ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ
ตอน: อาบูซิมเบล (๒)
++++++++++++++++++
วิลเลียมปราดเข้าเต็นท์ทำงาน เห็นไอซิสลอบหลบหลังม่านหน้าซีดเผือด ครั้นเห็นเขาเข้าหล่อนก็เดินหนี ทำไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องที่เกิดขึ้น
“จะมากเกินไปแล้วนะไอซ์” หนุ่มอังกฤษร่างใหญ่คว้าแขนอีกฝ่าย นัยน์ตาแข็งกร้าวจ้องเอาเรื่อง หากผู้ถูกกล่าวหาสรีระไม่ต่างกัน ออกแรงสะบัด มือของวิลเลียมก็หลุดอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงดิ่งไปที่โต๊ะของว่าง ทำท่าทางจัดการถ้วยชามที่วางเกลื่อนกลาด
“อะไร...ฉันไปทำอะไรไม่ทราบ” ไอซิสฝืนตอบ ปากสั่นระริก
“ก็อารีสยังไง” ชายหนุ่มโกรธจนหน้าแดง น้ำเสียงฉุนเฉียว หากอีกฝ่ายกลับเม้มปากเงียบ “เธอใส่ทรายลงไปในแซนด์วิชของอารีส ในถ้วยกาแฟนั่นอีก ไม่ร้ายกาจไปหน่อยเหรอ”
“ฉันไม่ได้ใส่ ไม่เข้าใจหรือยังไง...ว่าฉันไม่ได้ใส่” ไอซิสแทบจะกรีดร้อง สองมือกำลังรวบจานกับถ้วยกาแฟว่างเปล่ากระแทกลงบนโต๊ะ ใบหน้างดงามเฉิดฉายด้วยเครื่องสำอางแดงจัด
แต่มีหรือ...ที่วิลเลียมจะเชื่อ
“เธอโกหก” ชายหนุ่มตวาด คนที่ลอบมองดูด้านนอกเต็นท์ต่างตกใจกันเป็นแถบ “เธอเป็นคนจัดการอาหารว่าง จะบอกไม่รู้ได้ยังไง ใครจะไปเชื่อ”
“มีคนเห็นไหมว่าฉันเอาทรายใส่” หญิงสาวชาวอียิปต์ไม่ราข้อ หันมองหน้าวิลเลียม น้ำคลอหน่วยปริ่มจะไหล ริมฝีปากสั่นระริก จากนั้นจึงหันไปทางผู้คนซึ่งล้อมวงอยู่ด้านนอก “ถามพวกเขาดูสิ ‘ใคร’ เห็นฉันทำ”
วิลเลียมหันไปมอง คาดคั้นทุกคนที่ยืนดู หากทุกคนกลับส่ายหน้า ไม่มีใครแสดงความคิดเห็น บางคนเลือกเดินออกจากบริเวณนั้น ให้พ้นรัศมีนัยน์ตาเอาเรื่องของวิลเลียม
“เห็นหรือเปล่า...ไม่มี” ไอซิสเน้นชัด “อย่ามาไร้สาระกับฉันนะวิล กล่าวหากันลอยๆ นี่ต่างหากที่ร้ายกาจ อีกอย่าง...ทุกคนก็เห็น ก่อนหน้ามารับของว่าง ลมก็หอบเอาทรายจากด้านนอกเข้ามา อาจเป็นทรายจากด้านนอกก็ได้ใครจะไปรู้”
ไอซิสหันกลับไปเก็บถ้วยจานต่อ ไม่ได้สนใจวิลเลียมขึงเคียด ขบปากเคี้ยวฟันเพราะไม่อาจเอาผิดหล่อนได้อย่างที่ควรเป็น
“ลมหอบเอาทรายมา” วิลเลียมพยายามระงับโทสะ เปลี่ยนน้ำเสียงและการพูดเป็นเย้ยหยันล้อเลียน “เธอนี่มันร้ายกาจไร้สมอง สติปัญญาระดับดอกเตอร์ของเธอคิดได้เท่านี้เองเหรอ”
เท่านั้นเอง... ‘เท่านั้น’ ที่ไอซิสตวัดนัยน์ตาใส่ หากเป็นปลายแส้วิลเลียมคงจะได้แผลเจ็บตัว แต่เขาไม่คร้ามครัน ยังคงพูดต่อไปพลางใช้สายตาหมิ่นแคลน
“ถ้าลมหอบทรายมาใส่แซนด์วิชจริงๆ ทำไมต้องเลือกลงจำเพาะของอารีส” เขาเสหน้าออก แสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่า ‘รังเกียจ’ เหลือเกิน “มิหนำซ้ำยังหอบทรายมาใส่ไส้แซนด์วิช ไหนจะในถ้วยกาแฟอีกครึ่งถ้วย ‘ลม’ นี่...มันร้ายกาจจริงๆ”
วิลเลียมลอบชำเลือง แม้จะรู้สึกได้ถึงความคุกรุ่นและความหวาดกลัวภายใน หากนักโบราณคดีสาวชาวอียิปต์ก็ยังสามารถประคับประคองอารมณ์ของหล่อนได้เป็นอย่างดี ไม่ตีโพยตีพาย ไม่ด่าทอหรือกรีดร้องโวยวาย ยังคงนิ่งเงียบจัดการกับภาชนะต่อ ที่ปรากฏให้เห็นก็คงเป็นเสียงจานกับถ้วยกระเบื้องที่กระทบกันเป็นระยะจากสองมือสั่นเทา
ท้ายที่สุด...เมื่อไม่สามารถเอาผิดกับตัวต้นเหตุได้ วิลเลียมจึงตัดสินใจแยกตัวออกไปหาอนัตตาและอารีสในเต็นท์ที่พัก สอบถามอาการของอารีสจากพยาบาลสาวชาวอาหรับที่คอยดูแลหล่อน
“อาการเป็นยังไงบ้าง” วิลเลียมมายืนข้างๆ หลุยส์ ถามอย่างกังวล ยิ่งเห็นสภาพเพื่อนสาวหมดเรี่ยวหมดแรง ไออยู่ตลอดเวลา ก็ยิ่งสงสารจับใจ
“อาการไอหนักมาก” พยาบาลสาวชาวอาหรับหันมาตอบขณะกำลังปิดกระเป๋ายา สีหน้าหล่อนไม่สู้ให้ความรู้สึกอุ่นใจ นัยน์ตาคมโตภายใต้ผ้าคลุมศีรษะสีดำเต็มไปด้วยแววกังวล “แนะนำว่าควรไปโรงพยาบาล สำลักขนาดนี้ฉันกลัวทรายจะเข้าปอด ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเอาได้ แพทย์จะได้แก้ไขทันท่วงที”
อารีสยังคงไอเป็นระยะ ท่าทางหล่อนเหนื่อยมากขึ้น พยาบาลสาวจึงเรียกรถพยาบาลประจำเขตขุดสำรวจให้พาอารีสส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด หล่อนให้อนัตตาพาอารีสขึ้นรถฉุกเฉินซึ่งเตรียมเอาไว้ยามเกิดเหตุ ส่วนวิลเลียมเองก็อนุญาตให้ชายหนุ่มไปดูแลเพื่อนสาวระหว่างการเดินทาง
