ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ
ตอน: ธีบส์
++++++++++++++++++
อารีสลืมตาตื่น พบว่าตนเองอยู่ในชุดผ้าลินินขาวบางทิ้งชายยาวถึงข้อเท้า ขับกับผิวเนื้อสีน้ำผึ้งนวลเนียน รอบคอระหงสวมใส่แผงสร้อยสำริดประดับพลอยเม็ดเล็ก ลักษณะเช่นเดียวกับกำไลข้อมือทั้งสองข้าง ศีรษะสวมวิกผมดำขลับ สยายตรงถึงกลางหลัง คาดรัดเกล้าสำริดเรียบเลี่ยนขัดมัน
สองมือของหญิงสาวกำลังประคองม้วนผ้าลินินขาวสะอาดผืนงาม หากไม่ใช่ ‘ผ้าลินิน’ ที่หล่อนกำลังศึกษาค้นคว้า ไม่ใช่ ‘ผ้า’ ที่ค้นพบในที่ตั้งเดิมของวิหารเนเฟอร์ตารี
“ทำไม...” หญิงสาวชะงัก สอดส่ายสายตามองรอบตัวด้วยความสงสัย
เหตุใดหล่อนจึงมาอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายราวสตรีอียิปต์โบราณ ผิวเนื้อสีน้ำผึ้งนวลเนียนก็ไม่ใช่สีผิวของหล่อน และบรรยากาศรอบกาย อารีสก็ไม่เคยพบเห็น แต่เพราะอะไร อยู่ๆ ในห้วงความคิดจึงรู้สึกว่ามันคือ...
นครธีบส์
รอบกายเป็นผนังอิฐปนโคลนตากจนแห้ง เรียบมันเป็นเงา ฝาผนังแต่ละแห่งล้วนปรากฏภาพเขียนจิตรกรรมแม่น้ำไนล์ นกเป็ดน้ำ ดอกบัว หรือไม่ก็เป็นเหล่าสตรีสวมใส่ชุดผ้าลินินขาวสะอาด มีเครื่องประดับประดาตามร่างกายอย่างวิจิตร บางนางร้องเต้นประโคมดนตรี บริเวณเสาหินค้ำเพดานจารึกอักษรภาพไว้อย่างประณีต
อารีสรู้สึกเหมือนตนเองเคยอยู่ที่นี่ กลิ่นหอมจากเครื่องหอมที่ลอยอวลนั่นหล่อนก็คุ้นเคย เป็นกลิ่นเหมือนคราวที่หล่อนรออาหารเย็นที่ภัตตาคาร ในเคมพินสกี ไนล์ โฮเตล
หญิงสาวยังจำช่วงเวลานั้นได้
หล่อนหลับตา เอนศีรษะลงบนเก้าอี้นุ่ม สูดหายใจลึก ซึมซับบรรยากาศความงดงามแห่งแดนไอยคุปต์ ในอกรู้สึกเบาโหวง อารีสได้กลิ่นเครื่องหอม ผสมกันหลากหลายกลิ่น เจอเรเนียม มะลิ ส้มและไม้หอม
ยามเงี่ยหูฟังทั้งที่เปลือกตายังคงปิดสนิท หล่อนได้ยินเพลงบรรเลงจากเครื่องสายและเครื่องตี เป็นจังหวะแปลกหู มีเสียงแมวร้อง คล้ายอยู่ใกล้หล่อนเพียงเอื้อมถึง มีการพูดคุยกันระหว่างผู้หญิงหลายคน บางครั้งดัง บางครั้งคล้ายกระซิบแผ่ว หากเป็นภาษาอียิปต์โบราณ
บัดนี้หญิงสาวลืมตาตื่น รู้ตัว ไม่ได้หลับตาเช่นครั้งนั้น
หล่อนประคองถือม้วนผ้าลินินในมือ หันมองรอบๆ มีเหล่าสตรีในชุดลินินขาวบางหลายนาง แต่ละนางสวมวิกหน้าม้าสยายยาวระกลางหลัง ประดับประดาตามร่างกายด้วยเครื่องสำริดพองาม ใบหน้าเฉิดฉายด้วยเปลือกตาสีฟ้าอมเขียว เข้ากับริมฝีปากสีนู้ด
บางนางนั่งจับกลุ่มหัวร่อต่อกระซิก บ้างก็กระซิบกระซาบเมื่อเห็นหล่อนยืนอยู่ บางกลุ่มทำหน้าที่ประโคมดนตรี มีเครื่องสายดูคล้ายพิณของชาวอียิปต์โบราณ กลองสีสันแปลกตา และซิสทรัม เครื่องเขย่าทำจากโลหะ
เสียงแมวร้องอีกครั้งใกล้ๆ ตัว หญิงสาวก้มลงมอง จึงเห็นแมวดำตัวหนึ่งกำลังคลอเคลียเท้าของหล่อน มันออดอ้อน ถูไถใบหูไปมาที่เท้า ส่งเสียงร้องน่าเอ็นดู ก่อนจะล้มตัวลงนอนหงาย เกลือกกลิ้งราวต้องการให้หยอกล้อ
ครั้นอารีสตั้งใจจะเล่นกับมัน เสียงอ่อนหวานหากเปี่ยมด้วยความอบอุ่นกลับดังขึ้น
“ผ้าทอของเจ้าเรียบร้อยแล้วหรือ...บาสตี”
สายลมหอบกลิ่นบัวสายรวยรื่นโชยพัดปะทะหญิงสาว แล้วอยู่ๆ อารีสก็รู้สึกเหมือนหล่อนคือ ‘ผู้ดู’ รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้อง ผ่านสายตาของผู้หญิงซึ่งถูกเรียก ‘บาสตี’
ภาษาอียิปต์โบราณทุกถ้อยคำอารีสสามารถเข้าใจได้หมด แม้บางคำหล่อนอาจไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง
“เรียบร้อยแล้วเพคะ” บาสตีนวยนาดผ่านสตรีนางอื่นไปหน้าแท่นยกพื้นสูง ชายกระโปรงลินินยาวไหวพะเยิบ
