จับใจไว้ด้วยรัก
เรื่องราวของนักธุรกิจหนุ่มฉายา เจ้าชู้หลบใน กับหญิงสาวที่มีเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ใช่เรื่องแต่งงาน เรื่องราวความรักที่สุดแสนจะปั่นป่วนเริ่มขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่งตามตื้อ ส่วนอีกฝ่ายก็คอยวิ่งหนี เขาจะทำให้เธอหันมามองและเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิตได้ไหม ติดตามได้ใน 'จับใจไว้ด้วยรัก'
Tags: หวาน,น่ารัก,โรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 14

ตอนที่ 13

เบญญาภาเดินหน้างอลงมานั่งที่โซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นบ้านของตน สองมือกอดอกเหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่ายังเหลืออีกตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดที่เจ้านายหมาดๆของเธอบอกไว้ จึงเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลา ร่างบางผุดลุกส่งยิ้มทักทายให้มารดาที่เพิ่งจะกลับเข้ามาจากข้างนอก โผเข้ากอดหอมแก้มนุ่มของนางอย่างรักใคร่ พูดประจบ

“ชื่นใจจังค่ะ แก้มคุณแม่ของน้องเบญทั้งนิ่ม ทั้งหอม”

คุณบุษราค้อนลูกสาวคนสวย “ปากหวานนะเรา ทำมาเป็นชมแม่...“ก่อนจะผิดสังเกตกับชุดที่ลูกสาวสวมใส่

“จะไปไหนลูก...น้องเบญ แต่งตัวเสียสวยเชียว”

เบญญาภาหน้าเหี่ยวลงอีกครั้งเมื่อมารดาย้ำถึงเรื่องที่ไม่ค่อยอยากจะสนใจ ถอนหายใจอย่างแรงแล้วเดินกลับไปทิ้งตัวนั่งที่เดิม คุณบุษรามองอาการของเธออย่างแปลกใจ เดินตามมานั่งใกล้ๆถามอย่างอ่อนโยน

“เป็นอะไรไปจ๊ะ ทำไมไม่ตอบแม่ล่ะ”

“ก็เบญไม่ได้อยากไปงานนี้นี่คะ แต่โดนบังคับ” คุณบุษราเลิกคิ้ว...ใครหนอมาบังคับลูกสาวของเธอ

“งานอะไรคะ”

“งานฉลองชนะประมูลที่ดินอะไรซักอย่างนี่ล่ะค่ะ เบญก็ไม่รู้อะไรมาก คุณเจ้านายของเบญเขาสั่งให้ไปด้วยก็เท่านั้น”

“เจ้านาย...ตาวีร์น่ะหรอลูก” คุณบุษรามีน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อได้รู้ว่าใครกันคือคนที่ไปกับเบญญาภา แน่ล่ะ! ก็ทั้งเธอและคุณมีนาวาดหวังจะให้ทั้งสองครอบครัวดองกันผ่านทางกรวีร์และเบญญาภา ตอนแรกก็กังวลเพราะไม่อยากจะใช้วิธีคลุมถุงชนเสียเท่าไหร่ แต่พอฟังจากปากของคุณมีนาว่ากรวีร์เองก็ดูท่าทางจะพอใจในตัวลูกสาวเธอก็ให้เบาใจ เหลือแต่ตัวของเบญญาภาเองเท่านั้นที่เธอไม่รู้ว่าเป็นยังไง อีกอย่างก็พอจะเคยได้ยินกิตติศัพท์อาการเกลียดผู้ชายเจ้าชู้ของหญิงสาวมาไม่น้อยจากปากของบุญญฤทธิ์ที่เจอฤทธิ์ของน้องสาวมากับตัว จนต้องหมดหล่อไปพักหนึ่งแล้วชายหนุ่มข้างบ้านที่เป็นพ่อปลาไหลแบบเดียวกับลูกชายของนางจะรอดไหมเนี่ย

“ค่ะแม่ คุณกรวีร์คนดีของคุณแม่กับคุณป้า” หญิงสาวประชดมารดาที่ดูจะตื่นเต้นออกนอกหน้าเมื่อรู้ว่าเธอต้องไปออกงานกับลูกชายเพื่อนรักของตน

“ดีแล้วลูก จะได้ให้พี่เขาพาไปดูแวดวงนักธุรกิจแบบเราๆบ้างว่าเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหนแล้ว อย่าดูถูกไปนะจ๊ะน้องเบญ...” นางติงเสียงหวานเมื่อเห็นว่าเธอทำหน้าไม่เชื่อ

