี้ไป ฉันจะไม่กวนโมโหใส่เขาอีกแล้ว และเมื่อไรที่เขายียวนกลับมา ฉันจะเป็นคนใจเย็นเอง
ฉันเอนตัวพิงหมอนข้างๆเขา
“ครั้งนี้ครั้งแรกมั้งคะ” ฉันพูดขำๆ
เขาหัวเราะเบาๆ
“ผมมาเที่ยวแบบนี้ไม่บ่อยนักหรอก แต่เวลามีโอกาสก็มักจะมาแบบ bagpack นี่แหละ ได้รสชาติดี สมัยที่รันยังไม่ไปเมืองนอก เราสองคนก็มักจะมาด้วยกัน”
“ดีจังนะคะ ฉันเป็นลูกคนเดียว เมื่อก่อนก็เล่นกับพ่อ พอพ่อเสีย ฉันก็เล่นคนเดียวมาตลอด ฉันถึงติดบ้านมากกว่าที่ไหนในโลก เพราะมีทั้งของกิน ทีวี หนังสือ ที่สำคัญ…มีแม่”
“ที่คุณต้องจากมาอย่างนี้ คงไม่มีความสุขเท่าไรสินะ” เขาพูดเสียงแข็งๆ
จะเริ่มทะเลาะหรือไงกัน
“ไม่เลยค่ะ ฉันมีความสุขดี” ฉันตอบเสียงหนักแน่น
เขาเงียบ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“จะเป็นยังไงต่อไป ถ้าผมกล่อมรันไม่ได้ คุณอาจจะต้องติดแหง็กอยู่กับผมตลอดไปก็ได้นะ คราวนี้คงได้ร้องไห้ขี้มูกโป่งคิดถึงแม่แน่ๆ”
ฉันเงียบบ้าง จะให้ตอบว่าอะไรล่ะ ถ้าตอบตามหัวใจตัวเอง มันคงเร็วเกินไป แต่ถ้าพูดตรงข้ามกับความรู้สึก ฉันว่าเราคงต้องทะเลาะกันอีก
“แต่ถ้าคุณรันไม่แต่งงาน ก็มีค่าเท่ากันสิคะ” ฉันถามเบี่ยงประเด็น
“ฮึ หมอนั่นมีออกเยอะแยะ แต่ยังไม่จริงจังเท่านั้น”
“แล้วถ้าคุณรันไม่จริงจังกับใครเลยล่ะ” ฉันถามต่อ ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองต่างหากที่จะจนมุม
คุณนรินทร์หันมามองฉันผ่านแสงไฟจากภายนอกยามค่ำคืน
“ผมว่า คุณต่างหากนะที่ต้องตอบคำถามนี้”
แต่แล้วแสงไฟก็มืดลง เขาคงไม่สามารถเห็นได้ว่า ใบหน้าของฉันเปี่ยมไปด้วยความหมายเพียงไร สายตาของฉัน พยายามมองค้นหาบางอย่างในแววตาของเขาผ่านความมืดมิด
ฉันหาอะไรในดวงตาเขาน่ะเหรอ…หาว่าฉันมีความหมายต่อเขาบ้างหรือเปล่าน่ะสิ
“คุณต่างหากล่ะคะ ที่ต้องตอบ” ฉันย้อนกลับ
มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ถ้าฉันมัวแต่พูดไม่รู้เรื่องอยู่อย่างนี้ ฉันก็คงไม่สามารถเข้าไปถึงจิตใจของเขาได้ หรือฉันควรจะบอกความรู้สึกของตัวเองออกมาให้หมดเปลือกเลยหรือไง
“คุณอยากจะฟังตอนนี้เลยไหมล่ะ” เขาพูดเสียงทีเล่นทีจริง
ฉันเม้มปาก กลัวที่สุดถ้าเขาจะพูดอะไรออกมา แต่ความกล้าหาญในใจกลับประกาศกร้าว
“ก็ได้ค่ะ”
แต่คุณนรินทร์กลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ เขาเลื่อนตัวลงราบกับเบาะเหมือนพร้อมจะนอนอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ฉันก็รู้สึกได้ถึงมือที่โอบล้อมตัวฉันไว้ ความตกใจทำเอาฉันคิดอะไรไม่ออก รู้ตัวอีกที ก็ถูกแขนแข็งแรงคู่นั้นดึงเข้าไปประชิดตัวแล้ว
คุณนรินทร์ใช้แขนทั้งสองกระหวัดรอบเอวฉัน ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปกดศีรษะของฉันให้แนบแผ่นอกของเขา
ฉันสูดกลิ่นตัวเขาเข้าเต็มๆ เหมือนมีมนต์สะกด ฉันยอมให้เขากอดฉันไว้เนิ่นนาน ความหนาวจากเครื่องปรับอากาศในรถไฟมลายหายไป ตอนนี้ฉันรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน
แต่……
“กรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ฉันร้องสุดเสียงเมื่อสติกลับคืนมา ก่อนจะผลักเขาอย่างแรง แล้วดันตัวออกห่าง
“คุณทำบ้าอะ….”