ที่นั่นอารีส ‘เห็น’ สตรีผิวเนื้อนวลผ่อง สุกปลั่ง นอนทอดกายไร้อาภรณ์ห่มคลุม เพียงแผงสร้อยคอทองคำประดับอัญมณีเม็ดเขื่องเท่านั้นที่บดบังเรือนร่างอรชรได้สัดส่วน เนินอกขาวสะพรั่ง สะโพกผายเย้ายวน แขนขาเรียวงาม แม้ปลายนิ้วก็ได้รูปอย่างลำเทียน หล่อนสวมวิกผมประดับด้วยรัดเกล้าทองคำฝังพลอยเม็ดใหญ่เล็กเป็นระเบียบ ใบหน้ารียาวงามด้วยเครื่องประทินโฉม ทั้งเปลือกตาสีเทอร์คอยซ์ ขับเส้นขอบตาดำยาวจนเกือบชิดใบหู พวงแก้มชมพูระเรื่อ และริมฝีปากสีแดงอ่อนเคลือบน้ำมัน
รอบข้างปรากฏสตรีในชุดลินินขาวบางคอยปรนนิบัติพัดวี พัดขนนกกระจอกเทศสีขาวโบกช้า หากช่วยกระพือกลิ่นน้ำมันหอมซึ่งกำลังชโลมบนเรือนร่างสตรีผู้ทอดกายอยู่เบื้องหน้าลอยมาถึงบาสตี
ที่แท้...กลิ่นหอมที่อารีสเคยได้กลิ่นเมื่อตอนอยู่เคมพินสกี ไนล์ โฮเตล ก็คือกลิ่นเหล่านี้นี่เอง
“ไหน...ข้าขอดูที” สตรีเบื้องหน้ายกมือเป็นสัญลักษณ์ นางผู้รับใช้ทั้งหลายหยุดกิจกรรมทุกอย่าง ปล่อยให้สตรีร่างเปลือยเปล่าลุกเดินมาพบกับบาสตี
หญิงสาวซึ่งอารีสมองผ่านสายตาและความคิด ย่อตัวหมอบลงแทบเท้าสตรีนางนั้น เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง ก่อนจะลุกขึ้นคลี่ผ้าลินินในมือห่มคลุมร่างอีกฝ่ายเป็นอาภรณ์
‘พระนางเนเฟอร์ตารี’
อยู่ๆ ในอกอารีสก็วูบไหว พระนามของพระนางสว่างวาบในความคิด จริงหรือที่สตรีดังกล่าวนี้คือพระนางอันเป็นที่รักของฟาโรห์รามเสสที่ ๒ พระนางผู้เป็นที่เคารพของอารีสนับตั้งแต่ได้ทราบพระนามในสารคดีที่เคยชมในวัยเด็ก จนกลายเป็นความใฝ่ฝันที่ทำให้หญิงสาวเลือกเรียนคณะโบราณคดี และศึกษาต่อมาเรื่อยๆ ทางด้านของอียิปต์วิทยาจนได้พบพระนางที่บ้านเกิดพระนางเอง
“ไม่เสียแรงเลยที่เราให้เจ้าทอผ้าให้...บาสตี” เสียงนั้นปลุกอารีส ให้มองผ่านสายตาของบาสตี รับรู้ได้ว่านางผู้ทอผ้าผืนนี้คงเป็นคนดูแลภูษาทรง เป็นช่างฝีมือทางด้านการทอผ้าของราชสำนัก หลังจากรับคำชมดังกล่าว ความรู้สึกของบาสตีเต็มตื้นด้วยความยินดี มีความสุข และความจงรักยิ่ง
เฉกเช่นที่อารีสกำลังเป็น
ผ้าลินินขาวบาง เมื่อห่มคลุมวรกายยังคงเห็นสัดส่วนเย้ายวนภายในได้ไม่ยาก เหล่าผู้รับใช้พากันเดินเข้ามาจัดแต่งเครื่องทรง นำผ้าลินินสีแดงมาคาดเอว สวมกำไลทองคำประดับอัญมณีให้เสร็จสรรพ ก่อนกลับเข้าที่ ให้บาสตีเดินตามเสด็จพระนางไปยังเก้าอี้ไม้หุ้มเงินหุ้มทองตัวโปรด
ทรงประทับนั่ง มีบาสตีนั่งข้างพระบาทคอยรับใช้ พระนางเนเฟอร์ตารีทรงหันไปฉวยหีบทองใบเล็กบนโต๊ะเปิดออก จากนั้นทรงหยิบตุ้มหูทองคำซึ่งพระนางดำริให้ช่างฝีมือขึ้นรูปดอกบัวสายขนาดเล็กกระจิริดอย่างพิเศษ
“เราให้เจ้า เป็นของขวัญที่ทอผ้าสวยๆ ให้เรา ทั้งยังคอยรับใช้ใกล้ชิด เสมือนน้องสาวเราคนหนึ่ง” สุรเสียงแห่งพระนางเต็มไปด้วยพระเมตตาและอารี จนอารีสรู้สึก สายพระเนตรที่มองบาสตีมีแววเอ็นดูและรักใคร่เจือปน
ครั้นหญิงสาวรับตุ้มหูดอกบัวสายกระจิริดเอาไว้ ก็น้อมตัวต่ำหมอบแทบบาท ในอกพองฟูด้วยสุข หากอึดใจหนึ่ง เสียงระงมของคนรอบกายก็ดังขึ้น อารีสสงสัย...คงไม่ต่างจากบาสตี นางจึงหยัดตัวแล้วหันไปมองตามสายตาที่จับจ้องทางเข้าห้องส่วนพระองค์
“เมอริตเน็บท์เฮ็ท”
ผู้ดูแลภูษาทรงหันกลับไปมองพระนางผู้เป็นใหญ่ ทรงเรียกขานผู้เข้ามาสู่ที่รโหฐานของพระองค์ว่าดังนั้น ด้วยพระพักตร์เรียบเฉย ไม่ยินดียินร้าย ครั้นบาสตีหันกลับไปมองประตูทางเข้าอีกคราว จึงได้เห็นสตรีในชุดลินินย้อมสีแดง
เอวองค์อรชร งดงามไม่ต่างจากพระนางเนเฟอร์ตารี ใบหน้าขาวผ่องเฉกผิวเนื้อสะอาดเปล่งปลั่ง นัยน์ตาคมขีดเส้นดำอย่างประณีตจนเกือบถึงใบหู ริมฝีปากสีแดงสด สวมวิกผมดำขลับตัดหน้าม้าสยายยาวถึงกลางหลัง ยามเยื้องย่างสะโพกกลมกลึงยักย้ายเย้ายวน กระทั่งต่อหน้าพระพักตร์ชายาเอกของรามเสสที่ ๒ นางจึงกล่าวด้วยเสียงหวานลึกล้ำ แฝงความนัย
“เนเฟอร์ตารี”
