เรือนกุหลาบ
กุหลาบแสนสวยดอกนั้น ช่างแสนดี เป็นที่รักเทิดทูนบูชาของหล่อนสุดหัวใจตั้งแต่เล็กจนโต..หญิงสาวไม่รู้เลย ว่าเบื้องหลังกุหลาบสีสวยนั้นซ่อนคมหนามไว้มิดชิด..เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของหล่อนทุกวิถีทาง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่๑๗ ซ่อนรัก
มุกดานึกสงสัยว่า “หนูลิ” นี่คือชื่อเล่นของมะลิ หรืออะไร เพราะเห็นคุณนายทองทิพย์ก็เคยเรียกเธอแบบนั้นเหมือนกันตอนอยู่ในห้องอาหาร เพียงเสี้ยววินาทีของความอยากรู้ผุดขึ้น มุกดาก็ได้เห็นภาพมะลิในวัยเด็กลงไปอีก น่าจะยังไม่ครบขวบปี
“จะทำยังไงดีนะ ให้น้องของหนูหัดพูดเสียที พุดซ้อนช่วยแม่คิดหน่อยซี”
คุณนายทองทิพย์เปรยขึ้นพลางถอนหายใจ ขณะนั่งไกวเปลให้ลูกสาวคนเล็ก ที่ตอนนี้นอกจากไม่ยอมหลับยอมนอนแล้วยังตะกายตัวขึ้นนั่ง จ้องผู้เป็นแม่ตากลมแป๋ว
“อาลิ อาลิ..”
เด็กน้อยแก้มป่องริมฝีปากจิ้มลิ้มพยายามส่งเสียง เหมือนรู้ว่าผู้เป็นแม่กำลังกังวลเรื่องเธอพูดไม่เก่ง ทว่าเสียงที่ออกจากปากหนูน้อย กลับไม่ตรงใจมารดา คุณนายต้องการให้บุตรสาวเรียกชื่อตัวเองได้เต็มปากว่า “มะลิ” หล่อนลืมไปแล้วว่า เด็กวัยเก้าเดือนบางคนพัฒนาการยังไม่มากพอที่จะเรียกชื่อตัวเองได้ชัดเจน แค่พอส่งเสียงใกล้เคียงขนาดนี้ก็ดีถมไปแล้ว
คุณนายทองทิพย์กลับเปรียบเทียบเอากับลูกสาวคนโตซึ่งตอนนั้น อายุได้หกขวบ..พุดซ้อนออกจะเป็นเด็กที่พัฒนาการรอบด้าน ทั้งภาษา การตอบสนองต่อคนรอบตัว การหยิบจับเดินเหิน ล้วนรวดเร็วกว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน เธอพูดเป็นประโยคชัดเจน มีประธาน กิริยา กรรม ครบสรรพ เช่น..หนูอยากไปเที่ยวกะชะเอม อยากอาบน้ำแล้ว หิวข้าว คุณแม่ป้อนให้หน่อย และอีกมากมายที่ทำให้คุณนายทองทิพย์ภูมิใจในตัวลูกสาว ถึงกับเอาไปอวดกับเพื่อนบ้านได้ทุกวัน
ผิดกับมะลิ ที่แม้แต่ชื่อสั้นๆของตัวเองยังเรียกได้ไม่เต็มปาก
“คุณก็..เด็กเพิ่งเก้าเดือน ไปเอาอะไรกับมันมาก”
คุณหลวงไผทส่งเสียงแกมรำคาญมาจากเก้าอี้ตัวเทอะทะในห้องรับรอง เขากำลังนั่งอ่านข่าวการเมืองอย่างมีสมาธิ ได้ยินศรีภรรยาบ่นแต่เรื่องเดิมๆซ้ำซาก เขาก็เบื่อเป็นเหมือนกัน
“ทำไมพุดซ้อนถึงพูดคล่องเล่าคุณพี่ เก้าเดือนก็พูดเป็นประโยคแล้ว”
“เจ้าพุดซ้อนมันเก่งเกินเด็ก คุณอย่าเอาไปเปรียบ”
คุณหลวงตอบกลับมาอย่างไม่ลดละ เป็นหน้าที่ของพุดซ้อน บุตรสาวหัวแก้วของคุณนายที่รู้ความพอจะเข้ามาห้ามทัพ และฉลาดพอที่จะพูดให้ผู้ใหญ่เลิกเอ่ยถึงประเด็นนี้อีก
“มะลิ คงเรียกยากค่ะคุณแม่ เรียกหนูลิ ก็แล้วกัน”
“จะดีหรือลูก..ฟังไม่รื่นหูเลย”
คุณนายยังยึดมั่นในความคิดของตัวเอง แต่เสียงก็อ่อนลงอย่างคนเริ่มหมดหวัง ลูกสาวคนเก่งจึงสำทับเหตุผลอื่นเข้าไปอีก
“ก็ยังดีล่ะค่ะ เรียกหนูลิแล้วน้องหันมามองตอบ นี่ไงคะ หนูลิ หนูลิ หิวข้าวไหมจ๊ะ” ตอนท้าย พุดซ้อนชะโงกหน้าลงไปบอกน้องสาวที่กำลังมุดหัวลงซุกหมอน..และเหมือนเด็กน้อยจะเคยชินกับเสียงเรียกชนิดนั้น จึงกระเด้งตัวขึ้นมาเงยหน้ามองพี่สองแล้วยิ้มแป้น
“นี่ไงคะคุณแม่ น้องชินกับชื่อนี้จริงๆด้วย เอาเถิดค่ะ เรื่องภาษาประเดี๋ยวโตขึ้นก็พัฒนาไปเอง เรามาช่วยกันกระตุ้นให้น้องตื่นตัว ฝึกเกาะเดิน ตอบสนองกับสิ่งเร้าได้เร็วๆจะดีกว่า”
นี่คือคำพูดของเด็กหญิงวัยหกขวบ..มุกดาไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย ว่าคุณพุดซ้อนจะช่างเจรจา เฉลียวลาดในการพูด และมีความคิดล้ำวัยเด็กขนาดนี้
และนี่เองกระมัง คือเหตุผลที่ทำให้มะลิ ติดนิสัยเรียกตัวเองว่า “หนูลิ” แทนตัวมาจนกระทั่งพบเด็กชายปรัช
มุกดานึกอยากรู้เรื่องราวต่อไป หลังจากหนูมะลิช่วยพี่ปรัชให้รอดชีวิตขึ้นมาได้ หญิงสาวพยายามกำหนดจิตใจให้จดจ่อกับความสงสัยดังกล่าว คาดว่าอีกเดี๋ยวคงได้เห็นอะไรดีๆ ทว่าครั้งนี้ พอเพ่งพินิจมากขึ้นๆ ภาพมายาทั้งหลายกลับค่อยเลือนรางหายไป ไม่มีฉากใหม่เข้ามาแทนที่ดังใจนึก
ลำแสงสีทองอ่อนที่ทอดผ่านหลังม่านสีเขียวทำให้มุกดาต้องยกมือขึ้นมาบังม่านตาเอาไว้ แพขนงามงอนกระพริบถี่ๆ เห็นเป็นเงาทาบทับเหนือพวงแก้ม หญิงสาวใช้ฝ่ามือยันตัวเองขึ้นมาจากสัมผัสหนานุ่มของเตียงนอนขนาดพอดีตัว สะบัดศีรษะไล่ความมึนงงแล้วเหลียวมองรอบกาย ภาพชัดเจนคุ้นตาของลวดลายฝาผนัง บอกมุกดาว่าหล่อนกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงเสียแล้ว..
