ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: อาบูซิมเบล (๑)

++++++++++++++

เต็นท์ขนาดใหญ่ถูกตั้งไว้ริมทะเลสาบนัสเซอร์ บริเวณไม่ห่างจากที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบล พื้นที่ทั้งหมดถูกล้อมรั้วตะแกรงเหล็ก กั้นจากเขตวิหารอาบูซิมเบลและวิหารเนเฟอตารีด้านหลัง ซึ่งเหล่านักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม มีบางคราวนักท่องเที่ยวเข้ามาด้อมมองว่าภายในรั้วมีอะไร เจ้าหน้าที่ของทางภาครัฐที่คอยมาดูแลก็มักจะกันออก พร้อมอธิบายถึงจุดประสงค์การสำรวจอย่างคร่าวๆ

ภายในรั้วตะแกรงเหล็ก เหล่าคณะสำรวจและคนงานต่างขมีขมันในการทำงาน อารีสเสร็จงานช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็ถูกวิลเลียมบังคับให้มานั่งพักที่เต็นท์ส่วนที่พัก คอยทอดสายตามองเต็นท์ส่วนทำงาน เป็นเสาเหล็กขนาดกลาง ๕ ต้น ขึงค้ำหลังคาผ้าร่มสีอ่อน แข็งแรงพอจะต้านลมได้ในระดับหนึ่ง

ภายในเต็มไปด้วยเครื่องมืออิเลคทรอนิกส์ ทั้งคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับพิมพ์งาน สำหรับใช้ควบคุมเรือดำน้ำเล็ก จอภาพซึ่งใช้ดูสิ่งที่กล้องเรือดำน้ำเล็กจับได้ภายใต้ทะเลสาบ มีเครื่องปั่นไฟที่สามารถปั่นไฟและให้พลังงานไฟฟ้าได้สูงกว่าปกติ รวมถึงเครื่องปิ้งขนมปัง ตู้เย็นขนาดกะทัดรัด เครื่องทำน้ำร้อนและอื่นๆ

นักสำรวจทุกคนสวมชุดผ้าฝ้ายสีอ่อนหากทะมัดทะแมง มีหมวกนิรภัยสีเหลืองแข็งและแว่นตาครบชุด รองเท้าเป็นรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ

ส่วนรอบตัวอารีสเป็นเต็นท์ที่พัก สำหรับพักกลางวัน หรือเมื่อเกิดไม่สบายเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างวัน ผนังสามด้านมีผ้าร่มสีอ่อนคลุมไว้ กรองแดดและป้องกันลมที่หอบพัดฝุ่นทรายเข้ามา ภายในมีเตียงพับได้กางอยู่ประมาณ ๑๐ ที่ นอกจากนั้นยังมีพัดลมเครื่องใหญ่ให้ความเย็นและกระเป๋ายาสามัญประจำบ้าน

อันที่จริงวันนี้หล่อนเกือบชวดการมาสำรวจ เมื่อเพื่อนในกลุ่มพบว่าหล่อนมีสภาพบาดเจ็บในตอนเช้า หญิงสาวยังจำได้ถึงเหตุการณ์ที่โรงแรม

‘ไม่ได้หรอกอารีส...เจ็บตัวขนาดนี้จะไปได้ยังไง’ วิลเลียมซึ่งเตรียมออกเดินทางร้องห้าม สายตาที่มองหล่อน อารีสดูออก มันเต็มไปด้วยความสงสาร หากเขาก็ยังยืนหยัดในคำสั่งของตนเอง ‘เธอพักอยู่ที่นี่ล่ะอารีส ได้ความยังไงเดี๋ยวอ่านรายงานก็รู้’

‘มันไม่เหมือนกับการที่ได้เห็นด้วยตาหรอกนะวิล’ อารีสขอร้อง หันมองอนัตตาราวขอความช่วยเหลือ

‘นี่!’ อยู่ๆ ไอซิสก็โพล่งขึ้นกลางวง ปรายตามองหญิงสาวราวปลายแส้ ‘ไม่ช่วยก็อย่าเป็นตัวถ่วง ลำพังตัวเธอก็ซุ่มซ่ามเงอะงะ ตามไปไม่พลัดตกทะเลสาบตายเหรอ แค่เข้าห้องน้ำก็ลื่นล้มได้แผลมาทั้งตัว’

อารีสเถียงทันควัน จ้องหน้าอีกฝ่ายไม่คร้ามเกรง

‘ฉันดูแลตัวเองได้หรอก ไม่ต้องให้ใครมาเป็นห่วง’ หญิงสาวรู้ดีว่าตนเองให้เหตุผลกับทางคณะสำรวจว่าล้มในห้องน้ำจนได้แผล หากอดยิ้มหยันกวนโมโหอีกฝ่ายไม่ได้ ‘ถ้าฉันจะตกทะเลสาบตายคงไม่ใช่เพราะซุ่มซ่าม แต่คงเป็นพวกที่ซุ่มทำร้ายกันมากกว่า’

‘อย่างนั้นตายไปเลยดีไหม อีริส’ ไอซิสตะคอก ปราดตัวเตรียมเข้าประชิด หากวิลเลียมรีบเข้ามาขวาง

