ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: อาบูซิมเบล (๔)

+++++++++++++++

“งูตัวนี้หรือเปล่าครับ” อนัตตาว่าพลางชี้ที่ตัวเอง รอยยิ้มอารมณ์ดีผุดขึ้นพร้อมลักยิ้มน่าเอ็นดู “เขาว่าฝันเห็นงูแปลว่าจะได้เนื้อคู่ ไม่รู้ว่างูตัวนี้หรือเปล่าหนอ”

อารีสตีแขน พลางส่งค้อนวงใหญ่

“นัตนี่ ฉันพูดจริงๆ นะ” หญิงสาวกระเง้ากระงอด สีหน้าแสดงความวิตกเด่นชัด “ถ้านัตไม่พูดถึงเรื่องงู ฉันคงลืมไปแล้ว พูดแล้วยังขนลุกไม่หาย”

หญิงสาวผละจากอนัตตา หันมานั่งรำลึกถึงความฝันที่ทำให้หล่อนแทบสิ้นสติ เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยแผลคล้ายการหลบหนีในความฝัน ผ้าลินินโบราณหลุดออกมาจากถุงบรรจุ ห่มคลุมร่างของหล่อนต่างเสื้อกันหนาว สายสร้อยแมงป่องตัวกระจิริดตกลงกองกับพื้นห้อง ส่องแสงสีทับทิมระยิบระยับ

ในความฝันนั้น อารีสคิดว่ากำลังจะตายเสียด้วยซ้ำ

“ผมขอโทษ” ชายหนุ่มดึงมือของหล่อนเข้าไปกุม ความอบอุ่นแผ่ซ่านจนรู้สึกได้ “ผมแค่อยากให้คุณอารมณ์ดีก็เท่านั้น อย่าโกรธผมนะ”

อารีสพยักพเยิดน้อยๆ เป็นเชิงให้อภัย หากสีหน้ายังไม่ละความกังวล

“ตอนฉันอยู่ที่โรงพยาบาล ฉันไม่เคยฝันเห็นมันอีก แต่ตอนนี้กลับมาแล้ว อยู่ๆ มันก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเฉยๆ คืนนี้ฉันอาจจะต้องเจอมันอีกครั้ง แล้วถ้าฉันต้องเจอกับมันอีก ฉันควรจะทำยังไง” หญิงสาวถอนหายใจ นัยน์ตาเต็มตื้นด้วยน้ำคลอหน่วย

“อารีส คุณพูดอะไรกัน” อนัตตาขมวดคิ้ว “ฝันก็คือฝัน มันทำร้ายคุณไม่ได้หรอก”

อารีสหันขวับ ใบหน้ามันตึงคล้ายจะเอาเรื่อง แต่เมื่อคิดได้ว่าหล่อนไม่เคยปริปากบอกใครถึงความฝันกับการบาดเจ็บ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะต่อว่าผู้ไม่รู้

แท้จริง ‘ความฝัน’ ทำร้ายหล่อนได้

“นัตไม่มีวันที่จะเข้าใจ” หญิงสาวกล่าวด้วยความน้อยใจ แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มไม่ผิด หากก็อดคิดไปต่างๆ นานาไม่ได้ “ความฝันนี่ล่ะ ที่น่ากลัว”

คำพูดนั้นคลุมเครือ แน่นอนว่าอารีสต้องการให้เป็นเช่นนั้น หล่อนไม่สามารถบอกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้อนัตตาฟังได้ทั้งหมด เพราะหากเล่าออกไป ชายหนุ่มจะมองหล่อนอย่างไร

เพี้ยน...เพ้อเจ้อ หรือรุนแรงกว่านั้น ‘บ้า’

“อย่างนั้นเล่าให้ผมฟัง” อนัตตากล่าวพลางยิ้มให้กำลังใจ สองมือซึ่งกุมมือของอารีสไว้กระชับแน่นจนอบอุ่น “อย่างน้อยให้ผมได้ช่วยคุณ แม้จะเป็นเรื่องความฝัน”