“...ถึงหนูจะคิดว่าไปเรียนต่อแค่สองปีมันไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนไปมาก แต่อย่าลืมนะว่าเราอยู่ในยุคเทคโนโลยี ทุกอย่างเปลี่ยนไปไวเสมอทุกๆวัน บางทีคนที่เขาเป็นรองเราเมื่อก่อน ตอนนี้อาจจะแซงหน้าเราไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้ อนาคตหนูต้องมาช่วยตาบุญทำงานตรงนี้ก็ควรจะไปรู้เขารู้เราบ้าง มันช่วยได้เยอะจริงๆ” นางสอนอย่างใจเย็นเพราะเห็นว่าเบญญาภาเริ่มจะคล้อยตาม

หญิงสาวเริ่มนิ่ง คิดตาม...ก็จริงอย่างที่มารดาพูด โลกเราเปลี่ยนไปมากจริงๆ ทั้งเทคโนโลยีและจิตใจคน ความเจริญมากขึ้นแต่จิตใจและความเป็นมนุษย์กลับตกต่ำ ถ้าในอนาคตเธอคิดที่จะมาช่วยงานของครอบครัวจริง แต่กลับตามเล่ห์อุบายของคนอื่นไม่ทันก็อาจจะทำให้ธุรกิจเสียหายได้ เพราะฉะนั้นหากตัดเรื่องของคนที่ต้องร่วมทางไปด้วยออกก็ไม่เห็นว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะเสียหายเท่าใดนัก

“เฮ้อ...เห็นแก่อนาคตนะคะเนี่ย ไม่งั้นเบญจะแกล้งเบี้ยวในนาทีสุดท้ายเสียเลย”

เบญญาภาพูดทีเล่นทีจริง แต่ในความเห็นของผู้เป็นมารดาบอกได้คำเดียวว่าน่าจะเป็นที่จริงมากกว่า ลองนางบอกว่าแล้วแต่ตัวอีกฝ่ายเองรับลองได้เลย เบญญาภาจะต้องรีบวิ่งกลับไปเปลี่ยนชุดเป็นนอนเล่นอยู่บ้าน ไม่ไปงานซะอย่างนั้นแน่นอน

“ดีแล้วลูก แล้วก็คิดแบบนี้ด้วยนะว่าไปคุมพี่กรวีร์แทนคุณป้ามีนาไงจ๊ะ”

“คนกะล่อน ไหลไปไหลมาได้ทั่วอย่างนั้น ใครจะไปคุมได้คะแม่ เบญล่ะสงสารคุณป้าที่ต้องมีลูกชายแบบเขาจริงๆ” คุณบุษราส่ายหน้ากับท่าทางอคติของเธอ นางหันไปหาสาวใช้ที่เดินนำร่างสูงของกรวีร์เข้ามา

กรวีร์ยกมือไหว้เพื่อนรักของมารดา หันไปส่งยิ้มทักทายให้ผู้ช่วยเลขาคนใหม่และคู่ควงในคืนนี้ของเขา สายตาคมกล้าสำรวจร่างบางในชุดราตรีสายสปาเกตตี้สีครีมตัว
ยาวกรอมเท้า มีคริสตัลเม็ดเล็กประดับอยู่บนชุดประปรายพอให้ดูมีประกายวิบวับหยอกล้อกับแสงไฟ เขาไล่สายตาขึ้นไปที่ลำคอระหงซึ่งมีสร้อยเพชรขนาดกลางไม่ใหญ่มากประดับเอาไว้ เลือนขึ้นไปมองใบหน้างามแล้วก็ยิ่งตะลึง

วงหน้านวลบัดนี้ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางชั้นดี ดวงตากลมโตกรีดอายไลเนอร์เส้นบางเพื่อเน้นให้คมชัดทาอายแชโดว์สีน้ำตาลทองและน้ำตาลเข้มบนเปลือกตา ขนตายาวงอนจากการปัดมาสคาร่า พวงแก้มสีชมพูอมส้ม ริมฝีปากอิ่มรูปกระจับถูกทาด้วยลิปสติกสีส้มนู้ด ชายหนุ่มนิ่งมองริมฝีปากของหญิงสาวนานจนเจ้าของต้องเม้มแน่นถลึงตาใส่ให้รู้ว่าไม่พอใจที่โดนจ้องอย่างไร้มารยาท

กรวีร์สะบัดหน้าเล็กน้อยเพื่อให้หลุดจากภวังค์ ส่งยิ้มกว้างไปให้คุณบุษราที่ยืนมองอาการของเขาอยู่อย่างชอบใจ เบญญาภาสะบัดหน้าพรืดไม่อยากจะมองรอยยิ้มประจบประแจงของเขา

