เรือนกุหลาบ
กุหลาบแสนสวยดอกนั้น ช่างแสนดี เป็นที่รักเทิดทูนบูชาของหล่อนสุดหัวใจตั้งแต่เล็กจนโต..หญิงสาวไม่รู้เลย ว่าเบื้องหลังกุหลาบสีสวยนั้นซ่อนคมหนามไว้มิดชิด..เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของหล่อนทุกวิถีทาง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่๑๖ ใยสิเน่หา
พุดซ้อนวางมือลงบนกรอบหน้าต่างสีเขียวก้านมะลิ เอียงศีรษะที่มีผมเส้นละเอียดดำเป็นมันพิงพักอยู่หลังม่านสีขาว ทอดสายตามองคนที่ลงเรือพายห่างออกไปจากริมแม่น้ำฝั่งศาลาหลังเรือน ปรัชขอตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อครู่นี่เอง เขาสัญญาว่าจะรีบกลับมารับหล่อนไปดูละครเวทีด้วยกัน สุ้มเสียงน่าฟังของเขายังติดหูติดใจหล่อน ท่วงทีสุภาพ ให้เกียรติ และแววตาอ่อนโยนของข้าราชการอนาคตดีอย่างเขา ทำให้หล่อนลืมชายหนุ่มไม่ได้เลยจนเวลาเดียว มันทำให้ย้อนรำลึกถึงวันที่หล่อนพบเขาครั้งแรกในภาพถ่ายขาวดำ..หญิงสาวจำได้ แม้กระทั่งภาพนิ่งที่ขาดสีสัน ปรัชก็ยังมีเสน่ห์ดึงดูดหล่อน เขาทำให้หล่อนหลงรักตั้งแต่วันนั้น และเฝ้านับเวลาถอยหลังเพื่อจะได้กลับมาเจอตัวจริงของเขาที่พระนคร
“ลูกของแม่โตเป็นสาวขนาดนี้แล้ว ถึงเวลาจะต้องรู้เสียทีว่าตัวเองมีคู่หมั้นคู่หมาย”
คือใจความสำคัญในจดหมายฉบับแรกที่มารดาเขียนถึงหล่อน ขณะกำลังศึกษาอยู่ที่ปีนัง หญิงสาวจำความรู้สึกครั้งแรกเมื่อได้อ่านข้อความในจดหมายได้ดี...หล่อนทั้งประหลาดใจ อึดอัดใจ และไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หลักผู้ใหญ่รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าจึงชอบคลุมถุงชนกันนัก หล่อนก็ไม่เห็นว่าการคลุมถุงชนระหว่างคุณหลวงกับคุณนายทองทิพย์ ผู้เป็นบิดาและมารดาของหล่อนจะทำให้ทั้งสองรักกันที่ตรงไหน นานวันจะเห็นแต่พูดกันเป็นงานเป็นการ เหมือนอยู่กันไปตามหน้าที่สามีภรรยาเสียมากกว่าจะมีความรักต่อกันลึกซึ้ง
หล่อนอาจเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ หรือถูกความคิดแบบ “แหม่ม” ครอบงำไปเสียแล้ว หล่อนต้องการเสรีภาพ อิสระในการเลือกคู่ครองด้วยตนเอง แม้เวลานั้นหล่อนจะยังไม่ได้ตกลงปลงใจ หรือคบหากับหนุ่มคนไหนในปีนังเป็นพิเศษ แต่หล่อนก็รู้สึกขัดใจอยู่ดีที่จะต้องตกอยู่ในกรอบเกณฑ์ที่ผู้ใหญ่สองบ้านกำหนดให้บุตรหลานของตนตั้งแต่ยังไม่รู้ความ
“ลูกยังไม่อยากนึกถึงเรื่องนี้ค่ะคุณแม่ รอให้เรียนจบก่อนลูกจะเป็นฝ่ายบอกคุณแม่เองว่าลูกเลือกใคร..”
พุดซ้อนตอบกลับไปตามที่ใจคิด จะว่าหล่อนไม่เกรงใจมารดาก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว อาจเป็นเพราะหญิงสาวรู้ตัวว่าเป็นบุตรสาวคนโปรดของคุณนาย ทำอะไรได้เรื่องได้ราวกว่าน้องสาวตั้งแต่เล็กจนโต เป็นหน้าเป็นตาให้กับวงศ์ตระกูล ขอเพียงหล่อนออกปากอยากได้สิ่งใด คุณนายก็จะต้องหามาประเคนให้จนได้ หญิงสาวจึงใช้จุดแข็งข้อนี้ในการมีอิสระเลือกคู่ครองของตนด้วย..ทว่ามารดาของหล่อนก็ยังไม่ละความพยายาม ตอบจดหมายกลับมาอย่างใจเย็นในฉบับถัดไป
“ไม่เป็นไรจ้ะลูกจ๋า..ไว้แม่จะค่อยๆทยอยส่งรูปพี่ปรัชไปให้ลูกดูนะ กลับมาเมื่อไหร่เราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที”
พุดซ้อนพับจดหมายฉบับนั้นเก็บใส่ซองไว้ตามเดิม แล้วเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือตรงมุมห้องนอน หล่อนไม่คิดจะเขียนจดหมายฉบับต่อไป หรือแม้แต่จะตอบกลับจดหมายฉบับนี้กลับไปเลย หวังว่าเวลาจะทำให้มารดาลืมเรื่องนี้เสียเอง หากไม่มีใครเริ่มต้นรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก
แต่แล้วเพียงหนึ่งเดือนให้หลัง คุณนายทองทิพย์ก็ทำตามสัญญาที่บอกไว้ในจดหมายฉบับก่อนหน้า ส่งอัลบั้มรูปถ่ายภาพขาวดำเล่มแรกมาให้หญิงสาวได้ยลโฉมว่าที่คู่หมั้น ซึ่งหล่อนตั้งท่าอคติกับเขามาตั้งแต่ต้น คิดว่าไม่มีทางที่หล่อนจะปักใจชอบคนที่พ่อแม่บังคับเลือกลงได้
พุดซ้อนไม่นึกเลยว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตร..เมื่อหล่อนหลงรักบุคคลในรูปตั้งแต่พลิกปกอัลบั้มเล่มนั้นออกดูด้วยความฝืดฝืนใจในตอนแรก แล้วจากความฝืนใจก็เปลี่ยนเป็นความเต็มใจ ตั้งใจ และใส่ใจติดตามรูปถ่ายอัลบั้มต่อๆไปจากมารดา รวมถึงข่าวคราวของเขานับจากนั้น
ชายหนุ่มอาจไม่ใช่คนรูปงามจัดทุกกระเบียดนิ้วอย่างเทพบุตรในนิยายปรัมปรา แต่เขามีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเพศตรงข้ามให้หลงใหล อาจจะเป็นนัยน์สีน้ำตาลอ่อนเปล่งประกายชวนมองคู่นั้น รอยยิ้มที่เวลาเหยียดออกจนสุด จะเห็นริมฝีปากหยักหนารูปคันศรแย้มเยื้อน สีแดงสดใต้ไรหนวดเขียวจางตัดกับฟันเรียงสวยขาวสะอาด เสี้ยวหน้ายามมองด้านข้างเป็นสันคมราวกับรูปปั้น จมูกโด่งตรงจนสุดปลาย ดวงตาคมใหญ่อยู่ใต้ขนงดกหนาพาดเฉียงทำให้เขาดูเป็นคนเด็ดเดี่ยว และเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง
