ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: ทะเลาะ

ตอนที่ 31

เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนรุ่งสาง ฉันก็ไม่เห็นเขาอยู่ข้างๆแล้ว ฉันลุกขึ้นนั่งห่อตัวในความมืด คว้าผ้าห่มขึ้นคลุมทั่วร่างอีกครั้ง แล้วเริ่มนึกทบทวนถึงเหตุการณ์เมื่อคืน หรือเขาจะโกรธที่ฉันทุบตีเลยหนีออกจากรถไฟไปก่อน ไม่นะ!!!! แล้วฉันจะกลับบ้านได้อย่างไรล่ะ

“ไปล้างหน้าสิ เดี๋ยวก็จะถึงสุราษฎร์แล้ว ต้องต่อรถไปภูเก็ตอีก” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังแหวกม่านเข้ามา

เขาคว้าเป้จากเตียงบนแล้วง่วนอยู่กับมันสักพัก

ฉันรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก

“ฉัน…ฉันนึกว่าคุณจะทิ้งฉันไว้เสียแล้ว”

“ฮึ” เขาทำเสียงค่อนแคะ แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ

ฉันแคะขี้ตาขับไล่ความง่วงออกไป ก่อนจะลุกออกจากเตียงแล้วเขย่งตัวหยิบกระเป๋าของตัวเองจากเตียงบนบ้าง ฉันพยายามเขย่งแล้วเขย่งอีก แต่มือก็ยังเอื้อมไม่ถึง

“ขาสั้นแล้วยังจะพยายาม”
คุณนรินทร์พูดเหมือนบ่น ก่อนจะคว้ากระเป๋าแล้วส่งให้ฉัน
นี่เขาคงยังไม่หายโกรธสินะ ดูที่เขาทำสิ ถากถางอยู่ได้ จะก่อสงครามกันแต่เช้าเลยหรือไง เพิ่งจะพักรบไปได้ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

ฉันพูดขอบคุณเบาๆ แล้วหยิบแปรงสีฟันเดินมุ่งสู่ห้องน้ำไปอย่างสงบเสงี่ยม ไม่อยากให้สงครามกลางเมืองเกิดอีกซึ่งจะเป็นครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้

เราลงจากรถไฟที่สถานีจังหวัดสุราษฎร์ธานี คุณนรินทร์ยังคงอารมณ์เสียที่ต้องแบกกระเป๋าหนักๆของฉันเช่นเคย ฉันเกือบหงุดหงิดไปด้วยเช่นกัน แต่ต้องเตือนตัวเองว่าฉันต้องดำเนินปฏิบัติการรักอันยิ่งใหญ่ต่อไป
ขณะเราต้องรอเที่ยวรถเพื่อนั่งต่อไปยังภูเก็ต คุณนรินทร์พาฉันไปนั่งทานอาหารเช้าในร้านกาแฟโบราณแห่งหนึ่ง ลุงเจ้าของร้านออกมาต้อนรับด้วยดวงตาเล็กหยีภายใต้รอยเหี่ยวย่นทั่วใบหน้า เขาพูดติดออกสำเนียงจีนนิดๆก่อนจะเช็ดโต๊ะให้อย่างกระตือรือร้นแล้วหายเข้าไปในครัว ก่อนจะกลับออกมาด้วยกาแฟหอมกรุ่น 2 แก้ว กับปาท่องโก๋อีกหลายคู่

“คุณ…เอ่อ…นอนสบายไหมคะ” ฉันพยายามเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยความสดใส

เขาฉีกปาท่องโก๋ส่งเข้าปาก แล้วเบนสายตาออกไปนอกร้าน ทำทีไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงลมหนาว

ฉันรู้สึกมีอะไรหนักๆมาจุกที่อก มันเป็นความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่ฉันกำลังวิ่งเข้าหาความรักอยู่ฝ่ายเดียวหรือเปล่า แม่บอกว่าความใกล้ชิดก่อให้เกิดความรักอย่างนั้นหรือ แต่สำหรับคนอย่างฉันยิ่งคุณนรินทร์เข้าใกล้มากเท่าไรอาจจะยิ่งรำคาญมากเท่านั้นก็เป็นได้

“คุณอาจจะโกรธฉัน ฉันขอโทษนะคะ” แล้วฉันก็ก้มหน้าก้มตาดื่มกาแฟในแก้วตัวเองรวดเดียวจนหมด

ลมหนาวยามเช้าพัดมาอีกระลอก ทำเอาเสื้อคลุมบอบบางของฉันสิ้นระโยชน์ในทันที ตัวฉันสั่นน้อยๆ พยายามเอามือแตะแก้วกาแฟที่ยังอุ่นอยู่สักครู่ แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น

“ผมไปรอรถข้างหน้านะ กินเสร็จแล้วก็ตามไปล่ะ” แล้วเขาก็ลุกขึ้น ถอดเสื้อคลุมของตัวเองแล้วเหวี่ยงมันมาคลุมตัวฉัน

ฉันหันหน้าไปมองเขา แต่คุณนรินทร์กลับรีบก้มหน้าก้มตาแบกสัมภาระแล้วเดินออกไป
มันเป็นเสื้อคลุมตัวเดียวกับที่เขาส่งให้ในตอนเย็นของเมื่อวาน มันทั้งใหญ่และอุ่นเหลือเกิน ฉันดึงมันให้กระชับตัวมากขึ้น และรู้สึกได้ทันทีถึงกลิ่นตัวของเขา กลิ่นเดียวกับที่ฉันรู้สึกได้เมื่อเรากอดกันเมื่อคืน…หรือเขาจะรักฉันบ้างล่ะมั้ง

แล้วท่าที่เฉยชากับอาการกวนโทสะนี่มันอะไรกันล่ะ?