หญิงสาวตื้นตัน และความตื้นตันดังกล่าวยิ่งทำให้หล่อนหมดพลังความแข็งแกร่ง ไม่อาจกั้นทำนบน้ำตาที่ไหลท้นออกมาอาบสองแก้ม หยดแล้วหยดเล่าร่วงเผาะลงบนมือของชายหนุ่ม อนัตตามองดูด้วยความสลด อึดใจจึงยื่นปลายนิ้วเข้าสัมผัสเช็ดดวงหน้าผ่องใสอย่างเบามือ

“คุณทำให้ผมเหนื่อยอีกแล้ว” น้ำเสียงของเขาเย็น นุ่มนวล ทำให้หล่อนสบายใจขึ้นมาก “อารีส...อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ผมไม่มีทางรู้จริงๆ ว่าคุณจะมาอารมณ์ไหน”

อารีสยิ้มออก นึกหมั่นไส้ชายหนุ่มที่กล้ายวน หล่อนตีเขาเบาๆ ทีหนึ่ง จากนั้นจึงพยายามกลั้นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ เมื่อเห็นชายหนุ่มทำหน้าล้อเลียน

“ไม่เอาแล้วนะนัต” อารีสพูดพลางหัวเราะพลาง น้ำตาที่ยังคงค้างคาไหลออกมาพร้อมอาการขบขัน ชายหนุ่มเห็นเข้าก็พลอยยิ้มออก

“เอาล่ะผมเลิกแกล้งแล้ว” อนัตตาพูดด้วยเสียงละมุน ปาดเช็ดน้ำตาบนดวงหน้าอีกครั้งจนหมดจด “คราวนี้จะเล่าความฝันให้ผมฟังได้หรือยัง”

อารีสนิ่งไปนิด รอยยิ่มเมื่อครู่เหือดหาย หล่อนสูดลมหายใจ จากนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนออกมาพร้อมเรื่องเล่าเกี่ยวกับงู

“สัปดาห์ก่อนฉันฝันเห็นงู มันกำลังตามฆ่าฉัน” นัยน์ตาปรากฏแววพรั่นพรึง “กลางวิหารแห่งชีวิตนิรันดร์”

“งูนั่นมาจากไหนครับอารีส” อนัตตาขมวดคิ้ว

“ฉันไม่รู้ค่ะ เอ๊ะ...รู้สึกจะมาจากแม่น้ำไนล์” หญิงสาวพยักพเยิดอย่างเข้าใจ “งูยักษ์จากแม่น้ำไนล์ค่ะ นอกจากกลิ่นสาบงูแล้ว ยังมีกลิ่นตมน้ำลึก ในฝันฉันรู้สึกมันจะมาจากแม่น้ำไนล์”

อารีสเล่าจบก็มองปฏิกิริยาของอนัตตา หากชายหนุ่มกลับนิ่งเงียบ สายตาหลุบมองต่ำคล้ายกำลังครุ่นคิด กระทั่งหล่อนตั้งใจจะเอ่ยปากถาม อีกฝ่ายจึงชิงขัดขึ้นก่อน

“งูยักษ์ที่ว่านี่ ใหญ่ขนาดไหนครับ”

คำถามดังกล่าวทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วน้อยๆ

“เอ่อ...ขนาดเหรอคะ มันอาจจะฟังดูเกินจริง แต่มันใหญ่มาก คงต้องใช้ผู้ชายตัวใหญ่ๆ สักหกคนโอบได้” อารีสอธิบายไปก็เกรงจะถูกหาว่าเพ้อเจ้อ เพราะงูใหญ่ขนาดนั้น หล่อนซึ่งเป็นมนุษย์ตัวเล็กจะสามารถหลบหนีมาได้อย่างไรกัน

อนัตตายังคงนิ่งเงียบ คล้ายพิจารณาสิ่งที่อารีสพูดอยู่ตลอด จนครู่ใหญ่เขาจึงหันมองหญิงสาว พลางเอ่ยบางคำที่ทำให้อารีสคุ้นหู หากไม่สู้จะชัดเจนแจ่มแจ้งในความทรงจำ

“พญางูอโบพิส”

อารีสขมวดคิ้ว สงสัยว่าเป็นชื่อของงูยักษ์ตัวนั้นหรือ

“จากข้อมูลของคุณ ผมนึกถึงงูอื่นไม่ออกนอกจากพญางูอโบพิส หรือไม่ก็ลูกๆ ของมัน” ชายหนุ่มเสนอแนวคิด “งูยักษ์ อาศัยอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำไนล์ รอคอยจังหวะกระโจนเข้ากลืนกินเรือสุริยะของเทพรา ซึ่งก็คือปรากฏการณ์สุริยุปราคา”

