ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ
ตอน: อาบูซิมเบล (๓)
++++++++++++++
ระหว่างที่วิลเลียมพาอนัตตาไปทำธุระ ทิ้งให้หลุยส์ได้คุยเรื่องงานกับอารีส หญิงสาวได้เสนอแนวคิดและข้อสันนิษฐานของตนเกี่ยวกับความเป็นมาของผ้าลินินโบราณให้อีกฝ่ายฟัง หลุยส์ดึงสมุดพกเล่มเล็กพร้อมปากกา ก้มหน้าก้มตาบันทึกข้อมูลรายละเอียด นานๆ ครั้งจึงขยับแว่นสายตาให้กระชับเข้าที่ สีหน้าเป็นการเป็นงานดูน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย
โดยปกติอารีสไม่คุ้นเคยกับหลุยส์ เดอ มาแมร์ มากนัก รู้จักอย่างผิวเผิน กระทั่งหล่อนตั้งใจแก้เผ็ดเพื่อนหนุ่ม จับคู่วิลเลียมกับเขาผู้นี่ นับแต่วันนั้นจึงเริ่มมองเห็นตัวตนของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น ผ่านสายตาและพฤติกรรมของเพื่อนรักอย่างวิลเลียม โอ คาริแกน
หลุยส์เป็นคนเรียบร้อย ไม่ชอบอะไรที่โลดโผน อยู่กับสิ่งเดิมๆ ที่ทำให้รู้สึกถึงความคุ้นชิน ปลอดภัย เขาไม่ชอบสังคม หรือการเดินทางไกลๆ การทำอะไรไม่ถูกรสนิยมและต้องใช้เวลากับสิ่งเหล่านั้นนานๆ เขาจะปฏิเสธทันที เหล่านี้วิลเลียมมักเปรยอยู่บ่อยๆ หากด้วยใบหน้าที่มีความสุข อิ่มเอม นึกเอ็นดู
หากในอีกแง่มุม ด้วยสายตาละเอียดอ่อนของผู้หญิง หล่อนดูออกว่าหลุยส์เป็นคนที่ต้องการหลักยึดพิง ให้ตนเองมั่นคง ปลอดภัย ไม่ต่างจาก ‘หล่อน’ หากจะมีคนรักสักคน เขาคนนั้นจะต้องอ้าแขนปกป้องและเป็นผู้นำได้
วิลเลียมอยู่ในข่ายผู้ชายประเภทนั้นอย่างพอเหมาะพอดี ประเภทที่หลุยส์ต้องการ ไม่มาก ไม่น้อย
เพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษของหล่อนเป็นพวกหัวแข็งอยู่หน่อยๆ ออกจะเผด็จการนิดๆ มีภาวะความเป็นผู้นำสูง ชอบอ้าแขนปกป้องคน หากก็โอนอ่อนผ่อนตามในบางเรื่อง
“ผมถ่ายภาพจารึกบนหีบทองคำมาครับ” หลุยส์ดึงภาพถ่ายออกจากกระเป๋าใบเล็กของเขา ภาพถ่ายมีประมาณ ๔ ใบ เป็นภาพจารึกอักษรเฮียโรกลีฟิกในแต่ละส่วนของหีบทองคำบรรจุผ้าลินินโบราณ “อย่างตรงนี้...มีอักษรจารึกว่า เทพธิดาแห่งเวทมนตร์และปรีชาญาณ ไอซิส...จะคุ้มครองสิ่งล้ำค่าที่อยู่ภายในหีบใบนี้ ด้วยพระอำนาจและพระเวทย์อันทรงฤทธิ์”
“ดอกเตอร์คิดว่ายังไง” อารีสถาม สายตาจดจ้องพิจารณาอักษรภาพซึ่งอยู่ในรูปถ่ายของชายหนุ่ม
“ประการแรกนะครับ” หลุยส์ออกความเห็น “การจารึกถึงเทวีไอซิส ข้อความตรงนี้บ่งบอกอย่างเด่นชัดว่าสิ่งที่อยู่ภายในหีบได้รับการคุ้มครองจากเวทมนตร์ของชาวอียิปต์โบราณ เป็นเวทมนตร์ที่ทรงพลัง ความเชื่อทางมายาศาสตร์ เนื่องจากเทวีไอซิสเป็นเทวีแห่งปรีชาญาณและมายาศาสตร์ และข้อน่าสังเกตอีกอย่าง สิ่งที่ถูกเวทมนตร์คุ้มครองอยู่คือผ้าลินิน ซึ่งเทวีไอซิสเองก็มีความเกี่ยวโยงสำคัญ เพราะทรงเป็นผู้สั่งสอนหญิงชาวอียิปต์ให้รู้จักการทอผ้า”
อารีสพยักพเยิด พยายามทำความเข้าใจตามที่หลุยส์อธิบาย