ไม่ช้ารถประจำทางมุ่งสู่ภูเก็ตก็มาถึง เราต้องนั่งเมื่อยก้นกันอีกเกือบสี่ชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย ขณะอยู่บนรถนั้นฉันก็ยังคงพยายามอย่างแรงกล้าที่จะสานต่อปฏิบัติการ แต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน เนื่องจากเขาเสียบหูฟัง MP3 แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ทำท่าไม่อยากยุ่งกับคนทั้งโลก

ฉันเกือบจะถอดใจอีกครั้ง แต่ก็ถามตัวเองว่า เราควรจะเชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองต่อไปหรือเปล่า
“ควรสิ” เสียงของจิตสำนึกตะโกนตอบมา
ฉันหลับตาลง แผนการต่างๆในหัวสมองอันน้อยนิดเริ่มพรั่งพรู
“คุยด้วยตอนนี้ก็ไม่ได้ จะทำอะไรประเจิดประเจ้อก็ไม่ดี”
เสียงจิตสำนึกกำลังครุ่นคิดอีกแล้ว
แต่มันก็กำลังลอยออกไป…ลอยออกไป…ลอยออกไป
แล้วก็….
อืม…หัวฉันหนักเหลือเกิน หนังตาก็ด้วย มันแทบจะเปิดไม่ขึ้นแล้ว ไหล่ของเขาต้องอบอุ่นมากแน่ๆถ้าฉันจะซบลงไป แล้วฉันก็กระชับเสื้อคลุมของเขาให้แน่นอีกครั้ง จากนั้นฉันก็จำอะไรไม่ได้อีกแล้ว…


คงเป็นเวลาไม่นานมากเท่าไรนับตั้งแต่ฉันเคลิ้มหลับไป ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีด้วยเสียงจอแจของผู้โดยสารที่กำลังกุลีกุจอออกจากรถ ฉันยกหัวขึ้นจากไหล่แข็งแรงของคุณนรินทร์ แล้วเห็นได้ว่าเขาก็กำลังหลับอยู่เช่นกัน เขาแหงนศีรษะไปด้านหลัง ที่หูยังคงเสียงหูฟังเพลงอยู่ ปากเปิดอ้า มีเสียงกรนหน่อยๆ และน้ำลายกำลังจะย้อยออกมา
ฉันอดขำไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเขานอนไร้มาดขนาดนี้ ฉันขยับตัวจะหยิบทิชชู่จากกางเกงแต่แล้วก็พึ่งรู้สึกว่า แขนอีกข้างของเขากำลังโอบรอบเอวฉันอยู่
นี่เขาไม่ได้ผลักไสฉันเลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ?
เขาอ่อนโยนกับฉันหรือจะชีกอกันแน่?
แต่จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม มันก็ทำให้ฉันยิ้มออก ทำให้หัวใจห่อเหี่ยวของฉันเริ่มเบิกบาน
“คุณนรินทร์คะ” ฉันปลุกเขาเบาๆ แต่เขากลับสะดุ้งพรวดทันที
ฉันยื่นทิชชู่ให้อย่างขันๆ
“น้ำลายคุณจะหกแล้วค่ะ”

เขาทำหน้าตื่น ก่อนจะรับทิชชู่ไปเช็ดมุมปากอย่างลวกๆด้วยสีหน้าประหลักประเหลือก
“นี่ถึงแล้วเหรอ” เขาพูดขณะที่แขนข้างเดิมยังเกาะเกี่ยวที่เอวฉัน
ฉันพยักหน้าตอบ

“ลุกสิคุณ” ทำพูดเสียงดุกลบความอายเรื่องน้ำลายหก

ฉันมองเขาอย่างเขินๆ เอาว้า…ผู้หญิงมันต้องมีจริตกันบ้าง เลยรีบทำเสียงอ้อนเล็กน้อย

“คุณก็…ปล่อยมือจากเอวฉันสิ….”

“ให้ตาย!!!!” เสียงโวยวายของเขาดังกลบ นรกแตกอีกแล้วล่ะสิ

เขามองไปที่ไหล่ของตัวเองด้วยสีหน้าขยะแขยง ไม่ต้องอ้อนให้เสียเวลาอีกแล้ว เพราะเขาปล่อยมือจากเอวของฉันด้วยความรวดเร็ว

“คุณนอนน้ำลายหกใส่เสื้อของผมเลยเหรอ!!!! คุณนี่!!!จริงๆเลยนะสิดี!!!”

แล้วสงครามระหว่างเราก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ถึงแม้ฉันจะพยายามขอโทษและพยายามเช็ดน้ำลายที่ไหล่ของเขาก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหัวเสียน้อยลงเลย

โอ๊ย! ฉันชักจะหมดความอดทนแล้วนะอีตาบ้า!!!!!