สิ้นเสียง สายลมวูบใหญ่ก็โหมพัดเอาฝุ่นทราย ม้วนตัวตลบทะลวงประตูเข้ามาจนข้าวของกระจายระเนระนาด หากทุกคนในห้องกลับนั่งนิ่ง รับกระแสทรายจนเริ่มสลายกลายเป็นผง ทั้งคน ทั้งห้องประทับส่วนพระองค์ อารีสพยายามกรีดร้อง หากนางบาสตีผู้เป็นสื่อกลับนิ่งเฉย สลายตามสายลมไม่ต่างกัน
ฉับพลัน อารีสก็ปรากฏตัวอยู่กลางนครธีบส์ เมืองร้าง
และดูเหมือนเวลานี้ หล่อนกำลังอยู่ ณ ใจกลาง 'วิหารแห่งชีวิตนิรันดร์'
+++++++++++++++
อารีสยืนอยู่ท่ามกลางซากวิหารปรักหักพัง ล้อมรอบด้วยความแห้งแล้ง มีห้องโถงแบบไฮโปสไตล์ เสาหินและรูปปั้นแกรนิตหลายแห่งพังทลายทรุดโทรม เสาไพลอนต้นหนึ่งปรากฏเด่นชัด เป็นภาพสลักเทพธอธ เทพเจ้าผู้มีเศียรเป็นนกช้อนหอย ไม่ห่างไกลกันเป็นเขตพระราชวังเดิม
ที่นี่เอง ‘วิหารแห่งชีวิตนิรันดร์’
วิหารฝังพระศพขององค์ฟาโรห์รามเสสที่ ๒ แต่เพราะอะไร เหตุใดหล่อนจึงหลุดมาอยู่ในที่แห่งนี้ ทั้งที่เมื่อครู่หญิงสาวอยู่ในที่รโหฐานแห่งพระนางเนเฟอร์ตารี ซ้ำยังคล้ายจะอยู่ในร่างของบาสตี ผู้รับใช้ที่มีหน้าที่ดูแลภูษาทรง
ครั้นลองก้มมองตัวเอง บัดนี้อารีสคืออารีส การแต่งกายคล้ายเมื่อเย็นที่หล่อนเข้าไปร่วมโต๊ะอาหารกับอีริค เค เกียน ผิดแต่สถานที่รอบกายไม่ใช่ เวลานี้มืดแล้ว แวดล้อมไปด้วยลมแรงซึ่งหอบพัดเอาฝุ่นทรายม้วนตัวตลบเป็นระยะ ไร้แสงสว่างใดนอกจากแสงแห่งพระจันทร์ยามค่ำ ที่สาดส่องลงมาพอให้เห็นบรรยากาศรำไร
“อารีส”
คล้ายมีใครเรียกหญิงสาว เสียงนั้นลอยตามลมแหบพร่า ก้องสะท้อนน่าหวาดกลัว กระทั่งเสียงนั้นเงียบหาย อารีสกลับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของบางสิ่งหลังซากวิหารปรักหักพังแทน
เหมือนการเคลื่อนตัวลากผ่านพื้นทราย มีเสียงขู่ซ่าในลำคอระคนเสียงเขย่าคล้ายขนดหางของงูหางกระดิ่ง ทว่าดังกังวานจนอารีสต้องหันมองรอบๆ
‘ตัวอะไร’ อารีสเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ในหัวกำลังสับสน หวาดกลัว เสียงหัวใจในอกเต้นดัง ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นสิ่งที่หล่อนกำลังคิดเอาไว้เลย
หญิงสาวกลัว ‘งู’
คิดเพียงเท่านั้น กองหินปรักหักพังกองหนึ่งก็ทลายลงราวถูกระเบิด หินใหญ่ละลิ่วลอยทุกทิศทาง อารีสวิ่งหาที่กำบังพลางกรีดเสียงร้องตระหนก หากน่ากลัวยิ่งกว่า เมื่อพบสิ่งที่ทำลายกองหินในวิหาร
‘งู’
เป็นงูตัวเขื่อง ขนาดใหญ่อย่างที่อารีสไม่เคยเห็นมาในชีวิต จะให้เปรียบคงเท่าวงโอบชายฉกรรจ์ประมาณ ๖ คน เกล็ดตามตัวมันลื่นสีดำเหลื่อมเขียว เปียกโชกด้วยน้ำ
ใช่...มันคงมาจากแม่น้ำ ‘แม่น้ำไนล์’ เพราะกลิ่นตมน้ำลึกโชยมาไม่ขาดสาย นัยน์ตาเหลืองราวอำพันจดจ้องมาทางหญิงสาวที่หลบอยู่หลังเสาหิน ยามเมื่อแย้มปาก คมเขี้ยวขาวเรียงสลอน ปลายขนดหางปรากฏเป็นกระเปาะคล้ายงูหางกระดิ่งขนาดมหึมา
“แม่เจ้า! ช่วยลูกด้วย” อารีสพนมมืออัตโนมัติ ตัวสั่นงันงก กระทั่งอสรพิษตัวเขื่องเลื้อยถลาเข้าฉกเสาหินซึ่งเป็นที่กำบังของหล่อน หญิงสาวก็รีบกระโจนออกทันที
เสียงเสาหินแกรนิตแตกกระจายดังไปทั่ว ก้อนหินกระเด็นกระดอนคนละทาง เศษหินคมบางส่วนกระจายบาดเข้าที่เนื้อตัวและใบหน้าของหญิงสาวซึ่งกลิ้งคลุกฝุ่นไปตามพื้น
เสียงขู่ฟ่อดังขึ้นอีกระลอก อารีสพยายามยันตัวลุกวิ่งหนี หากงูยักษ์กลับเลื้อยอ้อมมาขวางหน้าแล้วพุ่งตัวฉกอีก ทว่าอารีสไวกว่า กระโดดเบี่ยงตัวหลบไปอีกฟาก การประทุษร้ายจึงพลาดไป
หญิงสาวลุกรุดไปข้างหน้า มองเห็นพระราชวังเดิมซึ่งคงเหลือเพียงกำแพงอิฐปนโคลนและเสาหินแกรนิต ส่วนเพดานนั้นหายไปเรียบร้อย ลมหอบฝุ่นทรายม้วนตัวตลบเป็นม่าน ครั้นบางตัว หญิงสาวก็วิ่งเข้าไปในส่วนพระราชวังซึ่งเต็มไปด้วยห้องหับ หันซ้ายแลขวาเห็นว่าไม่มีงูจึงหลบในห้องๆ หนึ่ง