“แล้วทำไม...” อารีสสงสัย หากก็จนด้วยคำถาม หล่อนไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะถามสิ่งใดกับชายหนุ่ม

“มันเป็นเรื่องของเทพปกรณ์อียิปต์ครับ” อนัตตาเริ่มเล่าเรื่อง หญิงสาวเองก็นิ่งฟังอย่างตั้งใจ “ทางไอยคุปต์ถือว่าสุริยเทพราเป็นปฐมกษัตริย์ หรือฟาโรห์องค์แรกของอียิปต์ ในคัมภีร์พีรามิดกล่าวเอาไว้ว่า ทุกเช้าภายหลังการอภิเษกและการเสวย พระองค์และคณะเทพผู้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ในโลก จะประทับบนเรือสุริยะ เดินทางข้ามขอบฟ้าเพื่อทอดพระเนตรเหตุการณ์ในเมืองสำคัญของอียิปต์ ๑๒ เมือง เมืองละประมาณ ๑ ชั่วโมง หลังจากนั้นแสงสว่างของเทพราจะสลัวลง ก่อนเสด็จกลับไปสู่พื้นโลกทางทิศตะวันตก”

ตอนนี้ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มเบาบาง ไม่รู้เพราะเรื่องที่อนัตตาเล่าให้หล่อนฟังหรือเปล่า ที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและเบี่ยงเบนความสนใจ ทว่ามันเริ่มสนุกและน่าติดตาม อารีสชอบฟังชายหนุ่มคนรักเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเทพปกรณ์ได้อย่างไม่รู้เบื่อ

“บางคัมภีร์บอกว่า ระยะเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน ถือเป็นช่วงเวลาที่สุริยเทพราสิ้นพระชนม์” น้ำเสียงและสีหน้าของชายหนุ่มคล้ายมีมนตร์สะกดให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นเต้นตามไป “วิญญาณของพระองค์จะลอยไปท่ามกลางยมโลกที่มืดมิด ถูกกดดันด้วยเสียงโห่ร้องของผีร้ายจนครบ ๑๒ ชั่วโมง สุริยเทพราจึงถือกำเนิดใหม่ ลงเรือสุริยะพร้อมคณะเทพผู้ติดตาม เกิดดับอย่างนี้ไม่รู้จบ”

“แล้วพญางูอโบพิสที่นัตว่าล่ะ” อารีสถาม สีหน้าใคร่รู้ “เกี่ยวกับสุริยเทพตอนไหนคะ”

“พญางูอโบพิสเป็นศัตรูนับแต่โบราณกาลของเทพรา ไม่มีใครล่วงรู้ว่าเกิดจากไหน แต่เชื่อว่ามีที่อยู่อาศัยในส่วนที่ลึกที่สุดในแม่น้ำไนล์”

มิน่าเล่า หล่อนถึงได้กลิ่นตมน้ำลึกเวลาที่อยู่ใกล้อสรพิษตัวเขื่องนั่น

“มันจะทะยานออกจากที่ซ่อน โจมตีเรือสุริยะ และหากเทพราและคณะเทพไม่สามารถปกป้องเรือสุริยะไว้ได้ สุริยเทพจะทรงสละเรือ ขึ้นราชรถทองคำหลบหนี พญางูอโบพิสก็จะสามารถคาบกินเรือได้ชั่วขณะ ก่อนจะถูกตอบโต้จนคายเรือออก แล้วหนีกลับสู่แม่น้ำไนล์อีกครั้ง”

“นึกถึงพระราหูอมพระอาทิตย์ของไทยเราเลยนะคะ” อารีสยิ้ม ชวนให้ชายหนุ่มหันมองหล่อนอย่างเอ็นดู

“ยิ้มได้แล้วนี่” เขากระชับมือหล่อนอีกครั้ง “ผมชอบให้อารีสยิ้มมากกว่า”

“อย่างนั้นก็ต้องเล่าเรื่องให้ฉันฟังบ่อยๆ” หล่อนลอยหน้าลอยตาตอบ ทำให้เอาอนัตตาหน้าเหยเก