“ฝากดูแลอารีสด้วยนะ” วิลเลียมน้ำตาคลอหน่วย “ฉันรับปากกับแม่ของยายนี่เอาไว้ว่าจะดูแลให้ดี ถ้ายายนี่เกิดเป็นอะไรขึ้นมา ฉันไม่รู้จะไปบอกเขาว่ายังไง”
อนัตตาได้ยินเช่นนั้นก็พยักพเยิด ตบบ่าเพื่อนหนุ่มอย่างเข้าใจ หลุยส์ที่ยืนข้างๆ ส่งผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรวิล ฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุด” อนัตตายิ้ม ให้คำมั่น “ฉันสัญญา”
จบคำ ชายหนุ่มก็กลับหลังหันกระโดดขึ้นรถฉุกเฉิน จับมือของหญิงสาวซึ่งกำลังนอนไอหอบอยู่บนเตียงเคลื่อนที่ในรถ ฝั่งตรงข้ามมีพยาบาลสาวคอยดูแลติดเครื่องมืออุปกรณ์หลายๆ อย่าง จวบประตูปิดลง รถฉุกเฉินก็เคลื่อนตัวออกจากเขตการขุดสำรวจในทันที
+++++++++++++++++
เป็นอันว่าอารีสต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อประเมินดูอาการ
ผลการตรวจพบว่าอารีสสำลักทรายเข้าสู่ปอด แม้ไม่มากอย่างที่คิด หากก็ทำให้หล่อนมีไข้ ไอหอบ มีเสมหะเขียวเนื่องจากเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ แพทย์พยาบาลต้องให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ ให้ยาปฏิชีวนะ ต่อสายให้ออกซิเจนเป็นหน้ากากสวมใบหน้าอยู่ตลอด พร้อมกันนั้นก็มีการดูดเสมหะที่คอยอุดตันทางเดินหายใจเป็นระยะ จนพ้นภาวะอันตราย อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ
ขณะป่วย วิลเลียมและหลุยส์มาเยี่ยมหล่อนบ่อยครั้ง สมาชิกทีมด้านอื่นก็มาเป็นระยะ มีของขวัญเยี่ยมไข้จากอีริค เค เกียน วันเว้นวัน หากไร้เงาไอซิสตัวการที่ทำให้หล่อนปางตาย
ส่วนอนัตตาอยู่เคียงข้างหล่อนโดยตลอด เฝ้าหล่อนทั้งวันทั้งคืน เขากินนอนอยู่ที่โรงพยาบาล หอบเอางานมาทำไม่ห่าง หญิงสาวมีอาการเจ็บป่วยเพียงนิด ก็ต้องรีบวิ่งออกไปแจ้งพยาบาลประจำเวรมาดูแลประเมินอาการ
เหล่านั้นยิ่งทำให้อารีสรู้สึก ‘รัก’ ผู้ชายคนนี้มากขึ้นทุกที
ห้องที่อารีสได้เป็นห้องพิเศษ เพียงอีริค เค เกียน แจ้งทางโรงพยาบาลว่าเป็นคนไข้ของเนบที ลงนามมาดามเซติ ทางโรงพยาบาลก็รีบจัดการหาห้องพิเศษเตียงเดี่ยว พื้นที่กว้างขวาง มีเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้เพียบพร้อมให้อย่างรวดเร็ว เวลากลางคืน อนัตตาจะลากโซฟามาอยู่ใกล้ๆ เตียงผู้ป่วย คอยประคบประหงมหล่อนตลอด ครั้นช่วงเช้าจึงเข็นกลับ
ในความรู้สึกจริงๆ ของอารีสยามที่ต้องอยู่โรงพยาบาล ไม่ว่าที่ไหนๆ หล่อนหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนไปรับศพของพ่อและพี่ชายได้ดี จดจำวันวานที่ตนต้องเจ็บป่วยจากการตรอมใจ หมดอาลัยตายอยาก อารีสยังรำลึกเสมอถึงความหวาดกลัวในความฝัน ผ้าลินินโบราณ อดีตของพระนางเนเฟอร์ตารี กระทั่งอสรพิษตัวเขื่องที่พยายามจะฆ่าหล่อนพร้อมเจ้าแห่งความตายที่มารอรับเบื้องหน้า
แต่เมื่ออนัตตาอยู่ข้างๆ ความทุกข์ทรมานจากภาพหลอนและความฝันเหล่านั้น กลับไม่ปรากฏตลอดเวลาที่ต้องพักอยู่โรงพยาบาล
มีเพียง ‘อบอุ่น’ ‘มั่นคง’ และ ‘ปลอดภัย’
“นัตคะ” อารีสเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกเขาไปโดยปริยาย ไม่มีความห่างเหินด้วยคำว่า ‘คุณ’ มีเพียงชื่อที่ทำให้รู้สึกใกล้กันทุกขณะ “ฉันอยากทำงาน นัตช่วยหอบผ้าลินินกับเอกสารต่างๆ มาให้ได้ไหม”
อารีสนั่งบนเตียง ปราศจากเครื่องมือแพทย์ซึ่งพันธนาการไว้อย่างเมื่อต้นสัปดาห์ หล่อนออดอ้อน ขณะที่อีกฝ่ายกำลังนั่งอ่านหนังสือวิชาการเล่มใหญ่ข้างๆ เตียง วันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีอ่อนกับกางเกงยีนส์ฟอกสี
“ไม่อนุญาต” อนัตตากล่าว แม้น้ำเสียงอ่อนโยน หากแน่ชัดในเนื้อความ
“โธ่! นัต...ฉันทำให้วิลเสียงานมาหลายวันแล้วนะ” หล่อนพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า “แล้วนี่ฉันก็ดีขึ้นแล้วด้วย ไข้ไม่มี หายใจได้ปกติ ไม่ต้องใส่สายออกซิเจน อยากรีบทำงานจะตายไป ไม่รู้ตอนนี้โครงการจะไปถึงไหนแล้ว”
ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วปิดหนังสือ จากนั้นจึงหันไปมองหญิงสาวด้วยนัยน์ตาเจือความกังวล