คุณนายทองทิพย์ก็ช่างคัดสรรรูปภาพของเขามาให้หล่อนได้ชมทุกอิริยาบถ และทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเวลาอยู่บ้าน ในชุดลำลองเสื้อธรรมดาสีขาวกับกางเกงแพรจีน ชายหนุ่มก็ยังดูอบอุ่น สบายตา ยามเขามองทัศนียภาพเบื้องหน้า หล่อนนึกอยากจะไปนั่งเคียงข้าง ซบบ่า และอยู่ในอ้อมกอดของเขา ลดความเย่อหยิ่งทระนงตน ว่าเป็นผู้หญิงชั้นดี มีตระกูล ร่ำเรียนสูง ให้เหลือเพียงแมวน้อยแสนเซื่องเมื่ออยู่ใกล้เขา รูปร่างสูงโปร่งที่ช่วงบนมีมัดกล้ามเนื้อแข็งแรงตามแบบฉบับชายชาตรี ดูเป็นที่พึ่งพิง และดูแลหญิงผู้เป็นที่รักได้ดี เมื่ออยู่ในชุดเครื่องแบบสีกากียิ่งทำให้เขาดูมีสง่าราศีชวนมองมากขึ้นไปอีก
ภาพที่หล่อนประทับใจมากที่สุดตั้งแต่ได้รับทางไปรษณีย์จากมารดา คือภาพเขียน ของจิตรกรฝีมือเอก คนสนิทของคุณพ่อหล่อน หญิงสาวจำได้เพราะเห็นลายมือชื่อแบบหวัดๆที่เซ็นกำกับไว้ด้วยหมึกเข้มใต้ภาพขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวคน พุดซ้อนจำได้ว่ามันเป็นภาพชิ้นสุดท้ายที่มารดาส่งมาให้ก่อนที่หล่อนจะกลับพระนครเพียงสองเดือน
ภาพนั้นถ่ายทอดความเป็นคนสุภาพ อ่อนโยน มองโลกสวยงาม และอารมณ์ขัน พร้อมกันในภาพเดียว เขาสวมเสื้อป่านคอกลมสีไข่ไก่ กางเกงแพรสีขาวอย่างในวันนี้ ใบหน้าสดใสหมดจด อย่างคนอารมณ์ดีที่สุดคนหนึ่งจะถ่ายทอดออกมาได้ และด้วยฝีมือลงสีลากเส้นโค้งอ่อนพลิ้วเป็นธรรมชาติของจิตรกรก็ยิ่งเป็นส่วนเสริมให้ภาพดูมีชีวิตชีวา จับต้องได้ เขานั่งเอกเขนกอยุ่บนเก้าอี้ม้าโยกมีพนักใหญ่สีน้ำตาลแก่ บริเวณเฉลียงใต้ซุ้มชำมะนาดด้านหลังเรือนไม้สองชั้น ส่วนที่ติดกับริมน้ำ ร่มไม้เขียวครึ้มเสริมองค์ประกอบของภาพให้ดูสดชื่นรื่นรมย์ เข้ากับรอยยิ้มทั้งปากและตาชายหนุ่ม..พุดซ้อนจำได้ว่าหล่อนนำไปอัดใส่กรอบทองอย่างดี แขวนไว้บนกำแพงมุมตรงข้ามกับเตียงนอน เพื่อที่หล่อนจะได้มองเขาอย่างมีความสุข ก่อนจะเคลิ้มเข้าสู่นิทรารมย์ ฝันดีตลอดคืนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แล้วหล่อนก็ได้รับรู้ถึงเสน่ห์ของผู้ชายที่มีอานุภาพพอจะทำให้ผู้หญิงทุกคนที่พบเห็นตัวจริงของเขา ได้ใกล้ชิดเขาแม้เพียงช่วงเวลาหนึ่ง เกิดอุปาทานไปว่า.. เคยเป็นเนื้อคู่กันมาแต่ชาติปางไหน ในวันนั้นเอง
“ขออภัยที่ต้องให้รอ..ยินดีต้อนรับกลับบ้านเราครับ คุณพุดซ้อน”
ชายหนุ่มเป็นคนแรกที่หล่อนเห็น เมื่อเหยียบย่างลงสู่ผืนแผ่นดินไทย อันที่จริงเขาไม่ได้มาช้ากว่าหล่อน เรียกได้ว่าพอดีกันถึงจะถูก เมื่อหญิงสาวลงจากเครื่อง หล่อนก็เห็นเขาวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล พุ่งตรงมาหาหล่อน อาจเป็นเพราะรัศมีโดดเด่นดึงดูดผู้คนของเขา ทำให้หล่อนสะดุดตา และจำได้ทันที แม้ในระยะไกล ตัวจริงเขาหล่อกว่าในภาพถ่าย แต่ค่อนข้างใกล้เคียงกับภาพเขียนในกรอบทองของหล่อน
วินาทีแรกที่พบหน้า หล่อนบอกตัวเองว่า ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ที่นัยน์ตา เสมือนมีประกายสาดระยับมาที่คนมองอยู่ตลอดเวลา ทำให้หล่อน หรืออาจจะทุกคนที่พบเห็นเขาครั้งแรก รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญที่สุด ณ เวลานั้น ยามเขาพูด แม้เป็นคำทักทาย หรือคำขอโทษตามมารยาท แต่สายตาเขาจะจับจ้อง จดจ่ออย่างมีสมาธิอยู่กับคนฟังแต่เพียงผู้เดียว ไม่วอกแวกหลุกหลิกเหมือนผู้ชายเสน่ห์จัดแต่เจ้าชู้บางคน และยิ่งสุ้มเสียงทุ้มลึกนุ่มนวลด้วยแล้ว พุดซ้อนต้องยอมรับเลยว่า ขนาดผู้หญิงสวยจัดที่ผู้ชายมองเหลียวหลังตลอดเวลาไม่ว่าจะกรีดกรายไปทางไหนอย่างหล่อน ยังรู้สึกเหมือนถูกครอบงำด้วยมนต์สะกด อยากหาเรื่องชวนคุยต่อเพื่อจะได้ฟังเสียงของเขาต่อไปเรื่อยๆไม่รู้เบื่อ
วันนั้นชายหนุ่มชวนหล่อนพูดคุยอยู่ครู่ใหญ่ ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบในต่างแดน จนกระทั่งเรื่องเล็กน้อยจิปาถะที่หากเป็นคนอื่นพูดจะรู้สึกไร้สาระเลื่อนลอย แต่ชายผู้นี้สามารถหยิบยกถ้อยคำที่น่าฟัง และความคิดเห็นส่วนตัวแซมเสริมเข้าไป ทำให้ทุกเรื่องที่พุดคุยสนุก น่าตั้งใจฟังชนิดอยากติดตามว่าเขาจะว่าไปทางไหนต่อ
“น้ำพุในสระตรงโน้น ถ้าตกแต่งด้วยไม้เลื้อยพันธุ์ไทยพี่ว่าน่าจะดีกว่าพันธุ์ฝรั่ง พื้นกระเบื้องเปลี่ยนเป็นลายช้างไทยจะงามกว่าม้าดีดกะโหลกกระย่องกระแย่งแบบนั้นเยอะเลย น้องพุดซ้อนว่าไหม”
ในยามพูดจาให้เป็นเรื่องตลกขำขัน เขาก็พูดได้น่าฟัง เวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆทำให้เขาสนิทสนมกับหล่อนพอจะเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองและหญิงสาวได้อย่างไม่เก้อเขิน เสียงหัวเราะเบาๆ ในตอนท้ายทำให้พุดซ้อนเผลอยิ้มค้างอยู่ในท่าเดิม หากชายหนุ่มไม่มองกลับมาด้วยแววตาประหลาด หญิงสาวก็คงนึกคำพูดไม่ออก หล่อนได้ยินตัวเองตอบเสียงกังวานใสไปว่า
“นั่นซีคะ ไม่รู้ใครออกแบบ..น่าขันจริง”
แล้วเรื่องราวที่หล่อนอยากสรรหามาคุยกับเขาต่อก็ต้องหยุดลงแค่นั้นอย่างน่าเสียดาย เมื่อคุณนายทองทิพย์เดินทางมาถึง พร้อมคำขอโทษขอโพยบุตรสาว ว่าติดธุระกับลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งมาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย จึงทำให้มารับหล่อนช้ากว่าปกติ พุดซ้อนไม่นึกโกรธมารดา หล่อนกลับนึกขอบคุณเสียอีกที่ทำให้มีเวลาอยู่กับ “เนื้อคู่” เพียงลำพัง นานพอสมควร