‘หยุดเดี๋ยวนี้นะ!’ สองมือของชายหนุ่มกางกั้น หันมองทั้งหล่อนและไอซิสราวพ่อเสือ ‘ฉันเคยบอกแล้วไง ถ้ามีเรื่องทะเลาะวิวาทจะตัดสินยังไง’

ทั้งอารีสและไอซิสเงียบไปโดยปริยาย เชิดหน้าไม่มองกันจนผู้เข้าขวางต้องถอนใจ

‘นี่ก็อีกเรื่องที่ฉันไม่อยากให้ไปด้วยกัน เพราะทะเลาะกันแบบนี้ยังไงล่ะ’ วิลเลียมชี้แจง หากหญิงสาวไม่ละความพยายาม

‘อย่างนั้นฉันจะไม่ไปใกล้ ไม่ไปยุ่งกับ อี-ซุส อีก’ หล่อนเน้นชื่อ ‘ขอฉันไปด้วยเถอะนะวิล อย่างน้อยปัญหาเรื่องผ้าลินินจะได้คลี่คลายไวๆ’

ไอซิสปรายตาขุ่นแค้น หากไม่อาจทำอะไรหล่อนได้ เช่นเดียวกับหญิงสาวที่มองอีกฝ่าย ท่ามกลางสมรภูมิรบเล็กๆ วิลเลียมส่ายหน้าเอือมระอา หากอนัตตาก็เข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้ทันท่วงที

‘เอาอย่างนี้ เดี๋ยวฉันจะดูแลอารีสเอง’ เขาเสนอ ‘ส่วนนายก็คอยแยกไอซิสให้ไปทำงานห่างๆ หน่อยก็แล้วกัน’

อารีสยิ้มแป้น รีบเข้าไปควงแขนอนัตตารวดเร็ว ฝ่ายอนัตตาก็ได้แต่ทอดหายใจเหนื่อยอ่อนไม่ต่างจากนักโบราณคดีหนุ่มชาวอังกฤษ

‘เอาล่ะ ฉันมีคนดูแลแล้ว’ หญิงสาวลอยหน้าลอยตาพูดกับเพื่อนหนุ่มผู้นำทีม ‘ไปซิ’

คิดแล้วก็นึกดีใจที่มีอนัตตาอยู่ ไม่อย่างนั้นอารีสอาจไม่ได้ออกมาชมทะเลสาบนัสเซอร์ มองวิหารเนเฟอร์ตารี

อาจเป็นความโชคดี หรือโชคชะตาที่ทำให้ได้มาพบกับผู้ชายคนนี้ แม้การพบกันเพียงไม่กี่วัน กลับทำให้หญิงสาวผูกพันอย่างลึกซึ้ง นับแต่วันแรกที่พบเจอ เขาก็เข้ามาปั่นป่วนอารมณ์ของหล่อน ใบหน้าคมคาย รอยยิ้มที่มีอยู่เป็นนิจ

เหล่านั้นทำให้อารีสคิดถึง ‘พ่อ’ และ ‘พี่ชาย’

คิดๆ น้ำตาก็คลอรื่น กระทั่งเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกเต็นท์ หญิงสาวจึงรีบปาดน้ำตาแล้วหันไปมองผู้ที่เดินเข้ามา

“คุณนัต” เป็นชายหนุ่มนั่นเอง เขาเดินเข้ามาพร้อมกาแฟในมือสองแก้ว กลิ่นกาแฟนั้นหอมจนน้ำลายสอ “กาแฟกลิ่นหอมจัง สงสัยจะเป็น ‘ซิยาดา’ แน่ๆ”

อนัตตาขมวดคิ้วสงสัย พลางยื่นแก้วกาแฟให้หญิงสาว ก่อนจะนั่งข้างๆ หล่อน เบียดชิดจนอารีสรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมา

“จริงด้วย” หญิงสาวหันไปมองชายหนุ่มซึ่งนั่งข้างๆ หลังลิ้มรสกาแฟ “หวานขนาดนี้เป็นกาแฟแบบซิยาดา เขาจะใส่น้ำตาลมากเป็นพิเศษ”

“คุณอารีสเก่งจัง” ชายหนุ่มหันมาชม ยิ้มให้อย่างอบอุ่น “เรื่องอาหาร เรื่องของกิน ผมแทบไม่ได้ใส่ใจเท่าไร แต่คุณอารีสนี่ ปราดเดียวก็บอกได้ว่าเป็นอะไร”

“ก็บอกแล้วนี่คะ ฉันน่ะอ้วนไม่กลัว กลัวแต่จะอด”

แล้วเสียงหัวเราะของทั้งสองก็ดังคละเคล้ากันไป ต่างฝ่ายต่างแบ่งปันประสบการณ์ของตนให้กันและกันฟัง อารีสมักเล่าเรื่องราวขนมนมเนยและอาหาร บางครั้งก็เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ต่างๆ ในยุคฟาโรห์ที่นำมาถกเถียงและหาข้อสรุป ส่วนอนัตตาเองก็มักเล่าเรื่องเทพปกรณ์อียิปต์ที่เขาสันทัดให้หล่อนฟัง หรือไม่ก็เป็นเรื่องการขุดย้ายวิหารอาบูซิมเบลเมื่อครั้งเริ่มต้นสร้างเขื่อนอัสวาน