“รอคำสั่งหมอให้ออกจากโรงพยาบาลก่อน ผมจะให้ทำได้ทุกอย่าง” เขาเกลี่ยปอยผมหยักศกยาวระใบหน้านั้นออก บ่งบอกความรักและอาทรจากสายตา “รักษาตัวให้ดีก่อนนะอารีส อย่าทำให้ผมเป็นห่วงไปมากกว่านี้เลย”
หญิงสาวจนต่อคำอ้อนวอน ได้แต่ก้มหน้าถอนหายใจ
ในห้วงความคิดคำนึง หล่อนรำลึกถึงผ้าลินินโบราณผืนนั้นไม่จางหาย หล่อนยังไม่อาจคลี่คลายความเป็นมาเป็นไปได้ ข้อสันนิษฐานหลายอย่างยังคงค้างคาอยู่ที่ ‘ลายลินิน ฉบับที่ ๑’ แม้จะมีความฝันเลือนรางช่วยชี้แนะ หากอารีสก็ไม่อาจแน่ใจว่าจะเป็นความจริง
‘ผ้าลินินถูกทอในราชสำนักของฟาโรห์รามเสสที่ ๒ โดยบาสตี ช่างฝีมือทอผ้าผู้ดูแลภูษาทรงของพระนางเนเฟอร์ตารี’
หรือต่อให้เป็นเช่นนั้น แล้วเพราะเหตุใดผ้าดังกล่าวจึงลอยไกลมาอยู่ถึงนูเบีย แล้ว ‘เมอริตเน็บท์เฮ็ท’ คือใคร ทำไมอารีสจึงรู้สึกเหมือนผู้หญิงคนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ผ้าลินิน’ ‘บาสตี’ และ ‘พระนางเนเฟอร์ตารี’
“โกรธผมเหรอ...อารีส” เสียงนั้นปลุกหญิงสาวจากภวังค์ความคิด หล่อนเห็นชายหนุ่มข้างกายสีหน้าไม่สู้แจ่มใส เขาอาจคิดไปว่าการที่หล่อนเงียบ คงหมายถึง ‘โกรธ’
“เปล่าค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่โกรธ”
“โกหกไม่เนียน หน้านิ่งขนาดนี้ไม่โกรธได้ยังไง” พูดจบ อนัตตาก็คว้าตัวหล่อนเข้าไปกอด ให้หล่อนอิงซบแผงอกอุ่น รับรู้ถึงอ้อมกอดที่โอบล้อมรัดตัวให้พ้นจากโพยภัยความว้าเหว่และหนาวเย็น
กลิ่นน้ำหอมคาโมไมล์ระเหยหอมเป็นระยะ หล่อนชอบกลิ่นนี้ไปเสียแล้ว เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกเย็นสบาย ผ่อนคลายต่อทุกสิ่ง ซ้ำพานอกกว้างนั้นยังอุ่นจัด จนหัวใจของหล่อนเต้นแรงตามจังหวะในอกของอีกฝ่าย
“อยากได้อะไรไหม เดี๋ยวผมออกไปข้างนอกซื้อมาให้” อนัตตากระซิบถามข้างหู หากหญิงสาวไหวดวงหน้าน้อยๆ กระทั่งเสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมเสียงกระเซ้าของวิลเลียม อารีสกับอนัตตาก็แทบจะผละจากกันในทันที
“โอ้โห! หนุ่มสาวชาวไทยทำไมขี้อายกันจังเลย” วิลเลียมเดินมาพร้อมหลุยส์ ในมือถือช่อกุหลาบสีเหลืองมาฝาก พร้อมบาสบูซา เพสทรีของโปรดของอารีสกล่องโต “เอาของมาเยี่ยมผู้ป่วย เป็นยังไงบ้าง”
วิลเลียมยื่นของให้อนัตตาเอาไปจัดการ ส่วนตัวเขายืนคุยกับเพื่อนสาวที่นั่งอยู่บนเตียง ข้างๆ มีหลุยส์ยืนฟังบทสนทนา
“ดีขึ้น หมอว่าอีกไม่กี่วันก็คงออกไปทำงานต่อได้” อารีสตอบ พลางชำเลืองมองหลุยส์กับการแต่งตัวที่เริ่มเปลี่ยนไป แม้ผมจะเรียบแปล้เป็นมันย่องเหมือนเดิม แว่นตายังคงหนา หากเสื้อผ้าดูเปลี่ยนไปพอสมควร สไตล์การแต่งตัวของหลุยส์คล้ายวิลเลียมราวแกะพิมพ์ นี่คงถูกอีกฝ่ายจัดการเรื่องเสื้อผ้าให้
เขาสวมเสื้อเชิ้ตเข้ารูปพอดีตัว ไม่ติดกระดุมเม็ดบนสุดอย่างเมื่อก่อน สวมกางเกงยีนส์กับรองเท้าหนังปลายแหลม ให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยว แม้เข็มขัดคาดเอวจะสูงไปสักหน่อย หากก็ต่ำลงกว่าเดิมเกือบคืบใหญ่ๆ ดินสอที่ทัดหูไว้ก้ไม่มีเสียแล้ว
“ฉันขอโทษทีนะอารีสที่ลงโทษไอซิสไม่ได้สักที ยายนั้นเองก็เอาแต่เงียบ ปฏิเสธท่าเดียว แต่ฉันมองออกว่าคงไม่ตั้งใจทำร้ายเธอถึงเข้าโรงพยาบาล” วิลเลียมกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “ยายนั่นท่าทางกลัวลนลานพอรู้ว่าเธออาการหนักถึงขั้นติดเชื้อในปอด ถึงจะพยายามกลบเกลื่อนก็เถอะ”
“ฉันไม่โกรธหรอก” อารีสยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน “ไอซ์เขาอาจไม่ได้ทำจริงๆ อย่างที่เขาพูดก็ได้”
อนัตตาหันมองหล่อนพลางส่งยิ้มยินดี อารีสเองพยักหน้ารับน้อยๆ ฝ่ายวิลเลียมกลับขมวดคิ้ว สีหน้าเหมือนอยากเชื่อ กระทั่งหล่อนโน้มตัวลงกระซิบข้างๆ หูเพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษจึงเข้าใจ
“เดี๋ยวกลับไปฉันจะหาทางแก้เผ็ดยายหน้าคอสเมติกเอง รับรองว่าให้แสบยิ่งกว่าที่ทำกับฉันอีก”
วิลเลียมแทบสำลักหัวเราะจนอารีสต้องตีแขนเตือนสติ หล่อนหันมองอนัตตาซึ่งกำลังวุ่นวายกับการจัดขนมหวานใส่จาน ราวเด็กกลัวถูกจับได้ว่าคิดแผนร้ายอยู่
“เงียบเดี๋ยวนี้นะวิล”
“โธ่เอ้ย! เราก็คิดว่าจะเป็นนางชีบวชเข้าคอนแวนต์ ที่ไหนได้...ก็ยังเป็นอีริสเหมือนเดิม” วิลเลียมยวน หันมองอนัตตาพลางส่ายหน้าขบขัน “ไม่นึกว่านัตจะทำให้เธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ฉันชักชอบแล้วสิที่เธอจะมีแฟนอย่างอนัตตา”