มุกดาเดินทอดน่องลงมายังชั้นล่างของเรือนไม้ หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จสรรพ มุ่งตรงไปยังชุดเบาะหนังด้านหน้าติดกับเทอเรสต์ คิดว่าสมาชิกคนอื่นๆในบ้านคงรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น หล่อนไม่แวะเข้าห้องอาหารเพราะเดาได้ว่ายามสายขนาดนี้ทุกคนคงรับประทานมื้อเช้ากันไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นวันหยุดยามสายแบบนี้พี่ๆของหล่อนคงนั่งเล่นนอนเล่นกันอยู่ในส่วนที่จัดไว้แทนห้องรับแขก
แล้วสิ่งที่คาดคิดว่า จะเห็นเพทายนั่งเปิดนิตยสาร หรือไม่ก็เปิดคอมพ์หาไอเดียจัดงานแต่งแนวแปลกใหม่จากอินเทอร์เน็ต ไพลินนั่งตรวจการบ้านนักเรียน คุณหญิงนารีนอนเอนหลังให้คนใช้นวดต้นขาบนเก้าอี้ไม้เบาะสีขาวตัวใหญ่สุด สำหรับแพรวาหล่อนไม่คิดว่าจะเจออยู่แล้ว เพราะพี่สาวคนนี้มักมีอะไรพิเศษให้ออกไปทำนอกบ้านเสมอๆ ส่วนหนึ่งในนั้นก็คงไปเที่ยวกับกวินเจ้านายของหล่อน
ทว่าภาพที่เห็นกลับเป็นความว่างเปล่า ไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้นสักคนเดียว มุกดารู้สึกเคว้งอย่างบอกไม่ถูก หล่อนไม่รู้จะหาอะไรทำแก้เหงาดี แปลนงานทุกอย่างก็ทำเสร็จหมดแล้ว จะพูดให้ถูกคือกวินมอบหมายงานให้หล่อนน้อยเกินไป หลังจากโครงการบ้านพักส่วนตัวที่ปราณบุรีจบไป หล่อนก็แทบไม่ได้พูดคุยกับเขาอีก ชายหนุ่มมอบหน้าที่ให้กับหัวหน้าฝ่ายครีเอทีฟ สอนงานหล่อน
ระหว่างนั่งคิดอะไรเพลินๆบนเก้าอี้ไม้ขึ้นเงา สายตามุกดาก็สะดุดกับปฏิทินบนโต๊ะกระจกใส หล่อนหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ สัญลักษณ์สีแดงที่กำกับข้างวันที่ของวันนี้ทำให้หญิงสาวนึกถึง ไพลิน.. วันพระแบบนี้พี่สาวของหล่อนคงหมกตัวอยู่ในห้องพระ ส่วนหลังของบ้าน อาจจะกำลังนั่งสวดมนต์ หรืออ่านหนังสือธรรมะสงบจิตใจอยู่เพียงลำพัง...มุกดาดาเป็นประกายก่อนจะรีบผุดลุกออกจากตรงนั้น มุ่งหน้าไปหาเป้าหมาย ที่หล่อนคิดว่าสนิทใจพอจะเล่าเรื่องประหลาดบางอย่างให้ฟัง.. ไพลินอาจมีความคิดเห็นอะไรดีๆ กับเรื่องนี้ก็ได้
ในห้องพระ..ส่วนหนึ่งของบ้านที่มุกดาแทบไม่เคยย่างกรายเข้ามา นอกจากเดินผ่านประตูกระจกเลื่อนของห้องแล้วแวะเอามือเคาะกุกกักเรียกพี่สาวออกมาคุยกันข้างนอก พอได้ลองเข้ามานั่งคุกเข่าลงด้านใน หล่อนก็นึกตำหนิตัวเองว่า ไม่น่ามองข้ามของดีแบบนี้ไปเสียตั้งนาน กระแสความสงบและคลื่นความเย็นอ่อนๆกระจายอวลอยู่รอบตัว โต๊ะหมู่บูชาตรงหน้ามีพระพุทธรูปสีขาวหมดจดขนาดกะทัดรัดตั้งอยู่ส่วนบนสุด กรอบตาเรียวงามขององค์พระปฏิมาหลุบต่ำลงเล็กน้อย เสมือนกำลังทอดมองมายังหล่อนด้วยความเมตตา ทำให้หญิงสาวรู้สึกอบอุ่น เป็นสุข และยิ่งกว่านั้นคือ หล่อนรู้สึกคลับคล้ายว่าเคยคุกเข่ามองพระพุทธรูปด้วยความสงบแบบนี้มาก่อน ทว่านึกไม่ออกว่าตอนไหน
มุกดาเห็นพี่สาวกำลังนั่งขัดสมาธิหลังเหยียดตรงด้วยอาการสงบนิ่ง หล่อนจึงไม่กล้าเคาะประตูกระจกเรียกเหมือนครั้งก่อนๆ จะเรียกว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่มุกดาเห็นไพลินนั่งสมาธิ
ก่อนหน้านี้เคยเห็นแต่สวดมนต์บทยาวๆอย่างไม่รู้เบื่อ ไม่ใช่ในห้องพระ แต่เป็นในห้องนอนของหล่อนยามหล่อนรู้สึกเหงา หรือบรรยากาศในบางคืนวังเวงน่ากลัว จึงต้องเดือดร้อนไพลินหอบหมอนกับผ้าห่มมานอนเป็นเพื่อน
บทสวดแต่ละบทหล่อนได้ยินทีไรเป็นเผลอหลับทุกที ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเพิ่งชวนพี่สาวคุยเรื่องอื่นเสียงใสแจ๋ว จำชื่อบทสวดก็ไม่ค่อยจะได้ เพราะพี่สาวหล่อนสวดอยู่หลายบท หลายคาถาเหลือเกิน จำได้อยู่บทเดียวคือ คาถาชินบัญชร ซึ่งไพลินสวดให้ฟังบ่อยที่สุด และคอยชักชวนให้หล่อนสวดตาม ยกเหตุผลเป็นต้นว่ามีอานิสงส์อย่างนั้นอย่างนี้มาเรียกร้องความสนใจ ทว่าหญิงสาวมักบ่ายเบี่ยง อ้างว่ามีงานค้างต้องรีบไปทำเกือบทุกครั้ง
แต่ถึงแม้ไม่ใช่คนชอบสวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญครบวงจรอย่างพี่สาว ได้แค่ตื่นเช้ามาใส่บาตรในบางวัน ไม่บ่อยนักแต่ก็ทำทุกเดือน มุกดาก็สัมผัสกระแสสงบเป็นสุขได้ทุกครั้งที่ไพลินสวดมนต์ หญิงสาวไม่นึกเลย ว่าเมื่อไพลินนั่งสมาธิ กระแสแห่งความสุขยิ่งละเอียดอ่อน มีอำนาจกระจายวงกว้างกว่าเดิมมาก หล่อนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกว่าความละเอียดอ่อนนี้คือสิ่งใด รู้แต่ว่ามันทำให้ความว้าวุ่นในหัวอกสงบราบคาบลงอย่างน่าประหลาด จนต้องเลื่อนกระจกเข้ามาเบาๆ แล้วยอบตัวลงนั่งยกมือประนมเบื้องหลังพี่สาว
“นึกครึ้มยังไงล่ะเรา ถึงเข้ามาในนี้”
ไพลินค่อยๆขยับตัวหันมาประจันหน้ากับน้องสาว หล่อนสัมผัสกระไอของผิวกายผู้อยู่เบื้องหลังได้นานแล้ว ทว่ายังคงนั่งทำความสงบต่อไปจนกว่าจะอิ่มเอมในธรรมารมณ์ ก่อนจะหันมาเห็นมุกดาทำให้เหวออย่างคนตั้งตัวไม่ติด เมื่อพี่สาวจับได้ว่าแอบเข้ามานั่งโดยไม่ได้รับอนุญาต
มือที่เพิ่งประนมมือไว้ระดับอกรีบลดลงไปวางบนตัก ไพลินหัวเราะน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางเก้อเขินของน้องสาว
“เอ้า..ไม่ต้องอาย ทำดีแล้วจะอายทำไม”
“เพิ่งรู้ว่าพี่ลินนั่งสมาธิกะเค้าด้วย”
มุกดาเสพูดไปอีกทาง เพื่อข่มความเก้อเขินของตัวเอง ไพลินยิ้มรับอย่างเข้าใจก่อนบอกเสียงอ่อนโยน
“พี่นั่งมาสักระยะนึงแล้ว เราไม่เห็นเองต่างหาก”
เงียบกันไปชั่วครู่ เห็นน้องสาวทำหน้าเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่างซุกซ่อนอยู่ ไพลินจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน
“มีอะไรให้พี่ช่วยไหม?”
มุกดาพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตากลมโตเป็นประกาย
“ไข่มุกไม่รู้จะไปถามใคร แล้วก็ไม่รู้ว่าควรถามรึเปล่า ที่แน่ๆคือถ้าถามเพ เพต้องหาว่าไข่มุกบ้า งมงายไร้สาระ”
หล่อนอารัมภบทก่อนเล่า ไพลินก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี รอน้องสาวระบายต่อ ไม่ขัดขึ้นกลางครัน
“ไข่มุกฝันถึงคนหน้าเหมือนตัวเอง แล้วก็หน้าเหมือนเอ่อ..” หญิงสาวรวบรวมความกล้าครู่หนึ่ง แล้วเล่าต่อ “เหมือนคุณกวิน...เหมือนพี่แพร ในฝันไข่มุกรู้ตัวตลอดว่าฝัน มีสติเหมือนตอนตื่น..”