แล้วเราก็ลงจากรถด้วยความทุลักทุเล ทั้งของเยอะ ทั้งหงุดหงิด ทั้งง่วง ทั้งน้ำลายหก บ้าไหม…ความจริงแค่ไอ้เรื่องบ้าบอแบบนี้ ถ้าเขารักฉันบ้างแม้แต่ปลายขี้เล็บ เขาคงไม่โวยวายให้เป็นเรื่องเป็นราวหรอก

โทรศัพท์มือถือของเขาดัง

“สวัสดีครับ อ้อคุณปริญญา ครับผมมาถึงแล้ว อ้า…นั่นไง” เขาโบกมือทักทายชายร่างท้วมวัยกลางคนที่กำลังเดินตรงมาหาเรา

“สวัสดีครับคุณนรินทร์ ท่าทางจะเดินทางกันนานมากเลยสิครับ” คุณปริญญาทักทายเราสองคนแล้วคงสังเกตเห็นความเสื่อมโทรมบนใบหน้าของฉัน
“เกือบครึ่งวันได้ฮะ แล้วนี่คือ…” เขาหันมาทางฉันเพื่อแนะนำตัว และเราก็เริ่มเล่นละครกันอีกครั้ง
“ภรรยาของคุณสินะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณทรัพย์สิดี ถ้าผมจำไม่ผิด” คุณปริญญาส่งยิ้มอย่างใจดีมาให้ ฉันรีบยกมือไหว้ แล้วคุณนรินทร์ก็พล่ามต่อ

“สิดี นี่คุณปริญญานักกฎหมายที่จะมาดูสถานที่ตั้งโรงแรมแห่งใหม่ของสิทรา ผมว่าถ้าไม่ขัดข้องเราไปดูที่ก่อสร้างกันเลยดีไหมครับ”
เขาพูดด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง คุณนรินทร์เป็นอย่างนี้เสมอ ถ้าเรื่องงานล่ะก็เขามักจะกระตือรือร้นอยากกระโดดเข้าใส่ทันที

คุณปริญญารีบคว้าสัมภาระจากมือของฉันไป เขาช่างมีน้ำใจจริงๆ
“จะไม่ให้คุณทรัพย์สิดีพักผ่อนหน่อยเหรอครับ คุณจองโรงแรมไว้ที่ไหนล่ะ เดี๋ยวผมไปส่งก่อน”
คุณนรินทร์ไม่มองและไม่ถามฉันสักนิดว่าฉันอยากจะพักผ่อนหรือไม่

“ผมติดต่อโฮมสเตย์ไว้แล้วครับ ส่วนสิดี เธอพักผ่อนมากพอแล้ว จริงไหมที่รัก” เขาพูดแล้วแสร้งทำนวดไหล่ข้างที่ฉันเคยซบ แต่จริงๆแล้วเขากำลังส่งสัญญาณให้เห็นถึงรอยน้ำลายที่ฉันได้ฝากจารึกไว้

“เอ่อ…ฉันพักมามากพอแล้วล่ะค่ะ”
คุณปริญญามองเราสองคนด้วยความงุนงง

“คุณบอกว่าคุณจะพักที่ไหนนะครับคุณนรินทร์”

“อ้อ โฮมสเตย์ครับ มีอะไรหรือ”

คุณปริญญาหัวเราะปากกว้างจนคางสามชั้นนั้นกระเพื่อมเห็นเด่นชัด

“ออกจะแปลกไปหน่อยสำหรับคู่ฮันนีมูน นั่งรถไฟต่อรถทัวร์นอนโฮมสเตย์ หรือนี่เป็นความโรแมนติกของหนุ่มผู้เคร่งขรึมอย่างคุณครับ คุณนรินทร์”

คุณนรินทร์แสร้งหัวเราะเบาๆ แล้วโอบไหล่ฉัน

“ยิ่งลำบากยิ่งรักกันมากขึ้นไงล่ะครับ ผมว่าเรารีบไปกันเลยดีกว่า” เขาตัดบทง่ายๆแล้วเดินตามก้นใหญ่ๆของคุณปริญญาไป

“ฉันนึกว่าคุณจะเกลียดฉันเสียอีก” ฉันทำพูดแบบไร้เดียงสา เหมือนไม่เคยรู้ว่าเรากำลังเล่นละครกัน

“ฮึ” น้ำเสียงถากถางอีกแล้ว เขาปล่อยมือออกจากไหล่ฉัน แล้วเดินหนีห่างออกไป

นี่มัน…ทรมานกันชัดๆ อยู่ดีดีเขาก็โกรธฉันด้วยเหตุผลอะไรกัน เพราะฉันทุบตีเขาบนรถไฟอย่างนั้นหรือ? เหตุผลมันอ่อนไปไหม แค่เพราะฉันไม่ยอมให้เขากอดง่ายๆนี่นะ

เรานั่งรถปาเจโร่ของคุณปริญญาไม่นานก็มาถึงสถานที่ก่อสร้างโรงแรมแห่งใหม่ของสิทรา โครงก่อสร้างใหญ่โตมโหฬารมาก ผู้คนกำลังทำงานและตอกเสาเข็มกันอย่างขะมักเขม้น วิศวกรหลายคนส่งเสียงควบคุมการก่อสร้างอยู่ไม่ห่าง เราแอบจอดรถไกลๆ แล้วเดินลัดเลาะไปถึงแนวชายหาดเพื่อดูการรุกล้ำ โชคดีที่ตรงนั้นมีพุ่มไม้ขนาดใหญ่สามารถบังตัวเราทั้งสมคนมิด