ชายหนุ่มกระเซ้า หากหญิงสาวไม่อาจพูดได้มาก ส่งเพียงค้อนวงใหญ่ ก่อนจะหันไปยิ้มให้อนัตตาซึ่งถือจานใส่บาสบูซามาที่เตียง
“ของหวานครับ” เขายื่นจานให้หล่อน เป็นบาสบูซาหั่นแบ่งอย่างพิถีพิถัน หญิงสาวรับมาแล้วใช้ส้อมจิ้มกินเอร็ดอร่อย
“เยี่ยม อร่อยกว่าของกรอปปีส คอร์เนอร์ เฮาส์ ที่เราไปกินที่ไคโรเสียอีกนะนัต” หล่อนยิ้ม ชวนให้คนรอบข้างยิ้มตาม
“ก็เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าขนมเพสทรีที่ไหนก็สู้ที่บ้านไม่ได้ พวกแม่บ้านมักมีสูตรอร่อยถ่ายทอดให้ลูกสาว” วิลเลียมชี้แจง “ที่ได้มานี่ก็ของแม่บ้านรุ่นป้าที่โรมแรมเซติ เขาทำขายเป็นอาชีพเสริม ฉันเลยสั่งมาหลายกล่อง หนึ่งกล่องสำหรับเธอโดยเฉพาะ”
อารีสพยักพเยิด เคี้ยวตุ้ยเอร็ดอร่อย แบ่งหลุยส์ลองลิ้มชิมรสบ้างบางส่วน ทิ้งให้บทสนทนาที่เหลือเป็นของวิลเลียมและอนัตตาแทน
“เออ...แล้วตอนนี้งานดำเนินไปถึงไหนแล้ว” อนัตตาหันไปถามวิลเลียมถึงโครงการขุดสำรวจห้องลับ หลังที่ตั้งเดิมของวิหารเนเฟอร์ตารี
“ตอนนี้ทางภาครัฐอนุญาตเรื่องการขุดสำรวจแล้ว แต่พื้นที่ขุดสำรวจในทะเลสาบนัสเซอร์ฉันยังอยากให้ทำต่อ เผื่อจะเจออะไรมากขึ้น แต่อาจลดจำนวนคนลง เพราะต้องถ่ายเทไปช่วยกันขุดทางด้านหลังวิหารซึ่งกำหนดพิกัดไว้ไกลพอสมควร” วิลเลียมอธิบายพลางขยี้หัวหลุยส์ ให้อีกฝ่ายหงุดหงิดเล่นแล้วส่งค้อนอย่างนึกรำคาญ จากนั้นจึงโอบไหล่อนัตตาก่อนจะพาเดินไปนั่งคุยที่โซฟาอีกฟาก “ตอนนี้ที่กำลังจัดการอยู่ก็คือเรื่องของการจัดสถานที่ เตรียมพื้นที่ กำหนดพิกัดให้แน่ชัด จากนั้นก็เอาเครื่องไม้เครื่องมือ รถขุดเจาะกับอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์หลายอย่างลงพื้นที่”
“เนบทีจัดให้ล่ะสิ” อนัตตาดักคอ แม้พยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติ หากอารีสซึ่งกำลังสาละวนกับการกิน หูและตาของหล่อนยังคงรับรู้ถึงอารมณ์ไม่ชอบมาพากลเหล่านั้น
“ใช่” วิลเลียมยอมรับ “ก็คุณเกียนเป็นนายหน้าติดต่อ ไม่นานก็อนุมัติ แต่ช่วงลงอุปกรณ์กับเครื่องมือต่างๆ อาจจะต้องใช้เวลาประมาณสัปดาห์ ช่วงนี้พวกเราเลยได้เวลาว่างไปเที่ยวด้วยกัน”
ครั้นวิลเลียมพูดถึงไปเที่ยว อารีสก็หูผึ่งตาโต จานบาสบูซาแทบจะวางลงเดี๋ยวนั้น ความสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งมลายหาย เหลือเพียงตื่นเต้น
“เที่ยวเหรอ” หญิงสาวยิ้มแป้น หันมองชายหนุ่มคนรัก หากอนัตตากลับส่ายหน้าแล้วอมยิ้ม ทว่าเมื่อหล่อนส่งสายตาออดอ้อนมากเข้า มีหรือที่เขาจะไม่ใจอ่อน
“รอหมออนุญาต” อนัตตากล่าว “แล้วผมจะพาไปทุกที่เลย”
นั่นล่ะ...หญิงสาวจึงยอมรามือ หันไปพล่ามกับหลุยส์ซึ่งนิ่งเงียบเป็นส่วนใหญ่ ถึงโครงการเที่ยวที่หล่อนตั้งใจวางเอาไว้ตั้งแต่อยู่กรุงเทพมหานคร
“ฉันว่าจะไปหาซื้ออะไรข้างล่างหน่อย ไปด้วยกันไหมนัต” วิลเลียมชวน ขณะที่อนัตตานั่งมองหญิงสาวคุยฟุ้ง
“ไม่ชวนเพื่อนชายของนายล่ะ” อนัตตาหันมาถาม
“หลุยส์เขาบ่นปวดขา ขี้เกียจเดิน พาเดินห้างหนึ่งช่วงโมงก็เดินไม่ไหวแล้ว” หนุ่มอังกฤษชำเลืองมองไปทางหลุยส์พลางส่ายหน้าแล้วอมยิ้ม “เป็นคนอยู่ติดกับที่ ไม่ค่อยไปไหนมาไหนถ้าไม่จำเป็น เชื่อไหม...ช่วงหลังๆ มานี่ฉันกลายเป็นคนติดห้องเหมือนเขาไปแล้ว”
“ก็ดี” อนัตตาออกความเห็น “จะได้อยู่ติดที่บ้าง”
เสียงหัวเราะของสองหนุ่มดังออกมาเป็นระยะ จากนั้นวิลเลียมกับอนัตตาจึงขออนุญาตคู่รักของตนไปจับจ่ายที่ร้านค้าด้านล่างของโรงพยาบาล ทิ้งให้อารีสและหลุยส์อยู่ด้วยกันเพียงสองคน
และในช่วงที่อยู่กันตามลำพัง หลุยส์ก็หันไปคว้าเอาหนังสือวิชาการเล่มใหญ่มานั่งอ่านข้างๆ เตียงอารีส ส่วนหญิงสาวยังคงให้ความสนใจกับบาสบูซาที่เหลือจนหมดจาน
“ดอกเตอร์ดีขึ้นก็ดีแล้วครับ” หลุยส์ว่าพลางขยับขาแว่นให้กระชับ “ผมกำลังจะปรึกษาเรื่องงานอยู่ มาช่วงแรกๆ ก็ไม่กล้าปรึกษา วิลเขาห้ามผมไว้ บอกรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน อีกอย่าง...วิลบอกว่านัตคงไม่ยอมให้ผมคุยเรื่องงานกับดอกเตอร์ตอนป่วยแน่ๆ”
อารีสต่อให้อย่างรู้ทัน...