“หมดเรื่องเล่าผมก็แย่สิ”

อารีสหัวเราะร่า ตอนนี้หล่อนอารมณ์ดีแล้ว แม้ในส่วนลึกจะหวาดกลัวความฝันที่ทำท่าจะหวนกลับมา หากเมื่อมีชายหนุ่มอยู่ข้างๆ หญิงสาวก็รู้สึกถึงความมั่นคงปลอดภัย

“ว่าแต่คุณไม่อยากรู้จุดจบของพญางูอโบพิสเหรอ”

คำถามดังกล่าวทำให้หญิงสาวได้แต่ขมวดคิ้ว หล่อนเอียงหน้ามองอนัตตาด้วยความสงสัย พักใหญ่ชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องราวในตอนท้ายของงูยักษ์ในความฝันหญิงสาวให้ฟัง

“พญางูอโบพิสถูกสังหาร...” เขานิ่งเงียบ เว้นช่วงคำตอบตอนท้าย จากนั้นจึงหันไปช้อนจี้รูปแมวประดับสร้อยเงินบนลำคอระหงขึ้นมองอย่างศรัทธา

“เทวีบาสต์คือผู้สังหารพญางูอโบพิส”

อารีสก้มลงมองจี้รูปแมวที่อนัตตากำลังประคอง หล่อนรับมาดูบ้างอย่างคาดไม่ถึง นี่หล่อนมีเครื่องรางอยู่กับตัว หากเพราะความมืดมัวตาบอดเลยตัดสินใจโยนสร้อยทิ้ง

“แสดงว่า...” อารีสตั้งใจจะถาม หากชายหนุ่มกลับต่อให้ในสิ่งที่หญิงสาวกำลังสงสัย

“มันเป็นเครื่องรางครับ ถ้าคุณกลัวว่าคืนนี้จะฝันร้าย ขอให้สวมมันไว้ตลอด นึกถึงเทวีเสมอ อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระ” อนัตตาอธิบาย “อีกอย่างที่ผมจะแนะนำ อารีสต้องจำไว้ ความฝันเป็นของคุณ คุณเป็นเจ้าของ ในความฝันนั้นคุณจะเหาะเหินเดินอากาศ หรือจะมีพลังมากมายขนาดไหนคุณก็ทำได้ อย่าให้ความฝันควบคุมเรา”

“ฉันสามารถควบคุมฝันได้เหรอคะ”

“ได้สิครับ แค่คุณมีสติอยู่ตลอดว่าคุณกำลังฝัน” อนัตตาชี้แจง “คุณยายของผมท่านเคยสอนครับ เวลาที่ผมฝันร้าย ไม่มีใครช่วยได้ คุณยายให้ผมลองควบคุมความฝัน ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่สุดท้ายคุณจะรู้ว่าฝันมันเป็นสิ่งสามารถควบคุมได้ครับ เราจะกลายเป็ยยอดมนุษย์หรือผู้วิเศษได้ในความฝันของเรา แฟนตาซีจะตายไป เชื่อไหมครับ ครั้งหนึ่ง...สมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ผมเคยสู้กับยักษ์ตัวต่อตัวด้วย”

อารีสขมวดคิ้ว อมยิ้ม สีหน้าไม่ค่อยเชื่อถือนัก

“จริงนะ” อนัตตารีบออกตัว “สมัยเด็กๆ คุณยายเคยเล่าให้ผมฟังว่าผมซนมาก ซนถึงขนาดไปปืนกำแพงวัดตอนคุณยายพาไปทำบุญที่วัดอรุณฯ คุณยายเลยขู่ผมว่าเด็กดื้อจะถูกยักษ์จับกิน ทำให้ผมกลัวยักษ์ตั้งแต่เด็ก ไปวัดไหนเห็นยักษ์ยืนเฝ้าหน้าประตูเป็นร้องไห้”

อารีสหัวเราะร่า นึกถึงเด็กชายตัวเล็กซนเป็นลิง ต้องร้องไห้เมื่อเจอรูปปั้นยักษ์ถมึงทึงใส่ “สมควรแล้วล่ะ ซนไม่เข้าเรื่อง”