หล่อนเพิ่งมารู้เมื่อกลับถึงบ้านว่าเป็นแผนการ หรือจะเรียกว่าความจงใจของคุณนายทองทิพย์โดยตรง ที่ตั้งใจไปให้สายกว่ากำหนด เพื่อให้หล่อนได้ทำความรู้จักกับว่าที่คู่หมั้นไปพลางๆ พุดซ้อนได้พบชายหนุ่มในงานเลี้ยงน้ำชาของบิดาเขา ซึ่งกำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นพระยา ในสองสามวันถัดมา หญิงสาวรู้สึกมีความสุขมากที่สุดในชีวิต ความสำเร็จใดๆที่หล่อนเคยสร้างให้กับบิดามารดา ก็มิอาจบันดาลสุขได้เท่าทุกนาทีที่มีเขาอยู่ใกล้...หญิงสาวนึกขอบคุณใจตัวเองที่ยังไม่รีบด่วนคบผู้ชายคนไหนในต่างแดน และโชคดีที่ได้เปิดจดหมายถึงฉบับของมารดาขึ้นมาอ่าน รวมถึงภาพทุกภาพที่ผู้เป็นแม่ส่งมาให้..แม้ว่าจะฝืนใจตัวเองในตอนแรกก็ตาม
แต่มาบัดนี้...ชายอันเป็นที่รัก ผู้ที่จะมาเป็นสามีในอนาคตของหล่อน กำลังมีท่าทีสนใจในตัวน้องสาวคนเล็ก แม้เขาจะพยายามเก็บซ่อนอาการเมื่ออยู่ต่อหน้าหล่อนและมารดาก็ตาม ทว่าคนไหวพริบดี และเฉลียวฉลาดอย่างพุดซ้อน ไม่มีทางมองผ่านแววตาอ่อนโยนลึกซึ้งของเขาไปได้ ปรัชเคยมองหล่อนด้วยความอ่อนโยนก็จริง แต่ก็มองอย่างคนที่เคยชินกับการส่งกระแสละเมียดละไมให้กับทุกคนอย่างเป็นมิตรแววตาอีกแบบที่หล่อนลอบเห็นในวันนี้ เขาไม่เคยมีให้หล่อน ทว่ากลับมีให้..มะลิ ผู้หญิงหน้าตาจืดชืด ไม่มีอะไรดีในชีวิต ซึ่งข้อนี้นี่แหละ ที่ทำลายความสุขในช่วงเวลาสั้นๆลงไปอย่างน่าใจหาย...แต่หล่อนสัญญากับตัวเองแล้วว่า
หากหล่อนผูกใจผู้ชายคนนี้ไว้ไม่ได้..ก็ไม่มีศักดิ์ศรีพอจะเป็นลูกสาวคนโตผู้เชิดชูวงศ์ตระกูลอีกต่อไป!
มุกดารู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ล่องหน ที่มองเห็นภาพจากแผ่นฟิล์มชัดแจ่มแต่เพียงฝ่ายเดียว หล่อนเห็นใครๆกับเรื่องราวมากมาย ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่ามองเห็นหล่อนเลยสักนิด จะไปยืนชะเง้อยื่นหน้ายื่นคออย่างไร มองมุมไหนก็แล้วแต่ใจชอบ ขนาดมองเข้าไปในความนึกคิดคนยังได้ ดูอย่างคุณพุดซ้อนพี่สาวของมะลิ ผู้ที่ถอดพิมพ์มาจากแพรวาพี่สาวคนสวยของหล่อน เพียงมุกดาสงสัยว่าเจ้าหล่อนยืนพิงกรอบหน้าต่างเหม่อลอยทำไมตั้งนาน...รู้ตัวอีกทีก็เข้าไปอยู่ในความคิด เรียกให้ถูกคือความหลังครั้งวันวานของสาวสวยเชิดหยิ่งคนนั้นเสียแล้ว
นึกว่าจะจบเรื่องฟุ้งซ่านแล้วตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนในห้องเดิมเสียที ทว่ามุกดาคิดผิดถนัด เมื่อเรื่องราวของคุณพุดซ้อนพักยกลงชั่วคราว ฉากใหม่ในสถานที่แห่งใหม่ก็ปรากฏ ราวกับใครรูดม่านดำเข้าหากันเพียงแวบเดียวภาพเบื้องหลังก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เด็กหญิงผิวขาวจัดริมฝีปากสีชมพูสดจิ้มลิ้มกำลังมุดหัวผ่านรั้วพู่ระหงนั่นเข้ามาในเขตเพื่อนบ้าน มุกดาเดินเข้าไปมองหน้าใกล้ๆเพราะรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด พอเด็กหญิงตัวเล็กกลมเงยหน้าขึ้นมาหลังจากคลานมุดรั้วได้สำเร็จ หญิงสาวก็ถึงบางอ้อ..ที่ว่าหน้าคุ้นก็เพราะเหมือนหล่อนเมื่อตอนอายุสักสี่ห้าขวบนั่นเอง
มุกดาเห็นเด็กน้อยคนนั้นกระโดดเหย็งๆ ตบมือดีใจที่ลักลอบเข้ามาในถิ่นใหม่ได้สำเร็จ ยืนมองอยู่ครู่เดียวหล่อนก็นึกขึ้นมาได้เองว่าเด็กคนนี้คือ มะลิ เมื่อครั้งยังเยาว์
มะลิน้อยใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวขนาดพอดีตัว นุ่งโจงกระเบนสีแสด ความสูงของเธอเทียบได้ประมาณระดับเอวของมุกดา เด็กหญิงหันซ้ายหันขวาเหมือนจะหาของเล่นชิ้นใหม่ แววตาซุกซนเหมือนตอนหล่อนเล็กๆไม่มีผิด มุกดาดูท่าแวบเดียวก็รู้ว่าคุณหนูมะลิต้องหนีพี่เลี้ยงและมารดามาเล่นไกลๆ หญิงสาวนึกขันระคนเอ็นดูในความแก่นเซี้ยวของเด็กน้อย ข้อนี้กระมังที่เป็นความต่าง แม้หล่อนจะเคยซุกซนก็จริง แต่ไม่ถึงขนาดใจเด็ดหนีออกมาเล่นนอกบ้านคนเดียวแบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องชวนพี่เขียวมาเป็นบอดี้การ์ดด้วยทุกครั้ง
เสียงโหวกเหวกจากเบื้องหลัง เหมือนมีคนกำลังทะเลาะกัน ทำให้มุกดาหยุดนึกถึงอดีตชั่วครู่ ก่อนจะรีบหมุนตัววิ่งตาม “คุณหนูมะลิ” ไปติดๆ เล่นเอาหอบจับได้เหมือนกัน เห็นตัวเล็กอย่างนั้น ฝีเท้าเร็วใช่เล่น
มะลิน้อยอำพรางตัวด้วยการหลบหลังพุ่มไม้ใหญ่ใกล้ลำธารเบื้องหน้า มุกดายอบตัวสูงโหย่งของหล่อนลงหลังเด็กน้อย เสียงห้าวใหญ่ของเด็กหนุ่มวัยรุ่นร่างท้วมคนหนึ่งตะโกนด่าคู่กรณีรัวเร็ว
“ไม่ต้องมาสอนข้า เอ็งมันแค่เด็กตัวกะเปี๊ยก ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”
มุกดามองลอดช่องใบไม้ออกไปเห็นหนุ่มอ้วนคนนั้นกอดถุงผ้าใบใหญ่เอาไว้แน่นหนา เห็นผลมะม่วงพูนออกมาเหนือปากถุง เยื้องออกไปไม่ไกลกันนัก..คือคู่กรณีของเขา มุกดาเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ
“พี่วิน!”