“วิลก็เลยได้โอกาสพานัตไปข้างนอก เพื่อให้เวลาดอกเตอร์มาแมร์คุยกับฉัน” อารีสยิ้ม หากในใจกำลังคิดว่าเรื่องใดกันหนอที่ทำให้หลุยส์ขวนขวายจะคุยกับหล่อนถึงเพียงนี้
หรือจะเป็น ‘ผ้าลินิน’
“ครับ” หนุ่มแว่นพยักหน้าน้อยๆ “พอดีผมค่อนข้างตื่นเต้นตอนตรวจพบอะไรบางอย่างในจารึกบนหีบทองใส่ผ้าลินิน ก็เลยอยากทราบข้อสันนิษฐานจากดอกเตอร์เกี่ยวกับผ้าลินินร่วมด้วย”
หญิงสาวพยักยิ้ม เหมือนที่หล่อนสงสัยไม่ผิด เป็นเรื่องจารึกอักษรภาพบนหีบบรรจุผ้าลินินนั่นจริงๆ
“เรื่องจารึกบนหีบ ผมคิดตีความ กำลังสงสัยว่ามันอาจเป็น ‘คำสาป’ ครับ”
ในอกของอารีสกระตุกวูบ การรับรู้อย่างเลือนรางปรากฏ ‘คำสาป’ ถูกอาบบนผ้าลินิน ฝังในลวดลาย จับอยู่ในเส้นใยทุกเส้น
‘บางที’ การได้คุยกับหลุยส์ อาจเป็นการคลี่ปมสำคัญของลายผ้าผืนโบราณผืนนั้นก็เป็นได้
+++++++++++++++
วิลเลียมปราดเข้าเต็นท์ทำงาน เห็นไอซิสลอบหลบหลังม่านหน้าซีดเผือด ครั้นเห็นเขาเข้าหล่อนก็เดินหนี ทำไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องที่เกิดขึ้น
“จะมากเกินไปแล้วนะไอซ์” หนุ่มอังกฤษร่างใหญ่คว้าแขนอีกฝ่าย นัยน์ตาแข็งกร้าวจ้องเอาเรื่อง หากผู้ถูกกล่าวหาสรีระไม่ต่างกัน ออกแรงสะบัด มือของวิลเลียมก็หลุดอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงดิ่งไปที่โต๊ะของว่าง ทำท่าทางจัดการถ้วยชามที่วางเกลื่อนกลาด
“อะไร...ฉันไปทำอะไรไม่ทราบ” ไอซิสฝืนตอบ ปากสั่นระริก
“ก็อารีสยังไง” ชายหนุ่มโกรธจนหน้าแดง น้ำเสียงฉุนเฉียว หากอีกฝ่ายกลับเม้มปากเงียบ “เธอใส่ทรายลงไปในแซนด์วิชของอารีส ในถ้วยกาแฟนั่นอีก ไม่ร้ายกาจไปหน่อยเหรอ”
“ฉันไม่ได้ใส่ ไม่เข้าใจหรือยังไง...ว่าฉันไม่ได้ใส่” ไอซิสแทบจะกรีดร้อง สองมือกำลังรวบจานกับถ้วยกาแฟว่างเปล่ากระแทกลงบนโต๊ะ ใบหน้างดงามเฉิดฉายด้วยเครื่องสำอางแดงจัด
แต่มีหรือ...ที่วิลเลียมจะเชื่อ
“เธอโกหก” ชายหนุ่มตวาด คนที่ลอบมองดูด้านนอกเต็นท์ต่างตกใจกันเป็นแถบ “เธอเป็นคนจัดการอาหารว่าง จะบอกไม่รู้ได้ยังไง ใครจะไปเชื่อ”
“มีคนเห็นไหมว่าฉันเอาทรายใส่” หญิงสาวชาวอียิปต์ไม่ราข้อ หันมองหน้าวิลเลียม น้ำคลอหน่วยปริ่มจะไหล ริมฝีปากสั่นระริก จากนั้นจึงหันไปทางผู้คนซึ่งล้อมวงอยู่ด้านนอก “ถามพวกเขาดูสิ ‘ใคร’ เห็นฉันทำ”
วิลเลียมหันไปมอง คาดคั้นทุกคนที่ยืนดู หากทุกคนกลับส่ายหน้า ไม่มีใครแสดงความคิดเห็น บางคนเลือกเดินออกจากบริเวณนั้น ให้พ้นรัศมีนัยน์ตาเอาเรื่องของวิลเลียม
“เห็นหรือเปล่า...ไม่มี” ไอซิสเน้นชัด “อย่ามาไร้สาระกับฉันนะวิล กล่าวหากันลอยๆ นี่ต่างหากที่ร้ายกาจ อีกอย่าง...ทุกคนก็เห็น ก่อนหน้ามารับของว่าง ลมก็หอบเอาทรายจากด้านนอกเข้ามา อาจเป็นทรายจากด้านนอกก็ได้ใครจะไปรู้”
ไอซิสหันกลับไปเก็บถ้วยจานต่อ ไม่ได้สนใจวิลเลียมขึงเคียด ขบปากเคี้ยวฟันเพราะไม่อาจเอาผิดหล่อนได้อย่างที่ควรเป็น
“ลมหอบเอาทรายมา” วิลเลียมพยายามระงับโทสะ เปลี่ยนน้ำเสียงและการพูดเป็นเย้ยหยันล้อเลียน “เธอนี่มันร้ายกาจไร้สมอง สติปัญญาระดับดอกเตอร์ของเธอคิดได้เท่านี้เองเหรอ”
เท่านั้นเอง... ‘เท่านั้น’ ที่ไอซิสตวัดนัยน์ตาใส่ หากเป็นปลายแส้วิลเลียมคงจะได้แผลเจ็บตัว แต่เขาไม่คร้ามครัน ยังคงพูดต่อไปพลางใช้สายตาหมิ่นแคลน
“ถ้าลมหอบทรายมาใส่แซนด์วิชจริงๆ ทำไมต้องเลือกลงจำเพาะของอารีส” เขาเสหน้าออก แสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่า ‘รังเกียจ’ เหลือเกิน “มิหนำซ้ำยังหอบทรายมาใส่ไส้แซนด์วิช ไหนจะในถ้วยกาแฟอีกครึ่งถ้วย ‘ลม’ นี่...มันร้ายกาจจริงๆ”
วิลเลียมลอบชำเลือง แม้จะรู้สึกได้ถึงความคุกรุ่นและความหวาดกลัวภายใน หากนักโบราณคดีสาวชาวอียิปต์ก็ยังสามารถประคับประคองอารมณ์ของหล่อนได้เป็นอย่างดี ไม่ตีโพยตีพาย ไม่ด่าทอหรือกรีดร้องโวยวาย ยังคงนิ่งเงียบจัดการกับภาชนะต่อ ที่ปรากฏให้เห็นก็คงเป็นเสียงจานกับถ้วยกระเบื้องที่กระทบกันเป็นระยะจากสองมือสั่นเทา
ท้ายที่สุด...เมื่อไม่สามารถเอาผิดกับตัวต้นเหตุได้ วิลเลียมจึงตัดสินใจแยกตัวออกไปหาอนัตตาและอารีสในเต็นท์ที่พัก สอบถามอาการของอารีสจากพยาบาลสาวชาวอาหรับที่คอยดูแลหล่อน
“อาการเป็นยังไงบ้าง” วิลเลียมมายืนข้างๆ หลุยส์ ถามอย่างกังวล ยิ่งเห็นสภาพเพื่อนสาวหมดเรี่ยวหมดแรง ไออยู่ตลอดเวลา ก็ยิ่งสงสารจับใจ
“อาการไอหนักมาก” พยาบาลสาวชาวอาหรับหันมาตอบขณะกำลังปิดกระเป๋ายา สีหน้าหล่อนไม่สู้ให้ความรู้สึกอุ่นใจ นัยน์ตาคมโตภายใต้ผ้าคลุมศีรษะสีดำเต็มไปด้วยแววกังวล “แนะนำว่าควรไปโรงพยาบาล สำลักขนาดนี้ฉันกลัวทรายจะเข้าปอด ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเอาได้ แพทย์จะได้แก้ไขทันท่วงที”