แล้วเรื่องราวที่หล่อนคิดว่าเกิดจากความฟุ้งซ่านทว่าสมจริงทั้งหลายแหล่ก็ประดังประเดออกมาจากกลีบปากรูปสวยจนหมดเกลี้ยง ไม่มีอมพะนำไว้แม้เพียงส่วนเดียว ไพลินฟังไปเรื่อยๆอย่างสงบ บางจังหวะก็พยักหน้าตามน้อยๆ เหมือนขบคิดอะไรอยู่ในหัว
“ความจริง ไข่มุกเคยฝันตั้งแต่เด็กๆ สมัยประถม หลังจากที่โดนคัตเตอร์บาดครั้งนั้น พี่ลินจำได้ไหมคะ”
ไพลินพยักหน้าตอบรับเบาๆ
“จำได้จ้ะ..”
“นั่นล่ะค่ะ..ผิดกับตอนโตตรงที่ฝันมันเลือนๆมัวๆ เห็นหน้าคุณวินสมัยยังเด็ก กับบ้านหลังนั้น แต่ได้แค่เห็นไม่เคยพูดกัน ฝันไม่ค่อยเป็นเรื่องราว ไข่มุกคิดว่าคงคิดถึงเขามากเกินไป เลยเก็บมาฝัน..”
“คิดถึงมากขนาดนั้น?”
ไพลินขัดจังหวะด้วยเสียงเชิงเย้าแหย่ มากกว่าจะต้องการฟังตั้งคำถามจริงๆ มุกดาหน้าแดง รีบแก้คำพูดแทบไม่ทัน
“เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ ไข่มุกพูดผิด คือ หมายถึงว่าคิดถึงความเฟอะฟะของตัวเองตอนโดนคัตเตอร์บาด..ไม่ได้คิดถึงเขา”
“เอาล่ะจ้ะ พี่เชื่อ..ค่อยๆพูดก็ได้เดี๋ยวลิ้นจะพันกันเสียก่อน”
ไพลินหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นน้องสาวหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ
“แล้ว..พี่ลินคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้คะ ไข่มุกไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นแค่ความฝัน”
คราวนี้ไพลินมีสีหน้าจริงจังกว่าเดิม นัยน์ตาที่ทอดมองน้องสาวเจือแววสงสารอย่างปิดไม่มิด
“คนที่ทำสมาธิเก่งๆ เข้าฌานได้ลึกระดับหนึ่ง จะเห็นนิมิตบางอย่างชัดเจน..เหมือนคนตื่นในฝัน”
มุกดาขมวดคิ้วเข้าหากัน บอกความฉงนในเรื่องที่พี่สาวเอ่ยถึง
ก่อนหล่อนจะได้ยินคำตอบที่ไม่คาดฝัน..
“ไข่มุกเห็นอดีตชาติของตัวเอง..”
คุณหญิงนารีเพิ่งก้าวลงจากรถแท็กซี่มายืนซับเหงื่ออยู่ริมถนนลาดยางแคบก่อนถึงเรือนกุหลาบไม่กี่สิบเมตร หญิงสูงวัยถอดแว่นกันแดดออกจากใบหน้า พร้อมกับหมวกปีกบานที่ปกปิดหน้าตาไปเกือบครึ่ง ก่อนลงจากรถ หล่อนเพิ่งกลับจากการเจรจาปัญหาหนี้สินที่คั่งค้างอีกจำนวนหนึ่ง กับเจ้าหนี้นอกระบบ เมื่อเดือนก่อนก็เพิ่งผ่อนหนี้ด้วยรถเบนซ์คันหรูของตน เป็นเหตุให้เวลาไปไหนมาไหนต้องอาศัยรถติดแอร์รับจ้างอย่างเมื่อครู่นี้ ครั้นจะให้ยืมรถลูกสาวที่เหลืออยู่อีกสองคันมาใช้คุณหญิงก็ทำไม่ลง และอีกเช่นกัน หล่อนต้องปิดบังหน้าตาเพื่อมิให้ชาวบ้านจำได้ว่า..หล่อนคืออดีตผู้ดีเก่า เศรษฐินี ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมชั้นสูง
เจ้าของเรือนกุหลาบพาร่างที่เริ่มทรุดโทรมของตนมาเกือบจะถึงประตูรั้วหน้าบ้าน ความเคลื่อนไหวของร่างสูงโปร่งตรงหน้าทำให้คุณหญิงหยุดกึก พอเห็นชัดว่าเป็นใคร สีหน้าหม่นมัวเมื่อครู่ก็กลับกระจ่างใสเป็นคนละคน หล่อนยิ้มให้กวินอย่างอ่อนหวาน เค้าหน้าที่เคยมีความสวยสะพรั่งเมื่อวัยสาว ประกาศความยินดีเมื่อพบแขกคนสำคัญ
“สวัสดีครับคุณป้า ผมกำลังจะกดกริ่งเรียก ก็พอดีได้เจอเจ้าของบ้านเสียก่อน”
กวินยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม พลางเอ่ยเจือเสียงหัวเราะในท้ายประโยค เสียงของเขาทุ้มนุ่ม ทว่าฉาบไปด้วยความสดใส คุณหญิงนารีฟังแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“แหม อย่าเรียกป้าเลยจ้ะ เรียกแม่ดีกว่า ฟังดูได้เหมือนคนบ้านเดียวกัน”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธในคราวเดียวกัน
“มาหาหนูแพรหรือจ๊ะ เอ..เห็นว่าวันนี้จะออกไปเตรียมงานเปิดตัวห้องเสื้อนี่นะ”
คุณหญิงนารีนึกทบทวนคำบอกเล่าของหลานสาวเมื่อเย็นวาน ทำให้ต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน
“หนูแพรไม่ได้บอกวินหรือ..นึกว่าชวนไปด้วยกันแล้วเสียอีก”
กวินส่ายหน้าพร้อมคำตอบที่คุณหญิงนึกไม่ถึง
“ผมมาหาคุณเพทายครับ..”
“ไฮ้! แม่ฟังผิดหรือเปล่า พบทำไม?”
คุณหญิงเอามือทาบอก ราวกับตกใจอย่างยิ่งที่ได้ยิน
“เอ่อ..มาถามเกี่ยวกับการปลูกกุหลาบครับ ผมอยากเรียนรู้ก่อนวางแปลนสปา”
ชายหนุ่มตอบพลางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจในท่าทีเจ้าของบ้าน
“โอย..แม่จะเป็นลม หาเรื่องใส่ตัวทำม้ายพ่อหนุ่ม เดี๋ยวแม่โทรเรียกหัวหน้าคนสวนเก่าของคุณตระการ มาแนะนำให้ดีกว่า”
“รบกวนเปล่าๆครับ ผมเกรงใจ..ว่าแต่คุณเพทายเขา..เอ่อ ทำไมหรือครับ คุณป้าดูกังวล”
คุณหญิงนารีส่ายศีรษะช้าๆ ยกมือเป็นเชิงห้าม..
“อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ลูกสาวชั้นคนนี้มันปากร้าย วินจะปวดหัวเปล่าๆแทนที่จะได้คำตอบ..เอาน่า ให้หัวหน้าคนสวนเขาแนะนำดีกว่า แม่จะกำชับให้เขาบอกรายละเอียดลึกที่สุดเท่าที่วินอยากรู้”
ชายหนุ่มทำหน้าพะอืดพะอม เขาอยากจะบอกคุณหญิงว่าเรื่อง “ปากร้าย” เขาพบเห็นมาแล้วเต็มๆในงานเลี้ยงนักเรียนทุนคืนนั้น ข้อนี้เขาก็เกรงอยู่หรอก แต่คิดว่าตัวเองน่าจะพอรับมือไหว ไม่รู้จะหาคำปฏิเสธข้อเสนอของคุณหญิงนารีอย่างไร ในเมื่อเขาตั้งใจจะมาหาเพทายตามคำแนะนำของคุณตระการอยู่แล้ว ก็พอดีตอนนั้น เจ้าหล่อนเปิดประตูช่องเล็กๆออกมา สีหน้าบอกบุญไม่รับเมื่อพบมารดายืนคุยอยู่กับแขกคนคุ้นตา
“มาพอดีเลย..ผมขอบคุณคุณป้าที่แนะนำครับ แต่ไม่รบกวนดีกว่า ผมรับมือไหว”
แล้วชายหนุ่มก็หันมายิ้มอย่างจะผูกมิตรกับสาวตาดุตรงหน้า แม้หล่อนจะตอบกลับมาด้วยการเบ้ปากใส่ สีหน้าบึ้งตึง
“นับว่ากล้าหาญมากนะคุณ รู้อะไรไหม..ไม่มีใครที่เคยเจอฉันครั้งแรก แล้วอยากจะเจอซ้ำสอง คุณเป็นคนแรก” เพทายออกปากเสียงเครียด เมื่อนำเขามาถึงมุมกุหลาบตัดดอกใกล้ศาลาริมน้ำ กวินรู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก็เก่งพอตัวที่ทำให้หล่อนพาเดินมาถึงส่วนนี้ได้ แปลว่าหล่อนไม่ปฏิเสธที่จะถ่ายทอดวิชากุหลาบให้กับเขา
“แต่ก็ดี๊..คุณเป็นคนตรงดี”
หญิงสาวเน้นเสียงสูงในคำว่า “ดี” ต้นประโยค ทำให้กวินแยกไม่ออกว่านั่นเป็นคำชมหรือคำด่ากันแน่
“อยากรู้เรื่องกุหลาบใช่ไหม..ได้ ฉันจะบอกให้เอาบุญ”
กวินยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเกือบครบทุกซี่ เขาไม่คิดว่าเรื่องจะง่ายกว่าที่คิด ขนาดคุณตระการ บิดาของมุกดายังพูดเป็นเชิงเตือน ว่าให้ระวังตัวไว้ดีๆ หากจะเข้าหาผู้หญิงคนนี้
“ไหนลองรดน้ำกุหลาบแปลงนี้ให้ฉันดูซิ”
จู่ๆ หญิงสาวก็ยื่นกระป๋องน้ำขนาดเล็กมีฝักบัวประกอบมาให้เขา ชายหนุ่มได้แต่ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น ไม่เข้าใจว่าหล่อนต้องการอะไร
“เอ้า ยืนบื้ออยู่ทำไม..รดให้ดูซิ” เพทายขึ้นเสียงแหลมสูงกว่าปกติ กวินชักรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยย่างกรายเข้ามาใกล้ “ถ้าบอกทนโท่ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ว่าฉันต้องการอะไร ก็เรียกว่าโง่..ไม่คู่ควรจะได้รับคำแนะนำใดๆทั้งสิ้น..เพราะว่าโง่เกินกว่าจะเก็บข้อมูลเข้าสมอง”
เพทายกระแทกเสียงตรงคำว่า “โง่” แรงๆ หวังให้กระแทกเข้าไปจังๆตรงกลางใจคนฟัง
กวินเก็บความรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตติดกันถี่ๆเอาไว้ข้างใน ยังปั้นหน้ายิ้มสู้เสือสาว เขายื่นมือออกไปรับกระป๋องน้ำมาถือไว้
“รดซิ!”
หญิงสาวยังบีบเสียงแหลมใส่เขาไม่เลิก ชายหนุ่มก้มลงมองแปลงกุหลาบดอกเดี่ยวก้านตรงที่ปลูกติดๆกัน แล้วนึกขันในใจ..มันจะยากตรงไหนกับการเทน้ำราดลงไปให้ทั่ว หญิงสาวต้องการพิสูจน์อะไรกันแน่
“หยุดเลย หยุดๆๆๆ สต๊อป สต๊อป!”
เพทายรีบปราดเข้าไปแย่งกระป๋องน้ำจากชายหนุ่มมาถือไว้เอง เมื่อเห็นเขาราดรดหยาดน้ำลงไปจนแปลงกุหลาบของหล่อนชุ่มฉ่ำ กวินเงยหน้ามอง เลิกคิ้วฉงน
“ผมทำอะไรผิด?”
“โอ๊ย..ทำผิดแล้วยังไม่รู้ตัว โง่อะไรปานนั้น”
กวินผายมือออกสองข้างพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อย่าเอาแต่ด่าสิคุณ..ขอเหตุผลด้วย ผมโง่จริงๆที่ยังไงก็ไม่รู้ว่าทำอะไรผิด”
ชายหนุ่มเผลอขึ้นเสียงอย่างลืมตัว แต่พอเห็นดวงตากลมใหญ่เขม็งมองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เขาก็รีบลดเสียงลง
“กรุณาบอกผมหน่อยเถอะ..ผมขอโทษที่ทำให้คุณไม่พอใจ”
เสียงตอบของเพทายลดระดับลงเล็กน้อย..
“ใครเขารดลงไปทั้งดอกทั้งใบ แถมยังกระแทกน้ำลงดินเสียกระจุย” คำอธิบายต่อมา ยิ่งทำให้ชายหนุ่มคาดไม่ถึง
“รดน้ำโดนใบ เชื้อโรคที่อยู่ตามใบก็แพร่กระจายลงไป น้ำที่กระแทกดินแรงๆ เม็ดดินก็กระเด็นขึ้นเกาะบนใบ เชื้อโรคบางอย่างในดินก็กลับขึ้นต้นอีกเป็นงูกินหาง”
“ละเอียดอ่อนมาก..ข้อนี้ผมไม่รู้จริงๆ”
“ทำไมคุณถึงอยากรู้เรื่องปลูกกุหลาบ ..รู้ไปทำไม ไม่ได้เอาไปใช้ จะว่าไว้ทำสปา คุณก็มีเงินจ้างผู้เชี่ยวชาญดีๆมาทำให้ได้..ฉันเชื่อ”
กวินค่อนข้างแปลกใจกับคำถามของหญิงสาว เขาไม่แน่ใจว่าหล่อนอยากได้คำตอบจริงๆ หรือแค่หาเรื่องหลอกด่าเขาอีก ทว่าชายหนุ่มก็ตัดสินใจตอบไปตามตรง
“ผมจ้างได้..แต่ผมก็ต้องดูแลเขาได้ด้วย คิดจะคุมคน เราก็ต้องรู้งาน ไม่ใช่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แล้วก็เอาแต่สั่งๆๆ ผูกใจใครไว้ไม่ได้หรอก ร่วมงานกันไปก็ไม่มีความสุข”
แววตาเครียดขึ้งของหญิงสาวผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ทว่ากวินไม่ละเอียดอ่อนพอที่จะสังเกตเห็น เขายังพูดต่อไป
“แล้วผมก็ไม่คิดว่าจะใช้ใครทำงาน โดยไม่ร่วมทำไปกับเขา บางส่วนเราก็ควรจะช่วยเขาได้..ผมคิดอย่างนี้นะ สำหรับงานที่ผมรัก”
“ใช้ได้นี่...ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย”
เพทายบอกเสียงเรียบ ยังคงรักษาสีหน้าและแววตาเอาไว้ดังเดิม เมื่อเขาเงยหน้ามองหล่อนเต็มตา เหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
“บ้านนี้ที่มีปลูกไว้หลักๆก็..ไฮบริดที ฟลอริบันด้า แล้วก็แกรนดิฟอร่า”
ชายหนุ่มคงทำหน้างงอย่างไม่ปกปิด กำลังขยับปากจะถาม ก็โดนดักคอเสียก่อน
“ถ้าคุณไปหาข้อมูลของสามชื่อนี้มาตอบให้ฉันพอใจได้...อยากรู้อะไรฉันจะบอกให้หมดเปลือก”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างอีกครั้ง ฟ้าใสเริ่มเห็นรำไรตรงหน้านี้แล้ว
“คุณพูดอีกทีซิ..ผมฟังไม่ถนัด ชื่ออะไรบ้างนะ”
เพทายยกยิ้มมุมปากอย่างเป็นต่อ ก่อนเอ่ยเสียงใส
“ของดีมีครั้งเดียว..ถ้าโง่นักก็อย่ามาให้เห็นหน้าอีก”
แทนที่จะโกรธ คำพูดนั้นกลับทำให้กวินหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย
“ผมจะมาให้คุณเห็นหน้าอีกบ่อยๆ ไม่ต้องห่วง”
เสียงสวบสาบทางด้านหลังทำให้ทั้งสองหันไปมองที่มาของเสียงแทบจะพร้อมกัน มุกดาเดินยิ้มเข้ามาพร้อมถาดน้ำหวานหลากสีสัน
“คุณแม่เพิ่งบอกว่าคุณวินมาหาเพ..ไข่มุกเลยเอาน้ำมาเสิร์ฟค่ะ คุยอะไรกันอยู่หรือคะ ท่าทางน่าสนุก”
สีหน้าผ่อนคลาย และเสียงหัวเราะของกวินขาดหายไป ทันทีที่หล่อนปรากฏตัว เขาหันมาบอกลาเพทายสั้นๆก่อนเดินกลับออกไปอย่างไม่ไยดีหล่อนแม้แต่จะเอ่ยทักตามมารยาท
“ไข่มุกทำอะไรผิดเหรอเพ ทำไมเขาต้องเดินหนี”
มุกดาทำเสียงหง็อยๆ ถาดน้ำหวานแทบจะร่วงหล่นลงพื้น ยังดีที่เพทายแย่งมาถือไว้ทัน
นึกตอบในใจ พลางส่ายหน้าให้กับเด็กขี้แย
..ก็โง่พอกันทั้งคู่ คนเขาซ่อนรักไว้ไม่อยู่ เลยต้องหนีเธอไงล่ะเด็กน้อยเอ๋ย..