“ใครจะไปเชื่อครับว่ามนุษย์สมัยเราจะยกภูเขาทั้งก้อนออกมาตั้งเป็นวิหารด้านหลังเราได้” อนัตตาชี้ผ่านผนังผ้าร่มซึ่งบดบังแสงแดดเอาไว้ หากอารีสรู้ดี มองผ่านไปคือวิหารอาบูซิมเบลอันยิ่งใหญ่ตระกานตา “นี่ถ้าคุณอารีสได้เห็นภาพตอนเขาตัดวิหารยักษ์ของรามเสสที่ ๒ ออกจากหน้าผาเป็นแท่งๆ แล้วเอาไปประกอบกันใหม่ด้านบน...”

“ฉันไม่ชอบวิหารนั่น” หญิงสาวโพล่ง ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังฟุ้งเรื่องความยิ่งใหญ่ระหว่างการขนย้ายวิหารชะงักงัน

“อะไรนะครับ” เขาขมวดคิ้ว

“เอ่อ...ฉันหมายถึง...ฉันชอบวิหารเนเฟอร์ตารีมากกว่าค่ะ วิหารของ...” นิ่งไปอึดใจ ในอกรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่จะเอ่ยพระนามของฟาโรห์ “วิหารของ...ฟาโรห์ ดูยิ่งใหญ่มาก มองแล้วน่ากลัว ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไร”

แล้วหล่อนก็ยิ้มกลบเกลื่อน เบือนหน้าหนี

อนัตตาพยักพเยิดคล้ายเข้าใจในความรู้สึก จากนั้นอารีสจึงเปลี่ยนประเด็นไปถามเรื่องการสำรวจแทน

“ว่าแต่สำรวจถึงไหนแล้วคะ”

“ตอนนี้เรือดำน้ำเล็กกำลังเคลื่อนเข้าไปตามห้องลับครับ ในวิหารของฟาโรห์รามเสสไม่มีอะไรอีก แต่ในวิหารเนเฟอร์ตารียังมีห้องลับที่ถูกสร้างขึ้นต่อ ตอนนี้วิลเลียมเลยมุ่งประเด็นไปที่วิหารเนเฟอร์ตารี” เขาอธิบาย พลางจิบกาแฟ “รู้ไหมครับ หีบเครื่องสำอาง หีบเครื่องประดับ หรือแม้แต่หีบใส่ผ้าลินินโบราณผืนที่คุณอารีสกำลังตรวจสอบอยู่ก็ได้มาจากการขุดที่ตั้งเดิมของวิหารเนเฟอร์ตารีนะครับ เขาเลยคาดว่าน่าจะมีอีกหลายอย่างซ่อนอยู่”

ยิ่งได้ยินพระนามของพระนางเนเฟอร์ตารี จิตใจของอารีสก็เริ่มล่องลอยออกจากเรื่องที่อนัตตาเล่าให้ฟัง หล่อนกำลังหวนคิดถึงความฝันเมื่อคืน ภายในห้องรโหฐาน ท่ามกลางเสียงประโคมดนตรี การร่ายรำ และกลิ่นเครื่องหอม บาสตีนำผ้าลินินผืนงามซึ่งนางเป็นผู้ทอไปถวาย พระนางงดงามหมดจด หากบุคคลที่เกี่ยวข้องอีกรายกลับปรากฏให้แปลกใจ

‘เมอริตเน็บท์เฮ็ท’

“ใคร?” อารีสรำพึง หากอนัตตาที่นั่งข้างๆ ได้ยิน

“ใคร...หมายถึงอะไรเหรอครับ” เสียงนั้นปลุกหญิงสาวจากภวังค์ หล่อนหันมองชายหนุ่ม ตั้งใจจะกลบเกลื่อนอย่างที่แล้วมา แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายเชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ เทพปกรณ์ เขาอาจให้คำตอบกับหล่อนได้

“เอ่อ...คุณนัตพอจะรู้จักคนที่ชื่อเมอริตเน็บท์เฮ็ทในช่วงสมัยของฟาโรห์...” หล่อนนิ่งไปอีก อึดใจจึงเปลี่ยนคำพูดใหม่ “ในสมัยของพระนางเนเฟอร์ตารีไหมคะ”

“เมอริตเน็บท์เฮ็ท เอ...?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ไม่เคยได้ยินนะครับ แต่ชื่อแปลกดี เมอริตเน็บท์เฮ็ท...ที่รักแห่งเทวีเนฟธิส คุณอารีสไปได้ยินมาจากที่ไหนเหรอครับ”

“อ๋อ...เอ่อ...เหมือนจะเคยได้ยินค่ะ” หล่อนไม่กล้าบอกไปตามตรง “แต่ทราบแน่ชัดว่าน่าจะอยู่สมัยพระนางเนเฟอร์ตารี คล้ายจะรุ่นราวคราวเดียวกันด้วย ตามที่ได้ยินมานะคะ”