“โธ่...อารีสก็ แทนที่จะเห็นใจผม” อนัตตาทำกระเง้ากระงอด ก่อนจะเล่าต่อ “มันเลยเป็นเรื่องฝังใจจนผมเก็บไปฝันว่ายักษ์จะจับผมกิน ฝันติดกันหลายคืน จนคุณยายผมกังวล ท่านเลยสอนผมให้รู้จักการควบคุมความฝัน แล้วใครจะไปเชื่อว่าวันหนึ่งผมจะล้มยักษ์วัดแจ้งได้ด้วยมือของผมเอง”

“ในความฝัน” อารีสต่อให้อย่างนึกสนุก ทำให้อนัตตามึนตึง หากก็พอดูออกว่าแสร้งทำ

“อย่างน้อยผมก็เคยล้มยักษ์มากับมือ” ชายหนุ่มกอดอกเชิดหน้า ก่อนจะหาโอกาสที่อารีสเผลอ ปรี่เข้ารวบตัวหล่อนมากอดไว้

“นัตปล่อยนะ เดี๋ยววิลกับหลุยส์เห็น” หญิงสาวร้องเสียงหลง หากชายหนุ่มกับหัวเราะมีความสุข คงเพราะถูกใจที่ได้แกล้งหล่อนเป็นแน่

“ไม่ปล่อย แล้วก็ไม่สนใจใครด้วย” เขาดึงอารีสนั่งข้างๆ กระชับกอดให้แนบชิด กลิ่นคาร์โมไมล์รวยรื่นหอมฟุ้ง ชวนให้หญิงสาวอ่อนระทวย โอนอ่อนให้เขากอดกระชับยิ่งกว่าเคย “ผมเอาใจช่วย คุณเองก็ทำได้”

อารีสพยักหน้ายิ้มรับ สองมือกุมจี้รูปแมวเอาไว้มั่นราวกับเป็นที่พึ่งสำคัญในชีวิต หากหัวใจของหล่อนกลับกุมความรักที่มีต่อชายหนุ่มเอาไว้อย่างแนบแน่น เพราะบัดนี้...เขาเสมือนหนึ่งที่พึ่งและกำลังใจของหล่อนไปเสียแล้ว ใครจะเชื่อว่าวันหนึ่งคนอย่างอารีสจะได้มีความรักอีกครั้ง กับผู้ชายที่แสนดีอย่างอนัตตา

เพราะโชคชะตา...พรหมลิขิต...หรือการตามรอย ‘ผ้าลินิน’

++++++++++++++

ค่ำลง อารีสเข้าห้อง จัดกระเป๋าเดินทางใบย่อมเพื่อเตรียมไปเที่ยวกับวิลเลียม อนัตตาและหลุยส์ในช่วงหยุดพักการทำงาน หลังจากจัดกระเป๋าเสร็จสรรพ หญิงสาวก็ใช้เวลาที่เหลือก่อนนอนนำผ้าลินินผืนโบราณที่ยังขาวสะอาดผุดผ่องราวเพิ่งถักทอมาคลี่จนเต็มเตียง

นี่เป็นอีกครั้งที่หล่อนจะได้เริ่มการจดบันทึกเรื่องราวของผ้าลินินโบราณ ภายหลังจากพยายามตามหาที่มาที่ไปของมันอยู่นานพอสมควร

‘ลายลินิน ฉบับที่ ๒
อาบูซิมเบล, อียิปต์’

จากข้อสันนิษฐานเดิม
ผ้าลินินเป็นผ้าห่อพระศพ/ ของที่นำไปใส่สุสานสำหรับใช้ในโลกหน้า ไม่สมเหตุสมผล ทั้งขนาดผ้า คุณภาพและสถานที่ซึ่งค้นพบ

๑. ผ้าลินินผืนดังกล่าว เป็นบรรณาการจากพวกนูเบีย (ตรงนี้ตัดไปเพราะลายผ้าและการทอไม่น่าใช่ฝีมือชาวนูเบีย อาจต้องลองไปดูที่พิพิธภัณฑ์ของชาวนูเบีย ที่อัสวาน เพิ่มเติม)

๒. ผ้าทอซึ่งฟาโรห์ได้จัดให้มีการทอถวายพระนางเนเฟอร์ตารี (ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีพระนามจารึกองค์ฟาโรห์ เกี่ยวข้อง)