“จะทำยังไงดีนะ ให้น้องของหนูหัดพูดเสียที พุดซ้อนช่วยแม่คิดหน่อยซี”
คุณนายทองทิพย์เปรยขึ้นพลางถอนหายใจ ขณะนั่งไกวเปลให้ลูกสาวคนเล็ก ที่ตอนนี้นอกจากไม่ยอมหลับยอมนอนแล้วยังตะกายตัวขึ้นนั่ง จ้องผู้เป็นแม่ตากลมแป๋ว
“อาลิ อาลิ..”
เด็กน้อยแก้มป่องริมฝีปากจิ้มลิ้มพยายามส่งเสียง เหมือนรู้ว่าผู้เป็นแม่กำลังกังวลเรื่องเธอพูดไม่เก่ง ทว่าเสียงที่ออกจากปากหนูน้อย กลับไม่ตรงใจมารดา คุณนายต้องการให้บุตรสาวเรียกชื่อตัวเองได้เต็มปากว่า “มะลิ” หล่อนลืมไปแล้วว่า เด็กวัยเก้าเดือนบางคนพัฒนาการยังไม่มากพอที่จะเรียกชื่อตัวเองได้ชัดเจน แค่พอส่งเสียงใกล้เคียงขนาดนี้ก็ดีถมไปแล้ว
คุณนายทองทิพย์กลับเปรียบเทียบเอากับลูกสาวคนโตซึ่งตอนนั้น อายุได้หกขวบ..พุดซ้อนออกจะเป็นเด็กที่พัฒนาการรอบด้าน ทั้งภาษา การตอบสนองต่อคนรอบตัว การหยิบจับเดินเหิน ล้วนรวดเร็วกว่าเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกัน เธอพูดเป็นประโยคชัดเจน มีประธาน กิริยา กรรม ครบสรรพ เช่น..หนูอยากไปเที่ยวกะชะเอม อยากอาบน้ำแล้ว หิวข้าว คุณแม่ป้อนให้หน่อย และอีกมากมายที่ทำให้คุณนายทองทิพย์ภูมิใจในตัวลูกสาว ถึงกับเอาไปอวดกับเพื่อนบ้านได้ทุกวัน
ผิดกับมะลิ ที่แม้แต่ชื่อสั้นๆของตัวเองยังเรียกได้ไม่เต็มปาก
“คุณก็..เด็กเพิ่งเก้าเดือน ไปเอาอะไรกับมันมาก”
คุณหลวงไผทส่งเสียงแกมรำคาญมาจากเก้าอี้ตัวเทอะทะในห้องรับรอง เขากำลังนั่งอ่านข่าวการเมืองอย่างมีสมาธิ ได้ยินศรีภรรยาบ่นแต่เรื่องเดิมๆซ้ำซาก เขาก็เบื่อเป็นเหมือนกัน
“ทำไมพุดซ้อนถึงพูดคล่องเล่าคุณพี่ เก้าเดือนก็พูดเป็นประโยคแล้ว”
“เจ้าพุดซ้อนมันเก่งเกินเด็ก คุณอย่าเอาไปเปรียบ”
คุณหลวงตอบกลับมาอย่างไม่ลดละ เป็นหน้าที่ของพุดซ้อน บุตรสาวหัวแก้วของคุณนายที่รู้ความพอจะเข้ามาห้ามทัพ และฉลาดพอที่จะพูดให้ผู้ใหญ่เลิกเอ่ยถึงประเด็นนี้อีก
“มะลิ คงเรียกยากค่ะคุณแม่ เรียกหนูลิ ก็แล้วกัน”
“จะดีหรือลูก..ฟังไม่รื่นหูเลย”
คุณนายยังยึดมั่นในความคิดของตัวเอง แต่เสียงก็อ่อนลงอย่างคนเริ่มหมดหวัง ลูกสาวคนเก่งจึงสำทับเหตุผลอื่นเข้าไปอีก
“ก็ยังดีล่ะค่ะ เรียกหนูลิแล้วน้องหันมามองตอบ นี่ไงคะ หนูลิ หนูลิ หิวข้าวไหมจ๊ะ” ตอนท้าย พุดซ้อนชะโงกหน้าลงไปบอกน้องสาวที่กำลังมุดหัวลงซุกหมอน..และเหมือนเด็กน้อยจะเคยชินกับเสียงเรียกชนิดนั้น จึงกระเด้งตัวขึ้นมาเงยหน้ามองพี่สองแล้วยิ้มแป้น
“นี่ไงคะคุณแม่ น้องชินกับชื่อนี้จริงๆด้วย เอาเถิดค่ะ เรื่องภาษาประเดี๋ยวโตขึ้นก็พัฒนาไปเอง เรามาช่วยกันกระตุ้นให้น้องตื่นตัว ฝึกเกาะเดิน ตอบสนองกับสิ่งเร้าได้เร็วๆจะดีกว่า”
นี่คือคำพูดของเด็กหญิงวัยหกขวบ..มุกดาไม่อยากเชื่อหูตัวเองเลย ว่าคุณพุดซ้อนจะช่างเจรจา เฉลียวลาดในการพูด และมีความคิดล้ำวัยเด็กขนาดนี้
และนี่เองกระมัง คือเหตุผลที่ทำให้มะลิ ติดนิสัยเรียกตัวเองว่า “หนูลิ” แทนตัวมาจนกระทั่งพบเด็กชายปรัช
มุกดานึกอยากรู้เรื่องราวต่อไป หลังจากหนูมะลิช่วยพี่ปรัชให้รอดชีวิตขึ้นมาได้ หญิงสาวพยายามกำหนดจิตใจให้จดจ่อกับความสงสัยดังกล่าว คาดว่าอีกเดี๋ยวคงได้เห็นอะไรดีๆ ทว่าครั้งนี้ พอเพ่งพินิจมากขึ้นๆ ภาพมายาทั้งหลายกลับค่อยเลือนรางหายไป ไม่มีฉากใหม่เข้ามาแทนที่ดังใจนึก
ลำแสงสีทองอ่อนที่ทอดผ่านหลังม่านสีเขียวทำให้มุกดาต้องยกมือขึ้นมาบังม่านตาเอาไว้ แพขนงามงอนกระพริบถี่ๆ เห็นเป็นเงาทาบทับเหนือพวงแก้ม หญิงสาวใช้ฝ่ามือยันตัวเองขึ้นมาจากสัมผัสหนานุ่มของเตียงนอนขนาดพอดีตัว สะบัดศีรษะไล่ความมึนงงแล้วเหลียวมองรอบกาย ภาพชัดเจนคุ้นตาของลวดลายฝาผนัง บอกมุกดาว่าหล่อนกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงเสียแล้ว..