ในอกของอารีสหวาดกลัวจับใจ น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม หากไม่กล้าแม้เพียงส่งเสียงร้อง หล่อนคู้ตัวนั่งสะท้านที่มุมห้อง รอบข้างเป็นหินแกรนิตต่างจากห้องอื่นซึ่งเป็นผนังอิฐปนโคลน คาดเดาว่าที่นี่คงเป็นห้องอาบน้ำ
เสียงลากพื้นทรายดังอีกครั้ง มีเสียงขู่ฟ่อในลำคอลอยเข้ามาใกล้ หญิงสาวได้แต่ประสานมือภาวนาอย่าให้มันพบเลยว่าหล่อนอยู่ที่ไหน หากอยู่ๆ เสียงลากพื้นทรายกลับหยุดเงียบ มีเพียงเสียงขู่ฟ่อในลำคอที่ดังอยู่ไม่ห่าง ครั้นอารีสแหงนมองไปด้านบน ก็พบดวงตาสีอำพันฉายวาววับ พร้อมคมเขี้ยวเรียงสลอนมุ่งตรงมาที่หล่อน
อารีสกรีดร้องพลางกระโดดหลบ งูยักษ์พุ่งตัวฉกจนกำแพงหินแกรนิตถล่มราบ หญิงสาวได้จังหวะขณะที่อสรพิษกำลังมึนงง วิ่งหลบสลับไปตามห้องหับต่างๆ ราวเขาวงกต งูใหญ่ก็เลื้อยตามไปทุกแห่ง ทลายผนังอิฐปนโคลนนั้นจนสิ้น
ครั้นไม่อาจอยู่หลบเร้นภายในพระราชวังเดิมได้ อารีสจึงหนีออกไปด้านนอก ลอดวงกบประตูแกรนิตเตรียมขึ้นเนินด้านบน หากต้องชะงักงัน เมื่อพบผู้ที่ยืนรอท่ามกลางความแห้งแล้งแห่งผืนทราย
'อานูบิส เทพแห่งพิธีมรณะ' พร้อมสัตว์เทพผู้ติดตาม 'อัมมุท'
อารีสอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนหนีเสือปะจระเข้ หันมองเบื้องหลังยังเห็นงูยักษ์ขนาดใหญ่ไล่ล่าหล่อน ทลายที่หลบซ่อนทุกแห่งจนราพนาสูร เบื้องหน้าปรากฏเทพเจ้าแห่งพิธีศพผู้มีเศียรเป็นหมาในสีดำประทับยืนรอพร้อมตัวเขมือบความตาย สัตว์อสุรกายตามคำบอกเล่าของอนัตตา
‘ผมกำลังอธิบายลักษณะตัวอัมมุทครับ มันเรียกอีกอย่างว่าตัวเขมือบความตาย’ อนัตตาเคยเล่าเรื่องราวของอัมมุทให้หล่อนฟังเมื่อวันวาน อารีสจำได้ดี ‘ผมกำลังเล่าว่ามันเป็นสัตว์ในเทพปกรณ์อียิปต์ หัวเป็นจระเข้ ตัวด้านหน้าเป็นสิงโต ตัวด้านหลังเป็นฮิปโปโปเตมัส’
เบื้องหลังคือนักล่าที่กำลังตามฆ่าหล่อน หากเบื้องหน้าคือเจ้าแห่งความตาย ดูราวกับว่าหล่อนคงไม่มีทางรอดพ้นไปได้
ครั้นจนด้วยหนทางจะหลบหนี หญิงสาวจึงได้แต่ก้มหน้าร่ำไห้ น้ำตาไหลหยดเป็นเม็ดลงบนพื้นทรายแห้งผาก หากอึดใจ...ก็คล้ายเวลารอบตัวจะหมุนช้าลง เม็ดทรายซึ่งถูกแรงลมหอบให้ม้วนตัวตลบแทบหยุดค้าง อารีสมองเห็นกระทั่งเม็ดทรายเล็กๆ ที่ลอยกลางอากาศ หันมองงูยักษ์ก็พบว่าเคลื่อนตัวช้าลงมาก แม้เศษอิฐปนโคลนที่พังกระจายก็ลอยคว้างอย่างเนิบช้า
แล้วชั่วพริบตาต่อมา อารีสก็พบผ้าลินินสอดเส้นทองที่หล่อนกำลังตรวจสอบผุดขึ้นจากพื้นทรายใต้ฝ่าเท้า คลี่ตัวโอบรัดร่างนับแต่ขาขึ้นมาโอบล้อมลำตัว กระทั่งปิดทั้งใบหน้าจนอารีสหายใจไม่ออก แล้วจากนั้นทุกอย่างก็มืดมน
+++++++++++++++++++
อารีสลืมตาตื่น หายใจเหนื่อยหอบ รับรู้ได้ว่าความฝันเมื่อครู่ช่างเหมือนจริงมาก หล่อนกลัวจับใจกับการหนีงูใหญ่ตัวนั้น ทั้งผวาเหลือเกินเมื่อต้องเผชิญหน้าเทพแห่งพิธีมรณะกับอสุรกายเขมือบความตาย กระทั่งทอดหายใจ หยัดตัวลุกขึ้นกระชับผ้าลินินซึ่งคลุมร่างเดินไปส่องกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง บางสิ่งกลับทำให้หล่อนประหลาดใจ
ใบหน้านวลขาวและเนื้อตัวบางแห่งปรากฏรอยแผลคล้ายถูกของมีคมบาด ตามเนื้อตัวถลอกปอกเปิกเหมือนถูกถูไถ ขีดครูดจากของขรุขระ กลิ่นความแห้งแล้งและพื้นทรายยังคงติดอยู่ในจมูกและปาก
“เกิดอะไรขึ้นกับฉัน” มือสั่นเทาสัมผัสรอยแผลที่ใบหน้าและเนื้อตัว หล่อน ‘รู้สึก’ เจ็บ ยืนยันแน่ชัดว่าไม่ใช่ความฝัน
ครั้นหันมองเงาสะท้อนด้านหลัง ถุงบรรจุผ้าลินินลีบตัว และผ้าลินินผืนดังกล่าวก็กลายมาคลุมไหล่ของหล่อน
อีกฝั่ง...อารีสพบแสงวาววับสีทับทิมจากสร้อยข้อมือทองขึ้นรูปแมงป่องหล่นอยู่ที่พื้นข้างเตียง อารีสจำได้แม่นยำว่ายังไม่ได้ถอดออก และผ้าลินินโบราณที่หล่อนกำลังห่มอยู่ก็ยังคงม้วนอยู่ในถุงบรรจุ
หญิงสาวขมวดคิ้วจ้องใบหน้าตนเองในกระจก แล้วอึดใจใบหน้าก็ซีดเผือด ชักเท้าหนีจากโต๊ะเครื่องแป้งแทบไม่ทัน
“งู!”