อารีสยังคงไอเป็นระยะ ท่าทางหล่อนเหนื่อยมากขึ้น พยาบาลสาวจึงเรียกรถพยาบาลประจำเขตขุดสำรวจให้พาอารีสส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด หล่อนให้อนัตตาพาอารีสขึ้นรถฉุกเฉินซึ่งเตรียมเอาไว้ยามเกิดเหตุ ส่วนวิลเลียมเองก็อนุญาตให้ชายหนุ่มไปดูแลเพื่อนสาวระหว่างการเดินทาง
“ฝากดูแลอารีสด้วยนะ” วิลเลียมน้ำตาคลอหน่วย “ฉันรับปากกับแม่ของยายนี่เอาไว้ว่าจะดูแลให้ดี ถ้ายายนี่เกิดเป็นอะไรขึ้นมา ฉันไม่รู้จะไปบอกเขาว่ายังไง”
อนัตตาได้ยินเช่นนั้นก็พยักพเยิด ตบบ่าเพื่อนหนุ่มอย่างเข้าใจ หลุยส์ที่ยืนข้างๆ ส่งผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรวิล ฉันจะดูแลเธอให้ดีที่สุด” อนัตตายิ้ม ให้คำมั่น “ฉันสัญญา”
จบคำ ชายหนุ่มก็กลับหลังหันกระโดดขึ้นรถฉุกเฉิน จับมือของหญิงสาวซึ่งกำลังนอนไอหอบอยู่บนเตียงเคลื่อนที่ในรถ ฝั่งตรงข้ามมีพยาบาลสาวคอยดูแลติดเครื่องมืออุปกรณ์หลายๆ อย่าง จวบประตูปิดลง รถฉุกเฉินก็เคลื่อนตัวออกจากเขตการขุดสำรวจในทันที
+++++++++++++++++
เป็นอันว่าอารีสต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อประเมินดูอาการ
ผลการตรวจพบว่าอารีสสำลักทรายเข้าสู่ปอด แม้ไม่มากอย่างที่คิด หากก็ทำให้หล่อนมีไข้ ไอหอบ มีเสมหะเขียวเนื่องจากเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ แพทย์พยาบาลต้องให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ ให้ยาปฏิชีวนะ ต่อสายให้ออกซิเจนเป็นหน้ากากสวมใบหน้าอยู่ตลอด พร้อมกันนั้นก็มีการดูดเสมหะที่คอยอุดตันทางเดินหายใจเป็นระยะ จนพ้นภาวะอันตราย อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ
ขณะป่วย วิลเลียมและหลุยส์มาเยี่ยมหล่อนบ่อยครั้ง สมาชิกทีมด้านอื่นก็มาเป็นระยะ มีของขวัญเยี่ยมไข้จากอีริค เค เกียน วันเว้นวัน หากไร้เงาไอซิสตัวการที่ทำให้หล่อนปางตาย
ส่วนอนัตตาอยู่เคียงข้างหล่อนโดยตลอด เฝ้าหล่อนทั้งวันทั้งคืน เขากินนอนอยู่ที่โรงพยาบาล หอบเอางานมาทำไม่ห่าง หญิงสาวมีอาการเจ็บป่วยเพียงนิด ก็ต้องรีบวิ่งออกไปแจ้งพยาบาลประจำเวรมาดูแลประเมินอาการ
เหล่านั้นยิ่งทำให้อารีสรู้สึก ‘รัก’ ผู้ชายคนนี้มากขึ้นทุกที
ห้องที่อารีสได้เป็นห้องพิเศษ เพียงอีริค เค เกียน แจ้งทางโรงพยาบาลว่าเป็นคนไข้ของเนบที ลงนามมาดามเซติ ทางโรงพยาบาลก็รีบจัดการหาห้องพิเศษเตียงเดี่ยว พื้นที่กว้างขวาง มีเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้เพียบพร้อมให้อย่างรวดเร็ว เวลากลางคืน อนัตตาจะลากโซฟามาอยู่ใกล้ๆ เตียงผู้ป่วย คอยประคบประหงมหล่อนตลอด ครั้นช่วงเช้าจึงเข็นกลับ
ในความรู้สึกจริงๆ ของอารีสยามที่ต้องอยู่โรงพยาบาล ไม่ว่าที่ไหนๆ หล่อนหวนนึกถึงเหตุการณ์ตอนไปรับศพของพ่อและพี่ชายได้ดี จดจำวันวานที่ตนต้องเจ็บป่วยจากการตรอมใจ หมดอาลัยตายอยาก อารีสยังรำลึกเสมอถึงความหวาดกลัวในความฝัน ผ้าลินินโบราณ อดีตของพระนางเนเฟอร์ตารี กระทั่งอสรพิษตัวเขื่องที่พยายามจะฆ่าหล่อนพร้อมเจ้าแห่งความตายที่มารอรับเบื้องหน้า
แต่เมื่ออนัตตาอยู่ข้างๆ ความทุกข์ทรมานจากภาพหลอนและความฝันเหล่านั้น กลับไม่ปรากฏตลอดเวลาที่ต้องพักอยู่โรงพยาบาล
มีเพียง ‘อบอุ่น’ ‘มั่นคง’ และ ‘ปลอดภัย’
“นัตคะ” อารีสเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกเขาไปโดยปริยาย ไม่มีความห่างเหินด้วยคำว่า ‘คุณ’ มีเพียงชื่อที่ทำให้รู้สึกใกล้กันทุกขณะ “ฉันอยากทำงาน นัตช่วยหอบผ้าลินินกับเอกสารต่างๆ มาให้ได้ไหม”
อารีสนั่งบนเตียง ปราศจากเครื่องมือแพทย์ซึ่งพันธนาการไว้อย่างเมื่อต้นสัปดาห์ หล่อนออดอ้อน ขณะที่อีกฝ่ายกำลังนั่งอ่านหนังสือวิชาการเล่มใหญ่ข้างๆ เตียง วันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีอ่อนกับกางเกงยีนส์ฟอกสี
“ไม่อนุญาต” อนัตตากล่าว แม้น้ำเสียงอ่อนโยน หากแน่ชัดในเนื้อความ
“โธ่! นัต...ฉันทำให้วิลเสียงานมาหลายวันแล้วนะ” หล่อนพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า “แล้วนี่ฉันก็ดีขึ้นแล้วด้วย ไข้ไม่มี หายใจได้ปกติ ไม่ต้องใส่สายออกซิเจน อยากรีบทำงานจะตายไป ไม่รู้ตอนนี้โครงการจะไปถึงไหนแล้ว”
ชายหนุ่มส่ายหน้าแล้วปิดหนังสือ จากนั้นจึงหันไปมองหญิงสาวด้วยนัยน์ตาเจือความกังวล
“รอคำสั่งหมอให้ออกจากโรงพยาบาลก่อน ผมจะให้ทำได้ทุกอย่าง” เขาเกลี่ยปอยผมหยักศกยาวระใบหน้านั้นออก บ่งบอกความรักและอาทรจากสายตา “รักษาตัวให้ดีก่อนนะอารีส อย่าทำให้ผมเป็นห่วงไปมากกว่านี้เลย”
หญิงสาวจนต่อคำอ้อนวอน ได้แต่ก้มหน้าถอนหายใจ