มุกดาเดินทอดน่องลงมายังชั้นล่างของเรือนไม้ หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จสรรพ มุ่งตรงไปยังชุดเบาะหนังด้านหน้าติดกับเทอเรสต์ คิดว่าสมาชิกคนอื่นๆในบ้านคงรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น หล่อนไม่แวะเข้าห้องอาหารเพราะเดาได้ว่ายามสายขนาดนี้ทุกคนคงรับประทานมื้อเช้ากันไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นวันหยุดยามสายแบบนี้พี่ๆของหล่อนคงนั่งเล่นนอนเล่นกันอยู่ในส่วนที่จัดไว้แทนห้องรับแขก
แล้วสิ่งที่คาดคิดว่า จะเห็นเพทายนั่งเปิดนิตยสาร หรือไม่ก็เปิดคอมพ์หาไอเดียจัดงานแต่งแนวแปลกใหม่จากอินเทอร์เน็ต ไพลินนั่งตรวจการบ้านนักเรียน คุณหญิงนารีนอนเอนหลังให้คนใช้นวดต้นขาบนเก้าอี้ไม้เบาะสีขาวตัวใหญ่สุด สำหรับแพรวาหล่อนไม่คิดว่าจะเจออยู่แล้ว เพราะพี่สาวคนนี้มักมีอะไรพิเศษให้ออกไปทำนอกบ้านเสมอๆ ส่วนหนึ่งในนั้นก็คงไปเที่ยวกับกวินเจ้านายของหล่อน
ทว่าภาพที่เห็นกลับเป็นความว่างเปล่า ไม่มีใครนั่งอยู่ตรงนั้นสักคนเดียว มุกดารู้สึกเคว้งอย่างบอกไม่ถูก หล่อนไม่รู้จะหาอะไรทำแก้เหงาดี แปลนงานทุกอย่างก็ทำเสร็จหมดแล้ว จะพูดให้ถูกคือกวินมอบหมายงานให้หล่อนน้อยเกินไป หลังจากโครงการบ้านพักส่วนตัวที่ปราณบุรีจบไป หล่อนก็แทบไม่ได้พูดคุยกับเขาอีก ชายหนุ่มมอบหน้าที่ให้กับหัวหน้าฝ่ายครีเอทีฟ สอนงานหล่อน
ระหว่างนั่งคิดอะไรเพลินๆบนเก้าอี้ไม้ขึ้นเงา สายตามุกดาก็สะดุดกับปฏิทินบนโต๊ะกระจกใส หล่อนหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ สัญลักษณ์สีแดงที่กำกับข้างวันที่ของวันนี้ทำให้หญิงสาวนึกถึง ไพลิน.. วันพระแบบนี้พี่สาวของหล่อนคงหมกตัวอยู่ในห้องพระ ส่วนหลังของบ้าน อาจจะกำลังนั่งสวดมนต์ หรืออ่านหนังสือธรรมะสงบจิตใจอยู่เพียงลำพัง...มุกดาดาเป็นประกายก่อนจะรีบผุดลุกออกจากตรงนั้น มุ่งหน้าไปหาเป้าหมาย ที่หล่อนคิดว่าสนิทใจพอจะเล่าเรื่องประหลาดบางอย่างให้ฟัง.. ไพลินอาจมีความคิดเห็นอะไรดีๆ กับเรื่องนี้ก็ได้
ในห้องพระ..ส่วนหนึ่งของบ้านที่มุกดาแทบไม่เคยย่างกรายเข้ามา นอกจากเดินผ่านประตูกระจกเลื่อนของห้องแล้วแวะเอามือเคาะกุกกักเรียกพี่สาวออกมาคุยกันข้างนอก พอได้ลองเข้ามานั่งคุกเข่าลงด้านใน หล่อนก็นึกตำหนิตัวเองว่า ไม่น่ามองข้ามของดีแบบนี้ไปเสียตั้งนาน กระแสความสงบและคลื่นความเย็นอ่อนๆกระจายอวลอยู่รอบตัว โต๊ะหมู่บูชาตรงหน้ามีพระพุทธรูปสีขาวหมดจดขนาดกะทัดรัดตั้งอยู่ส่วนบนสุด กรอบตาเรียวงามขององค์พระปฏิมาหลุบต่ำลงเล็กน้อย เสมือนกำลังทอดมองมายังหล่อนด้วยความเมตตา ทำให้หญิงสาวรู้สึกอบอุ่น เป็นสุข และยิ่งกว่านั้นคือ หล่อนรู้สึกคลับคล้ายว่าเคยคุกเข่ามองพระพุทธรูปด้วยความสงบแบบนี้มาก่อน ทว่านึกไม่ออกว่าตอนไหน
มุกดาเห็นพี่สาวกำลังนั่งขัดสมาธิหลังเหยียดตรงด้วยอาการสงบนิ่ง หล่อนจึงไม่กล้าเคาะประตูกระจกเรียกเหมือนครั้งก่อนๆ จะเรียกว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ได้ที่มุกดาเห็นไพลินนั่งสมาธิ
ก่อนหน้านี้เคยเห็นแต่สวดมนต์บทยาวๆอย่างไม่รู้เบื่อ ไม่ใช่ในห้องพระ แต่เป็นในห้องนอนของหล่อนยามหล่อนรู้สึกเหงา หรือบรรยากาศในบางคืนวังเวงน่ากลัว จึงต้องเดือดร้อนไพลินหอบหมอนกับผ้าห่มมานอนเป็นเพื่อน
บทสวดแต่ละบทหล่อนได้ยินทีไรเป็นเผลอหลับทุกที ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเพิ่งชวนพี่สาวคุยเรื่องอื่นเสียงใสแจ๋ว จำชื่อบทสวดก็ไม่ค่อยจะได้ เพราะพี่สาวหล่อนสวดอยู่หลายบท หลายคาถาเหลือเกิน จำได้อยู่บทเดียวคือ คาถาชินบัญชร ซึ่งไพลินสวดให้ฟังบ่อยที่สุด และคอยชักชวนให้หล่อนสวดตาม ยกเหตุผลเป็นต้นว่ามีอานิสงส์อย่างนั้นอย่างนี้มาเรียกร้องความสนใจ ทว่าหญิงสาวมักบ่ายเบี่ยง อ้างว่ามีงานค้างต้องรีบไปทำเกือบทุกครั้ง
แต่ถึงแม้ไม่ใช่คนชอบสวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญครบวงจรอย่างพี่สาว ได้แค่ตื่นเช้ามาใส่บาตรในบางวัน ไม่บ่อยนักแต่ก็ทำทุกเดือน มุกดาก็สัมผัสกระแสสงบเป็นสุขได้ทุกครั้งที่ไพลินสวดมนต์ หญิงสาวไม่นึกเลย ว่าเมื่อไพลินนั่งสมาธิ กระแสแห่งความสุขยิ่งละเอียดอ่อน มีอำนาจกระจายวงกว้างกว่าเดิมมาก หล่อนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูกว่าความละเอียดอ่อนนี้คือสิ่งใด รู้แต่ว่ามันทำให้ความว้าวุ่นในหัวอกสงบราบคาบลงอย่างน่าประหลาด จนต้องเลื่อนกระจกเข้ามาเบาๆ แล้วยอบตัวลงนั่งยกมือประนมเบื้องหลังพี่สาว
“นึกครึ้มยังไงล่ะเรา ถึงเข้ามาในนี้”
ไพลินค่อยๆขยับตัวหันมาประจันหน้ากับน้องสาว หล่อนสัมผัสกระไอของผิวกายผู้อยู่เบื้องหลังได้นานแล้ว ทว่ายังคงนั่งทำความสงบต่อไปจนกว่าจะอิ่มเอมในธรรมารมณ์ ก่อนจะหันมาเห็นมุกดาทำให้เหวออย่างคนตั้งตัวไม่ติด เมื่อพี่สาวจับได้ว่าแอบเข้ามานั่งโดยไม่ได้รับอนุญาต
มือที่เพิ่งประนมมือไว้ระดับอกรีบลดลงไปวางบนตัก ไพลินหัวเราะน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางเก้อเขินของน้องสาว
“เอ้า..ไม่ต้องอาย ทำดีแล้วจะอายทำไม”
“เพิ่งรู้ว่าพี่ลินนั่งสมาธิกะเค้าด้วย”
มุกดาเสพูดไปอีกทาง เพื่อข่มความเก้อเขินของตัวเอง ไพลินยิ้มรับอย่างเข้าใจก่อนบอกเสียงอ่อนโยน
“พี่นั่งมาสักระยะนึงแล้ว เราไม่เห็นเองต่างหาก”
เงียบกันไปชั่วครู่ เห็นน้องสาวทำหน้าเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่างซุกซ่อนอยู่ ไพลินจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อน
“มีอะไรให้พี่ช่วยไหม?”
มุกดาพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตากลมโตเป็นประกาย
“ไข่มุกไม่รู้จะไปถามใคร แล้วก็ไม่รู้ว่าควรถามรึเปล่า ที่แน่ๆคือถ้าถามเพ เพต้องหาว่าไข่มุกบ้า งมงายไร้สาระ”
หล่อนอารัมภบทก่อนเล่า ไพลินก็ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี รอน้องสาวระบายต่อ ไม่ขัดขึ้นกลางครัน
“ไข่มุกฝันถึงคนหน้าเหมือนตัวเอง แล้วก็หน้าเหมือนเอ่อ..” หญิงสาวรวบรวมความกล้าครู่หนึ่ง แล้วเล่าต่อ “เหมือนคุณกวิน...เหมือนพี่แพร ในฝันไข่มุกรู้ตัวตลอดว่าฝัน มีสติเหมือนตอนตื่น..”
แล้วเรื่องราวที่หล่อนคิดว่าเกิดจากความฟุ้งซ่านทว่าสมจริงทั้งหลายแหล่ก็ประดังประเดออกมาจากกลีบปากรูปสวยจนหมดเกลี้ยง ไม่มีอมพะนำไว้แม้เพียงส่วนเดียว ไพลินฟังไปเรื่อยๆอย่างสงบ บางจังหวะก็พยักหน้าตามน้อยๆ เหมือนขบคิดอะไรอยู่ในหัว
“ความจริง ไข่มุกเคยฝันตั้งแต่เด็กๆ สมัยประถม หลังจากที่โดนคัตเตอร์บาดครั้งนั้น พี่ลินจำได้ไหมคะ”
ไพลินพยักหน้าตอบรับเบาๆ
“จำได้จ้ะ..”
“นั่นล่ะค่ะ..ผิดกับตอนโตตรงที่ฝันมันเลือนๆมัวๆ เห็นหน้าคุณวินสมัยยังเด็ก กับบ้านหลังนั้น แต่ได้แค่เห็นไม่เคยพูดกัน ฝันไม่ค่อยเป็นเรื่องราว ไข่มุกคิดว่าคงคิดถึงเขามากเกินไป เลยเก็บมาฝัน..”