“นี่มันมากเกินกฎหมายกำหนดเห็นๆเลยครับคุณนรินทร์” คุณปริญญามองแนวชายหาดที่คลื่นทะเลกำลังซัดสาด แล้วส่ายศีรษะแสดงความอ่อนใจ
“ไม่รู้ทางจังหวัดปล่อยให้ดำเนินการได้อย่างไร” เขายังคงบ่นต่อ
“เงินยังไงล่ะครับ” คุณนรินทร์ตอบ สีหน้าเอือมระอาไม่ต่างกัน
“ต่อไปชาวบ้านที่ยอมขายที่ก็ต้องเงินหมด แล้วจะทำยังไงต่อล่ะค่ะ มองดูที่ดินของตัวเองถูกคนอื่นเอาไปทำกำไรเป็นกอบเป็นกำ” ฉันพูดขึ้นเมื่อเห็นชุมชนชาวบ้านแถวนั้น

“แล้วก็ต้องมาเป็นลูกจ้างบริษัทใหญ่บนพื้นที่ของบรรพบุรุษตัวเอง มองดูทะเลบ้านเกิดถูกทำลายทุกวันๆ ถึงวันนั้นพวกเขาคงเริ่มรู้แล้วว่าคิดผิดที่ขายออกไป” คุณนรินทร์พูดต่ออย่างไม่สบอารมณ์

เขาก้มลงหยิบขวดกระทิงแดงที่คนงานก่อสร้างทิ้งเอาไว้

“ผมไม่มีวันให้สิทราทำอย่างนั้น”

คุณปริญญาตบพุงตัวเองเบาๆ “พรุ่งนี้เราจะมาถ่ายรูปแนวของการรุกล้ำเพื่อเป็นหลักฐานส่งให้ทางราชการกันครับ แต่ผมว่าวันนี้…” แล้วเขาก็หันไปมองกลุ่มคนงานก่อสร้างที่ชะเง้อชะแง้มองมาทางพวกเรา
“ออกไปจากที่นี่แล้วไปหาอะไรอร่อยๆทานกันดีกว่า คุณทรัพย์สิดีคงหิวแย่แล้ว” แล้วคุณปริญญาก็ส่งยิ้มตุ้ยนุ้ยมาให้ ก่อนจะมองคุณนรินทร์คาดหวังความเห็นด้วยจากเขา

คุณนรินทร์คงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้น เขาจึงเดินมาแตะข้อศอกฉันเบาๆ
“นั่นสิ คุณคงหิวแล้วใช่ไหมสิดี ไปขึ้นรถกันเถอะ”
แน่นอน ต่อหน้าคนอื่นเขาทำกับฉันด้วยความสุภาพและนุ่มนวลเสมอ แต่หลังจากลับตาคุณปริญญา เขาก็คงเฉยเมยกับฉันอีก
คุณปริญญาพาเรามาร้านอาหารริมชายทะเล บรรยากาศดีมาก เสียงคลื่นยามเย็นกระทบชายฝั่ง ฉันมองทอดสายตาออกไป เห็นเพียงแต่ทะเลสีครามสุดลูกหูลูกตา ลมทะเลปะทะใบหน้า ความรู้สึกผ่อนคลายแบบนี้หายากเสียจริง
“เดี๋ยวผมเลี้ยงเองครับ คุณปริญญาสั่งตามสบายเลย”

คุณนรินทร์ทำตัวเป็นเจ้ามือด้วยความใจดี ฉันได้ยินเสียงคุณปริญญาตอบปฏิเสธ แล้วจากนั้นทั้งสองคน ก็แย่งกันเป็นเจ้ามืออีกสักพัก แต่ฉันไม่ได้ใส่ใจมาก เพราะสายตาของฉันกำลังจับจ้องไปที่โต๊ะอาหารข้างหน้า ซึ่งห่างจากโต๊ะของพวกเราไปห้าถึงหกโต๊ะได้ มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งหันหลังให้เรา กับผู้หญิงอีกคนที่นั่งตรงข้าม ฉันมองผู้หญิงคนนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่มีเค้าเหมือนคนรู้จัก เธอใส่แว่นตาดำและมองตรงมาเช่นกัน
ฉันต้องละสายตาจากโต๊ะนั้นแล้วกลับไปมองคุณปริญญาซึ่งกำลังถามอะไรฉันสักอย่าง
“คุณเป็นลูกสาวของนักเขียน Best Seller คนนั้นเหรอครับ” เขาถามด้วยดวงตาเล็กหยีจากไขมันใต้หนังตา แต่ก็พยายามทำให้โตด้วยความประหลาดใจ

ฉันสับสนอยู่พักหนึ่ง แต่ก็เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร
“อ๋อ ใช่ค่ะ นามปากกา นราวดี คือคุณแม่ฉันเอง”

ฉันรีบตอบแล้วส่งสายตาไปที่โต๊ะเดิม แต่คนที่ฉันรู้สึกว่าคุ้นๆก็หายไปเสียแล้ว จากนั้นฉันถูกดึงกลับมาสู่การสนทนาเช่นเดิม

“ผมชื่นชมเธอมากเลยครับ!!!!!” แล้วคุณปริญญาก็หยิบของจากกระเป๋าข้างตัวออกมา มันเป็นหนังสือที่แม่ฉันถูกฟ้องร้องนั่นเอง

“หนังสือเล่มนี้เป็นตัวแทนของความรัก ความเชื่อมั่น และความกล้าหาญครับ!!! ผมชื่นชมคุณแม่ของคุณมากที่ยืนหยัดในความรักของตัวเอง เอ่อ…” แล้วเขาก็สอดหนังสือวางตรงหน้าฉัน