ในบานกระจก ปรากฏเงารางของงูยักษ์ในความฝัน แย้มปากเห็นไรฟันพร้อมแลบลิ้นสองแฉกตวัดอากาศ นัยน์ตาสีอำพันจดจ้องมองหล่อนไม่วาง ก่อนจะเลือนหายไปกลายเป็นเงาของหล่อน หากกลิ่นสาบงูระคนกลิ่นตมน้ำลึกยังคละคลุ้ง วนเวียนรอบกายไม่จางหายตามภาพที่เห็น ช่วงเวลานั้นเองที่หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ในหัวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สองมือดึงผ้าลินินผืนโบราณกระชับคลุมไหล่ไม่รู้ตัว
+++++++++++++++++++++++
อารีสลืมตาตื่น พบว่าตนเองอยู่ในชุดผ้าลินินขาวบางทิ้งชายยาวถึงข้อเท้า ขับกับผิวเนื้อสีน้ำผึ้งนวลเนียน รอบคอระหงสวมใส่แผงสร้อยสำริดประดับพลอยเม็ดเล็ก ลักษณะเช่นเดียวกับกำไลข้อมือทั้งสองข้าง ศีรษะสวมวิกผมดำขลับ สยายตรงถึงกลางหลัง คาดรัดเกล้าสำริดเรียบเลี่ยนขัดมัน
สองมือของหญิงสาวกำลังประคองม้วนผ้าลินินขาวสะอาดผืนงาม หากไม่ใช่ ‘ผ้าลินิน’ ที่หล่อนกำลังศึกษาค้นคว้า ไม่ใช่ ‘ผ้า’ ที่ค้นพบในที่ตั้งเดิมของวิหารเนเฟอร์ตารี
“ทำไม...” หญิงสาวชะงัก สอดส่ายสายตามองรอบตัวด้วยความสงสัย
เหตุใดหล่อนจึงมาอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายราวสตรีอียิปต์โบราณ ผิวเนื้อสีน้ำผึ้งนวลเนียนก็ไม่ใช่สีผิวของหล่อน และบรรยากาศรอบกาย อารีสก็ไม่เคยพบเห็น แต่เพราะอะไร อยู่ๆ ในห้วงความคิดจึงรู้สึกว่ามันคือ...
นครธีบส์
รอบกายเป็นผนังอิฐปนโคลนตากจนแห้ง เรียบมันเป็นเงา ฝาผนังแต่ละแห่งล้วนปรากฏภาพเขียนจิตรกรรมแม่น้ำไนล์ นกเป็ดน้ำ ดอกบัว หรือไม่ก็เป็นเหล่าสตรีสวมใส่ชุดผ้าลินินขาวสะอาด มีเครื่องประดับประดาตามร่างกายอย่างวิจิตร บางนางร้องเต้นประโคมดนตรี บริเวณเสาหินค้ำเพดานจารึกอักษรภาพไว้อย่างประณีต
อารีสรู้สึกเหมือนตนเองเคยอยู่ที่นี่ กลิ่นหอมจากเครื่องหอมที่ลอยอวลนั่นหล่อนก็คุ้นเคย เป็นกลิ่นเหมือนคราวที่หล่อนรออาหารเย็นที่ภัตตาคาร ในเคมพินสกี ไนล์ โฮเตล
หญิงสาวยังจำช่วงเวลานั้นได้
หล่อนหลับตา เอนศีรษะลงบนเก้าอี้นุ่ม สูดหายใจลึก ซึมซับบรรยากาศความงดงามแห่งแดนไอยคุปต์ ในอกรู้สึกเบาโหวง อารีสได้กลิ่นเครื่องหอม ผสมกันหลากหลายกลิ่น เจอเรเนียม มะลิ ส้มและไม้หอม
ยามเงี่ยหูฟังทั้งที่เปลือกตายังคงปิดสนิท หล่อนได้ยินเพลงบรรเลงจากเครื่องสายและเครื่องตี เป็นจังหวะแปลกหู มีเสียงแมวร้อง คล้ายอยู่ใกล้หล่อนเพียงเอื้อมถึง มีการพูดคุยกันระหว่างผู้หญิงหลายคน บางครั้งดัง บางครั้งคล้ายกระซิบแผ่ว หากเป็นภาษาอียิปต์โบราณ
บัดนี้หญิงสาวลืมตาตื่น รู้ตัว ไม่ได้หลับตาเช่นครั้งนั้น
หล่อนประคองถือม้วนผ้าลินินในมือ หันมองรอบๆ มีเหล่าสตรีในชุดลินินขาวบางหลายนาง แต่ละนางสวมวิกหน้าม้าสยายยาวระกลางหลัง ประดับประดาตามร่างกายด้วยเครื่องสำริดพองาม ใบหน้าเฉิดฉายด้วยเปลือกตาสีฟ้าอมเขียว เข้ากับริมฝีปากสีนู้ด
บางนางนั่งจับกลุ่มหัวร่อต่อกระซิก บ้างก็กระซิบกระซาบเมื่อเห็นหล่อนยืนอยู่ บางกลุ่มทำหน้าที่ประโคมดนตรี มีเครื่องสายดูคล้ายพิณของชาวอียิปต์โบราณ กลองสีสันแปลกตา และซิสทรัม เครื่องเขย่าทำจากโลหะ
เสียงแมวร้องอีกครั้งใกล้ๆ ตัว หญิงสาวก้มลงมอง จึงเห็นแมวดำตัวหนึ่งกำลังคลอเคลียเท้าของหล่อน มันออดอ้อน ถูไถใบหูไปมาที่เท้า ส่งเสียงร้องน่าเอ็นดู ก่อนจะล้มตัวลงนอนหงาย เกลือกกลิ้งราวต้องการให้หยอกล้อ
ครั้นอารีสตั้งใจจะเล่นกับมัน เสียงอ่อนหวานหากเปี่ยมด้วยความอบอุ่นกลับดังขึ้น
“ผ้าทอของเจ้าเรียบร้อยแล้วหรือ...บาสตี”
สายลมหอบกลิ่นบัวสายรวยรื่นโชยพัดปะทะหญิงสาว แล้วอยู่ๆ อารีสก็รู้สึกเหมือนหล่อนคือ ‘ผู้ดู’ รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้อง ผ่านสายตาของผู้หญิงซึ่งถูกเรียก ‘บาสตี’
ภาษาอียิปต์โบราณทุกถ้อยคำอารีสสามารถเข้าใจได้หมด แม้บางคำหล่อนอาจไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง
“เรียบร้อยแล้วเพคะ” บาสตีนวยนาดผ่านสตรีนางอื่นไปหน้าแท่นยกพื้นสูง ชายกระโปรงลินินยาวไหวพะเยิบ