“ท่อนต่อมาเขาจารึกเอาไว้ว่า...ดวงตาวัทจัทของโฮรัส เทวกษัตริย์ โอรสแห่งโอสิริสและไอซิส จะปกป้องจากภยันตราย ผองภัยและกาลเวลา” ชายหนุ่มจดปลายนิ้วลงบนรูปถ่าย ไล่อ่านแต่ละตัวอักษรแปลความจนชัดเจน “ดวงตาวัทจัทเป็นดวงตาศักดิ์สิทธิ์ของเทพโฮรัสครับ กล่าวว่าด้วยดวงตาศักดิ์สิทธิ์วัทจัท ทำให้เทพโฮรัสเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ เทพโฮรัสสูญเสียดวงตาวัทจัทเมื่อตอนต่อสู้กับเทพเซธ...ผู้เป็นอา แต่หลังจากได้รับชัยชนะ ดวงตาที่ถูกเทพเซธควักก็กลายเป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ ปกป้องอันตรายได้”
หลุยส์ขยับแว่นสายตาเล็กน้อย ก่อนขมวดคิ้ว
“แต่ตรงนี้มีการกล่าวถึงเทพโฮรัสพร้อมโอสิริสเทพบิดาและไอซิสเทพมารดา” เขาตั้งข้อสงสัย “ดูเหมือนต้องการรวมพลังอำนาจนั้นไว้ด้วยกัน เกิดความยิ่งใหญ่แน่นแฟ้นในระบบครอบครัว อีกทั้งอำนาจของเทพโอสิริสเองก็เกี่ยวข้องกับโลกแห่งวิญญาณ เป็นผู้พิพากษาดวงวิญญาณ ผมเลยคิดว่าข้อความท่อนนี้ นอกจากผู้สร้างหีบต้องการให้เวทมนตร์คุ้มครองของที่อยู่ภายในหีบ ให้พ้นจากอันตรายและกาลเวลา มันมีนัยแอบแฝงถึงการบอกผ่านความยุติธรรมสู่โลกแห่งความตาย จนได้อ่านท่อนถัดมา ผมเลยคิดว่าสมมติฐานที่ตัวเองตั้งน่าจะมีเค้าความจริงตามจารึก”
“ตราบเท่านาน...คำสาปแช่ง คำอธิษฐาน จะยังคงอาบอยู่บนผ้าลินินผืนนี้”
อารีสพยักหน้าเช่นเคย ทั้งพยายามสรุปข้อความทั้งหมด “โดยสรุปแล้วผ้าลินินผืนที่ว่าเป็นผ้าที่มีคำสาปอาบเอาไว้” หล่อนหันไปหาหลุยส์ เลิกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถาม หากชายหนุ่มกลับส่ายหน้าน้อยๆ
“ไม่เชิงครับ” เขาตอบไม่เต็มปาก “อ่านตรงนี้มีคำว่าคำสาป แต่ก็มีคำซึ่งหมายถึงการอธิษฐานหรือขอพร เลยทำให้ผมคิดว่าอาจมีสองกรณี ผู้สร้างคำสาปอาจจะขอพรอะไรบางอย่าง ขณะเดียวกันก็สาปแช่งลงไป”
“พระนางเนเฟอร์ตารีหรือคะ” อารีสยังไม่ปักใจเชื่อ “พระนางจะสาปใครหรืออธิษฐานขอพรอะไร”
“อันนี้ผมว่าคำตอบมีอยู่ที่อักษรท่อนสุดท้ายนะครับ” หลุยส์ว่าพลางดึงภาพถ่ายใบสุดท้ายออกมาให้ดู ไล่อ่านทีละตัวอักษรอย่างชัดเจน “จวบ ‘พวกนาง’ ล่วงเข้าสู่มตภพดูอัต สู่การพิพากษาจนสำเร็จสิ้นจากเทวีแห่งความเที่ยงธรรม”
“พวกนาง” อารีสทวนคำอย่างสงสัย
“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับพลางขยับขาแว่น “พวกนางที่ว่าคงเป็นผู้ที่ถูกสาปหรือถูกอธิษฐานถึง คงมีมากกว่า ๑ คน แต่ที่สำคัญ เมื่อมีการกล่าวอ้างถึงเทวีแห่งความยุติธรรม หรือเทวีมาอัต ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องคดีความ สิ่งที่ต้องการการยืนยัน”
“ข้อสงสัยของดอกเตอร์คือ...” อารีสคิดไว้ในใจ หากต้องการจะรู้ว่าชายหนุ่มคิดเหมือนที่หล่อนกำลังคิดหรือเปล่า
“หลักฐานครับ” หลุยส์ตอบ และกลับเป็นสิ่งที่ตรงใจอารีสที่สุด “ผมว่าเราค้นพบหลักฐาน สิ่งของยืนยันความบริสุทธิ์ของใครสักคน กับกรณีบางอย่างที่เกี่ยวพันกับผ้าลินิน”
‘บาสตี’
อยู่ๆ ชื่อนี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของหญิงสาว ในความฝัน...หล่อนไม่เห็นใครจะเกี่ยวโยงกับผ้าลินินและพระนางเนเฟอร์ตารีนอกเสียจากผู้รับใช้ที่คอยดูแลเรื่องภูษาทรง ช่างฝีมือที่พระนางผู้เป็นใหญ่ดูจะรักใคร่เป็นพิเศษ ถึงขนาดมอบตุ้มหูทองขึ้นรูปดอกบัวสายเป็นรางวัล