พอได้ยินเสียงตัวเองตะโกนออกไปแบบนั้นก็รีบยกมือขึ้นอุดปาก หันซ้ายแลขวา ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทว่าทุกอย่างยังดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..ไม่มีใครได้ยินเสียงของหล่อน หญิงสาวยกมือลูบอกด้วยความโล่งใจ หล่อนลืมไปเสียสนิทว่า ในความฝันฟุ้งซ่านนี้ ไม่เคยไม่ใครเห็นหล่อน..และไม่เคยมีเสียงของหล่อนผ่านเข้าหูใคร
ใกล้สระน้ำธรรมชาติแห่งนั้น มุกดาเพิ่งสังเกตว่ามีต้นมะม่วงปลูกอยู่ริมฝั่งหลายต้น เห็นสีหน้าแววตาโกรธแค้นของ “พี่วิน” ตอนเด็ก..หล่อนเดาว่าคงอายุห่างกับมะลิไม่เกินห้าปี และหนุ่มแรกรุ่นร่างอ้วนหอบถุงมะม่วงคนนั้น หญิงสาวก็พอจะเดาได้ ว่าผู้ที่ตะโกนเสียงดังอยู่นี้คงเป็นนักเลงหัวขโมยรุกล้ำเข้ามาปีนเก็บมะม่วงในบ้านของพี่วิน..หรือจะเรียกให้ถูกคือเด็กชายปรัชว่าที่คู่หมั้นคุณพุดซ้อน
“พี่นั่นแหละหน้าไม่อาย เข้ามาขโมยของบ้านคนอื่นเขา แล้วยังมาทำนักเลง”
หล่อนได้ยินปรัชตอบโต้นักเลงหัวไม้อย่างใจเด็ด แววตาเขาจดจ้องอีกฝ่ายเหมือนจะคาดคั้นให้ยอมรับผิด..โถ พ่อคุณ ช่างไม่เจียมเนื้อตัวเลย ผอมแห้งออกขนาดนั้น จะเอาแรงที่ไหนไปสู้นักเลงร่างอ้วน หากเขาเกิดโมโห ผลักอกนิดเดียวก็กระเด็นร่วงลงไปในน้ำแล้ว..มุกดานึกในใจ แทนที่จะรู้สึกชื่นชมความใจเด็ดของปรัช หล่อนกลับรู้สึกเวทนาเขามากกว่า
“พูดยังงี้อยากเจอดีหรือไอ้น้อง ได้..อยู่ดีๆไม่ว่าดีใช่ไหม”
ไม่ทันขาดคำ เรื่องที่มุกดาระแวงอยู่ลึกๆก็เกิดขึ้นจริงเพียงชั่วพริบตาเดียว นักเลงร่างท้วมวางถุงมะม่วงลงกับพื้น ก่อนจะโถมตัวเข้าไปแทบประชิดเด็กชายร่างผอม หมัดลุ่นๆจากกำปั้นกลมโตเสมือนค้อนอันใหญ่ซัดเปรี้ยงเข้าไปที่ใบหน้าโครงเล็กของปรัช ไม่ต้องเดาเลยว่าจะเห็นเขาผงะหงายลงไปลอยคออยู่ในน้ำเรียบร้อย
นักเลงวัยรุ่นคนนั้นยืนมองผลงานตัวเองด้วยรอยยิ้มสะใจเพียงครู่เดียว ก่อนจะชี้หน้าปรัชเป็นเชิงหมายหัว ว่าหากลองดีเขาอีก คราวหน้าต้องโดนหนักกว่านี้ เมื่อจัดการเจ้าของบ้านเสร็จสรรพ หนุ่มคนนั้นก็หอบถุงมะม่วงขึ้นบ่าก่อนจะวิ่งไปยังกำแพงรั้วด้านตรงข้าม มุกดาเห็นลิบๆว่าเด็กหนุ่มส่งทอดถุงใบใหญ่ใบนั้นให้กับเพื่อนอีกคนที่นั่งรออยู่แล้วบนสุดกำแพง พอส่งของเรียบร้อยก็พาร่างอ้วนๆของตนไต่เชือกขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว..ดูท่าจะไปขโมยของบ้านใครๆบ่อยจนรู้ช่องทางจัดเจน
หันกลับมามองในสระก็เห็นเด็กหนุ่มยังลอยตุ๊บป่องอยู่ในน้ำไม่เป็นท่า คราวนี้มุกดาลุกยืนหัวเราะเสียงดังอย่างกลั้นไม่อยู่ หล่อนไม่กลัวแล้วว่าจะมีใครเห็น หรือมีใครได้ยิน เพราะฉะนั้นก็ไม่เห็นประโยชน์จะต้องหลบซ่อนตัว และเก็บเสียงมิดชิดอย่างคุณหนูมะลิ
“คุณหนูมาอยู่นี่เอง รีบกลับบ้านเถิดค่ะ ประเดี๋ยวคุณนายใหญ่ท่านว่าเอา”
เสียงใสแจ๋วทว่าร้อนรนของเด็กหญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างหูทำให้มุกดาหันกลับมามอง เธอเป็นเด็กผู้หญิงผิวคล้ำตัดผมสั้นแค่ใบหู ดูแล้วอายุน่าจะมากกว่ามะลิไม่เกินสองปี คงจะเป็นเด็กรับใช้หน้าห้องของมะลิน้อยนี่เอง..มุกดานึกเดาไปตามรูปการณ์
“กลับได้ที่ไหน ไม่เห็นหรือชะเอม คนกำลังจะจมน้ำอยู่แล้ว เราต้องช่วยเขาก่อน เร็วเข้า!”
ไม่ทันขาดคำ คุณหนูมะลิ ก็กึ่งลากกึ่งจูง เด็กรับใช้ที่ชื่อชะเอมไปใกล้ริมสระ เวลานั้นมุกดาถึงได้รู้ว่าภาพตลกขบขันของปรัชกลับกลายเป็นภาพอันน่าตกใจ เมื่อศีรษะของเขากำลังลดต่ำลงเรื่อยๆจนเกือบจมมิดลงไปในน้ำ มีมือขาวซีดโผล่ขึ้นมาเหมือนเรียกร้องความช่วยเหลือเป็นระยะ...มุกดานึกตำหนิตัวเองในใจที่ไปหัวเราะเด็กหนุ่ม ใครจะรู้เล่าว่าอนาคตชายชาตรีในชุดเครื่องแบบจะว่ายน้ำไม่เป็น!