ที่นั่นอารีส ‘เห็น’ สตรีผิวเนื้อนวลผ่อง สุกปลั่ง นอนทอดกายไร้อาภรณ์ห่มคลุม เพียงแผงสร้อยคอทองคำประดับอัญมณีเม็ดเขื่องเท่านั้นที่บดบังเรือนร่างอรชรได้สัดส่วน เนินอกขาวสะพรั่ง สะโพกผายเย้ายวน แขนขาเรียวงาม แม้ปลายนิ้วก็ได้รูปอย่างลำเทียน หล่อนสวมวิกผมประดับด้วยรัดเกล้าทองคำฝังพลอยเม็ดใหญ่เล็กเป็นระเบียบ ใบหน้ารียาวงามด้วยเครื่องประทินโฉม ทั้งเปลือกตาสีเทอร์คอยซ์ ขับเส้นขอบตาดำยาวจนเกือบชิดใบหู พวงแก้มชมพูระเรื่อ และริมฝีปากสีแดงอ่อนเคลือบน้ำมัน
รอบข้างปรากฏสตรีในชุดลินินขาวบางคอยปรนนิบัติพัดวี พัดขนนกกระจอกเทศสีขาวโบกช้า หากช่วยกระพือกลิ่นน้ำมันหอมซึ่งกำลังชโลมบนเรือนร่างสตรีผู้ทอดกายอยู่เบื้องหน้าลอยมาถึงบาสตี
ที่แท้...กลิ่นหอมที่อารีสเคยได้กลิ่นเมื่อตอนอยู่เคมพินสกี ไนล์ โฮเตล ก็คือกลิ่นเหล่านี้นี่เอง
“ไหน...ข้าขอดูที” สตรีเบื้องหน้ายกมือเป็นสัญลักษณ์ นางผู้รับใช้ทั้งหลายหยุดกิจกรรมทุกอย่าง ปล่อยให้สตรีร่างเปลือยเปล่าลุกเดินมาพบกับบาสตี
หญิงสาวซึ่งอารีสมองผ่านสายตาและความคิด ย่อตัวหมอบลงแทบเท้าสตรีนางนั้น เป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง ก่อนจะลุกขึ้นคลี่ผ้าลินินในมือห่มคลุมร่างอีกฝ่ายเป็นอาภรณ์
‘พระนางเนเฟอร์ตารี’
อยู่ๆ ในอกอารีสก็วูบไหว พระนามของพระนางสว่างวาบในความคิด จริงหรือที่สตรีดังกล่าวนี้คือพระนางอันเป็นที่รักของฟาโรห์รามเสสที่ ๒ พระนางผู้เป็นที่เคารพของอารีสนับตั้งแต่ได้ทราบพระนามในสารคดีที่เคยชมในวัยเด็ก จนกลายเป็นความใฝ่ฝันที่ทำให้หญิงสาวเลือกเรียนคณะโบราณคดี และศึกษาต่อมาเรื่อยๆ ทางด้านของอียิปต์วิทยาจนได้พบพระนางที่บ้านเกิดพระนางเอง
“ไม่เสียแรงเลยที่เราให้เจ้าทอผ้าให้...บาสตี” เสียงนั้นปลุกอารีส ให้มองผ่านสายตาของบาสตี รับรู้ได้ว่านางผู้ทอผ้าผืนนี้คงเป็นคนดูแลภูษาทรง เป็นช่างฝีมือทางด้านการทอผ้าของราชสำนัก หลังจากรับคำชมดังกล่าว ความรู้สึกของบาสตีเต็มตื้นด้วยความยินดี มีความสุข และความจงรักยิ่ง
เฉกเช่นที่อารีสกำลังเป็น
ผ้าลินินขาวบาง เมื่อห่มคลุมวรกายยังคงเห็นสัดส่วนเย้ายวนภายในได้ไม่ยาก เหล่าผู้รับใช้พากันเดินเข้ามาจัดแต่งเครื่องทรง นำผ้าลินินสีแดงมาคาดเอว สวมกำไลทองคำประดับอัญมณีให้เสร็จสรรพ ก่อนกลับเข้าที่ ให้บาสตีเดินตามเสด็จพระนางไปยังเก้าอี้ไม้หุ้มเงินหุ้มทองตัวโปรด
ทรงประทับนั่ง มีบาสตีนั่งข้างพระบาทคอยรับใช้ พระนางเนเฟอร์ตารีทรงหันไปฉวยหีบทองใบเล็กบนโต๊ะเปิดออก จากนั้นทรงหยิบตุ้มหูทองคำซึ่งพระนางดำริให้ช่างฝีมือขึ้นรูปดอกบัวสายขนาดเล็กกระจิริดอย่างพิเศษ
“เราให้เจ้า เป็นของขวัญที่ทอผ้าสวยๆ ให้เรา ทั้งยังคอยรับใช้ใกล้ชิด เสมือนน้องสาวเราคนหนึ่ง” สุรเสียงแห่งพระนางเต็มไปด้วยพระเมตตาและอารี จนอารีสรู้สึก สายพระเนตรที่มองบาสตีมีแววเอ็นดูและรักใคร่เจือปน
ครั้นหญิงสาวรับตุ้มหูดอกบัวสายกระจิริดเอาไว้ ก็น้อมตัวต่ำหมอบแทบบาท ในอกพองฟูด้วยสุข หากอึดใจหนึ่ง เสียงระงมของคนรอบกายก็ดังขึ้น อารีสสงสัย...คงไม่ต่างจากบาสตี นางจึงหยัดตัวแล้วหันไปมองตามสายตาที่จับจ้องทางเข้าห้องส่วนพระองค์
“เมอริตเน็บท์เฮ็ท”
ผู้ดูแลภูษาทรงหันกลับไปมองพระนางผู้เป็นใหญ่ ทรงเรียกขานผู้เข้ามาสู่ที่รโหฐานของพระองค์ว่าดังนั้น ด้วยพระพักตร์เรียบเฉย ไม่ยินดียินร้าย ครั้นบาสตีหันกลับไปมองประตูทางเข้าอีกคราว จึงได้เห็นสตรีในชุดลินินย้อมสีแดง
เอวองค์อรชร งดงามไม่ต่างจากพระนางเนเฟอร์ตารี ใบหน้าขาวผ่องเฉกผิวเนื้อสะอาดเปล่งปลั่ง นัยน์ตาคมขีดเส้นดำอย่างประณีตจนเกือบถึงใบหู ริมฝีปากสีแดงสด สวมวิกผมดำขลับตัดหน้าม้าสยายยาวถึงกลางหลัง ยามเยื้องย่างสะโพกกลมกลึงยักย้ายเย้ายวน กระทั่งต่อหน้าพระพักตร์ชายาเอกของรามเสสที่ ๒ นางจึงกล่าวด้วยเสียงหวานลึกล้ำ แฝงความนัย
“เนเฟอร์ตารี”
สิ้นเสียง สายลมวูบใหญ่ก็โหมพัดเอาฝุ่นทราย ม้วนตัวตลบทะลวงประตูเข้ามาจนข้าวของกระจายระเนระนาด หากทุกคนในห้องกลับนั่งนิ่ง รับกระแสทรายจนเริ่มสลายกลายเป็นผง ทั้งคน ทั้งห้องประทับส่วนพระองค์ อารีสพยายามกรีดร้อง หากนางบาสตีผู้เป็นสื่อกลับนิ่งเฉย สลายตามสายลมไม่ต่างกัน