“จากจารึกที่อ่าน มันให้ความหมายและความรู้สึกที่ว่าคดีดังกล่าวยังไม่สิ้นสุด หรือมีการตัดสินผิดพลาด จึงมีการเก็บหลักฐานชิ้นสำคัญพร้อมใส่เวทมนตร์และคำสาปลงไป เพื่อรอการกลับมาพิพากษาด้วยความเป็นธรรมต่อหน้าเทวีมาอัต รวมถึงเทพโอสิริส” หลุยส์ยังคงแสดงความคิดเห็นต่อ “บางทีคงเป็นบุคคลที่สำคัญมาก หากยึดตามข้อสันนิษฐานของคุณอารีส พระนางเนเฟอร์ตารีคงรักและให้เกียรติใครคนนั้นอย่างสูง ถึงขั้นให้สิ่งนี้อยู่ใกล้วิหารของพระนาง”
“น่าจะจริงอย่างที่ดอกเตอร์ว่า” อารีสออกความเห็น หากยังไม่กล้าพูดในสิ่งที่กำลังคิดอยู่
ชื่อ ‘บาสตี’ วิ่งวนอยู่ในหัว หากมันเป็นแค่เพียงความฝัน ไม่ใช่หลักฐานทางวิชาการหรือทางโบราณคดี ที่จะนำมายืนยันได้ กระนั้นหล่อนก็ยังพยายามกล่าวอย่างอ้อมค้อม เพื่อโยงเข้ากับสิ่งที่คิดเอาไว้แต่แรก
“ถ้าลองมองจากเรื่องการทอผ้า ผ้าลินิน พระนางเนเฟอร์ตารี ‘พวกนาง’ ตามคำจารึก” หญิงสาวหรี่ตา หันมองหลุยส์ “เป็นไปได้ไหมว่าจะเกี่ยวข้องกับราชสำนักฝ่ายใน อาจเป็นคดีความของช่างฝีมือทอผ้าคนโปรดของพระนางเนเฟอร์ตารี หรือ...เอ่อ...” หล่อนพยายามจะต่อเรื่องราว เพื่อไม่เป็นการจงใจผูกเรื่อง หากก็ยังคิดไม่ออก
ฝ่ายหลุยส์เห็นอารีสนิ่งไปจึงต่อให้ พลางขยับแว่น
“เรื่องเกี่ยวกับการช่วงชิงความเป็นใหญ่ในราชสำนักฝ่ายในซึ่งมีเรื่องผ้าลินินมาเกี่ยวข้อง”
ความข้อนี้ทำให้อารีสเฉลียวใจ มีความเป็นไปได้สูงเมื่อเปรียบเทียบกับความฝันของหญิงสาว ภายในห้วงแห่งความฝัน นอกจากหล่อนจะพบบาสตี พระนางเนเฟอร์ตารี ยังมีอีกคนที่ลืมนึกไป
‘เมอริตเน็บท์เฮ็ท’
ความฝันเมื่อสัปดาห์ก่อนหวนมาในความนึกคิด พระนางเนเฟอร์ตารีทรงเรียกขานผู้เข้ามาสู่ที่รโหฐานของพระองค์ว่าดังนั้น ด้วยพระพักตร์เรียบเฉย ไม่ยินดียินร้าย ครั้นบาสตีหันกลับไปมองประตูทางเข้า จึงได้เห็นสตรีในชุดลินินกรุยกราย
เอวองค์อรชร งดงามไม่ต่างจากพระนางเนเฟอร์ตารี ใบหน้าขาวผ่องเฉกผิวเนื้อ สะอาดเปล่งปลั่ง นัยน์ตาคมขีดเส้นดำอย่างประณีตจนเกือบถึงใบหู ริมฝีปากสีแดงสด สวมวิกผมดำหน้าม้าสยายยาวถึงกลางหลัง ยามเยื้องย่างสะโพกกลมกลึงยักย้ายเย้ายวน กระทั่งต่อหน้าพระพักตร์ชายาเอกของรามเสสที่ ๒ นางจึงกล่าวด้วยเสียงหวานลึกล้ำ แฝงความนัย
‘เนเฟอร์ตารี’
แล้วฉับพลัน สิ่งที่หญิงสาวได้เคยถามอนัตตาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกระลอก
‘เมอริตเน็บท์เฮ็ท’ อนัตตาขมวดคิ้วเมื่อได้ยินชื่อดังกล่าว ‘ถ้ามีความสำคัญจนมีชื่อเสียง ให้เดาก็คงเป็นสตรีราชนิกุลที่เกี่ยวข้องกับฟาโรห์หรือราชินี ไม่เป็นพระญาติของกษัตริย์หรือราชินี ก็อาจเป็นชายาหรือไม่ก็อนุชายานางหนึ่งของฟาโรห์’
อนัตตาตั้งข้อสันนิษฐาน
‘รามเสสที่ ๒ ทรงเป็นกษัตริย์นักรัก นอกจากชายากว่ายี่สิบนาง ยังมีอนุชายาอีกนับพัน’
แน่แล้ว...ปมผ้าลินินผืนสำคัญกำลังจะถูกคลี่คลาย
“ดอกเตอร์วลัยกุลครับ” เสียงเรียกของหลุยส์ปลุกหญิงสาวจากภวังค์