ฉันตกใจเล็กน้อยในความตื่นเต้นของเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นแฟนๆหนังสือของแม่ และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ฉันได้รู้ว่าแม่เขียนหนังสือเกี่ยวกับอะไร นอกจากคำว่า ‘Master piece’ ที่แม่ชอบใช้อยู่บ่อยๆ

‘เรื่องที่คุณไม่เคยรู้’ ชื่อหนังสือของแม่แผ่หราบนปกหนังสือมันวับสีฟ้าอ่อน
“ถ้าผมจะฝากไปขอลายเซ็นได้ไหมครับ”

ฉันลูบหน้าปกด้วยความรู้สึกผิด นี่ฉันเป็นลูกประสาอะไรถึงไม่เคยอ่านหนังสือของแม่ตัวเอง ฉันคงยุ่งอยู่กับงานมากเกินไปจนลืมสนใจเรื่องของคนรอบข้างล่ะมั้ง

“ได้แน่นอนค่ะ แต่จะเป็นอะไรไหมคะถ้าฉันขอให้คุณเล่าเกี่ยวกับเนื้อหาของหนังสือเรื่องนี้”
ทั้งคุณนรินทร์และคุณปริญญามองฉันด้วยความงุนงง
“เอ่อ…ฉันยังไม่เคยอ่านเลยค่ะ”

คุณนรินทร์คีบกุ้งเผาแล้วเคี้ยวต่อพร้อมส่งน้ำเสียงเย้ยหยัน
ส่วนคุณปริญญายิ้มกว้างอย่างใจดีเช่นเคย
“งานยิ่งใหญ่ของคุณแม่ คุณควรอ่านเองนะครับ ยืมของผมไปอ่านก่อนก็ได้ แล้วคุณจะได้รู้ครับ คุณทรัพย์สิดี…ว่าถ้าแม่คุณแพ้คดีครั้งนั้น คงมีอีกหลายคนที่พลาดโอกาสได้อ่านหนังสือดีดีอย่างนี้”
ฉันพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ คุณปริญญายังคงมองหนังสือเล่มนั้นด้วยความชื่นชม เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังสลับไปมา คุณนรินทร์ยังคงเคี้ยวอาหารอยู่ข้างๆฉัน

ฉันไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้ให้อะไรกับคุณปริญญาและคนอื่นๆที่เปิดอ่านหนังสือของแม่ฉันไปแล้วบ้าง แต่ฉันคิดว่านั่นต้องเป็นสิ่งที่ดีและงดงามมากเป็นแน่ แล้วฉันก็หันไปมองเขา คนที่ขณะนี้ทำเฉยชาและกระด้างต่อฉัน แต่คนคนนี้นี่แหละ ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยและเป็นตัวแปรสำคัญให้หนังสือที่ยิ่งใหญ่ของแม่ได้ออกสู่สายตาคนทั่วไป
สมองฉันทำงานหนักอีกครั้ง นี่คงเป็นโอกาสเหมาะแล้วสินะ ที่ฉันจะขอบคุณอีกทั้งเล่นละครที่แฝงไปด้วยความจริงและสานต่อปฏิบัติการรัก
ฉันคล้องแขนคุณนรินทร์ที่กำลังเอื้อมไปตักอาหาร แล้วมองเขาด้วยสายตาขอบคุณ เขางุนงงเล็กน้อย แต่ก็คงคิดแบบตื้นๆอีกเช่นเคยว่าเราต้องเล่นละคร

“คุณนรินทร์นี่แหละค่ะ คุณปริญญาที่ช่วยหาทนายฝีมือดีมาช่วยคุณแม่ฉัน คุณต้องขอบคุณเขาแล้วล่ะค่ะ”
คุณปริญญาพยายามทำตาโตอีกครั้ง

“หวาว!!!! คงเป็นลูกเขยคนโปรดเป็นแน่ อย่าบอกนะครับว่าคุณสองคนรักกันด้วยเหตุการณ์นั้น”

รอยยิ้มเสแสร้งของเราสองคนเจื่อนลงทันที แต่แน่ละ คุณนรินทร์แก้สถานการณ์ไวเสมอ เขาจับมือฉันที่คล้องแขนเขาเบาๆ อีกข้างตักอาหารใส่จานให้ฉัน