ฉับพลัน อารีสก็ปรากฏตัวอยู่กลางนครธีบส์ เมืองร้าง
และดูเหมือนเวลานี้ หล่อนกำลังอยู่ ณ ใจกลาง 'วิหารแห่งชีวิตนิรันดร์'
+++++++++++++++
อารีสยืนอยู่ท่ามกลางซากวิหารปรักหักพัง ล้อมรอบด้วยความแห้งแล้ง มีห้องโถงแบบไฮโปสไตล์ เสาหินและรูปปั้นแกรนิตหลายแห่งพังทลายทรุดโทรม เสาไพลอนต้นหนึ่งปรากฏเด่นชัด เป็นภาพสลักเทพธอธ เทพเจ้าผู้มีเศียรเป็นนกช้อนหอย ไม่ห่างไกลกันเป็นเขตพระราชวังเดิม
ที่นี่เอง ‘วิหารแห่งชีวิตนิรันดร์’
วิหารฝังพระศพขององค์ฟาโรห์รามเสสที่ ๒ แต่เพราะอะไร เหตุใดหล่อนจึงหลุดมาอยู่ในที่แห่งนี้ ทั้งที่เมื่อครู่หญิงสาวอยู่ในที่รโหฐานแห่งพระนางเนเฟอร์ตารี ซ้ำยังคล้ายจะอยู่ในร่างของบาสตี ผู้รับใช้ที่มีหน้าที่ดูแลภูษาทรง
ครั้นลองก้มมองตัวเอง บัดนี้อารีสคืออารีส การแต่งกายคล้ายเมื่อเย็นที่หล่อนเข้าไปร่วมโต๊ะอาหารกับอีริค เค เกียน ผิดแต่สถานที่รอบกายไม่ใช่ เวลานี้มืดแล้ว แวดล้อมไปด้วยลมแรงซึ่งหอบพัดเอาฝุ่นทรายม้วนตัวตลบเป็นระยะ ไร้แสงสว่างใดนอกจากแสงแห่งพระจันทร์ยามค่ำ ที่สาดส่องลงมาพอให้เห็นบรรยากาศรำไร
“อารีส”
คล้ายมีใครเรียกหญิงสาว เสียงนั้นลอยตามลมแหบพร่า ก้องสะท้อนน่าหวาดกลัว กระทั่งเสียงนั้นเงียบหาย อารีสกลับได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของบางสิ่งหลังซากวิหารปรักหักพังแทน
เหมือนการเคลื่อนตัวลากผ่านพื้นทราย มีเสียงขู่ซ่าในลำคอระคนเสียงเขย่าคล้ายขนดหางของงูหางกระดิ่ง ทว่าดังกังวานจนอารีสต้องหันมองรอบๆ
‘ตัวอะไร’ อารีสเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ในหัวกำลังสับสน หวาดกลัว เสียงหัวใจในอกเต้นดัง ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นสิ่งที่หล่อนกำลังคิดเอาไว้เลย
หญิงสาวกลัว ‘งู’
คิดเพียงเท่านั้น กองหินปรักหักพังกองหนึ่งก็ทลายลงราวถูกระเบิด หินใหญ่ละลิ่วลอยทุกทิศทาง อารีสวิ่งหาที่กำบังพลางกรีดเสียงร้องตระหนก หากน่ากลัวยิ่งกว่า เมื่อพบสิ่งที่ทำลายกองหินในวิหาร
‘งู’
เป็นงูตัวเขื่อง ขนาดใหญ่อย่างที่อารีสไม่เคยเห็นมาในชีวิต จะให้เปรียบคงเท่าวงโอบชายฉกรรจ์ประมาณ ๖ คน เกล็ดตามตัวมันลื่นสีดำเหลื่อมเขียว เปียกโชกด้วยน้ำ
ใช่...มันคงมาจากแม่น้ำ ‘แม่น้ำไนล์’ เพราะกลิ่นตมน้ำลึกโชยมาไม่ขาดสาย นัยน์ตาเหลืองราวอำพันจดจ้องมาทางหญิงสาวที่หลบอยู่หลังเสาหิน ยามเมื่อแย้มปาก คมเขี้ยวขาวเรียงสลอน ปลายขนดหางปรากฏเป็นกระเปาะคล้ายงูหางกระดิ่งขนาดมหึมา
“แม่เจ้า! ช่วยลูกด้วย” อารีสพนมมืออัตโนมัติ ตัวสั่นงันงก กระทั่งอสรพิษตัวเขื่องเลื้อยถลาเข้าฉกเสาหินซึ่งเป็นที่กำบังของหล่อน หญิงสาวก็รีบกระโจนออกทันที
เสียงเสาหินแกรนิตแตกกระจายดังไปทั่ว ก้อนหินกระเด็นกระดอนคนละทาง เศษหินคมบางส่วนกระจายบาดเข้าที่เนื้อตัวและใบหน้าของหญิงสาวซึ่งกลิ้งคลุกฝุ่นไปตามพื้น
เสียงขู่ฟ่อดังขึ้นอีกระลอก อารีสพยายามยันตัวลุกวิ่งหนี หากงูยักษ์กลับเลื้อยอ้อมมาขวางหน้าแล้วพุ่งตัวฉกอีก ทว่าอารีสไวกว่า กระโดดเบี่ยงตัวหลบไปอีกฟาก การประทุษร้ายจึงพลาดไป
หญิงสาวลุกรุดไปข้างหน้า มองเห็นพระราชวังเดิมซึ่งคงเหลือเพียงกำแพงอิฐปนโคลนและเสาหินแกรนิต ส่วนเพดานนั้นหายไปเรียบร้อย ลมหอบฝุ่นทรายม้วนตัวตลบเป็นม่าน ครั้นบางตัว หญิงสาวก็วิ่งเข้าไปในส่วนพระราชวังซึ่งเต็มไปด้วยห้องหับ หันซ้ายแลขวาเห็นว่าไม่มีงูจึงหลบในห้องๆ หนึ่ง
ในอกของอารีสหวาดกลัวจับใจ น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม หากไม่กล้าแม้เพียงส่งเสียงร้อง หล่อนคู้ตัวนั่งสะท้านที่มุมห้อง รอบข้างเป็นหินแกรนิตต่างจากห้องอื่นซึ่งเป็นผนังอิฐปนโคลน คาดเดาว่าที่นี่คงเป็นห้องอาบน้ำ
เสียงลากพื้นทรายดังอีกครั้ง มีเสียงขู่ฟ่อในลำคอลอยเข้ามาใกล้ หญิงสาวได้แต่ประสานมือภาวนาอย่าให้มันพบเลยว่าหล่อนอยู่ที่ไหน หากอยู่ๆ เสียงลากพื้นทรายกลับหยุดเงียบ มีเพียงเสียงขู่ฟ่อในลำคอที่ดังอยู่ไม่ห่าง ครั้นอารีสแหงนมองไปด้านบน ก็พบดวงตาสีอำพันฉายวาววับ พร้อมคมเขี้ยวเรียงสลอนมุ่งตรงมาที่หล่อน