ครั้งนี้หญิงสาวถึงได้มอง “คุณหนูมะลิ” ในแง่มุมใหม่ แง่มุมที่ส่อแววฉลาดเฉลียวและมีความคิดรอบคอบตั้งแต่ยังเล็ก แทนที่เธอจะยื่นมือลงไปเป็นหลักให้มือซีดเซียวของเด็กหนุ่มยึดเอาไว้แล้วออกแรงดึง คุณหนูตัวน้อยกลับชี้ชวนชะเอมให้ไปหาท่อนไม้มาผูกกับเถาวัลย์ต่อๆกันแล้วโยนลงไปในน้ำ ปรัชยังพอมีเรี่ยวแรงและมีสติพอที่จะคว้าเอาไว้ได้ เด็กน้อยทั้งสองคนช่วยกันออกแรงดึงเถาวัลย์อยู่ห่างๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกลากจมลงไป พอท่อนไม้เข้าใกล้ริมสระพอที่เด็กหนุ่มจะตะเกียกตะกายขึ้นมาเองได้ คุณหนูมะลิก็ปล่อยมือจากเถาวัลย์ พากันนั่งลงหอบแฮกกับเด็กรับใช้ใต้ต้นมะม่วงนั้นเอง
“ขอบใจที่ช่วยฉัน...เธอชื่ออะไร”
เสียงเด็กชายค่อนข้างแห้งแล้ง อ่อนโรยเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงจากการเอาชีวิตรอด เขาขึ้นมาพักตัวอยู่บนผืนหญ้าลาดต่ำลงไปจากปลายเท้าของเด็กหญิง ใบหน้าซีดเผือด ทว่ายังฝืนยิ้ม ยันตัวขึ้นนั่ง มะลิลืมความเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เข้ามาสัมผัสเนื้อตัวและเอามืออังลมหายใจของผู้ที่เธอเพิ่งช่วยเหลือขึ้นมาด้วยน้ำใจและแรงกาย เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าเขารอด เธอบอกเสียงใส ดวงตากลมโตสุกสกาว
“ชื่อ..หนูลิ”
มุกดามองเห็นประกายตาระยิบจุดวาบขึ้นมาแทนคำขอบคุณ ..เป็นแววตาชนิดเดียวกับที่หล่อนเคยเห็นมาแล้ว..ยามอยู่ใกล้เขา
“ลูกของแม่โตเป็นสาวขนาดนี้แล้ว ถึงเวลาจะต้องรู้เสียทีว่าตัวเองมีคู่หมั้นคู่หมาย”
คือใจความสำคัญในจดหมายฉบับแรกที่มารดาเขียนถึงหล่อน ขณะกำลังศึกษาอยู่ที่ปีนัง หญิงสาวจำความรู้สึกครั้งแรกเมื่อได้อ่านข้อความในจดหมายได้ดี...หล่อนทั้งประหลาดใจ อึดอัดใจ และไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หลักผู้ใหญ่รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าจึงชอบคลุมถุงชนกันนัก หล่อนก็ไม่เห็นว่าการคลุมถุงชนระหว่างคุณหลวงกับคุณนายทองทิพย์ ผู้เป็นบิดาและมารดาของหล่อนจะทำให้ทั้งสองรักกันที่ตรงไหน นานวันจะเห็นแต่พูดกันเป็นงานเป็นการ เหมือนอยู่กันไปตามหน้าที่สามีภรรยาเสียมากกว่าจะมีความรักต่อกันลึกซึ้ง
หล่อนอาจเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ หรือถูกความคิดแบบ “แหม่ม” ครอบงำไปเสียแล้ว หล่อนต้องการเสรีภาพ อิสระในการเลือกคู่ครองด้วยตนเอง แม้เวลานั้นหล่อนจะยังไม่ได้ตกลงปลงใจ หรือคบหากับหนุ่มคนไหนในปีนังเป็นพิเศษ แต่หล่อนก็รู้สึกขัดใจอยู่ดีที่จะต้องตกอยู่ในกรอบเกณฑ์ที่ผู้ใหญ่สองบ้านกำหนดให้บุตรหลานของตนตั้งแต่ยังไม่รู้ความ
“ลูกยังไม่อยากนึกถึงเรื่องนี้ค่ะคุณแม่ รอให้เรียนจบก่อนลูกจะเป็นฝ่ายบอกคุณแม่เองว่าลูกเลือกใคร..”
พุดซ้อนตอบกลับไปตามที่ใจคิด จะว่าหล่อนไม่เกรงใจมารดาก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว อาจเป็นเพราะหญิงสาวรู้ตัวว่าเป็นบุตรสาวคนโปรดของคุณนาย ทำอะไรได้เรื่องได้ราวกว่าน้องสาวตั้งแต่เล็กจนโต เป็นหน้าเป็นตาให้กับวงศ์ตระกูล ขอเพียงหล่อนออกปากอยากได้สิ่งใด คุณนายก็จะต้องหามาประเคนให้จนได้ หญิงสาวจึงใช้จุดแข็งข้อนี้ในการมีอิสระเลือกคู่ครองของตนด้วย..ทว่ามารดาของหล่อนก็ยังไม่ละความพยายาม ตอบจดหมายกลับมาอย่างใจเย็นในฉบับถัดไป
“ไม่เป็นไรจ้ะลูกจ๋า..ไว้แม่จะค่อยๆทยอยส่งรูปพี่ปรัชไปให้ลูกดูนะ กลับมาเมื่อไหร่เราค่อยคุยเรื่องนี้กันอีกที”
พุดซ้อนพับจดหมายฉบับนั้นเก็บใส่ซองไว้ตามเดิม แล้วเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือตรงมุมห้องนอน หล่อนไม่คิดจะเขียนจดหมายฉบับต่อไป หรือแม้แต่จะตอบกลับจดหมายฉบับนี้กลับไปเลย หวังว่าเวลาจะทำให้มารดาลืมเรื่องนี้เสียเอง หากไม่มีใครเริ่มต้นรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก
แต่แล้วเพียงหนึ่งเดือนให้หลัง คุณนายทองทิพย์ก็ทำตามสัญญาที่บอกไว้ในจดหมายฉบับก่อนหน้า ส่งอัลบั้มรูปถ่ายภาพขาวดำเล่มแรกมาให้หญิงสาวได้ยลโฉมว่าที่คู่หมั้น ซึ่งหล่อนตั้งท่าอคติกับเขามาตั้งแต่ต้น คิดว่าไม่มีทางที่หล่อนจะปักใจชอบคนที่พ่อแม่บังคับเลือกลงได้
พุดซ้อนไม่นึกเลยว่าเหตุการณ์จะกลับตาลปัตร..เมื่อหล่อนหลงรักบุคคลในรูปตั้งแต่พลิกปกอัลบั้มเล่มนั้นออกดูด้วยความฝืดฝืนใจในตอนแรก แล้วจากความฝืนใจก็เปลี่ยนเป็นความเต็มใจ ตั้งใจ และใส่ใจติดตามรูปถ่ายอัลบั้มต่อๆไปจากมารดา รวมถึงข่าวคราวของเขานับจากนั้น
ชายหนุ่มอาจไม่ใช่คนรูปงามจัดทุกกระเบียดนิ้วอย่างเทพบุตรในนิยายปรัมปรา แต่เขามีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเพศตรงข้ามให้หลงใหล อาจจะเป็นนัยน์สีน้ำตาลอ่อนเปล่งประกายชวนมองคู่นั้น รอยยิ้มที่เวลาเหยียดออกจนสุด จะเห็นริมฝีปากหยักหนารูปคันศรแย้มเยื้อน สีแดงสดใต้ไรหนวดเขียวจางตัดกับฟันเรียงสวยขาวสะอาด เสี้ยวหน้ายามมองด้านข้างเป็นสันคมราวกับรูปปั้น จมูกโด่งตรงจนสุดปลาย ดวงตาคมใหญ่อยู่ใต้ขนงดกหนาพาดเฉียงทำให้เขาดูเป็นคนเด็ดเดี่ยว และเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง
คุณนายทองทิพย์ก็ช่างคัดสรรรูปภาพของเขามาให้หล่อนได้ชมทุกอิริยาบถ และทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นเวลาอยู่บ้าน ในชุดลำลองเสื้อธรรมดาสีขาวกับกางเกงแพรจีน ชายหนุ่มก็ยังดูอบอุ่น สบายตา ยามเขามองทัศนียภาพเบื้องหน้า หล่อนนึกอยากจะไปนั่งเคียงข้าง ซบบ่า และอยู่ในอ้อมกอดของเขา ลดความเย่อหยิ่งทระนงตน ว่าเป็นผู้หญิงชั้นดี มีตระกูล ร่ำเรียนสูง ให้เหลือเพียงแมวน้อยแสนเซื่องเมื่ออยู่ใกล้เขา รูปร่างสูงโปร่งที่ช่วงบนมีมัดกล้ามเนื้อแข็งแรงตามแบบฉบับชายชาตรี ดูเป็นที่พึ่งพิง และดูแลหญิงผู้เป็นที่รักได้ดี เมื่ออยู่ในชุดเครื่องแบบสีกากียิ่งทำให้เขาดูมีสง่าราศีชวนมองมากขึ้นไปอีก