“หล่อขึ้นเยอะเลยนะตาวีร์ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน บ้านก็อยู่กันแค่นี้” คุณบุษราเริ่มบทสทนาแทนลูกสาวที่นั่งหน้าบึ้งตึงด้วยไม่อยากให้เขารู้สึกอึดอัด

“ขอบคุณครับ คุณน้า ช่วงก่อนยุ่งๆ รับช่วงต่อจากคุณแม่แล้วมันยังไม่ค่อยลงตัว แต่ตอนนี้เข้าที่หมดแล้วครับ คิดว่าคงจะมีโอกาสมาที่นี่บ่อยขึ้น“เขาตอบอย่างนอบน้อม ทิ้งท้ายด้วยการหันไปมองร่างบางให้คุณบุษรารู้ไปเลยว่าเขาจะมาที่บ้านหลังนี้บ่อยขึ้นเพราะอะไรและเพราะใคร คุณบุษรามองตามสายตาของชายหนุ่มรุ่นลูกไปแล้วลอบยิ้มกับตนเอง งานจับคู่ครั้งนี้คงไม่ยากจริงๆ

“มาเลยจ้ะ พาแม่เรากับตาวิชญ์มาด้วยก็ได้นะ หรือจะมาคนเดียวก็ได้ บ้านนี้ยินดีต้อนรับ คิดว่าเป็นบ้านของตัวเองก็ได้นะตาวีร์ แม่...” คุณบุษราเปลี่ยนสรรพนามตนเองทันทีทำเอาพ่อเสือหิวหน้าบานเป็นกระทะ ในขณะที่ลูกแกะแสนสวยหน้างอยิ่งกว่าจวักตักแกง “...อนุญาตจ้ะ”

“โอ้...ขอบคุณครับคุณแม่”

“แม่คะ ช่วยบอกท่านประธานด้วยนะคะว่าเบญไปรอที่รถ” ว่าจบก็คว้ากระเป๋าถือสีเดียวกับชุด เดินฉับออกไปนอกบ้าน กรวีร์มองตามอย่างขบขันแต่พอหันมาหาคุณบุษราแววตาที่พราวระริกเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นหมองเศร้าอย่างคนที่เพิ่งโดนคนที่ชอบงอนใส่ บอกเสียงเศร้าจนว่าที่แม่ยายในฝันรู้สึกสงสาร

“น้องเบญคงเกลียดผม มันเป็นความผิดของผมเองล่ะครับที่ไปบังคับจิตใจเขามากเกิน”

“ไม่ใช่หรอกตาวีร์ ยายเบญเอาแต่ใจเกินไป ลูกคนเล็กก็อย่างนี้แหละ แม่กับพ่อตามใจมาตลอด อย่ากังวลไปเลย สู้ต่อไป แม่เชื่อว่าวีร์ต้องเอาชนะใจยายเบญได้แน่”
นางบอกอย่างมั่นใจในตัวว่าที่ลูกเขยในอนาคต กรวีร์ลอบยิ้มกับตัวเอง...งานนี้ผ่านแล้วอีกหนึ่งด่าน น้องเบญหนีพี่วีร์ไม่รอดแล้วล่ะ...อ่าฮ้า

“คุณแม่ไม่ว่าเหรอครับที่ผมจะมาจีบลูกสาวคุณแม่”

“วีร์มาอย่างจริงใจนี่จ้ะ ถ้ามาหลอกกันแม่คงไม่ยอม อีกอย่างแม่เชื่อใจวีร์แล้วก็เชื่อใจแม่ของวีร์ว่าเลี้ยงลูกมาดี ไม่มีทางทำให้ลูกสาวของแม่เสียใจแน่ เพราะฉะนั้นวีร์ก็อย่าทำให้แม่ผิดหวังนะลูก” คุณบุษราจับแทนแขนหนาเอาไว้มั่น บอกอย่างอ่อนโยนแต่ทว่ามั่นคง

ชายหนุ่มสะอึก เสหลบตา อยากจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออกเมื่อได้ฟังว่าตนเองได้รับความเชื่อใจจากอีกฝ่ายมากขนาดไหน รู้สึกหนักใจขึ้นมา เขาแค่อยากจะเอาชนะเบญญาภาเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะตามมาเลยแม้แต่น้อย เห็นทีคงต้องคิดใหม่ทำใหม่ เพื่อความโสดของตัวเองซะแล้วล่ะ ไอ้วีร์เอ๊ย!