อารีสกรีดร้องพลางกระโดดหลบ งูยักษ์พุ่งตัวฉกจนกำแพงหินแกรนิตถล่มราบ หญิงสาวได้จังหวะขณะที่อสรพิษกำลังมึนงง วิ่งหลบสลับไปตามห้องหับต่างๆ ราวเขาวงกต งูใหญ่ก็เลื้อยตามไปทุกแห่ง ทลายผนังอิฐปนโคลนนั้นจนสิ้น
ครั้นไม่อาจอยู่หลบเร้นภายในพระราชวังเดิมได้ อารีสจึงหนีออกไปด้านนอก ลอดวงกบประตูแกรนิตเตรียมขึ้นเนินด้านบน หากต้องชะงักงัน เมื่อพบผู้ที่ยืนรอท่ามกลางความแห้งแล้งแห่งผืนทราย
'อานูบิส เทพแห่งพิธีมรณะ' พร้อมสัตว์เทพผู้ติดตาม 'อัมมุท'
อารีสอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนหนีเสือปะจระเข้ หันมองเบื้องหลังยังเห็นงูยักษ์ขนาดใหญ่ไล่ล่าหล่อน ทลายที่หลบซ่อนทุกแห่งจนราพนาสูร เบื้องหน้าปรากฏเทพเจ้าแห่งพิธีศพผู้มีเศียรเป็นหมาในสีดำประทับยืนรอพร้อมตัวเขมือบความตาย สัตว์อสุรกายตามคำบอกเล่าของอนัตตา
‘ผมกำลังอธิบายลักษณะตัวอัมมุทครับ มันเรียกอีกอย่างว่าตัวเขมือบความตาย’ อนัตตาเคยเล่าเรื่องราวของอัมมุทให้หล่อนฟังเมื่อวันวาน อารีสจำได้ดี ‘ผมกำลังเล่าว่ามันเป็นสัตว์ในเทพปกรณ์อียิปต์ หัวเป็นจระเข้ ตัวด้านหน้าเป็นสิงโต ตัวด้านหลังเป็นฮิปโปโปเตมัส’
เบื้องหลังคือนักล่าที่กำลังตามฆ่าหล่อน หากเบื้องหน้าคือเจ้าแห่งความตาย ดูราวกับว่าหล่อนคงไม่มีทางรอดพ้นไปได้
ครั้นจนด้วยหนทางจะหลบหนี หญิงสาวจึงได้แต่ก้มหน้าร่ำไห้ น้ำตาไหลหยดเป็นเม็ดลงบนพื้นทรายแห้งผาก หากอึดใจ...ก็คล้ายเวลารอบตัวจะหมุนช้าลง เม็ดทรายซึ่งถูกแรงลมหอบให้ม้วนตัวตลบแทบหยุดค้าง อารีสมองเห็นกระทั่งเม็ดทรายเล็กๆ ที่ลอยกลางอากาศ หันมองงูยักษ์ก็พบว่าเคลื่อนตัวช้าลงมาก แม้เศษอิฐปนโคลนที่พังกระจายก็ลอยคว้างอย่างเนิบช้า
แล้วชั่วพริบตาต่อมา อารีสก็พบผ้าลินินสอดเส้นทองที่หล่อนกำลังตรวจสอบผุดขึ้นจากพื้นทรายใต้ฝ่าเท้า คลี่ตัวโอบรัดร่างนับแต่ขาขึ้นมาโอบล้อมลำตัว กระทั่งปิดทั้งใบหน้าจนอารีสหายใจไม่ออก แล้วจากนั้นทุกอย่างก็มืดมน
+++++++++++++++++++
อารีสลืมตาตื่น หายใจเหนื่อยหอบ รับรู้ได้ว่าความฝันเมื่อครู่ช่างเหมือนจริงมาก หล่อนกลัวจับใจกับการหนีงูใหญ่ตัวนั้น ทั้งผวาเหลือเกินเมื่อต้องเผชิญหน้าเทพแห่งพิธีมรณะกับอสุรกายเขมือบความตาย กระทั่งทอดหายใจ หยัดตัวลุกขึ้นกระชับผ้าลินินซึ่งคลุมร่างเดินไปส่องกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง บางสิ่งกลับทำให้หล่อนประหลาดใจ
ใบหน้านวลขาวและเนื้อตัวบางแห่งปรากฏรอยแผลคล้ายถูกของมีคมบาด ตามเนื้อตัวถลอกปอกเปิกเหมือนถูกถูไถ ขีดครูดจากของขรุขระ กลิ่นความแห้งแล้งและพื้นทรายยังคงติดอยู่ในจมูกและปาก
“เกิดอะไรขึ้นกับฉัน” มือสั่นเทาสัมผัสรอยแผลที่ใบหน้าและเนื้อตัว หล่อน ‘รู้สึก’ เจ็บ ยืนยันแน่ชัดว่าไม่ใช่ความฝัน
ครั้นหันมองเงาสะท้อนด้านหลัง ถุงบรรจุผ้าลินินลีบตัว และผ้าลินินผืนดังกล่าวก็กลายมาคลุมไหล่ของหล่อน
อีกฝั่ง...อารีสพบแสงวาววับสีทับทิมจากสร้อยข้อมือทองขึ้นรูปแมงป่องหล่นอยู่ที่พื้นข้างเตียง อารีสจำได้แม่นยำว่ายังไม่ได้ถอดออก และผ้าลินินโบราณที่หล่อนกำลังห่มอยู่ก็ยังคงม้วนอยู่ในถุงบรรจุ
หญิงสาวขมวดคิ้วจ้องใบหน้าตนเองในกระจก แล้วอึดใจใบหน้าก็ซีดเผือด ชักเท้าหนีจากโต๊ะเครื่องแป้งแทบไม่ทัน
“งู!”
ในบานกระจก ปรากฏเงารางของงูยักษ์ในความฝัน แย้มปากเห็นไรฟันพร้อมแลบลิ้นสองแฉกตวัดอากาศ นัยน์ตาสีอำพันจดจ้องมองหล่อนไม่วาง ก่อนจะเลือนหายไปกลายเป็นเงาของหล่อน หากกลิ่นสาบงูระคนกลิ่นตมน้ำลึกยังคละคลุ้ง วนเวียนรอบกายไม่จางหายตามภาพที่เห็น ช่วงเวลานั้นเองที่หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ในหัวเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สองมือดึงผ้าลินินผืนโบราณกระชับคลุมไหล่ไม่รู้ตัว
+++++++++++++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 มิ.ย. 2555, 09:02:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 มิ.ย. 2555, 09:02:54 น.
จำนวนการเข้าชม : 1502
<< อัสวาน (๓) | อาบูซิมเบล (๑) >> |