อารีสทิ้งท้าย ให้น้ำหนักต่อเรื่องเล่า

“ถ้ามีความสำคัญจนมีชื่อเสียง ให้เดาก็คงเป็นสตรีในราชนิกุลที่เกี่ยวข้องกับฟาโรห์หรือราชินี ไม่เป็นพระญาติของกษัตริย์หรือราชินี ก็อาจเป็นชายาหรือไม่ก็อนุชายานางหนึ่งของฟาโรห์” อนัตตาตั้งข้อสันนิษฐาน หญิงสาวเองก็ได้แต่พยักพเยิดเข้าใจ

“รามเสสที่ ๒ ทรงเป็นกษัตริย์นักรัก นอกจากชายากว่ายี่สิบนาง ยังมีอนุชายาอีกนับพัน” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ดื่มกาแฟจนหมด ก่อนจะหันมายิ้มให้หญิงสาว “แต่ก็น่าทึ่งนะครับ ที่พระนางเนเฟอร์ตารีสามารถเอาชนะชายาและอนุชายาทั้งปวงขึ้นเป็นชายาเอกขององค์ฟาโรห์รามเสสที่ ๒ ได้ มิหนำซ้ำองค์ฟาโรห์ยังให้เกียรติสร้างวิหารเนเฟอร์ตารีถวายเป็นของขวัญ ไหนจะสุสานของพระนางที่หุบผาราชินีอีก”

อารีสนึกไปถึงวิหารสวยงามที่หล่อนเคยไปเยี่ยมชม พลางอมยิ้มภูมิใจแทนพระนางผู้เป็นที่รักและเคารพ

‘ซีสติน ชาร์เปล แห่งอียิปต์’

วิหารสุสานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวิหารสุสานทั้งหมด บ้านชั่วนิรันดร์ซึ่งฟาโรห์รามเสสที่ ๒ สร้างถวายพระนางเนเฟอร์ตารี ผนังสุสานสีสดใส มีภาพพระนางในอิริยาบถต่างๆ ประกอบด้วยเหล่าทวยเทพ ข้าทาสบริวาร และเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์

“ดูท่าองค์ฟาโรห์จะทรงรักพระนางเนเฟอร์ตารีจริงๆ เพราะไม่มีธรรมเนียมในการสร้างรูปสลักราชินีให้ใหญ่เทียบเท่าฟาโรห์หรอกครับ ไม่ขนาดเล็กกว่าก็ต้องคุกเข่า แต่ที่วิหารเนเฟอร์ตารีนี่สิ ดูสถานะของพระนางจะต่างออกไป รูปสลักของพระนางใหญ่เทียบเท่าฟาโรห์รามเสส รูปสลักหินขนาดยักษ์หน้าวิหาร ถ้าสังเกตดีๆ มี ๖ รูป เป็นฟาโรห์รามเสสที่ ๒ มากกว่าก็จริง แต่รูปสลักของพระนางกลับประทับตรงกลางทั้งสองฝั่ง ขนาบข้างรูปสลักพระนางด้วยฟาโรห์ เวลายืนมอง ผมว่า...ให้ความรู้สึกเหมือนพระนางเนเฟอร์ตารีทรงเป็น ‘มหาราชินี’ ที่มีองครักษ์ขนาบข้างมากกว่า”

อนัตตาออกความเห็น อารีสที่กำลังนึกตามอมยิ้มภาคภูมิ

“ยิ่งถ้าคุณอารีสได้ไปดูข้างใน มีภาพเขียน ภาพสลักของพระนางเนเฟอร์ตารีถวายบรรณาการต่อเทพเจ้า ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ ผมเลยคิดว่าพระนางคงเป็นที่รักยิ่งขององค์ฟาโรห์ หรือไม่...ก็มีพระราชอำนาจมากทีเดียว มากพอๆ กับฟาโรห์ แต่ก็นี่ล่ะครับถึงเรียกว่า ‘รัก’ ความรักซึ่งเป็นการให้เกียรติ ฟาโรห์รามเสสที่ ๒ ทรงเป็นบุรุษที่ยึดมั่นต่อความรัก และให้เกียรติสตรีผู้เป็นที่รักโดยแท้”

คราวนี้อารีสชะงักงัน อยู่ๆ ในความคิดก็รู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาคล้ายว่าคำพูดของอนัตตาทำให้หล่อนเกิดไม่พอใจ

‘บุรุษที่ยึดมั่นต่อความรัก และให้เกียรติสตรีผู้เป็นที่รัก’ ความคิดเห็นข้อนี้ อารีสแทบอย่างจะโต้ตอบด้วยการยิ้มหยัน

แต่เพราะอะไร?