“คะ?!” อารีสตกใจเล็กน้อย เมื่อได้สติจึงพยายามยิ้มกลบเกลื่อน “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมกำลังบอกว่าข้อสันนิษฐานนี้น่าจะเข้าข่าย เพราะจะว่าไป สมัยของฟาโรห์รามเสสที่ ๒ ลัทธิชายาเทพยังคงมีปรากฏอยู่ เหล่านางในทั้งหลายคงปรารถนาสิ่งเหล่านี้ไม่ต่างกัน แต่ท้ายที่สุดพระนางเนเฟอร์ตารีก็ทรงได้รับเลือกให้เป็นชายาเทพ จึงได้ตำแหน่งชายาเอกมาครอบครองโดยปริยาย”
อารีสนิ่งฟัง กำลังสงสัยเรื่อง ‘ลัทธิชายาเทพ’ เหมือนหล่อนจะคุ้นเคยหรือได้ยินมา จากห้องเรียนไม่ชั้นใดก็ชั้นหนึ่ง หรือไม่...อาจารย์คนใดคนหนึ่งคงเคยกล่าวเอาไว้
“ลัทธิชายาเทพนี่คุ้นจัง รายละเอียดมันเป็นยังไงคะ” หล่อนถามหลุยส์ ชายหนุ่มเองก็ใจดี เตรียมอธิบายให้ฟัง หากติดที่ว่าประตูห้องเปิดออก พร้อมเสียงพูดคุยของวิลเลียมและอนัตตาที่ดังเข้ามาถึงภายใน
“ว่ายังไงเอ่ย...ที่รักของพวกเรา” วิลเลียมร้องดังมาก่อนเพื่อน ราวจะเป็นสัญญาณ
อารีสกับหลุยส์รีบเก็บสมุดบันทึก ภาพถ่ายและข้าวของต่างๆ เข้าที่ เรียบร้อยก็ยิ้มแย้มราวไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องที่เกิดเมื่อครู่
“เมื่อกี้ฉันถามหมอที่ดูแลเธอแล้วนะอารีส เขาว่าพรุ่งนี้ถ้าไม่มีไข้ก็กลับได้” วิลเลียมว่าพลางส่งยิ้มดีใจ “อย่างนี้ไปเที่ยวได้สบาย”
“แต่ก็ต้องรักษาสุขภาพให้ดีๆ” อนัตตาแทรกในตอนท้าย แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยน หากเนื้อความเหล่านั้นกลับเต็มไปด้วยความจริงจัง
ไม่รู้ว่าหญิงสาวคิดไปเองหรือเปล่า หลังจากเริ่มคบกันจริงจัง อารีสกลับรู้สึกถึงความเปลี่ยนไปของชายหนุ่ม ไม่ใช่รอยยิ้มที่เปลี่ยน ไม่ใช่ความน่าขบขันหรือความอบอุ่นที่เปลี่ยน หากแต่เป็นความเอาจริงเอาจังเกือบทุกเรื่องในชีวิตของหญิงสาว จนบางครั้งอารีสก็อดคิดไม่ได้ว่า เหมือนหล่อนได้พ่อกับพี่ชายกลับมาอย่างไรอย่างนั้น
++++++++++++++
อนัตตาและทีมคุ้มกันมารับอารีสออกจากโรงพยาบาลสู่ที่พักเดิม ‘โรงแรมเซติ’ และเป็นอีกครั้งที่หล่อนกลับมาสวมชุดลินินตัดพิเศษ พร้อมการแต่งหน้าอย่างเบาบางอ่อนหวาน ภายหลังจากต้องสวมชุดผู้ป่วยมานานร่วมสัปดาห์
ที่โรงแรมยังเหมือนเดิม บรรยากาศคล้ายโอเอซิสกลางทะเลทราย หากจะเปลี่ยนไปก็คงเป็นจำนวนทีมสำรวจที่บางตา วิลเลียมให้เหตุผลว่าเพราะเป็นวันหยุดยาว ๑ สัปดาห์ระหว่างการรอลงเครื่องมือ ปลูกตั้งสถานที่ขุดสำรวจ ทุกคนจึงแยกย้ายไปท่องเที่ยวในอียิปต์ตามความพอใจ ที่ยังเหลืออยู่ก็คือตัวเขา หลุยส์ อนัตตาและอารีส ส่วนไอซิสนั้นไปเที่ยวกับอีริค เค เกียน เป็นที่เรียบร้อย
ครั้นเมื่ออารีสถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างอีริคกับไอซิส วิลเลียมจึงให้ความกระจ่างว่า ไอซิสกับอีริค เค เกียน รู้จักมักคุ้นกันตอนเริ่มงาน และด้วยความเย้ายวนของอีกฝ่าย นายหน้าหนุ่มใหญ่จึงมักซื้อของฝากมาให้ หรือไม่ก็พาไปเที่ยว หากความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ไม่ได้เปิดเผยให้คนอื่นรู้อย่างชัดเจน แต่ดูจากลักษณะท่าทาง มองปราดเดียวก็บอกได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองไกลไปถึงไหน
“ก็คงไปไกลถึงสวนอีเดนแล้วล่ะ” อารีสว่าพลางยักไหล่