“คิดถึงมากขนาดนั้น?”
ไพลินขัดจังหวะด้วยเสียงเชิงเย้าแหย่ มากกว่าจะต้องการฟังตั้งคำถามจริงๆ มุกดาหน้าแดง รีบแก้คำพูดแทบไม่ทัน
“เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ ไข่มุกพูดผิด คือ หมายถึงว่าคิดถึงความเฟอะฟะของตัวเองตอนโดนคัตเตอร์บาด..ไม่ได้คิดถึงเขา”
“เอาล่ะจ้ะ พี่เชื่อ..ค่อยๆพูดก็ได้เดี๋ยวลิ้นจะพันกันเสียก่อน”
ไพลินหัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นน้องสาวหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ
“แล้ว..พี่ลินคิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้คะ ไข่มุกไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นแค่ความฝัน”
คราวนี้ไพลินมีสีหน้าจริงจังกว่าเดิม นัยน์ตาที่ทอดมองน้องสาวเจือแววสงสารอย่างปิดไม่มิด
“คนที่ทำสมาธิเก่งๆ เข้าฌานได้ลึกระดับหนึ่ง จะเห็นนิมิตบางอย่างชัดเจน..เหมือนคนตื่นในฝัน”
มุกดาขมวดคิ้วเข้าหากัน บอกความฉงนในเรื่องที่พี่สาวเอ่ยถึง
ก่อนหล่อนจะได้ยินคำตอบที่ไม่คาดฝัน..
“ไข่มุกเห็นอดีตชาติของตัวเอง..”
คุณหญิงนารีเพิ่งก้าวลงจากรถแท็กซี่มายืนซับเหงื่ออยู่ริมถนนลาดยางแคบก่อนถึงเรือนกุหลาบไม่กี่สิบเมตร หญิงสูงวัยถอดแว่นกันแดดออกจากใบหน้า พร้อมกับหมวกปีกบานที่ปกปิดหน้าตาไปเกือบครึ่ง ก่อนลงจากรถ หล่อนเพิ่งกลับจากการเจรจาปัญหาหนี้สินที่คั่งค้างอีกจำนวนหนึ่ง กับเจ้าหนี้นอกระบบ เมื่อเดือนก่อนก็เพิ่งผ่อนหนี้ด้วยรถเบนซ์คันหรูของตน เป็นเหตุให้เวลาไปไหนมาไหนต้องอาศัยรถติดแอร์รับจ้างอย่างเมื่อครู่นี้ ครั้นจะให้ยืมรถลูกสาวที่เหลืออยู่อีกสองคันมาใช้คุณหญิงก็ทำไม่ลง และอีกเช่นกัน หล่อนต้องปิดบังหน้าตาเพื่อมิให้ชาวบ้านจำได้ว่า..หล่อนคืออดีตผู้ดีเก่า เศรษฐินี ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมชั้นสูง
เจ้าของเรือนกุหลาบพาร่างที่เริ่มทรุดโทรมของตนมาเกือบจะถึงประตูรั้วหน้าบ้าน ความเคลื่อนไหวของร่างสูงโปร่งตรงหน้าทำให้คุณหญิงหยุดกึก พอเห็นชัดว่าเป็นใคร สีหน้าหม่นมัวเมื่อครู่ก็กลับกระจ่างใสเป็นคนละคน หล่อนยิ้มให้กวินอย่างอ่อนหวาน เค้าหน้าที่เคยมีความสวยสะพรั่งเมื่อวัยสาว ประกาศความยินดีเมื่อพบแขกคนสำคัญ
“สวัสดีครับคุณป้า ผมกำลังจะกดกริ่งเรียก ก็พอดีได้เจอเจ้าของบ้านเสียก่อน”
กวินยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม พลางเอ่ยเจือเสียงหัวเราะในท้ายประโยค เสียงของเขาทุ้มนุ่ม ทว่าฉาบไปด้วยความสดใส คุณหญิงนารีฟังแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
“แหม อย่าเรียกป้าเลยจ้ะ เรียกแม่ดีกว่า ฟังดูได้เหมือนคนบ้านเดียวกัน”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธในคราวเดียวกัน
“มาหาหนูแพรหรือจ๊ะ เอ..เห็นว่าวันนี้จะออกไปเตรียมงานเปิดตัวห้องเสื้อนี่นะ”
คุณหญิงนารีนึกทบทวนคำบอกเล่าของหลานสาวเมื่อเย็นวาน ทำให้ต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน
“หนูแพรไม่ได้บอกวินหรือ..นึกว่าชวนไปด้วยกันแล้วเสียอีก”
กวินส่ายหน้าพร้อมคำตอบที่คุณหญิงนึกไม่ถึง
“ผมมาหาคุณเพทายครับ..”
“ไฮ้! แม่ฟังผิดหรือเปล่า พบทำไม?”
คุณหญิงเอามือทาบอก ราวกับตกใจอย่างยิ่งที่ได้ยิน
“เอ่อ..มาถามเกี่ยวกับการปลูกกุหลาบครับ ผมอยากเรียนรู้ก่อนวางแปลนสปา”
ชายหนุ่มตอบพลางเลิกคิ้วอย่างแปลกใจในท่าทีเจ้าของบ้าน
“โอย..แม่จะเป็นลม หาเรื่องใส่ตัวทำม้ายพ่อหนุ่ม เดี๋ยวแม่โทรเรียกหัวหน้าคนสวนเก่าของคุณตระการ มาแนะนำให้ดีกว่า”
“รบกวนเปล่าๆครับ ผมเกรงใจ..ว่าแต่คุณเพทายเขา..เอ่อ ทำไมหรือครับ คุณป้าดูกังวล”
คุณหญิงนารีส่ายศีรษะช้าๆ ยกมือเป็นเชิงห้าม..
“อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ลูกสาวชั้นคนนี้มันปากร้าย วินจะปวดหัวเปล่าๆแทนที่จะได้คำตอบ..เอาน่า ให้หัวหน้าคนสวนเขาแนะนำดีกว่า แม่จะกำชับให้เขาบอกรายละเอียดลึกที่สุดเท่าที่วินอยากรู้”
ชายหนุ่มทำหน้าพะอืดพะอม เขาอยากจะบอกคุณหญิงว่าเรื่อง “ปากร้าย” เขาพบเห็นมาแล้วเต็มๆในงานเลี้ยงนักเรียนทุนคืนนั้น ข้อนี้เขาก็เกรงอยู่หรอก แต่คิดว่าตัวเองน่าจะพอรับมือไหว ไม่รู้จะหาคำปฏิเสธข้อเสนอของคุณหญิงนารีอย่างไร ในเมื่อเขาตั้งใจจะมาหาเพทายตามคำแนะนำของคุณตระการอยู่แล้ว ก็พอดีตอนนั้น เจ้าหล่อนเปิดประตูช่องเล็กๆออกมา สีหน้าบอกบุญไม่รับเมื่อพบมารดายืนคุยอยู่กับแขกคนคุ้นตา
“มาพอดีเลย..ผมขอบคุณคุณป้าที่แนะนำครับ แต่ไม่รบกวนดีกว่า ผมรับมือไหว”
แล้วชายหนุ่มก็หันมายิ้มอย่างจะผูกมิตรกับสาวตาดุตรงหน้า แม้หล่อนจะตอบกลับมาด้วยการเบ้ปากใส่ สีหน้าบึ้งตึง
“นับว่ากล้าหาญมากนะคุณ รู้อะไรไหม..ไม่มีใครที่เคยเจอฉันครั้งแรก แล้วอยากจะเจอซ้ำสอง คุณเป็นคนแรก” เพทายออกปากเสียงเครียด เมื่อนำเขามาถึงมุมกุหลาบตัดดอกใกล้ศาลาริมน้ำ กวินรู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก็เก่งพอตัวที่ทำให้หล่อนพาเดินมาถึงส่วนนี้ได้ แปลว่าหล่อนไม่ปฏิเสธที่จะถ่ายทอดวิชากุหลาบให้กับเขา
“แต่ก็ดี๊..คุณเป็นคนตรงดี”
หญิงสาวเน้นเสียงสูงในคำว่า “ดี” ต้นประโยค ทำให้กวินแยกไม่ออกว่านั่นเป็นคำชมหรือคำด่ากันแน่
“อยากรู้เรื่องกุหลาบใช่ไหม..ได้ ฉันจะบอกให้เอาบุญ”
กวินยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเกือบครบทุกซี่ เขาไม่คิดว่าเรื่องจะง่ายกว่าที่คิด ขนาดคุณตระการ บิดาของมุกดายังพูดเป็นเชิงเตือน ว่าให้ระวังตัวไว้ดีๆ หากจะเข้าหาผู้หญิงคนนี้
“ไหนลองรดน้ำกุหลาบแปลงนี้ให้ฉันดูซิ”
จู่ๆ หญิงสาวก็ยื่นกระป๋องน้ำขนาดเล็กมีฝักบัวประกอบมาให้เขา ชายหนุ่มได้แต่ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น ไม่เข้าใจว่าหล่อนต้องการอะไร
“เอ้า ยืนบื้ออยู่ทำไม..รดให้ดูซิ” เพทายขึ้นเสียงแหลมสูงกว่าปกติ กวินชักรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยย่างกรายเข้ามาใกล้ “ถ้าบอกทนโท่ขนาดนี้แล้วยังไม่รู้ว่าฉันต้องการอะไร ก็เรียกว่าโง่..ไม่คู่ควรจะได้รับคำแนะนำใดๆทั้งสิ้น..เพราะว่าโง่เกินกว่าจะเก็บข้อมูลเข้าสมอง”
เพทายกระแทกเสียงตรงคำว่า “โง่” แรงๆ หวังให้กระแทกเข้าไปจังๆตรงกลางใจคนฟัง
กวินเก็บความรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตติดกันถี่ๆเอาไว้ข้างใน ยังปั้นหน้ายิ้มสู้เสือสาว เขายื่นมือออกไปรับกระป๋องน้ำมาถือไว้
“รดซิ!”