ในห้วงความคิดคำนึง หล่อนรำลึกถึงผ้าลินินโบราณผืนนั้นไม่จางหาย หล่อนยังไม่อาจคลี่คลายความเป็นมาเป็นไปได้ ข้อสันนิษฐานหลายอย่างยังคงค้างคาอยู่ที่ ‘ลายลินิน ฉบับที่ ๑’ แม้จะมีความฝันเลือนรางช่วยชี้แนะ หากอารีสก็ไม่อาจแน่ใจว่าจะเป็นความจริง
‘ผ้าลินินถูกทอในราชสำนักของฟาโรห์รามเสสที่ ๒ โดยบาสตี ช่างฝีมือทอผ้าผู้ดูแลภูษาทรงของพระนางเนเฟอร์ตารี’
หรือต่อให้เป็นเช่นนั้น แล้วเพราะเหตุใดผ้าดังกล่าวจึงลอยไกลมาอยู่ถึงนูเบีย แล้ว ‘เมอริตเน็บท์เฮ็ท’ คือใคร ทำไมอารีสจึงรู้สึกเหมือนผู้หญิงคนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ผ้าลินิน’ ‘บาสตี’ และ ‘พระนางเนเฟอร์ตารี’
“โกรธผมเหรอ...อารีส” เสียงนั้นปลุกหญิงสาวจากภวังค์ความคิด หล่อนเห็นชายหนุ่มข้างกายสีหน้าไม่สู้แจ่มใส เขาอาจคิดไปว่าการที่หล่อนเงียบ คงหมายถึง ‘โกรธ’
“เปล่าค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่โกรธ”
“โกหกไม่เนียน หน้านิ่งขนาดนี้ไม่โกรธได้ยังไง” พูดจบ อนัตตาก็คว้าตัวหล่อนเข้าไปกอด ให้หล่อนอิงซบแผงอกอุ่น รับรู้ถึงอ้อมกอดที่โอบล้อมรัดตัวให้พ้นจากโพยภัยความว้าเหว่และหนาวเย็น
กลิ่นน้ำหอมคาโมไมล์ระเหยหอมเป็นระยะ หล่อนชอบกลิ่นนี้ไปเสียแล้ว เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกเย็นสบาย ผ่อนคลายต่อทุกสิ่ง ซ้ำพานอกกว้างนั้นยังอุ่นจัด จนหัวใจของหล่อนเต้นแรงตามจังหวะในอกของอีกฝ่าย
“อยากได้อะไรไหม เดี๋ยวผมออกไปข้างนอกซื้อมาให้” อนัตตากระซิบถามข้างหู หากหญิงสาวไหวดวงหน้าน้อยๆ กระทั่งเสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมเสียงกระเซ้าของวิลเลียม อารีสกับอนัตตาก็แทบจะผละจากกันในทันที
“โอ้โห! หนุ่มสาวชาวไทยทำไมขี้อายกันจังเลย” วิลเลียมเดินมาพร้อมหลุยส์ ในมือถือช่อกุหลาบสีเหลืองมาฝาก พร้อมบาสบูซา เพสทรีของโปรดของอารีสกล่องโต “เอาของมาเยี่ยมผู้ป่วย เป็นยังไงบ้าง”
วิลเลียมยื่นของให้อนัตตาเอาไปจัดการ ส่วนตัวเขายืนคุยกับเพื่อนสาวที่นั่งอยู่บนเตียง ข้างๆ มีหลุยส์ยืนฟังบทสนทนา
“ดีขึ้น หมอว่าอีกไม่กี่วันก็คงออกไปทำงานต่อได้” อารีสตอบ พลางชำเลืองมองหลุยส์กับการแต่งตัวที่เริ่มเปลี่ยนไป แม้ผมจะเรียบแปล้เป็นมันย่องเหมือนเดิม แว่นตายังคงหนา หากเสื้อผ้าดูเปลี่ยนไปพอสมควร สไตล์การแต่งตัวของหลุยส์คล้ายวิลเลียมราวแกะพิมพ์ นี่คงถูกอีกฝ่ายจัดการเรื่องเสื้อผ้าให้
เขาสวมเสื้อเชิ้ตเข้ารูปพอดีตัว ไม่ติดกระดุมเม็ดบนสุดอย่างเมื่อก่อน สวมกางเกงยีนส์กับรองเท้าหนังปลายแหลม ให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยว แม้เข็มขัดคาดเอวจะสูงไปสักหน่อย หากก็ต่ำลงกว่าเดิมเกือบคืบใหญ่ๆ ดินสอที่ทัดหูไว้ก้ไม่มีเสียแล้ว
“ฉันขอโทษทีนะอารีสที่ลงโทษไอซิสไม่ได้สักที ยายนั้นเองก็เอาแต่เงียบ ปฏิเสธท่าเดียว แต่ฉันมองออกว่าคงไม่ตั้งใจทำร้ายเธอถึงเข้าโรงพยาบาล” วิลเลียมกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล “ยายนั่นท่าทางกลัวลนลานพอรู้ว่าเธออาการหนักถึงขั้นติดเชื้อในปอด ถึงจะพยายามกลบเกลื่อนก็เถอะ”
“ฉันไม่โกรธหรอก” อารีสยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน “ไอซ์เขาอาจไม่ได้ทำจริงๆ อย่างที่เขาพูดก็ได้”
อนัตตาหันมองหล่อนพลางส่งยิ้มยินดี อารีสเองพยักหน้ารับน้อยๆ ฝ่ายวิลเลียมกลับขมวดคิ้ว สีหน้าเหมือนอยากเชื่อ กระทั่งหล่อนโน้มตัวลงกระซิบข้างๆ หูเพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษจึงเข้าใจ
“เดี๋ยวกลับไปฉันจะหาทางแก้เผ็ดยายหน้าคอสเมติกเอง รับรองว่าให้แสบยิ่งกว่าที่ทำกับฉันอีก”
วิลเลียมแทบสำลักหัวเราะจนอารีสต้องตีแขนเตือนสติ หล่อนหันมองอนัตตาซึ่งกำลังวุ่นวายกับการจัดขนมหวานใส่จาน ราวเด็กกลัวถูกจับได้ว่าคิดแผนร้ายอยู่
“เงียบเดี๋ยวนี้นะวิล”
“โธ่เอ้ย! เราก็คิดว่าจะเป็นนางชีบวชเข้าคอนแวนต์ ที่ไหนได้...ก็ยังเป็นอีริสเหมือนเดิม” วิลเลียมยวน หันมองอนัตตาพลางส่ายหน้าขบขัน “ไม่นึกว่านัตจะทำให้เธอเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ฉันชักชอบแล้วสิที่เธอจะมีแฟนอย่างอนัตตา”
ชายหนุ่มกระเซ้า หากหญิงสาวไม่อาจพูดได้มาก ส่งเพียงค้อนวงใหญ่ ก่อนจะหันไปยิ้มให้อนัตตาซึ่งถือจานใส่บาสบูซามาที่เตียง
“ของหวานครับ” เขายื่นจานให้หล่อน เป็นบาสบูซาหั่นแบ่งอย่างพิถีพิถัน หญิงสาวรับมาแล้วใช้ส้อมจิ้มกินเอร็ดอร่อย
“เยี่ยม อร่อยกว่าของกรอปปีส คอร์เนอร์ เฮาส์ ที่เราไปกินที่ไคโรเสียอีกนะนัต” หล่อนยิ้ม ชวนให้คนรอบข้างยิ้มตาม