เพราะอะไรหล่อนถึง ‘ไม่ชอบ’ ฟาโรห์รามเสสเป็นนักหนา อึดอัดทรมานยามจะเอ่ยพระนาม แม้ยามเขียนก็ไม่สามารถทำได้ ไม่ปรารถนาจะมองกระทั่งพระพักตร์ รูปสลักหรือเศษทรายที่หลุดร่วง มิหนำซ้ำยังรู้สึกชิงชัง ขมขื่น เมื่อมีคนเชิดชู โดยเฉพาะในเรื่อง ‘ความรัก’

“เป็นอะไรไปครับ” อนัตตาถาม มองหน้าอารีสอย่างสงสัย “อยู่ๆ ก็นิ่งไป”

“เอ่อ...” หล่อนพยายามกลบเกลื่อน “กำลังนึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระนางเนเฟอร์ตารีอยู่ค่ะ”

ชายหนุ่มพยักพเยิด ตั้งใจจะพูดต่อ หากเสียงเรียกและเสียงฮือฮาจากเต็นท์ที่ทำงานทำให้เขาและอารีสเกิดสงสัย ต้องรีบออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น

+++++++++++++++

อนัตตาและอารีสวิ่งออกมาดู เห็นวิลเลียม หลุยส์ ไอซิส รวมถึงสมาชิกทีมคนอื่นมุงอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทั้งหลายต่างส่งเสียงฮือฮาลั่น คล้ายกำลังแปลกใจกับสิ่งที่พบเจอ

“มีอะไรกันเหรอ” อนัตตาร้องถาม วิลเลียมจึงแหวกหมู่ชนออกมาลากตัวชายหนุ่มเข้าไปดู

“นัต...ดูนี่สิ” วิลเลียมพาอนัตตามายื่นหน้าจอคอมพิวเตอร์ ชี้ชวนให้อีกฝ่ายดูภาพในจอซึ่งติดต่อกับกล้องของเรือดำน้ำเล็ก “นายเห็นฟองอากาศกับโพรง แล้วก็แสงสะท้อนสีทองนั่นไหม ฉันคิดว่าเราเจอห้องลับอีกห้อง หลังวิหารเนเฟอร์ตารีแล้ว”

อนัตตาพยายามเพ่ง เห็นภาพในน้ำลึก มืดมัว มีตะกอนและฝุ่นดินลอยผ่านกล้องไปมา สัตว์น้ำตัวเล็กจ้อยว่ายผ่านบ้างบางครั้ง ด้านหลังซึ่งผู้บังคับเรือดำน้ำเล็กจากแผงควบคุมพยายามฉายไฟส่อง ชายหนุ่มเห็นช่องขนาดกำปั้น มีความหนากว่าช่องการสำรวจที่ผ่านมา เรือดำน้ำเล็กจึงไม่อาจขุดเจาะหรือผ่านเข้าไป ด้านหลังช่องนั้น ปรากฏฟองอากาศผุดแล้วหายเป็นระยะ

อาจเป็นโพรง...เป็นห้อง

สำคัญกว่า...ยามเมื่อแสงไฟกระทบบางสิ่งภายในนั้น มันกลับแวววาวเป็นสีทอง อยู่นิ่งไม่ไปไหน คาดเดาเอาว่าคงเป็นสมบัติจำพวกทองคำที่ฝังไว้ในห้องดังกล่าว

“เยี่ยม” อนัตตายิ้ม หากอึดใจสีหน้านั้นกลับเรียบเฉย “แต่จะเข้าไปยังไง เรือดำน้ำไม่สามารถเจาะเข้าไปได้แน่ๆ ผนังหนาขนาดนั้น แล้วทางภาครัฐเองก็คงไม่อนุญาตให้ใช้การระเบิด”

ชายหนุ่มแสดงความคิดเห็น เขาเป็นตัวแทนภาครัฐบาล ย่อมรู้แน่ว่าสิ่งใดที่ภาครัฐจะสามารถช่วยได้ และสิ่งใดที่เกินขอบเขต

หากวิลเลียมโบกมือราวกับบอกใบ้ว่าอย่าได้กังวล

“ไม่ต้องห่วง เพราะจากแผนผังการขุดสำรวจ” เขาลากอนัตตาไปดูโครงสร้างการขุดสำรวจซึ่งบันทึกไว้ อารีสเองก็ตามติดไปดูด้วยความอยากรู้ เช่นเดียวกันกับหลุยส์และสมาชิกคนอื่น ส่วนไอซิสแยกไปจัดการเตรียมของว่างเป็นแซนด์วิชเนื้อและกาแฟสำหรับทุกคน

บนโต๊ะที่อนัตตาเห็น มีแผ่นกระดาษวาดแปลนการสำรวจวางเอาไว้เต็มโต๊ะ บนกระดาษขาวร่างภาพทะเลสาบและหน้าผาหิน ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของวิหารเนเฟอร์ตารี มีรอยขีดขนาน คล้ายเส้นทางการขุดเจาะ กับการกำหนดจุดพิกัดต่างๆ

“ดูนี่” วิลเลียมชี้ชวน “พวกเราเริ่มขุดเจาะจากด้านฐานของวิหารเนเฟอร์ตารีซึ่งพบว่าเป็นผนังบางๆ กั้นระหว่างน้ำในทะเลสาบกับห้องลับภายใน ถ้านายสังเกต เมื่อครั้งที่ตัดภูเขาทั้งลูก เอาวิหารเนเฟอร์ตารียกมาด้านบน ความห่างของรอยตัดสุดท้าย อยู่ช่วงชิดผนังของห้องลับสุดท้ายพอดี”