หญิงสาวเลิกใส่ใจกับเรื่องของไอซิส ผู้หญิงคนนั้นไม่อยู่ จึงไม่ใช่เวลาที่จะมาเจ้าคิดเจ้าแค้นกับเรื่องที่อีกฝ่ายเคยทำไว้ หากแต่เป็นช่วงเวลาที่หล่อนต้องขบคิดปริศนาและข้อสันนิษฐานซึ่งเคยได้พูดคุยกับหลุยส์เมื่อตอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
เวลานี้หญิงสาวนั่งพักใต้ร่มไม้ริมสระว่ายน้ำ สวมชุดผ้าลินินขาวไขว้ผูกที่คอ เผยเนื้อนวลไหล่และแขนเรียวงามผุดผ่อง ตัวกระโปรงต่อชุดเป็นผ้าลินินยาวกรอมเท้ากรุยกราย เครื่องประดับตามตัวเต็มไปด้วยหินโรสควอทซ์ เว้นสร้อยเงินประดับจี้แมวบนลำคอระหง และสร้อยแมงป่องประดับทับทิมบนข้อมือ เหล่านี้หล่อนทิ้งไว้ที่โรงแรมขณะเจ็บป่วย จนเมื่อกลับมาถึงจึงค้นหาจนพบแล้วนำมาใส่ใหม่
ใบหน้าหญิงสาวแต่งอย่างเบาบาง ไม่จัดจ้านอย่างที่เคย หล่อนนั่งไขว่ห้างจับคาร์คาเดสีแดงก่ำ ใส่น้ำแข็งเย็นชื่นใจ ข้างๆ มีชายหนุ่มคนรักในเสื้อผ้าเนื้อบางเหมาะกับบรรยากาศร้อนๆ กำลังนอนทอดกายบนเก้าอี้พับใต้ร่มไม้เดียวกัน
ระหว่างการพักผ่อนหย่อนใจ อารีสชวนอนัตตาคุยด้วยเรื่องต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องที่หล่อนสงสัยใคร่รู้ หรือแม้แต่เรื่องโครงการท่องเที่ยวที่หล่อนตั้งใจจะทำในช่วงวันหยุด หากเรื่องหนึ่งที่ยังคงฝังอยู่ในใจของอารีสไม่ลืมเลือน
‘ลัทธิชายาเทพ’
“นัตคะ นัตรู้จักลัทธิชายาเทพหรือเปล่า” อารีสถามชายหนุ่มซึ่งกำลังนอนเอกเขนก ทอดสายตามองวิลเลียมและหลุยส์เล่นน้ำสนุกสนาน ท่ามกลางนักท่องเที่ยวคนอื่น หากเมื่อจบคำถาม อนัตตากลับหันมองหญิงสาวพลางขมวดคิ้ว
“คุณรู้จักลัทธินี้ด้วยเหรอครับ ไม่ใช่ลัทธิที่จะมีคนรู้จักเท่าไรนัก”
“เคยได้ยินหลุยส์พูดค่ะ” หล่อนว่าพลางจิบเครื่องดื่ม
ชายหนุ่มพยักพเยิดน้อยๆ จากนั้นจึงเริ่มอธิบายประวัติความเป็นมาของลัทธิชายาเทพ
“ผมคงต้องเท้าความถึงถิ่นกำเนิดของลัทธิชายาเทพก่อน” เขาว่าพลางลุกขึ้นนั่ง “ลัทธิชายาเทพมีต้นกำเนิดอยู่ที่ธีบส์ครับ เป็นพิธีการบูชาเทพอามุนของสตรีในราชสำนัก อามุนเป็นเทพประจำนครธีบส์ สถานที่ประกอบพิธีกรรมอยู่ที่วิหารคาร์นัก”
หญิงสาววางแก้วคาร์คาเด หันมาสนใจเรื่องเล่าของอนัตตา ไม่รู้เป็นอย่างไร ทุกครั้งที่ชายหนุ่มเล่าเรื่องเกี่ยวกับเทววิทยาหรือเรื่องราวของประวัติศาสตร์ แม้จะเป็นเรื่องที่หล่อนรู้แล้ว หากอารีสก็มีความสุขที่ได้ฟังชายหนุ่มเล่า เขาเป็นคนที่เล่าเรื่องได้น่าติดตามอยู่ตลอดเวลา
“ลัทธิดังกล่าวมีความเชื่อว่า เมื่อเทพอามุนเกิดขึ้นในโลกที่ว่างเปล่าพร้อมพระชายามัต พระชายามัตได้เร้าอารมณ์” ตรงนี้อนัตตาหันมองอารีสเล็กน้อย ดูเหมือนเขาเขินอายที่จะพูด ใบหน้าคมแดงก่ำ ราวคาร์คาเดที่หล่อนหยิบขึ้นมาจิบให้ชุ่มคอ “อย่าคิดว่าผมทะลึ่งตึงตังเลยนะ แต่โบราณเขาบอกเอาไว้อย่างนี้...พระชายามัตเร้าอารมณ์ และในความสุขสม ‘เอกภาพ’ ถูกสร้างขึ้น”
อารีสพยักหน้าพลางวางเครื่องดื่มลงที่เดิม หล่อนรู้ว่าเขาเป็นคนมีอารมณ์ขัน อารมณ์ดี และบางครั้งก็เป็นคนเข้มงวดบ้าง หากเพิ่งทราบตอนนี้เองว่าเป็นคนขี้อายไม่ใช่น้อย