ภาพที่หล่อนประทับใจมากที่สุดตั้งแต่ได้รับทางไปรษณีย์จากมารดา คือภาพเขียน ของจิตรกรฝีมือเอก คนสนิทของคุณพ่อหล่อน หญิงสาวจำได้เพราะเห็นลายมือชื่อแบบหวัดๆที่เซ็นกำกับไว้ด้วยหมึกเข้มใต้ภาพขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวคน พุดซ้อนจำได้ว่ามันเป็นภาพชิ้นสุดท้ายที่มารดาส่งมาให้ก่อนที่หล่อนจะกลับพระนครเพียงสองเดือน
ภาพนั้นถ่ายทอดความเป็นคนสุภาพ อ่อนโยน มองโลกสวยงาม และอารมณ์ขัน พร้อมกันในภาพเดียว เขาสวมเสื้อป่านคอกลมสีไข่ไก่ กางเกงแพรสีขาวอย่างในวันนี้ ใบหน้าสดใสหมดจด อย่างคนอารมณ์ดีที่สุดคนหนึ่งจะถ่ายทอดออกมาได้ และด้วยฝีมือลงสีลากเส้นโค้งอ่อนพลิ้วเป็นธรรมชาติของจิตรกรก็ยิ่งเป็นส่วนเสริมให้ภาพดูมีชีวิตชีวา จับต้องได้ เขานั่งเอกเขนกอยุ่บนเก้าอี้ม้าโยกมีพนักใหญ่สีน้ำตาลแก่ บริเวณเฉลียงใต้ซุ้มชำมะนาดด้านหลังเรือนไม้สองชั้น ส่วนที่ติดกับริมน้ำ ร่มไม้เขียวครึ้มเสริมองค์ประกอบของภาพให้ดูสดชื่นรื่นรมย์ เข้ากับรอยยิ้มทั้งปากและตาชายหนุ่ม..พุดซ้อนจำได้ว่าหล่อนนำไปอัดใส่กรอบทองอย่างดี แขวนไว้บนกำแพงมุมตรงข้ามกับเตียงนอน เพื่อที่หล่อนจะได้มองเขาอย่างมีความสุข ก่อนจะเคลิ้มเข้าสู่นิทรารมย์ ฝันดีตลอดคืนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แล้วหล่อนก็ได้รับรู้ถึงเสน่ห์ของผู้ชายที่มีอานุภาพพอจะทำให้ผู้หญิงทุกคนที่พบเห็นตัวจริงของเขา ได้ใกล้ชิดเขาแม้เพียงช่วงเวลาหนึ่ง เกิดอุปาทานไปว่า.. เคยเป็นเนื้อคู่กันมาแต่ชาติปางไหน ในวันนั้นเอง
“ขออภัยที่ต้องให้รอ..ยินดีต้อนรับกลับบ้านเราครับ คุณพุดซ้อน”
ชายหนุ่มเป็นคนแรกที่หล่อนเห็น เมื่อเหยียบย่างลงสู่ผืนแผ่นดินไทย อันที่จริงเขาไม่ได้มาช้ากว่าหล่อน เรียกได้ว่าพอดีกันถึงจะถูก เมื่อหญิงสาวลงจากเครื่อง หล่อนก็เห็นเขาวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล พุ่งตรงมาหาหล่อน อาจเป็นเพราะรัศมีโดดเด่นดึงดูดผู้คนของเขา ทำให้หล่อนสะดุดตา และจำได้ทันที แม้ในระยะไกล ตัวจริงเขาหล่อกว่าในภาพถ่าย แต่ค่อนข้างใกล้เคียงกับภาพเขียนในกรอบทองของหล่อน
วินาทีแรกที่พบหน้า หล่อนบอกตัวเองว่า ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์ที่นัยน์ตา เสมือนมีประกายสาดระยับมาที่คนมองอยู่ตลอดเวลา ทำให้หล่อน หรืออาจจะทุกคนที่พบเห็นเขาครั้งแรก รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญที่สุด ณ เวลานั้น ยามเขาพูด แม้เป็นคำทักทาย หรือคำขอโทษตามมารยาท แต่สายตาเขาจะจับจ้อง จดจ่ออย่างมีสมาธิอยู่กับคนฟังแต่เพียงผู้เดียว ไม่วอกแวกหลุกหลิกเหมือนผู้ชายเสน่ห์จัดแต่เจ้าชู้บางคน และยิ่งสุ้มเสียงทุ้มลึกนุ่มนวลด้วยแล้ว พุดซ้อนต้องยอมรับเลยว่า ขนาดผู้หญิงสวยจัดที่ผู้ชายมองเหลียวหลังตลอดเวลาไม่ว่าจะกรีดกรายไปทางไหนอย่างหล่อน ยังรู้สึกเหมือนถูกครอบงำด้วยมนต์สะกด อยากหาเรื่องชวนคุยต่อเพื่อจะได้ฟังเสียงของเขาต่อไปเรื่อยๆไม่รู้เบื่อ
วันนั้นชายหนุ่มชวนหล่อนพูดคุยอยู่ครู่ใหญ่ ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบในต่างแดน จนกระทั่งเรื่องเล็กน้อยจิปาถะที่หากเป็นคนอื่นพูดจะรู้สึกไร้สาระเลื่อนลอย แต่ชายผู้นี้สามารถหยิบยกถ้อยคำที่น่าฟัง และความคิดเห็นส่วนตัวแซมเสริมเข้าไป ทำให้ทุกเรื่องที่พุดคุยสนุก น่าตั้งใจฟังชนิดอยากติดตามว่าเขาจะว่าไปทางไหนต่อ
“น้ำพุในสระตรงโน้น ถ้าตกแต่งด้วยไม้เลื้อยพันธุ์ไทยพี่ว่าน่าจะดีกว่าพันธุ์ฝรั่ง พื้นกระเบื้องเปลี่ยนเป็นลายช้างไทยจะงามกว่าม้าดีดกะโหลกกระย่องกระแย่งแบบนั้นเยอะเลย น้องพุดซ้อนว่าไหม”
ในยามพูดจาให้เป็นเรื่องตลกขำขัน เขาก็พูดได้น่าฟัง เวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆทำให้เขาสนิทสนมกับหล่อนพอจะเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองและหญิงสาวได้อย่างไม่เก้อเขิน เสียงหัวเราะเบาๆ ในตอนท้ายทำให้พุดซ้อนเผลอยิ้มค้างอยู่ในท่าเดิม หากชายหนุ่มไม่มองกลับมาด้วยแววตาประหลาด หญิงสาวก็คงนึกคำพูดไม่ออก หล่อนได้ยินตัวเองตอบเสียงกังวานใสไปว่า
“นั่นซีคะ ไม่รู้ใครออกแบบ..น่าขันจริง”
แล้วเรื่องราวที่หล่อนอยากสรรหามาคุยกับเขาต่อก็ต้องหยุดลงแค่นั้นอย่างน่าเสียดาย เมื่อคุณนายทองทิพย์เดินทางมาถึง พร้อมคำขอโทษขอโพยบุตรสาว ว่าติดธุระกับลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งมาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย จึงทำให้มารับหล่อนช้ากว่าปกติ พุดซ้อนไม่นึกโกรธมารดา หล่อนกลับนึกขอบคุณเสียอีกที่ทำให้มีเวลาอยู่กับ “เนื้อคู่” เพียงลำพัง นานพอสมควร
หล่อนเพิ่งมารู้เมื่อกลับถึงบ้านว่าเป็นแผนการ หรือจะเรียกว่าความจงใจของคุณนายทองทิพย์โดยตรง ที่ตั้งใจไปให้สายกว่ากำหนด เพื่อให้หล่อนได้ทำความรู้จักกับว่าที่คู่หมั้นไปพลางๆ พุดซ้อนได้พบชายหนุ่มในงานเลี้ยงน้ำชาของบิดาเขา ซึ่งกำลังจะได้เลื่อนขั้นเป็นพระยา ในสองสามวันถัดมา หญิงสาวรู้สึกมีความสุขมากที่สุดในชีวิต ความสำเร็จใดๆที่หล่อนเคยสร้างให้กับบิดามารดา ก็มิอาจบันดาลสุขได้เท่าทุกนาทีที่มีเขาอยู่ใกล้...หญิงสาวนึกขอบคุณใจตัวเองที่ยังไม่รีบด่วนคบผู้ชายคนไหนในต่างแดน และโชคดีที่ได้เปิดจดหมายถึงฉบับของมารดาขึ้นมาอ่าน รวมถึงภาพทุกภาพที่ผู้เป็นแม่ส่งมาให้..แม้ว่าจะฝืนใจตัวเองในตอนแรกก็ตาม
แต่มาบัดนี้...ชายอันเป็นที่รัก ผู้ที่จะมาเป็นสามีในอนาคตของหล่อน กำลังมีท่าทีสนใจในตัวน้องสาวคนเล็ก แม้เขาจะพยายามเก็บซ่อนอาการเมื่ออยู่ต่อหน้าหล่อนและมารดาก็ตาม ทว่าคนไหวพริบดี และเฉลียวฉลาดอย่างพุดซ้อน ไม่มีทางมองผ่านแววตาอ่อนโยนลึกซึ้งของเขาไปได้ ปรัชเคยมองหล่อนด้วยความอ่อนโยนก็จริง แต่ก็มองอย่างคนที่เคยชินกับการส่งกระแสละเมียดละไมให้กับทุกคนอย่างเป็นมิตรแววตาอีกแบบที่หล่อนลอบเห็นในวันนี้ เขาไม่เคยมีให้หล่อน ทว่ากลับมีให้..มะลิ ผู้หญิงหน้าตาจืดชืด ไม่มีอะไรดีในชีวิต ซึ่งข้อนี้นี่แหละ ที่ทำลายความสุขในช่วงเวลาสั้นๆลงไปอย่างน่าใจหาย...แต่หล่อนสัญญากับตัวเองแล้วว่า
หากหล่อนผูกใจผู้ชายคนนี้ไว้ไม่ได้..ก็ไม่มีศักดิ์ศรีพอจะเป็นลูกสาวคนโตผู้เชิดชูวงศ์ตระกูลอีกต่อไป!