วิลเลียมหันไปหยิบดินสอซึ่งหลุยส์เหน็บไว้ที่หูออกมาจุดตำแหน่ง อนัตตาลอบมอง เห็นหนุ่มแว่นก้มหน้างุด ใบหน้าสีชมพูเรื่อ คาดว่าเมื่อคืนคงพูดคุยกันเข้าใจแล้ว

“ตรงนี้ไง” หนุ่มอังกฤษจุดดินสอลงบริเวณเริ่มการขุดสำรวจ “จากนั้นเราก็สำรวจมาเรื่อย ช่องทางที่เรือดำน้ำเล็กขุดขึ้นไปมีความชันประมาณ ๓๐ องศา ถ้าขีดเส้นจากแนวระนาบของฐานวิหารเนเฟอตารี เริ่มชันขึ้นไปจนพ้นระดับน้ำ ตรงนี้ยังไงที่เราเจอผนังหนากั้นอยู่ พร้อมฟองอากาศ พ้นระดับน้ำพอดี”

“นายหมายความว่า ที่เราเริ่มขุดสำรวจคือห้องสุดท้าย แต่ปากทางน่าจะอยู่ด้านบนเหรอ” อนัตตาแสดงความเห็น วางข้อสันนิษฐานที่คาดว่าน่าจะเป็น

“ใช่” วิลเลียมพยักพเยิด “ถ้านายสังเกตแผนผังการสร้างสุสาน วิหารหรือแม้แต่พีรามิด แต่อาจเว้นพีรามิดแห่งกิซาของคูฟู แต่นั่นล่ะ...ตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรใหม่ ห้องต่างๆ หรือทางเข้า ล้วนแต่ขุดเป็นทางทำองศาลงจากพื้นระนาบ ดังนั้นคงแปลกถ้าห้องที่เรากำลังค้นหาสร้างด้วยการขุดทำองศาขึ้น ข้อสันนิษฐานของฉันก็คือ...ทางเข้าห้องนี้ น่าจะอยู่ด้านหลังที่ตั้งวิหารเนเฟอร์ตารีในปัจจุบัน ไกลออกไปอีกหลายร้อยเมตร”

วิลเลียมว่าพลางจับไม้บรรทัดวางตามแนวการขุดสำรวจเดิม ใช้ดินสอลากเส้นจากจุดนั้นทำองศาขึ้น จากฐานที่ตั้งวิหารใต้ทะเลสาบ ผ่านที่ตั้งวิหารใหม่ จนไปโผล่ด้านหลังซึ่งวัดตารางเทียบความยาวก็ไกลอยู่พอสมควร

“ทางเข้าน่าจะอยู่ทางนี้” หนุ่มอังกฤษวงกลมย้ำบริเวณที่คาดการณ์ว่าเป็นทางเข้าแท้จริงของห้องลับ ทุกคนก็เห็นด้วย

“เป็นว่าฉันก็ต้องรายงานเรื่องไปถึงทางภาครัฐเพื่อขออนุญาตทำการขุดสำรวจพื้นที่ใหม่” อนัตตาพูดอย่างผู้รู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ วิลเลียมเองก็พยักพเยิดยอมรับ หากสีหน้าท่าทางกลับไม่ได้เคร่งเครียดอย่างที่ควรเป็น

“แต่นายแค่เขียนรายงานไปแค่นั้นก็คงพอ ฉันว่าเดี๋ยวรายงานเรื่องนี้ให้คุณเกียนรับทราบ เรื่องใบอนุญาตต่างๆ ของทางภาครัฐคงจะได้มาในไม่ช้า” วิลเลียมเสนอพลางยักไหล่ หากอนัตตากลับเสหน้าออก ยิ้มเยาะน้อยๆ

ชายหนุ่มไม่ได้ยิ้มเยาะวิลเลียม หากนึกยิ้มเยาะอีริค เค เกียน นายหน้าหนุ่มใหญ่ที่สามารถเข้านอกออกในทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะบริษัทเนบที เจ้าของแท่นขุดเจาะน้ำมันและเหมืองแร่ เอกชนที่ขึ้นชื่อความยิ่งใหญ่ หากก็ถึงตัวนายใหญ่อย่างมาดามเซติได้ยากลำบาก ดูเหมือนไม่ต้องออกแรงทำอะไรมาก คุณเกียนของทุกคนก็สามารถจัดการได้ทุกสิ่งสรรพ ไม่รู้ว่าตื้นลึกหนาบางจะเป็นอย่างไร

นี่ล่ะ...ที่อนัตตากำลัง ‘ตามหา’ และพยายามจับให้อยู่หมัด

‘คำตอบ’ ที่หน่วยงานบางส่วนของภาครัฐต้องการรู้

สายลมพาดพัด หอบเอาเศษทรายม้วนตลบเข้ามาเล็กน้อย ทุกคนต้องหันหลัง กระทั่งสงบลงอนัตตาจึงแจ้งแก่เพื่อนหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าคณะสำรวจ

“เอาตามนั้น เดี๋ยวฉันจะรายงานให้ทางภาครัฐทราบ นายเองก็แจ้งคุณเกียน” เขาพูด หากไม่ทราบเลยว่า อารีส ‘เห็น’ โดยตลอด แต่ไม่ปริปากพูด