๓. ภูษาทรงของพระนางเนเฟอร์ตารี ทอจากช่างฝีมือในวัง? (น่าจะเป็นไปได้ที่สุด เพราะลายผ้า การทอ วัตถุดิบ และหลักฐานด้านสถานที่ ถึงแม้ตอนนี้อาจจะต้องติดตามเพิ่มเติม เพราะวิลเลียมค้นพบว่าสถานที่เก็บหีบผ้า เป็นอีกห้องที่ถูกขุดสร้างให้ใกล้วิหารเนเฟอร์ตารี ไม่ใช่ในตัววิหารเนเฟอร์ตารี คาดเดาว่าน่าจะเป็นวิหารสุสานแห่งใหม่ที่ยังไม่ได้ค้นพบ)

อารีสยกปลายปากกา ทอดสายตามองผ้าลินินสีขาวสะอาด ยามต้องแสงไฟจากเพดานด้านบน ผืนผ้างามดูสุกปลั่ง ใยทองซึ่งสอดแทรกดูระยิบระยับเรื่อเรืองจากพื้นขาวกลายเป็นประกาย

จากนั้นหล่อนจึงเริ่มจดปลายปากกาลงสมุดอีกครั้ง

จากข้อมูลของหลุยส์

จารึกบนฝาหีบเป็นเรื่องราวของคำสาปแช่ง คำอธิษฐาน มีการกล่าวถึงเทพและอำนาจเวทมนตร์ สำคัญที่สุดอยู่ที่การพิพากษาจากเทวีมาอัต จากการวิเคราะห์ คาดเดาว่าน่าจะเป็นหลักฐานทางคดีความที่ยังตัดสินไม่เสร็จหรือผิดพลาด จึงถูกเก็บเอาไว้ รอการตัดสินใหม่อีกครั้ง (มีการเอ่ยอ้างเทพเจ้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดสิน ทำให้สันนิษฐานว่าเป็นหลักฐานทางคดีความได้แก่ เทพโอสิริส เทพผู้พิพากษาในโลกแห่งความตายและเทวีมาอัต เทวีแห่งความยุติธรรม)

เพราะเป็นผ้าลินิน ของพระนางเนเฟอร์ตารี จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นคดีความทางราชสำนักฝ่ายใน (ในจารึกของพระนางเนเฟอร์ตารีกล่าวว่า ‘พวกนาง’ ทำให้สันนิษฐานได้ดังนั้น)

ประกอบกับในสมัยดังกล่าว ฟาโรห์ทรงมีชายาและอนุชายามาก การแก่งแย่งแข่งขันอาจเป็นไปได้สูง ในสังคมที่มีผู้หญิงมากๆ มีการผูกโยงข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับตำแหน่ง ‘ชายาเทพ’ ขึ้นมา

อารีสวางปากกา กลอกตาไปมาพลางคิดว่าควรจะเขียนอะไรต่อไปดี เรื่องราวของหลุยส์ที่พูดคุย ประเด็นหลักก็เพียงเท่านี้ ท้ายที่สุดจึงนำประเด็นที่พูดคุยกับอนัตตามาผูกโยงเรื่องของ ‘ลัทธิชายาเทพ’

‘ชายาเทพ’ ตำแหน่งในลัทธิบูชาอามุน เทพเจ้าของนครธีบส์ เป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ที่ ๑๘ (ดร.โรบินส์ อาจารย์ของนัต สันนิษฐานว่าพระนางฮัตเชปซัตใช้ตำแหน่งดังกล่าวเป็นฐานสู่ตำแหน่งกษัตริย์) เป็นตำแหน่งที่มีอิทธิพลทั้งทางศาสนา การเมือง มีความใกล้ชิดต่อเทพเจ้ายิ่งกว่าฟาโรห์ (อาจทำให้คนเคารพนับถือมากกว่า ใช้ในการสร้างฐานอำนาจอย่างหนึ่ง)

ลัทธินี้ถูกแปรให้เป็นเพียงพิธีกรรมเมื่อทุตโทซิสที่ ๓ ครองราชย์ หลังพระนางฮัตเชปซัตสิ้นพระชนม์ไป (คงเกรงว่าสตรีในราชสำนักจะเอาอย่าง แย่งชิงอำนาจของลูกชาย – อเมนโฮเตปที่ ๒) ถูกฟื้นฟูอีกครั้งสมัยของฟาโรห์อเคนาเตนกับพระนางเนเฟอร์ตีติ ก่อนจะเสื่อมสูญไปพร้อมการบูชาเทพอาเตน
ลัทธิชายาเทพถูกฟื้นฟูอีกครั้งเมื่อฟาโรห์ราม...