ยังโวยวายไม่จบเขาก็เอาฝ่ามือใหญ่ๆมาปิดปาก
“คุณจะบ้าเหรอ นี่เขาหลับกันทั้งโบกี้นะ”
ฉันพยายามดิ้นพรวดพราว พร้อมส่งปลายลิ้นเลียมือเขายกใหญ่
โว้ย…เค็มชะมัด
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
พนักงานดูแลรถไฟส่งไฟฉายแว่บๆผ่านม่านเข้ามา
คุณนรินทร์ยังปิดปากฉันอยู่
“เอ่อ…ภรรยาผมฝันร้ายน่ะครับ” เขาพูดทั้งๆที่กำลังต่อสู้กับฉัน
“อ้อครับ” แล้วพนักงานดูแลรถไฟก็จากไป
เขาหันมาถลึงตาใสฉัน
“คุณต้องสัญญาว่าจะไม่ส่งเสียงถ้าผมปล่อยมือ”
ฉันรีบพยักหน้าตอบรับ เพราะมือเขารสชาติฝาดเหลือเกิน
คุณนรินทร์ปล่อยมือออก แล้วรีบเช็ดน้ำลายของฉันกับกางเกงตัวเอง
“สกปรกชะมัด” เขาบ่น
แต่ฉันไม่รอช้า พอคว้าหมอนได้ถนัดมือ ก็กระหน่ำฟาดเขาไม่ยั้ง
“คุณมันพวกฉวยโอกาส คุณทำบ้าอะไรหา!!!!!”
ฉันเกรี้ยวกราดแบบเงียบๆ
น่าแปลก เขาปล่อยให้ฉันทุบจนสะใจโดยไม่ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย จนฉันเริ่มเหนื่อย จึงปล่อยหมอนลง แสงไฟจากข้างทางสาดส่องเข้ามาจนเห็นใบหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจปรากฏชัด
ตายล่ะ ปฏิบัติการักของฉันพังไม่มีชิ้นดี ฉนทำอะไรลงป๊ายยยยยย
“คุณไม่มีสิทธิ์โมโหฉันนะคะ คุณเริ่มก่อน” ฉันชิงพูดข่ม
เขาไม่พูดอะไร แค่เริ่มต้นลงนอนอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับหันหลังให้ฉันแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัว
“เอาเถอะ ผมรู้คำตอบของคุณก็แล้วกัน”
นั่นเขาพูดอะไร ฉันไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด แต่เมื่อสักครู่เรายังคุยกันรู้เรื่องอยู่เลยไม่ใช่หรือ ทำไมช่วงเวลาดีดีของเรามันช่างสั้นนัก
ฉันสั่นสะท้านในความมืด รู้สึกง่วงอีกครั้ง และเมื่อมองนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าตีสองกว่าๆแล้ว ฉันเอนตัวนอนลงบ้าง และหันหลังให้เขาเช่นกัน ฉันดึงผ้าห่มมาจากเขาบางส่วนเพื่อคลุมตัวเอง แต่ก็รู้สึกได้ว่าเขาก็ดึงผ้าห่มกลับไปเช่นกัน
เอาวะ! พรุ่งนี้ค่อยเริ่มปฏิบัติการรักใหม่ก็ได้
ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2555, 23:04:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2555, 23:04:48 น.
จำนวนการเข้าชม : 1861
<< คำตอบเดียว | ทะเลาะ >> |
goldensun 11 มิ.ย. 2555, 07:05:26 น.
ตอบด้วยการกระทำแล้วซื่อบื้อแบบสิดีจะไปเข้าใจอาร้ายยย คุณริน
ตอบด้วยการกระทำแล้วซื่อบื้อแบบสิดีจะไปเข้าใจอาร้ายยย คุณริน
agentaja 11 มิ.ย. 2555, 12:19:45 น.
เค้าทำไรกันเหรอ งงงงค่ะ เลียมือ เหม็นกลิ่นตัว ???
เค้าทำไรกันเหรอ งงงงค่ะ เลียมือ เหม็นกลิ่นตัว ???
mhengjhy 11 มิ.ย. 2555, 20:57:19 น.
อ่ะ แหม่ เกือบได้เรื่องแล้วเชียวว
อ่ะ แหม่ เกือบได้เรื่องแล้วเชียวว
konhin 13 มิ.ย. 2555, 18:53:28 น.
ฮ่าๆๆ สงสัยจะอีกนานกว่าจะได้บอกรักกัน
ฮ่าๆๆ สงสัยจะอีกนานกว่าจะได้บอกรักกัน
ลูกกวาดสีส้ม 13 มิ.ย. 2555, 23:19:12 น.
สิดีงี่เง่าอะ กำลังจะไปได้ดี ดันกร๊๊ดซะงั้น
สิดีงี่เง่าอะ กำลังจะไปได้ดี ดันกร๊๊ดซะงั้น