หญิงสาวยังบีบเสียงแหลมใส่เขาไม่เลิก ชายหนุ่มก้มลงมองแปลงกุหลาบดอกเดี่ยวก้านตรงที่ปลูกติดๆกัน แล้วนึกขันในใจ..มันจะยากตรงไหนกับการเทน้ำราดลงไปให้ทั่ว หญิงสาวต้องการพิสูจน์อะไรกันแน่
“หยุดเลย หยุดๆๆๆ สต๊อป สต๊อป!”
เพทายรีบปราดเข้าไปแย่งกระป๋องน้ำจากชายหนุ่มมาถือไว้เอง เมื่อเห็นเขาราดรดหยาดน้ำลงไปจนแปลงกุหลาบของหล่อนชุ่มฉ่ำ กวินเงยหน้ามอง เลิกคิ้วฉงน
“ผมทำอะไรผิด?”
“โอ๊ย..ทำผิดแล้วยังไม่รู้ตัว โง่อะไรปานนั้น”
กวินผายมือออกสองข้างพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อย่าเอาแต่ด่าสิคุณ..ขอเหตุผลด้วย ผมโง่จริงๆที่ยังไงก็ไม่รู้ว่าทำอะไรผิด”
ชายหนุ่มเผลอขึ้นเสียงอย่างลืมตัว แต่พอเห็นดวงตากลมใหญ่เขม็งมองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เขาก็รีบลดเสียงลง
“กรุณาบอกผมหน่อยเถอะ..ผมขอโทษที่ทำให้คุณไม่พอใจ”
เสียงตอบของเพทายลดระดับลงเล็กน้อย..
“ใครเขารดลงไปทั้งดอกทั้งใบ แถมยังกระแทกน้ำลงดินเสียกระจุย” คำอธิบายต่อมา ยิ่งทำให้ชายหนุ่มคาดไม่ถึง
“รดน้ำโดนใบ เชื้อโรคที่อยู่ตามใบก็แพร่กระจายลงไป น้ำที่กระแทกดินแรงๆ เม็ดดินก็กระเด็นขึ้นเกาะบนใบ เชื้อโรคบางอย่างในดินก็กลับขึ้นต้นอีกเป็นงูกินหาง”
“ละเอียดอ่อนมาก..ข้อนี้ผมไม่รู้จริงๆ”
“ทำไมคุณถึงอยากรู้เรื่องปลูกกุหลาบ ..รู้ไปทำไม ไม่ได้เอาไปใช้ จะว่าไว้ทำสปา คุณก็มีเงินจ้างผู้เชี่ยวชาญดีๆมาทำให้ได้..ฉันเชื่อ”
กวินค่อนข้างแปลกใจกับคำถามของหญิงสาว เขาไม่แน่ใจว่าหล่อนอยากได้คำตอบจริงๆ หรือแค่หาเรื่องหลอกด่าเขาอีก ทว่าชายหนุ่มก็ตัดสินใจตอบไปตามตรง
“ผมจ้างได้..แต่ผมก็ต้องดูแลเขาได้ด้วย คิดจะคุมคน เราก็ต้องรู้งาน ไม่ใช่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แล้วก็เอาแต่สั่งๆๆ ผูกใจใครไว้ไม่ได้หรอก ร่วมงานกันไปก็ไม่มีความสุข”
แววตาเครียดขึ้งของหญิงสาวผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด ทว่ากวินไม่ละเอียดอ่อนพอที่จะสังเกตเห็น เขายังพูดต่อไป
“แล้วผมก็ไม่คิดว่าจะใช้ใครทำงาน โดยไม่ร่วมทำไปกับเขา บางส่วนเราก็ควรจะช่วยเขาได้..ผมคิดอย่างนี้นะ สำหรับงานที่ผมรัก”
“ใช้ได้นี่...ค่อยคุยกันรู้เรื่องหน่อย”
เพทายบอกเสียงเรียบ ยังคงรักษาสีหน้าและแววตาเอาไว้ดังเดิม เมื่อเขาเงยหน้ามองหล่อนเต็มตา เหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
“บ้านนี้ที่มีปลูกไว้หลักๆก็..ไฮบริดที ฟลอริบันด้า แล้วก็แกรนดิฟอร่า”
ชายหนุ่มคงทำหน้างงอย่างไม่ปกปิด กำลังขยับปากจะถาม ก็โดนดักคอเสียก่อน
“ถ้าคุณไปหาข้อมูลของสามชื่อนี้มาตอบให้ฉันพอใจได้...อยากรู้อะไรฉันจะบอกให้หมดเปลือก”
ชายหนุ่มยิ้มกว้างอีกครั้ง ฟ้าใสเริ่มเห็นรำไรตรงหน้านี้แล้ว
“คุณพูดอีกทีซิ..ผมฟังไม่ถนัด ชื่ออะไรบ้างนะ”
เพทายยกยิ้มมุมปากอย่างเป็นต่อ ก่อนเอ่ยเสียงใส
“ของดีมีครั้งเดียว..ถ้าโง่นักก็อย่ามาให้เห็นหน้าอีก”
แทนที่จะโกรธ คำพูดนั้นกลับทำให้กวินหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย
“ผมจะมาให้คุณเห็นหน้าอีกบ่อยๆ ไม่ต้องห่วง”
เสียงสวบสาบทางด้านหลังทำให้ทั้งสองหันไปมองที่มาของเสียงแทบจะพร้อมกัน มุกดาเดินยิ้มเข้ามาพร้อมถาดน้ำหวานหลากสีสัน
“คุณแม่เพิ่งบอกว่าคุณวินมาหาเพ..ไข่มุกเลยเอาน้ำมาเสิร์ฟค่ะ คุยอะไรกันอยู่หรือคะ ท่าทางน่าสนุก”
สีหน้าผ่อนคลาย และเสียงหัวเราะของกวินขาดหายไป ทันทีที่หล่อนปรากฏตัว เขาหันมาบอกลาเพทายสั้นๆก่อนเดินกลับออกไปอย่างไม่ไยดีหล่อนแม้แต่จะเอ่ยทักตามมารยาท
“ไข่มุกทำอะไรผิดเหรอเพ ทำไมเขาต้องเดินหนี”
มุกดาทำเสียงหง็อยๆ ถาดน้ำหวานแทบจะร่วงหล่นลงพื้น ยังดีที่เพทายแย่งมาถือไว้ทัน
นึกตอบในใจ พลางส่ายหน้าให้กับเด็กขี้แย
..ก็โง่พอกันทั้งคู่ คนเขาซ่อนรักไว้ไม่อยู่ เลยต้องหนีเธอไงล่ะเด็กน้อยเอ๋ย..
ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2555, 00:38:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2555, 00:38:32 น.
จำนวนการเข้าชม : 2125
<< บทที่๑๖ ใยสิเน่หา | บทที่๑๘ ความเปลี่ยนแปลง ๑/๒ >> |
แล่นแต๊ 20 มิ.ย. 2555, 01:48:51 น.
ชอบตัวละครเพทายนะคะมีชีวิตชีวาดี
ชอบตัวละครเพทายนะคะมีชีวิตชีวาดี
เดิมเดิม 20 มิ.ย. 2555, 08:42:46 น.
ปากร้ายมากนะพี่เพ
ปากร้ายมากนะพี่เพ