มุกดารู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ล่องหน ที่มองเห็นภาพจากแผ่นฟิล์มชัดแจ่มแต่เพียงฝ่ายเดียว หล่อนเห็นใครๆกับเรื่องราวมากมาย ทว่าคนเหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่ามองเห็นหล่อนเลยสักนิด จะไปยืนชะเง้อยื่นหน้ายื่นคออย่างไร มองมุมไหนก็แล้วแต่ใจชอบ ขนาดมองเข้าไปในความนึกคิดคนยังได้ ดูอย่างคุณพุดซ้อนพี่สาวของมะลิ ผู้ที่ถอดพิมพ์มาจากแพรวาพี่สาวคนสวยของหล่อน เพียงมุกดาสงสัยว่าเจ้าหล่อนยืนพิงกรอบหน้าต่างเหม่อลอยทำไมตั้งนาน...รู้ตัวอีกทีก็เข้าไปอยู่ในความคิด เรียกให้ถูกคือความหลังครั้งวันวานของสาวสวยเชิดหยิ่งคนนั้นเสียแล้ว
นึกว่าจะจบเรื่องฟุ้งซ่านแล้วตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนในห้องเดิมเสียที ทว่ามุกดาคิดผิดถนัด เมื่อเรื่องราวของคุณพุดซ้อนพักยกลงชั่วคราว ฉากใหม่ในสถานที่แห่งใหม่ก็ปรากฏ ราวกับใครรูดม่านดำเข้าหากันเพียงแวบเดียวภาพเบื้องหลังก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เด็กหญิงผิวขาวจัดริมฝีปากสีชมพูสดจิ้มลิ้มกำลังมุดหัวผ่านรั้วพู่ระหงนั่นเข้ามาในเขตเพื่อนบ้าน มุกดาเดินเข้าไปมองหน้าใกล้ๆเพราะรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด พอเด็กหญิงตัวเล็กกลมเงยหน้าขึ้นมาหลังจากคลานมุดรั้วได้สำเร็จ หญิงสาวก็ถึงบางอ้อ..ที่ว่าหน้าคุ้นก็เพราะเหมือนหล่อนเมื่อตอนอายุสักสี่ห้าขวบนั่นเอง
มุกดาเห็นเด็กน้อยคนนั้นกระโดดเหย็งๆ ตบมือดีใจที่ลักลอบเข้ามาในถิ่นใหม่ได้สำเร็จ ยืนมองอยู่ครู่เดียวหล่อนก็นึกขึ้นมาได้เองว่าเด็กคนนี้คือ มะลิ เมื่อครั้งยังเยาว์
มะลิน้อยใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวขนาดพอดีตัว นุ่งโจงกระเบนสีแสด ความสูงของเธอเทียบได้ประมาณระดับเอวของมุกดา เด็กหญิงหันซ้ายหันขวาเหมือนจะหาของเล่นชิ้นใหม่ แววตาซุกซนเหมือนตอนหล่อนเล็กๆไม่มีผิด มุกดาดูท่าแวบเดียวก็รู้ว่าคุณหนูมะลิต้องหนีพี่เลี้ยงและมารดามาเล่นไกลๆ หญิงสาวนึกขันระคนเอ็นดูในความแก่นเซี้ยวของเด็กน้อย ข้อนี้กระมังที่เป็นความต่าง แม้หล่อนจะเคยซุกซนก็จริง แต่ไม่ถึงขนาดใจเด็ดหนีออกมาเล่นนอกบ้านคนเดียวแบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องชวนพี่เขียวมาเป็นบอดี้การ์ดด้วยทุกครั้ง
เสียงโหวกเหวกจากเบื้องหลัง เหมือนมีคนกำลังทะเลาะกัน ทำให้มุกดาหยุดนึกถึงอดีตชั่วครู่ ก่อนจะรีบหมุนตัววิ่งตาม “คุณหนูมะลิ” ไปติดๆ เล่นเอาหอบจับได้เหมือนกัน เห็นตัวเล็กอย่างนั้น ฝีเท้าเร็วใช่เล่น
มะลิน้อยอำพรางตัวด้วยการหลบหลังพุ่มไม้ใหญ่ใกล้ลำธารเบื้องหน้า มุกดายอบตัวสูงโหย่งของหล่อนลงหลังเด็กน้อย เสียงห้าวใหญ่ของเด็กหนุ่มวัยรุ่นร่างท้วมคนหนึ่งตะโกนด่าคู่กรณีรัวเร็ว
“ไม่ต้องมาสอนข้า เอ็งมันแค่เด็กตัวกะเปี๊ยก ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”
มุกดามองลอดช่องใบไม้ออกไปเห็นหนุ่มอ้วนคนนั้นกอดถุงผ้าใบใหญ่เอาไว้แน่นหนา เห็นผลมะม่วงพูนออกมาเหนือปากถุง เยื้องออกไปไม่ไกลกันนัก..คือคู่กรณีของเขา มุกดาเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ
“พี่วิน!”