“แต่เอกภาพเป็นสิ่งเปราะบางครับ อาจกลับไปสู่ความวุ่นวายได้ หากอามุนไม่ได้กระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์ ดังนั้นสตรีในราชสำนักที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นชายาเทพก็จะจัดขบวนแห่แหนใหญ่โต เข้าทางประตูวิหารคาร์นัก สู่ที่รโหฐานของอามุน ซึ่งอนุญาตให้ผู้เป็นชายาเทพและบริวารเท่านั้นที่เข้าไปได้ พอเข้าไปสตรีเหล่านั้นก็จะสร้างสรรค์กับอามุนทางโลกีย์”
“เหมือนนางในฮาเร็มเลย ฟังแล้วขนลุกยังไงไม่รู้” อารีสทำหน้าเหยเกเมื่อได้ยิน
“ประมาณนั้นครับ” อนัตตายิ้มให้ สายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู “แต่ความต่างของชายาเทพกับนางในฮาเร็มจะต่างที่ว่า ชายาเทพเป็นตำแหน่งที่ทรงด้วยอิทธิพลทางศาสนา การเมือง ไม่ใช่ตำแหน่งที่ได้รับการสืบทอดอย่างราชินีหรือเจ้าหญิง เพราะถือว่าเป็นผู้ใกล้ชิดเทพอามุน ใกล้ชิดยิ่งกว่าฟาโรห์ใกล้ชิดเทพ”
“นี่แสดงว่าอิทธิพลของชายาเทพก็มีมากโข ดูจะมากกว่าฟาโรห์อีกนะคะ”
“ครับ” ชายหนุ่มรับ “ก็มากพอที่จะทำให้พระนางฮัตเชปซัตเปลี่ยนฐานะจากชายาเอกเป็นฟาโรห์ได้ อันนี้เป็นความคิดเห็นจากดอกเตอร์โรบินส์ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยอามอรีนะครับ ผมเจอท่านตอนทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเกี่ยวกับเรื่องลัทธิชายาเทพนี่ล่ะครับ ท่านว่าหน้าที่ของชายาเทพมีความสำคัญอย่างมหาศาลต่อศาสนาและเศรษฐกิจ ชายาเทพต้องติดต่อโดยตรงจากเทพเจ้าในวิหาร เฉพาะวิธีการของกษัตริย์เท่านั้นที่ทำได้ ท่านเลยสันนิษฐานว่ามันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พระนางฮัตเชปซัตก้าวไปสู่ฐานะของกษัตริย์”
“แล้วอย่างสมัยของพระนางเนเฟอร์ตารีล่ะคะ ลัทธิชายาเทพยังมีอยู่หรือเปล่า” อารีสมุ่งประเด็น
“มีครับ แต่ต้องเท้าความอีกหน่อย ใจเย็นๆ นะครับ” อนัตตากระเซ้า จดจ้องจนหล่อนต้องหลบสายตา อารีสนึกเจ็บใจตัวเองว่าเหตุใดหนอต้องอายเพียงเพราะสายตาหยาดเยิ้มคู่นั้น
“หลังจากสิ้นรัชสมัยของพระนางฮัตเชปซัต ทุตโมซิสที่ ๓ ได้ตามลบล้างประวัติศาสตร์ของพระนางเกือบหมด ทั้งยังทำให้ตำแหน่งชายาเทพเป็นเพียงพิธีกรรม ไม่สามารถนำมาเป็นบันไดสู่การเมืองการปกครองได้อีก ดอกเตอร์โรบินส์ท่านว่า เป็นความพยายามทำลายชื่อเสียงและป้องกันไม่ให้สตรีในราชสำนักนางอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทรงเกรงว่ายุวกษัตริย์อเมนโฮเทป พระราชโอรสจะถูกแย่งชิงพระราชอำนาจ เหมือนพระองค์ถูกพระนางฮัตเชปซัต พระมารดาเลี้ยงแย่งชิง”
เรื่องราวในประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่น่าค้นหา น่าติดตาม หากลึกลงไปถึงแก่นแท้ กลับเป็นเรื่องที่แฝงอยู่ในทุกยุคทุกสมัย ทุกชนชั้นในสังคม การแก่งแย่งชิงดี เพื่ออำนาจ ความเป็นใหญ่ กลอุบายต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ปรารถนา
เหล่านี้ล้วนมีมาแต่โบราณจวบถึงปัจจุบัน และคาดเดาได้ไม่ยากว่าคงดำเนินต่อไปในอนาคต