“เรารักกันก่อนหน้านั้นนานมากแล้วครับ จริงไหมที่รัก ทานผักเยอะๆนะ จะได้มีลูกไวไว” แล้วเขาก็แกล้งทำพูดเบาๆแต่ให้คุณปริญญาได้ยิน “สงสัยคืนนี้ต้องเหนื่อยหน่อย” ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วกุมมือฉันแน่นกว่าเก่า ฉันตกใจในคำพูดบ้าๆของเขา ก่อนจะพยายามกระเถิบออกห่าง แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะเขารั้งตัวฉันไว้แน่น
คุณปริญญา หัวเราะเสียงดัง แล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อไป
“ข้าวใหม่ปลามันนี่น่าอิจฉาจริงๆ”
คุณนรินทร์หัวเราะ หึหึ ก่อนจะทำท่าออดอ้อน
“ป้อนหน่อยสิจ๊ะ” เขาเลิกคิ้วสูงแล้วชี้ไปที่ปูนึ่ง
ฉวยโอกาสชัดๆ พอฉันทำดีด้วยหน่อยก็เลยเถิดเชียวนะ
ฉันตักปูนึ่งคำใหญ่ก่อนจะรีบยัดใส่ปากเขาเสียจนล้น คุณนรินทร์ร้องอู้อี้ไม่พอใจก่อนจะรีบกลืนๆมันให้หมดปาก
“แหม…ป้อนเก่งจริงๆ อย่างนี้ต้องให้รางวัลจริงไหมครับคุณปริญญา” เขาแสร้งหันไปยิ้มให้ร่างตุ้ยนุ้ย ก่อนจะหันมาแยกเขี้ยวใส่ฉัน
ฉันส่ายหัวดิก รู้สึกกลัวเขาจับใจ เวลาคุณนรินทร์จะแก้แค้น มันมักน่ากลัวเสมอ แล้วเขาก็จับมือฉันแน่นกว่าเดิม ก่อนจะดึงฉันให้ชิดตัวเขาเข้าไปอีก
“อย่านะ….” เกือบไม่ทันแล้ว เพราะเขายื่นหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้วมันก็เหมือนทุกๆทีที่เรื่องวุ่นวายมักจะเกิดขึ้น มีเสียงน้ำ เสียงน้ำแข็ง ความเย็นที่แผ่ซ่าน และเสียงหัวเราะของคุณปริญญา จากนั้นคุณนรินทร์ก็ปล่อยมือฉันในที่สุด
ฉันลืมตา สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือ ทั้งผมและหน้าคุณนรินทร์เลยเถิดจนไปถึงเสื้อและกางเกงท่อนบน เปียกชุ่มไปด้วยน้ำเย็น

ฉันรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดให้เขา ได้ยินคุณปริญญาหัวเราะยังไม่หยุด แล้วพูดประมาณว่าท่าทางฉันคงปราบคุณนรินทร์อยู่หมัด
“ฉะ…ฉันขอโทษนะคะ” ฉันยังคงสาละวนเช็ดเขาต่อด้วยสีหน้าหวาดกลัว เขาต้องดุฉันและเอาคืนมากเป็นหลายเท่าแน่ๆ
แต่คุณนรินทร์กลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“สิดี คุณนี่ยังขี้เล่นไม่หายนะ เธอก็อย่างนี้แหละครับคุณปริญญา ชอบเล่นรุนแรง ไม่ต้องเช็ดหรอก”
แล้วเขาก็แย่งผ้าเช็ดหน้าไปจากฉัน
ฉันนั่งตัวแข็งทำอะไรต่อไม่ถูก แต่ส่งยิ้มแหยๆไปให้คุณปริญญา เขาต้องกลับไปแก้แค้นหลังลับสายตาคนเป็นแน่
แล้วเราทั้งสามก็ออกมาจากร้านอาหาร จากนั้นคุณปริญญาก็ไปส่งเราที่บ้านโฮมสเตย์ซึ่งความจริงก็อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมของสิทรานัก

บ้านที่เราสองคนจะไปพักเป็นบ้านไม้ขนาดกลาง ชั้นเดียวแบบชาวบ้านแท้ๆ ข้างๆมีมอเตอร์ไซค์เก่าๆ กับรถกระบะที่เก่าไม่แพ้กัน จอดไว้ใต้ต้นไม้ มีสวนดอกไม้ขนาดย่อมๆ ห่างออกไปล้วนแต่มีบ้านลักษณะเดียวกันนี้ตั้งอยู่นับไม่ถ้วน ฉันได้ยินเสียงคลื่นสาดซัดชัดเจน ชุมชนนี้คงอยู่ห่างจากทะเลไม่ไกลนัก
“พรุ่งนี้ผมจะมารับประมาณ 9 โมงเช้านะครับ ไปก่อนนะครับคุณทรัพย์สิดี”
คุณปริญญาลาเราทั้งสองคนแล้วขับรถออกไป พอดีกับที่เจ้าของบ้านออกมาตอนรับ
“คุณนรินทร์! สวัสดีครับ” ชายผิวคล้ำผมหยิก ท่อนบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างใส่กางเกงขาสั้นมัดผ้าขาวม้าเรียกชื่อคุณนรินทร์ด้วยความดีใจ

“ไงดำ สบายดีไหม แล้วไหนลูกเมียล่ะ” คุณนรินทร์ตบไหล่ดำเบาๆเหมือนรู้จักกันมานาน
“อยู่ในบ้านครับคุณ เชิญเข้ามาเลยครับ เดี๋ยวของผมยกเอง” แล้วดำก็หันมายกมือไหว้ฉัน ฉันรีบรับไหว้อย่างไม่ตั้งตัว
“แฟนผมเองล่ะดำ สิดี นี่ดำ เคยเป็นคนขับรถของคุณพ่อน่ะ” แล้วเขาก็เดินนำฉันและดำเข้าบ้านไป
ภายในบ้านแบ่งเป็นสัดส่วน ถึงแคบแต่ก็สะอาดและเป็นระเบียบ ตรงกลางบ้านคงเป็นที่สำหรับพักผ่อน รับแขก และทานข้าวไปในตัว เนื่องจากมีทีวีและเสื่อพร้อมหมอนอิงวางอยู่ ถัดไปเป็นห้องครัวซึ่งทำเป็นระเบียงออกมานอกตัวบ้าน เลยห้องครัวไปถึงท้ายบ้านเป็นที่ของห้องน้ำ ไม่ห่างจากบริเวณดูทีวีมีประตูห้องนอนสองห้อง
ดำแบกสัมภาระของพวกเราเข้าไปเก็บในห้องหนึ่ง คุณนรินทร์เดินเข้าไปนั่งสมทบลูกเมียของดำที่กำลังดูทีวีกันอยู่ หญิงชาวบ้านยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม คุณนรินทร์อุ้มเด็กชายอายุไม่เกินสี่ขวบขึ้นมานั่งบนตัก ก่อนจะลูบหัวเด็กหญิงซึ่งโตกว่า กำลังนั่งอายๆอยู่ข้างแม่ตัวเอง