มาถึงชื่อของฟาโรห์รามเสสที่ ๒ ทีไร อารีสไม่สามารถเขียนเป็นตัวอักษรได้จนจบ หล่อนได้แต่ถอนหายใจ แทบจะโยนปากกาทิ้ง นึกหงุดหงิดตัวเองเสมอ สงสัยเหลือเกินว่าเพราะอะไร ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจเขียนต่อไปโดยไม่ใส่ใจในรายละเอียดของชื่อดังกล่าวเช่นที่ผ่านมา

ลัทธิชายาเทพถูกฟื้นฟูอีกครั้งในสมัยฟาโรห์ราม... พระนางเนเฟอร์ตารี สวามีพระนางต้องการสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน จึงตั้งใจทำให้ตนเองเป็นเทพ (ต้นตระกูลเป็นนักรบ ได้เป็นฟาโรห์เพราะอำนาจทางทหาร)

การจะเป็นเทพก็ต้องแต่งงานกับชายาเทพ ดังนั้นลัทธิดังกล่าวจึงถูกรื้อฟื้นอีกครั้ง ฟาโรห์เริ่มจากให้มีการบูรณะวิหารสุสานเดียร์ อัล-บาห์ริ ของพระนางฮัตเชปซัต จากนั้นจึงคัดเลือกสตรีจากราชนิกุลให้เป็นชายาเทพ (ต้องเป็นเจ้าเพื่อทำให้ตนเองกลายเป็นเจ้าไปด้วย เช่นเดียวกับอัยและโฮเรมเฮป)

มนุษย์สามัญสมรสกับชายาเทพก็กลายเป็น ‘เทพ’ โดยปริยาย

ประเด็นปัญหา – ฟาโรห์มีชายา อนุชายานับพัน การชิงดีต่อตำแหน่งนี้ย่อมเกิดขึ้น เมื่อผู้ได้มาคือ พระนางเนเฟอร์ตารี...เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีผู้คิดปองร้าย

มี ‘หลักฐาน’ คือ ‘ผ้าลินิน’

จดปากกาเขียนถึงท่อนสุดท้าย หญิงสาวก็เริ่มตาปรือ อ้าปากหาว หันมองนาฬิกาเห็นว่าใกล้เที่ยงคืนก็ปิดสมุด บิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะฟุบหน้าลงหลับกับเตียง อาจเพราะความอ่อนล้ากอปรกับเพิ่งฟื้นตัวจากการเจ็บป่วย รวมถึงยาที่ได้รับก่อนนอน อารีสทอดหายใจเพียงนิดก็ล่วงสู่นิทรารมย์

ความมืดเข้าครอบงำสัมปชัญญะ หล่อนจึงไม่อาจล่วงรู้ สายลมวูบใหญ่พาดพัดเข้ามาในห้อง ผ้าลินินซึ่งวางอยู่บนเตียงลอยตามกระแสห่มคลุมร่างราวจับวาง

อาจเป็นได้หากประตูระเบียงถูกเปิดออก ทว่ากลับ ‘ไม่ใช่’

อารีสขยับคู้ตัวเหน็บหนาว กระชับผ้าลินินที่ห่มคลุมไว้แน่นเสมือนผ้าห่ม ขณะเดียวกันสายสร้อยทองคำขึ้นรูปแมงป่องประดับทับทิมบนข้อมือก็เริ่มทอแสง สีแดงนั้นสว่างราวสีเลือด ตัวแมงป่องกระจิริดเริ่มเคลื่อนตัวหยุบหยับ ไต่เดินเป็นวงรอบข้อมือของอารีสซ้ำไปซ้ำมา

++++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 มิ.ย. 2555, 09:31:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 มิ.ย. 2555, 09:31:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1388





<< อาบูซิมเบล (๓)   คาร์นัก (๑) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account