จบการชุมนุม ไอซิสก็ร้องเรียกทุกคนให้มารับอาหารว่าง ทุกคนต่างเดินเป็นแถว รับแซนด์วิชเนื้อและกาแฟ ตามที่หญิงสาวแจกจ่ายจนครบทุกตัวคน

++++++++++++++

หลายๆ คนแยกย้ายไปจัดการอาหารว่างของไอซิสเป็นกลุ่มก้อน ฟากอารีสกับอนัตตาแยกมาบริเวณเต็นท์ส่วนที่พัก เช่นเดียวกับหลุยส์และวิลเลียม

ในช่วงที่ทุกคนกำลังดื่มด่ำกับอาหารและกาแฟหอมกรุ่นละมุนละไม อารีสไม่ได้สนใจอาหารว่างของหล่อนนัก อนัตตาที่นั่งดูอยู่มักเห็นหล่อนชำเลืองเพื่อนหนุ่มกับหลุยส์เป็นระยะ

ฝ่ายนั้นนั่งด้วยกัน ตัวหลุยส์นั่งเงียบ จิบกาแฟกินแซนด์วิชไปเรื่อยๆ จะผิดปกติไปก็คือพวงแก้มสีชมพูจัดขึ้นกว่าเก่าก่อน ส่วนวิลเลียมพยายามเข้าไปเบียดชิด เอาดินสอที่เคยยืมไปขีดเขียนทัดหูคืนเจ้าของ จากนั้นเมื่อแซนด์วิชและกาแฟหมดเกลี้ยง ก็วางถ้วยจานลง เอนหลังพิงอีกฝ่าย หัวซบไหล่ต่างพนักเบาะนวม

“คู่นั้นเขาเข้าใจกันแล้วเหรอคะ” อารีสเอ่ยปากถาม ขณะสายตายยังจับจ้องคู่รักข้าวใหม่ปลามันไม่วาง “ดูวิลสิ เอนหลังพิงหลุยส์สบายใจเชียว หลุยส์ก็อีกคน หน้าแดงเป็นมะเขือเทศสุก”

“คงใช่ครับ” อนัตตาว่าพลางเคี้ยวตุ้ยแซนด์วิชคำสุดท้าย ก่อนจะซดกาแฟจนหมด “เมื่อเช้าผมตั้งใจจะเข้าไปดูว่าหลุยส์เป็นยังไงบ้างหลังจากเรื่องเมื่อวาน ก็เจอพวกเขากำลัง...เอ่อ...ในห้อง”

อนัตตานิ่งเงียบ ปรายตามองอารีสที่หันมาถามอย่างใคร่รู้

“พวกเขาทำอะไรกันในห้องเหรอคุณนัต” หล่อนรบเร้า วางจานแซนด์วิชกับถ้วยกาแฟที่ยังไม่ได้แตะสักคำ

ชายหนุ่มอมยิ้ม นึกสนุกที่ได้กระเซ้า ใบหน้าของหญิงสาวยามนี้แต้มแต่งเพียงบางเบา เหมือนเมื่อคราวที่พบกันครั้งแรก ในวันที่พบหล่อน อารีสนั่งอยู่ในภัตตาคารของเคมพินสกี ไนล์ โฮเตล อยู่ในชุดลินินกรุยกรายสีชมพูอ่อนหวาน เครื่องประดับส่วนใหญ่เป็นหินโรสควอทซ์ ใบหน้าแต้มสีชมพูอ่อนๆ ไม่ฉูดฉาดอย่างหลายวันที่เคยพบเจอ

“พวกเขาอยู่บนเตียง” ชายหนุ่มลดเสียงกลายเป็นกระซิบ เอามือป้องปากราวไม่ต้องการให้ใครอื่นล่วงรู้ “อยู่ด้วยกันบนเตียง ตัวนี้ติดกันไม่ห่าง”

อารีสถึงกับป้องปากตาโต หากไม่ใช่ความตกใจ เพราะแวบเดียวเท่านั้น หล่อนก็โน้มตัวลงมาพูดกับเขา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ใบหน้าแดงจัด นัยน์ตาลุกโชนเป็นประกาย

“เขาทำอะไรกันคะ” หญิงสาวลุกลี้ลุกลน หากอึดใจก็รีบโบกมือห้าม มืออีกข้างปิดหน้าแดงๆ ของตัวเอง “อุ๊ย...อย่าเล่าค่ะ อายจังเลย”

อนัตตาขมวดคิ้ว เกิดความสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรไปกัน

“เอ่อ...แต่คิดอีกทีเล่าเถอะค่ะ” อารมณ์ของอารีสเปลี่ยนกะทันหัน มิหนำซ้ำพูดคราวนี้ยังกลั้วไปด้วยเสียงหัวเราะร่าเริง

“อยากรู้”

อนัตตาส่ายหน้าพลางยิ้ม ผู้หญิงอะไร ‘ประหลาด’ ดีแท้ ทว่าไม่ใช่เขาหรอกหรือที่หลงรักในความประหลาดของหล่อนผู้นี้

“วิลเลียมเขานอนอยู่บนเตียง หลุยส์กำลังนั่ง...” อนัตตาพูดไม่ทันจบ อารีสก็แทบกรีดร้อง หน้าของหล่อนแดงจัดยิ่งกว่าลูกตำลึงสุก