“จนมาในสมัยของพระนางเนเฟอร์ตีติ ฟาโรห์อเคนาเตนปฏิวัติศาสนาใหม่ นับถือเทพเจ้าองค์เดียวคืออาเตน พระนางเนเฟอร์ตีติจึงใช้วิถีชายาเทพมาประยุกต์กับการบวงสรวงเทพอาเตน พระนางจะเป็นผู้ถวายบรรณาการและสักการะเทพอาเตนด้วยพระองค์เอง ซึ่งปกติแล้วจะเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ ทำให้ในรัชสมัยดังกล่าว อิทธิพลของพระนางมีมากเสียจนเทียบเท่าฟาโรห์ รูปสลักหรือจิตรกรรมหลายภาพที่เมืองอมาร์นา ทางเหนือของธีบส์ แสดงให้เห็นถึงอำนาจของพระนางในฐานะกษัตริย์ แต่ก็ค่อยๆ เสื่อมสลายไปเมื่อสิ้นรัชสมัยครับ ส่วนสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ ๒ ฐานะชายาเทพถูกรื้อฟื้นเพราะความไม่เหมาะสมบางประการของรามเสสที่ ๒ เอง”
อารีสรู้สึกเอะใจตรงนี้ มีบางอย่างซับซ้อนมากขึ้น เกิดอะไรขึ้นระหว่าง การเมือง ศาสนา ลัทธิชายาเทพและพิธีกรรมซึ่งถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของผ้าลินินผืนโบราณที่หล่อนกำลังหาที่มาที่ไป
“ไม่เหมาะยังไงหรือคะ
“ต้นตระกูลของฟาโรห์รามเสสที่ ๒ไม่ใช่กษัตริย์ครับ แต่เป็นนักรบ มีต้นตระกูลสืบทอดมาจากนครอวาริส ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของชนเผ่าฮิคซอส ได้ขึ้นเป็นฟาโรห์เพราะอำนาจทางทหาร” ชายหนุ่มขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อกล่าวถึงท่อนนี้
“แต่จะว่าไปการใช้อำนาจทางทหารให้ได้มาก็เริ่มจากโฮเรมเฮป ฟาโรห์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ที่ ๑๘ ทรงชิงบัลลังก์จากอัย แต่บางข้อสันนิษฐานก็ว่า อัยและโฮเรมเฮปร่วมมือในการช่วงชิงบัลลังก์จากฟาโรห์สเมนกาเรและฟาโรห์ตุตันคาเมน กษัตริย์สองพี่น้อง โอรสของฟาโรห์นอกรีตอเคนาเตน” อนัตตาทิ้งช่วง สีหน้าครุ่นคิดหนัก “แต่โดยสรุป...หลังจากอัยสิ้นพระชนม์ โฮเรมเฮปก็ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ แต่ไม่มีพระโอรส จึงทรงตั้งแต่งให้ขุนพลปรามเมส ขุนพลและวีเซียร์คู่บัลลังก์ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อ ก็คือรามเสสที่ ๑ แห่งราชวงศ์ที่ ๑๙ เป็นเหตุให้เกิดความไม่เหมาะสมบางประการของราชวงศ์ที่ ๑๙”
อารีสรู้สึกถึงความน่าหวาดกลัวที่แฝงอยู่ภายในคำบอกเล่า ในอกวูบไหวจนคล้ายจะเป็นลม
‘อำนาจ’ ไม่เข้าใครออกใคร
“ถึงแม้ฟาโรห์จะแต่งตั้งให้รับราชบัลลังก์ต่อ อย่างไรปรามเมสและลูกหลานก็ไม่ใช่เชื้อเจ้า ผิดกับอัยหรือแม้แต่โฮเรมเฮป แม้เป็นแต่เพียงขุนนางและขุนพล หากก็เป็นเจ้าอย่างสมบูรณ์โดยการแต่งงานกับฝ่ายหญิงที่เป็นเจ้านาย ฟาโรห์รามเสสที่ ๒ เองคงตระหนักในข้อนี้ พระองค์เป็นโอรสของกษัตริย์เซติที่ ๑ กับพระนางทูยาซึ่งพื้นเพเป็นเพียงสามัญชน จึงตั้งใจทำให้ประชาชนเชื่อถือและศรัทธา โดยการทำให้ตนเองเป็นเทพเจ้า”
เรื่องราวยิ่งเข้มข้นน่าติดตามทุกขณะ นี่ล่ะอารีสถึงชอบฟังเขาเล่าเรื่องนัก
“และท้ายที่สุด...ทรงรื้อฟื้นพิธีกรรมของชายาเทพขึ้นมา โดยเริ่มจากการบูรณะสุสานวิหารของพระนางฮัตเชปซัต ฟาโรห์หญิงผู้ใช้ฐานะชายาเทพเป็นฐานสู่การขึ้นครองบัลลังก์อียิปต์เป็นอันดับแรก”
อารีสต่อข้อสันนิษฐานเหล่านั้นให้อย่างเข้าใจในเนื้อเรื่อง