พอได้ยินเสียงตัวเองตะโกนออกไปแบบนั้นก็รีบยกมือขึ้นอุดปาก หันซ้ายแลขวา ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ทว่าทุกอย่างยังดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น..ไม่มีใครได้ยินเสียงของหล่อน หญิงสาวยกมือลูบอกด้วยความโล่งใจ หล่อนลืมไปเสียสนิทว่า ในความฝันฟุ้งซ่านนี้ ไม่เคยไม่ใครเห็นหล่อน..และไม่เคยมีเสียงของหล่อนผ่านเข้าหูใคร
ใกล้สระน้ำธรรมชาติแห่งนั้น มุกดาเพิ่งสังเกตว่ามีต้นมะม่วงปลูกอยู่ริมฝั่งหลายต้น เห็นสีหน้าแววตาโกรธแค้นของ “พี่วิน” ตอนเด็ก..หล่อนเดาว่าคงอายุห่างกับมะลิไม่เกินห้าปี และหนุ่มแรกรุ่นร่างอ้วนหอบถุงมะม่วงคนนั้น หญิงสาวก็พอจะเดาได้ ว่าผู้ที่ตะโกนเสียงดังอยู่นี้คงเป็นนักเลงหัวขโมยรุกล้ำเข้ามาปีนเก็บมะม่วงในบ้านของพี่วิน..หรือจะเรียกให้ถูกคือเด็กชายปรัชว่าที่คู่หมั้นคุณพุดซ้อน
“พี่นั่นแหละหน้าไม่อาย เข้ามาขโมยของบ้านคนอื่นเขา แล้วยังมาทำนักเลง”
หล่อนได้ยินปรัชตอบโต้นักเลงหัวไม้อย่างใจเด็ด แววตาเขาจดจ้องอีกฝ่ายเหมือนจะคาดคั้นให้ยอมรับผิด..โถ พ่อคุณ ช่างไม่เจียมเนื้อตัวเลย ผอมแห้งออกขนาดนั้น จะเอาแรงที่ไหนไปสู้นักเลงร่างอ้วน หากเขาเกิดโมโห ผลักอกนิดเดียวก็กระเด็นร่วงลงไปในน้ำแล้ว..มุกดานึกในใจ แทนที่จะรู้สึกชื่นชมความใจเด็ดของปรัช หล่อนกลับรู้สึกเวทนาเขามากกว่า
“พูดยังงี้อยากเจอดีหรือไอ้น้อง ได้..อยู่ดีๆไม่ว่าดีใช่ไหม”
ไม่ทันขาดคำ เรื่องที่มุกดาระแวงอยู่ลึกๆก็เกิดขึ้นจริงเพียงชั่วพริบตาเดียว นักเลงร่างท้วมวางถุงมะม่วงลงกับพื้น ก่อนจะโถมตัวเข้าไปแทบประชิดเด็กชายร่างผอม หมัดลุ่นๆจากกำปั้นกลมโตเสมือนค้อนอันใหญ่ซัดเปรี้ยงเข้าไปที่ใบหน้าโครงเล็กของปรัช ไม่ต้องเดาเลยว่าจะเห็นเขาผงะหงายลงไปลอยคออยู่ในน้ำเรียบร้อย
นักเลงวัยรุ่นคนนั้นยืนมองผลงานตัวเองด้วยรอยยิ้มสะใจเพียงครู่เดียว ก่อนจะชี้หน้าปรัชเป็นเชิงหมายหัว ว่าหากลองดีเขาอีก คราวหน้าต้องโดนหนักกว่านี้ เมื่อจัดการเจ้าของบ้านเสร็จสรรพ หนุ่มคนนั้นก็หอบถุงมะม่วงขึ้นบ่าก่อนจะวิ่งไปยังกำแพงรั้วด้านตรงข้าม มุกดาเห็นลิบๆว่าเด็กหนุ่มส่งทอดถุงใบใหญ่ใบนั้นให้กับเพื่อนอีกคนที่นั่งรออยู่แล้วบนสุดกำแพง พอส่งของเรียบร้อยก็พาร่างอ้วนๆของตนไต่เชือกขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว..ดูท่าจะไปขโมยของบ้านใครๆบ่อยจนรู้ช่องทางจัดเจน
หันกลับมามองในสระก็เห็นเด็กหนุ่มยังลอยตุ๊บป่องอยู่ในน้ำไม่เป็นท่า คราวนี้มุกดาลุกยืนหัวเราะเสียงดังอย่างกลั้นไม่อยู่ หล่อนไม่กลัวแล้วว่าจะมีใครเห็น หรือมีใครได้ยิน เพราะฉะนั้นก็ไม่เห็นประโยชน์จะต้องหลบซ่อนตัว และเก็บเสียงมิดชิดอย่างคุณหนูมะลิ
“คุณหนูมาอยู่นี่เอง รีบกลับบ้านเถิดค่ะ ประเดี๋ยวคุณนายใหญ่ท่านว่าเอา”
เสียงใสแจ๋วทว่าร้อนรนของเด็กหญิงคนหนึ่งดังขึ้นข้างหูทำให้มุกดาหันกลับมามอง เธอเป็นเด็กผู้หญิงผิวคล้ำตัดผมสั้นแค่ใบหู ดูแล้วอายุน่าจะมากกว่ามะลิไม่เกินสองปี คงจะเป็นเด็กรับใช้หน้าห้องของมะลิน้อยนี่เอง..มุกดานึกเดาไปตามรูปการณ์
“กลับได้ที่ไหน ไม่เห็นหรือชะเอม คนกำลังจะจมน้ำอยู่แล้ว เราต้องช่วยเขาก่อน เร็วเข้า!”
ไม่ทันขาดคำ คุณหนูมะลิ ก็กึ่งลากกึ่งจูง เด็กรับใช้ที่ชื่อชะเอมไปใกล้ริมสระ เวลานั้นมุกดาถึงได้รู้ว่าภาพตลกขบขันของปรัชกลับกลายเป็นภาพอันน่าตกใจ เมื่อศีรษะของเขากำลังลดต่ำลงเรื่อยๆจนเกือบจมมิดลงไปในน้ำ มีมือขาวซีดโผล่ขึ้นมาเหมือนเรียกร้องความช่วยเหลือเป็นระยะ...มุกดานึกตำหนิตัวเองในใจที่ไปหัวเราะเด็กหนุ่ม ใครจะรู้เล่าว่าอนาคตชายชาตรีในชุดเครื่องแบบจะว่ายน้ำไม่เป็น!
ครั้งนี้หญิงสาวถึงได้มอง “คุณหนูมะลิ” ในแง่มุมใหม่ แง่มุมที่ส่อแววฉลาดเฉลียวและมีความคิดรอบคอบตั้งแต่ยังเล็ก แทนที่เธอจะยื่นมือลงไปเป็นหลักให้มือซีดเซียวของเด็กหนุ่มยึดเอาไว้แล้วออกแรงดึง คุณหนูตัวน้อยกลับชี้ชวนชะเอมให้ไปหาท่อนไม้มาผูกกับเถาวัลย์ต่อๆกันแล้วโยนลงไปในน้ำ ปรัชยังพอมีเรี่ยวแรงและมีสติพอที่จะคว้าเอาไว้ได้ เด็กน้อยทั้งสองคนช่วยกันออกแรงดึงเถาวัลย์อยู่ห่างๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกลากจมลงไป พอท่อนไม้เข้าใกล้ริมสระพอที่เด็กหนุ่มจะตะเกียกตะกายขึ้นมาเองได้ คุณหนูมะลิก็ปล่อยมือจากเถาวัลย์ พากันนั่งลงหอบแฮกกับเด็กรับใช้ใต้ต้นมะม่วงนั้นเอง
“ขอบใจที่ช่วยฉัน...เธอชื่ออะไร”
เสียงเด็กชายค่อนข้างแห้งแล้ง อ่อนโรยเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงจากการเอาชีวิตรอด เขาขึ้นมาพักตัวอยู่บนผืนหญ้าลาดต่ำลงไปจากปลายเท้าของเด็กหญิง ใบหน้าซีดเผือด ทว่ายังฝืนยิ้ม ยันตัวขึ้นนั่ง มะลิลืมความเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เข้ามาสัมผัสเนื้อตัวและเอามืออังลมหายใจของผู้ที่เธอเพิ่งช่วยเหลือขึ้นมาด้วยน้ำใจและแรงกาย เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าเขารอด เธอบอกเสียงใส ดวงตากลมโตสุกสกาว
“ชื่อ..หนูลิ”
มุกดามองเห็นประกายตาระยิบจุดวาบขึ้นมาแทนคำขอบคุณ ..เป็นแววตาชนิดเดียวกับที่หล่อนเคยเห็นมาแล้ว..ยามอยู่ใกล้เขา
ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2555, 23:31:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มิ.ย. 2555, 23:31:33 น.
จำนวนการเข้าชม : 1623
<< บทที่๑๕ ไม่ขอให้เป็นเหมือนใคร ๒/๒ | บทที่๑๗ ซ่อนรัก >> |
jink 19 มิ.ย. 2555, 11:43:47 น.
เดิมเดิม 19 มิ.ย. 2555, 12:20:58 น.
ชาติก่อนก็เคยผูกพันกันแต่เด็กเหมือนกันเลย
ชาติก่อนก็เคยผูกพันกันแต่เด็กเหมือนกันเลย
แล่นแต๊ 19 มิ.ย. 2555, 22:00:11 น.
อ๊าย หนูลิน่ารัก พี่ปรัชไปขอหมั้นผิดคนรึเปล่าคะ ^^
อ๊าย หนูลิน่ารัก พี่ปรัชไปขอหมั้นผิดคนรึเปล่าคะ ^^
ศิลาริน 19 มิ.ย. 2555, 22:11:22 น.
มันมีเหตุให้หมั้นผิด อิอิ^__^
มันมีเหตุให้หมั้นผิด อิอิ^__^