“หลุยส์กำลังนั่ง วิลกำลังนอน” หญิงสาวสั่นราวเจ้าเข้า ดูๆ ไปก็คล้ายคนกำลังจะขาดใจตายอยู่รอมร่อ

“คุณอารีสฟังผมก่อนนะ” ชายหนุ่มพยายามปราม หันมองหลุยส์และวิลเลียมเป็นระยะ เกรงว่าทั้งสองจะสงสัยในบทสนทนา แม้จะในภาษาไทยก็ตามที

ทว่าทั้งคู่ยังคงนั่งอิงซบกันไม่รู้ร้อนรู้หนาว จึงสบายใจไปเปลาะหนึ่ง “คือหลุยส์นั่งดูโทรทัศน์บนเตียงครับ ส่วนวิลเลียมนอนบนเตียง หนุนตักหลุยส์อยู่”

“อ้าว!” สีหน้าหญิงสาวเปลี่ยนโดยฉับไว ถอนหายใจหนักหน่วง ราวกับสิ่งที่คาดหวังพังทลาย

อนัตตาส่ายหน้า พยายามกลั้นหัวเราะ “แล้วคุณอารีสคิดว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่”

“ก็คิดว่ากำลังทำ...” สีหน้านั้นมั่นใจเต็มร้อย หากอึดใจก็ต้องนิ่ง ปากเม้มเป็นเส้นตรง แล้วค่อยกล่าวออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “ดูทีวี”

คราวนี้อนัตตาถึงกับหลุดหัวเราะ แม้หญิงสาวจะส่งค้อนพลางตีแขนอย่างไรก็ไม่อาจระงับ สุดท้ายชายหนุ่มจึงเบนประเด็นเชื้อเชิญอารีสให้จัดการกับของว่างของตัวเองแทน

“รีบจัดการแซนด์วิชกับกาแฟเถอะครับ เดี๋ยวเย็นชืดหมด” ว่าพลางกลั้นหัวเราะพลาง ฝ่ายอารีสก็เบ้หน้า กระเง้ากระงอด หยิบแซนด์วิชมากัดคำโต กลืนลงคอ หากเดี๋ยวนั้นเอง หญิงสาวก็สำลักแซนด์วิช พ่นมันออกมาพร้อมทรายหยิบมือหนึ่ง ครั้นปาของว่างลงพื้น ทรายหยิบมือก็กระจัดกระจายจากไส้ของขนมปัง

“นี่มันทรายนี่นา” อนัตตาร้องด้วยความตระหนก เสียงดังจนทำให้ทุกคนต้องวิ่งเข้ามาดู

เขาประคองหญิงสาวซึ่งกำลังไอหนักหน่วงทุบหลังเบาๆ หวังให้อาเจียนออกมาให้หมด จากนั้นจึงหยิบถ้วยกาแฟส่งให้ดื่มเพื่อล้างปาก ล้างคอ หากทันทีที่อารีสยกซดอึกใหญ่ หล่อนก็ต้องสำลัก พ่นมันออกมาพร้อมทรายในถ้วยเช่นกัน

“ให้ตายเถอะ ทำไมทรายอยู่ในแซนด์วิชกับถ้วยกาแฟกัน” อนัตตาตวาดลั่น ตั้งใจใช้ภาษาอังกฤษ เพราะรู้แน่ชัดว่าเป็นฝีมือใคร

หลุยส์ วิลเลียมและทุกคนที่ล้อมรอบต่างตระหนก มองหน้ากันไปมา

“คุณนัต...ทรายในแก้วกาแฟมันลวกปากฉัน ฉันร้อน” หญิงสาวกรีดเสียงสลับไอหนักหน่วง น้ำตานองหน้า มือที่พยายามแตะริมฝีปากสั่นสะท้านจนรู้สึกได้ ปากของหล่อนบวมแดง ชายหนุ่มจึงรีบประคองเข้าอ้อมกอด ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าสีหน้าตระหนกไม่ต่างกัน

วิลเลียมที่เห็นเหตุการณ์หันไปบอกหลุยส์ให้เอาน้ำเย็นมาให้อารีสล้างปากล้างคอ แจ้งพยาบาลสาวซึ่งทางภาครัฐส่งลงภาคสนาม ให้คอยดูแลช่วยเหลือเพื่อนสาว ส่วนตัวเขาเองมองกองทรายขนาดย่อม ทั้งในขนมปังและในถ้วยกาแฟ จากนั้นนัยน์ตาเกรี้ยวกราดก็กวาดสู่เต็นท์ที่ทำงาน เสียงตวาดดังลั่นจนคนรอบๆ ถอยหนีแทบไม่ทัน

“ไอซิส!”

+++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มิ.ย. 2555, 11:03:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มิ.ย. 2555, 11:03:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1370





<< ธีบส์   อาบูซิมเบล (๒) >>
nako 16 มิ.ย. 2555, 06:32:30 น.
รอลุ้นตอนต่อไปจ้า


แล่นแต๊ 16 มิ.ย. 2555, 10:31:17 น.
ไอซิสยายตัวแสบ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account