“จากนั้นก็เลือกเฟ้นสตรีที่จะมารับตำแหน่งชายาเทพโดยต้องเป็นสตรีราชนิกูล เสกสมรสกับนาง เขาก็จะได้เป็นเทพและเป็นเจ้าโดยสมบูรณ์ ซึ่งก็คือพระนางเนเฟอร์ตารี ธิดาแห่งฟาโรห์โฮเรมเฮป กษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ที่ ๑๘”
อนัตตาพยักพเยิดยอมรับ ทั้งยังชมหล่อนไม่ขาดปาก
ตอนนี้อารีสไม่แปลกใจแล้ว เพราะฐานะชายาเทพดังกล่าวนี้ ‘อาจ’ เป็นชนวนเหตุทำให้เกิดโศกนาฏกรรมหรือคดีความบางอย่างเกี่ยวข้องกับผ้าลินินโบราณ สมัยของฟาโรห์รามเสสที่ ๒ เหล่านางในมีนับพัน ย่อมไม่แปลกหากจะเกิดการแย่งชิงต่อสู้เพื่อขึ้นเป็นหนึ่งในฐานะชายาเทพและชายาเอกของฟาโรห์
แต่ใครเล่าจะผ่านไปถึงขั้นนั้น นอกเสียจาก ‘พระนางเนเฟอร์ตารี เมอริตมัต’ ราชธิดาในฟาโรห์โฮเรมเฮป กับพระนางมุตนอดจ์เม็ต ขนิษฐาแห่งพระนางเนเฟอร์ตีติ
‘พระนาง’ ผู้มี ‘เลือดเจ้า’ อยู่ในตัว
เวลานี้ปัญหาบางอย่างที่คลุมเครือเหมือนจะคลายตัว แน่ชัดว่าผ้าลินินดังกล่าวเป็นผ้าต้องคำสาป หากแต่อาบด้วยคำอธิษฐาน ผ้าดังกล่าวอาจเป็นหลักฐานทางคดีความที่ตัดสินผิดพลาดหรือโศกนาฏกรรมที่ยังไม่ได้ชำระให้สะอาดผ่องใส โจทก์และจำเลยยังวนเวียนในวัฏฏะ หากต้องพบกันอีกครั้ง ล่วงผ่านมตภพดูอัต สู่การพิพากษาที่เที่ยงธรรมยิ่งกว่าที่ใด
ในโลกแห่งความตาย
แต่ ‘ใคร’ กล้าก้าวผ่านไปสู่พิภพแห่งความตายทั้งยังมีชีวิต สถานที่ซึ่งคนเป็นไม่เคยล่วงผ่าน
และหากนำความฝันของหล่อน ผสมผสานกับข้อมูลของหลุยส์กับอนัตตา โศกนาฏกรรมเหล่านั้นอาจเกิดขึ้นจากสตรีในราชสำนัก ความขัดแย้ง ริษยา ความต้องการก้าวสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่
‘ปม’ กำลังคลี่คลาย ‘ลาย’ กำลังแจ่มชัด เรื่องราวทั้งหมดของ ‘ผ้าลินิน’ อาจถูกเปิดเผย
อารีสคาด ‘ในไม่ช้า’
“สร้อยข้อมือของคุณ ของขวัญจากมาดามเซติ ดูแล้วก็น่ากลัวนะครับ ผมเป็นพวกไม่ถูกโฉลกกับพวกสัตว์มีพิษเท่าไร แมงป่องเอย...ตะขาบเอย...งูเอย อยู่ห่างได้เป็นดี” เสียงของอนัตตาดังขึ้นเรียกสติอีกฝ่าย หากหล่อนยังพอหูไวจับใจความได้
อารีสพินิจทองคำขึ้นรูปแมงป่องกระจิริดเรียงต่อเป็นสายสร้อย ประดับทับทิมเม็ดเขื่อง จากนั้นจึงหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อสัปดาห์ก่อน กับความฝันช่วงท้าย
หล่อนเกือบลืมเสียสนิท หากอนัตตาไม่พูดถึงมัน
“งู!” อยู่ๆ อารีสก็โพล่ง
“งูอะไรครับ” อนัตตาขมวดคิ้วสงสัย
“งะ...งูค่ะ” หญิงสาวละล่ำละลัก
ในห้วงความคิด หล่อนยังจดจำภาพบรรยากาศนั้นได้ ท่ามกลางซากปรักหักพังกลางทะเลทรายในความมืด หล่อนได้ยินเสียงเคลื่อนตัวของบางสิ่ง มันลากพื้นทราย มีเสียงเขย่ากระเปาะคล้ายเสียงงูหางกระดิ่ง หากเมื่อปรากฏให้เห็นจริงกลับใหญ่โตเหลือเกิน
อารีสได้กลิ่นความแห้งแล้งระคนกลิ่นตมน้ำลึกคละคลุ้ง ไหนจะกลิ่นสาบงูและเสียงขู่ฟ่อในลำคอ ราวกับมันอยู่ข้างๆ หญิงสาวหันซ้ายแลขวา พยายามเขยิบเข้าไปใกล้อนัตตา มือทั้งสองบีบแขนอีกฝ่ายแน่นด้วยความกลัว
“เมื่อหลายคืนก่อนฉันฝันเห็น...งู”
+++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2555, 11:28:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2555, 11:28:31 น.
จำนวนการเข้าชม : 1450
<< อาบูซิมเบล (๒) | อาบูซิมเบล (๔) >> |