“ก็เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าขนมเพสทรีที่ไหนก็สู้ที่บ้านไม่ได้ พวกแม่บ้านมักมีสูตรอร่อยถ่ายทอดให้ลูกสาว” วิลเลียมชี้แจง “ที่ได้มานี่ก็ของแม่บ้านรุ่นป้าที่โรมแรมเซติ เขาทำขายเป็นอาชีพเสริม ฉันเลยสั่งมาหลายกล่อง หนึ่งกล่องสำหรับเธอโดยเฉพาะ”
อารีสพยักพเยิด เคี้ยวตุ้ยเอร็ดอร่อย แบ่งหลุยส์ลองลิ้มชิมรสบ้างบางส่วน ทิ้งให้บทสนทนาที่เหลือเป็นของวิลเลียมและอนัตตาแทน
“เออ...แล้วตอนนี้งานดำเนินไปถึงไหนแล้ว” อนัตตาหันไปถามวิลเลียมถึงโครงการขุดสำรวจห้องลับ หลังที่ตั้งเดิมของวิหารเนเฟอร์ตารี
“ตอนนี้ทางภาครัฐอนุญาตเรื่องการขุดสำรวจแล้ว แต่พื้นที่ขุดสำรวจในทะเลสาบนัสเซอร์ฉันยังอยากให้ทำต่อ เผื่อจะเจออะไรมากขึ้น แต่อาจลดจำนวนคนลง เพราะต้องถ่ายเทไปช่วยกันขุดทางด้านหลังวิหารซึ่งกำหนดพิกัดไว้ไกลพอสมควร” วิลเลียมอธิบายพลางขยี้หัวหลุยส์ ให้อีกฝ่ายหงุดหงิดเล่นแล้วส่งค้อนอย่างนึกรำคาญ จากนั้นจึงโอบไหล่อนัตตาก่อนจะพาเดินไปนั่งคุยที่โซฟาอีกฟาก “ตอนนี้ที่กำลังจัดการอยู่ก็คือเรื่องของการจัดสถานที่ เตรียมพื้นที่ กำหนดพิกัดให้แน่ชัด จากนั้นก็เอาเครื่องไม้เครื่องมือ รถขุดเจาะกับอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์หลายอย่างลงพื้นที่”
“เนบทีจัดให้ล่ะสิ” อนัตตาดักคอ แม้พยายามพูดให้น้ำเสียงเป็นปกติ หากอารีสซึ่งกำลังสาละวนกับการกิน หูและตาของหล่อนยังคงรับรู้ถึงอารมณ์ไม่ชอบมาพากลเหล่านั้น
“ใช่” วิลเลียมยอมรับ “ก็คุณเกียนเป็นนายหน้าติดต่อ ไม่นานก็อนุมัติ แต่ช่วงลงอุปกรณ์กับเครื่องมือต่างๆ อาจจะต้องใช้เวลาประมาณสัปดาห์ ช่วงนี้พวกเราเลยได้เวลาว่างไปเที่ยวด้วยกัน”
ครั้นวิลเลียมพูดถึงไปเที่ยว อารีสก็หูผึ่งตาโต จานบาสบูซาแทบจะวางลงเดี๋ยวนั้น ความสงสัยใคร่รู้ทุกสิ่งมลายหาย เหลือเพียงตื่นเต้น
“เที่ยวเหรอ” หญิงสาวยิ้มแป้น หันมองชายหนุ่มคนรัก หากอนัตตากลับส่ายหน้าแล้วอมยิ้ม ทว่าเมื่อหล่อนส่งสายตาออดอ้อนมากเข้า มีหรือที่เขาจะไม่ใจอ่อน
“รอหมออนุญาต” อนัตตากล่าว “แล้วผมจะพาไปทุกที่เลย”
นั่นล่ะ...หญิงสาวจึงยอมรามือ หันไปพล่ามกับหลุยส์ซึ่งนิ่งเงียบเป็นส่วนใหญ่ ถึงโครงการเที่ยวที่หล่อนตั้งใจวางเอาไว้ตั้งแต่อยู่กรุงเทพมหานคร
“ฉันว่าจะไปหาซื้ออะไรข้างล่างหน่อย ไปด้วยกันไหมนัต” วิลเลียมชวน ขณะที่อนัตตานั่งมองหญิงสาวคุยฟุ้ง
“ไม่ชวนเพื่อนชายของนายล่ะ” อนัตตาหันมาถาม
“หลุยส์เขาบ่นปวดขา ขี้เกียจเดิน พาเดินห้างหนึ่งช่วงโมงก็เดินไม่ไหวแล้ว” หนุ่มอังกฤษชำเลืองมองไปทางหลุยส์พลางส่ายหน้าแล้วอมยิ้ม “เป็นคนอยู่ติดกับที่ ไม่ค่อยไปไหนมาไหนถ้าไม่จำเป็น เชื่อไหม...ช่วงหลังๆ มานี่ฉันกลายเป็นคนติดห้องเหมือนเขาไปแล้ว”
“ก็ดี” อนัตตาออกความเห็น “จะได้อยู่ติดที่บ้าง”
เสียงหัวเราะของสองหนุ่มดังออกมาเป็นระยะ จากนั้นวิลเลียมกับอนัตตาจึงขออนุญาตคู่รักของตนไปจับจ่ายที่ร้านค้าด้านล่างของโรงพยาบาล ทิ้งให้อารีสและหลุยส์อยู่ด้วยกันเพียงสองคน
และในช่วงที่อยู่กันตามลำพัง หลุยส์ก็หันไปคว้าเอาหนังสือวิชาการเล่มใหญ่มานั่งอ่านข้างๆ เตียงอารีส ส่วนหญิงสาวยังคงให้ความสนใจกับบาสบูซาที่เหลือจนหมดจาน
“ดอกเตอร์ดีขึ้นก็ดีแล้วครับ” หลุยส์ว่าพลางขยับขาแว่นให้กระชับ “ผมกำลังจะปรึกษาเรื่องงานอยู่ มาช่วงแรกๆ ก็ไม่กล้าปรึกษา วิลเขาห้ามผมไว้ บอกรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน อีกอย่าง...วิลบอกว่านัตคงไม่ยอมให้ผมคุยเรื่องงานกับดอกเตอร์ตอนป่วยแน่ๆ”
อารีสต่อให้อย่างรู้ทัน...
“วิลก็เลยได้โอกาสพานัตไปข้างนอก เพื่อให้เวลาดอกเตอร์มาแมร์คุยกับฉัน” อารีสยิ้ม หากในใจกำลังคิดว่าเรื่องใดกันหนอที่ทำให้หลุยส์ขวนขวายจะคุยกับหล่อนถึงเพียงนี้
หรือจะเป็น ‘ผ้าลินิน’
“ครับ” หนุ่มแว่นพยักหน้าน้อยๆ “พอดีผมค่อนข้างตื่นเต้นตอนตรวจพบอะไรบางอย่างในจารึกบนหีบทองใส่ผ้าลินิน ก็เลยอยากทราบข้อสันนิษฐานจากดอกเตอร์เกี่ยวกับผ้าลินินร่วมด้วย”
หญิงสาวพยักยิ้ม เหมือนที่หล่อนสงสัยไม่ผิด เป็นเรื่องจารึกอักษรภาพบนหีบบรรจุผ้าลินินนั่นจริงๆ
“เรื่องจารึกบนหีบ ผมคิดตีความ กำลังสงสัยว่ามันอาจเป็น ‘คำสาป’ ครับ”
ในอกของอารีสกระตุกวูบ การรับรู้อย่างเลือนรางปรากฏ ‘คำสาป’ ถูกอาบบนผ้าลินิน ฝังในลวดลาย จับอยู่ในเส้นใยทุกเส้น
‘บางที’ การได้คุยกับหลุยส์ อาจเป็นการคลี่ปมสำคัญของลายผ้าผืนโบราณผืนนั้นก็เป็นได้
+++++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2555, 09:28:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มิ.ย. 2555, 09:28:06 น.
จำนวนการเข้าชม : 1333
<< อาบูซิมเบล (๑) | อาบูซิมเบล (๓) >> |