ฉันเข้าไปนั่งสมทบ แม่ของเด็กก็ลุกขึ้นไปเตรียมน้ำมาต้อนรับพวกเรา
“คราวนี้คุณจะมาอยู่กี่วันครับ ผมจะได้ให้เมียจัดหาอาหารไว้” ดำเดินยิ้มเห็นฟันขาวเข้ามานั่งกับลูก
“อย่าให้วุ่นวายเลยดำ เดี๋ยวผมจัดการเองได้ แล้วอยู่นี่เป็นยังไงมั่งล่ะ” คุณนรินทร์ถาม

“เรื่อยๆครับ แต่กำลังจะแย่ ถ้าโรงแรมนั่นสร้างเสร็จ” แล้วดำกับคุณนรินทร์ก็สนทนากันเรื่องโรงแรมสิทรากันสักพัก ฉันไม่มีอะไรทำ เนื่องจากคุณนรินทร์ไม่ได้แยแสจะให้ฉันร่วมวงสนทนาด้วยเลย ฉันจึงหันไปเล่นกับเด็กๆ และคุยกับแม่ของพวกเขาซึ่งตอบกลับมาด้วยสำเนียงออกภาษาใต้ว่าลูกๆแต่ละคนชื่ออะไรและอายุเท่าไรบ้าง

“น่ารักจังนะคะ ลูกเยอะแบบนี้คงมีความสุข” ฉันพูดพลางลูบหัวเจ้าหนูจิ้มคนโต
“คุณก็รีบๆมีบ้างสิคะ เด็กเล็กๆทำให้ครอบครัวอบอุ่นขึ้น”

ฉันหุบปากทันที มีลูกอย่างนั้นหรือ…ฉันไม่เคยคิดถึงขั้นนั้นหรอก แต่ถ้าคุณนรินทร์รักฉันบ้าง…ฉันก็อาจยินดีที่จะผูกมัด

เจ้าหนูจุกคนเล็กเดินเตาะแตะไปหาพ่อ ดำจึงอุ้มลูกขึ้นแล้วยกขึ้นขี่คอ หนูจุกหัวเราะชอบใจ
“คุณนรินทร์น่าจะรีบมีได้แล้วนะครับ เดี๋ยวจะไม่ทันผมเอานา” ดำสัพยอกเขา
เหมือนฉันไม่มีผิด คุณนรินทร์หยุดบทสนทนาลงไว้แค่นั้น รอยยิ้มบนหน้าหายไป "ฉันขอตัวนะดำ
"แล้วคุณนรินทร์ก็ลุกขึ้นเดินปลีกตัวจะเข้าห้องนอน

ทั้งดำและจุ๋มแฟนเขามองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ บรรยากาศในวงสนทนาหม่นหมองลงทันที นี่เป็นอีกครั้งที่เขาทำเฉยเมยใส่ฉัน ฉันชักจะเอือมระอาแล้วนะ ฉันทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ เรื่องบนรถไฟนั่นมันปัญญาอ่อนจะตาย เขาจะโกรธเพราะเรื่องแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ

“แต่ฉันท้องแล้วค่ะ!” ฉันตะโกนออกไป สายตาทุกคู่หันมามองฉันทันที รวมทั้งคุณนรินทร์ เขาหมุนตัวกลับมา สีหน้าตกใจสุดขีด
ฉันอยากจะหัวเราะให้ฟันร่วง จริงๆแล้วฉันอยากจะแกล้งเขาต่างหากล่ะ ปั้นปึ่งใส่ฉันดีนัก พอกันทีกับปฏิบัติการรักบ้าบอ

“จะท้องได้ไงในเมื่อเรา…” เขาพูดตะกุกตะกัก
“ท้องเดินน่ะค่ะ จุ๋มมียาธาตุไหมจ๊ะ ปวดท้องจริงๆ โอยๆ” แล้วฉันก็กุมท้องทำท่าปวด
จุ๋มกับดำ หัวเราะออกมาน้อยๆแต่ยังคงมองฉันด้วยความไม่เข้าใจ
ฉันหันไปสบตาคุณนรินทร์ เขาหน้าแดงจัดและดูโมโหมาก ก่อนจะเดินย่างสามขุมมาหาฉัน แล้วฉุดฉันให้ลุกขึ้น
“เราขอตัวไปนอนก่อนนะ ขอบใจมากนะดำ ไปกันเถอะที่รัก ก่อนที่ท้องมันจะหายปวด” ประโยคหลังเขาพูดแล้วแยกเขี้ยวใส่ฉัน
คุณนรินทร์ผลักฉันเข้าไปในห้อง แล้วล็อกประตู
เหอะ! ฉันไม่กลัวเขาแล้วล่ะ ฉันจะใช้พลังแห่งรักสั่งสอนเขาว่าการโกรธคนอื่นโดยไร้เหตุผลมันไม่ดีอย่างไร บางทีปฏิบัติการรักของฉันมันอาจจะไม่ใช่การเข้าไปออเซาะ แต่มันอาจจะเป็นการเตะก้านคอสั่งสอนคนขี้โมโหอย่างเขาให้มีสติบ้างนั่นละ
“คุณเป็นอะไรของคุณ! คุณไม่ใยดีฉันมาตั้งแต่เช้าแล้ว ฉันทำอะไรผิดเหรอถามจริงๆเถอะ!!!!” ฉันเปิดฉากตะโกนใส่
เขาเดินเข้ามาหาฉัน รัศมีความโกรธพลุ่งพล่านไปทั่วตัว คงเก็บกดมากสินะ ก็ฉันทั้งทุบตี น้ำลายหก ราดน้ำใส่หน้า และแกล้งเขาให้ตกใจเล่นแบบเมื่อกี้
ฉันเริ่มกลัวนิดๆ เลยเดินถอยหลังจนติดผนัง เหมือนหมาจนตรอก
“ผมเป็นอะไรอย่างนั้นเหรอ” เขาพูดเสียงกระซิบน่ากลัว
“ผมต้องถามคุณต่างหาก คุณมาทำดีใส่ผม แต่พอผมเข้าใกล้คุณบ้างคุณกลับรังเกียจ…คุณกำลังเล่นอะไรอยู่ล่ะ จะปั่นหัวผมเล่นหรือทำให้สมบทบาทเท่านั้นเหรอ” คราวนี้เขาเดินเข้ามาประชิดตัว
ปั่นหัว??? ไม่มีทางฉันไม่ได้คิดจะปั่นหัวเขานะ ที่ฉันทำก็เพราะฉันรักเขา!!!! แต่นั่นสิ ทำไมพอเขาใกล้ชิดฉันบ้าง ฉันกลับกลัวเสียนี่
“เปล่านะคะฉันเพียงแต่…ว้าย!” ฉันหน้าซีดเผือด เมื่อเขาทุบฝ่ามือกับผนังแล้วเอาตัวประชิดฉัน
ฉันเอามือผลักตัวเขา “ฉันทำอะไรให้คุณโกรธ ฉันขอโทษด้วยนะคะ ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว!!!!”
ลมหายใจของคุณนรินทร์รดใบหูและต้นคอฉันอยู่ไม่ห่าง
“คุณทำให้ผมจะเป็นบ้า…แล้วผมไม่ได้โกรธอะไรคุณเลยสิดี …ผมแค่…เสียใจ” แล้วเขาก็เอาตัวออกห่าง ก่อนจะหันหลังเดินไปหยิบกระเป๋า
“ฉันไม่เข้าใจค่ะ ฉันไปทำอะไรให้คุณ ถ้าเรื่องทุบตีล่ะก็…”
“คุณคิดให้ลึกกว่านั้นหน่อยสิ ผมจะเสียใจที่คุณเอาหมอนฟาดผมแค่นั้นเหรอ” น้ำเสียงเขาผิดหวังอยู่ลึกๆ


แล้วฉันก็คิด…ฉันแย่งผ้าห่มเขา เขาตื่นขึ้น เราคุยเรื่องถ้าคุณรันไม่แต่งงานแล้วเราสองคนจะทำยังไง แล้วเขาก็กอดฉัน แล้วฉันก็กรี๊ด จากนั้นก็ทุบเขา…
อ้อ…ฉันเข้าใจทั้งหมดแล้วล่ะ เพราะอย่างนี้เองสินะ เขาถึง…
แล้วฉันก็ยิ้มออกมา เขานี่ช่าง…

“ฉันรู้แล้วค่ะ คุณเสียใจที่ฉันแย่งผ้าห่มสินะ โอเค คืนนี้เราควรมีกันคนละผืนน่าจะดีกว่า”
เสียงคุณนรินทร์ครางออกมาเบาๆ

“สิดี…คุณคิดลึกเกินไปไหม”



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2555, 22:13:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2555, 22:14:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1839





<< เริ่มต้น   อารมณ์พาไป? >>
เคสิยาห์ 29 มิ.ย. 2555, 22:26:10 น.
5555555555 สิดีเ้อ้ย....


agentaja 29 มิ.ย. 2555, 22:31:25 น.
มันต้องถามว่า สิดี คุณคิดลึกกว่านี้เป็นบ้างมั้ย 555


mhengjhy 29 มิ.ย. 2555, 22:42:08 น.
จะคุยกันรู้เรื่องไหมเนี่ย


wii 30 มิ.ย. 2555, 09:00:46 น.
55555...โธ่เอ๊ยจะหัวเราะตายเพราะความเซ่อซ่าของสิดีนี่เเหละ นรินทร์น่าจะไปปรึกษาเเม่ยายนะว่าจะกำจัดความเซ่อซ่าของสิดีใด้ยังไง


ling 30 มิ.ย. 2555, 16:15:26 น.
จะบ้าตาย เมื่อไหร่จะรู้กันหล่ะเนี่ย อิอิ


ใบบัวน่ารัก 30 มิ.ย. 2555, 20:17:02 น.
ทะเลาะไรกัน
โอ้ย...มาสอนให้ไหมจะได้เข้าใจ
สิดียิ่งใสซื่ออยู่นะ บอกๆไปเถอะ


goldensun 1 ก.ค. 2555, 00:02:01 น.
ซื่อเกินไปรึเปล่า สิดี แถมมือไปเองก็ไวซะด้วย คุณนรินทร์ท้อก่อนรึเปล่า


kaze 22 ก.ค. 2555, 07:17:39 น.
ลึกเกิ๊นนนน สิดี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account