คุณบุษรายิ้มพอใจ เท่านี้ก็เบาใจแล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้าคงต้องไปทบทวนแล้วล่ะมั้งว่าจะเล่นหรือจะจริงกับเบญญาภา เธอคิดว่าพูดไปแค่นี้คนฉลาดเข้าขั้นอัจฉริยะอย่างกรวีร์คงเข้าใจและต้องหาทางทำอะไรซักอย่างที่จะไม่กระทบความสัมพันธ์ของสองครอบครัว หากว่าเขาเกิดไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับลูกของเธอจะได้ถอยไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เธอจะไม่ว่าเลย แต่หากปล่อยไปนานๆแล้วทำลูกสาวเธอเสียหน้าในอนาคตเมื่อนั้นเธอจะตามเล่นงานจนสุดหล้าฟ้าเขียวเลยคอยดู!

ตรงกันข้ามหากเขาไม่ถอยและคิดจริงจังถึงอนาคตครอบครัวเบื้องหน้า เธอก็จะไฟเขียวและทำทุกอย่างเป็นการช่วยให้เขาพิชิตใจแม่ลูกสาวตัวดีอีกด้วย ตอนนี้ก็เหลือแค่ว่าระเบิดที่ปล่อยออกไปจะส่งผลอะไรกลับมา มั่นใจได้เลยว่าอีกไม่นานจะได้รู้กัน

“เอาล่ะ แม่ต้องไปทำอาหารเย็นรอพ่อเขาแล้ว ไปเถอะจ้ะ ฝากลูกแม่ด้วยนะ”

กรวีร์ลุกยืนช่วยประคองอีกฝ่าย ก่อนจะบอกให้วางใจ “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะพาน้องเบญกลับมาส่งไม่เกินสี่ทุ่มแน่นอน ถ้าเกินให้ลดเวลาครั้งถัดไป” ขยิบตาให้อย่างขี้เล่น คุณบุษราหัวเราะแล้วรีบรุนหลังให้ไป

“ไปได้แล้ว ชักช้าเดี๋ยวยายเบญจะพาลไม่ไปเสีย”

“ครับ งั้นลาล่ะครับ”

เบญญาภายืนหน้าหงิกอยู่ข้างรถยุโรปหรูสีดำคันใหญ่ ตวัดสายตามองร่างสูงที่เอามือล้วงกระเป๋าเดินตรงมาหาเธอพร้อมฉีกยิ้ม เขาเปิดประตูรถให้หญิงสาวขึ้นไปนั่งที่ตอนหลัง รอจนมั่นใจว่าไม่มีชายกระโปรงยื่นออกมานอกรถจึงผลักประตูปิด ก้าวยาวๆอ้อมไปขึ้นอีกด้าน พยักหน้าส่งสัญญาณให้ธัชพลที่ทำหน้าที่พลขับและบอดี้การ์ดในวันนี้ให้ออกรถได้

กรวีร์เขยิบเข้าไปใกล้ร่างบางเล็กน้อยพอให้รับรู้ถึงไออุ่นจากเรือนร่าง
เบญญาภากระเถิบออกห่างโดยไม่ยอมมองหน้า เขาก็ยังตามมาอีกจนตัวเธอติดกับประตูรถ สุดท้ายหญิงสาวจึงหันไปถลึงตาใส่ให้รู้ว่าไม่พอใจ แต่คนหน้าหนายิ่งกว่าปูนซีเมนต์มีหรือจะใส่ใจ กรวีร์ยิ้มใส่ตาก่อนจะยอมถอยห่างไปนิด ย้ำ!ว่านิดจริงๆเพราะเป็นแค่ระยะห่างพอให้วางดินสอลงไปได้แท่งหนึ่งเท่านั้น หญิงสาวอยากจะกรี๊ดออกมาเสียให้ได้กับอาการลอยหน้าลอยตานั่งชมวิว ไม่สนใจว่าตัวเองจะทำให้เธอหงุดหงิด

“ถ้าคุณยังไม่กระเถิบออกไปให้มากกว่านี้ ฉันจะเปิดประตูรถแล้วกระโดดลงไป”

เบญญาภาเอียงหน้าเข้าไปกระซิบขู่ ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย คิดว่าอีกฝ่ายคงไม่กล้า แต่พอมองสบตาคู่สวยที่ทอประกายแน่วแน่แล้วก็ใจหวิว ยอมเลื่อนตัวไปนั่งที่ฝั่งของตนแต่โดยดี หันออกมองทัศนียภาพนอกหน้าต่าง ใบหน้าขรึมลง รู้สึกปวดหนึบในอกอย่างที่เขาหาสาเหตุไม่ได้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร รู้แต่ทุกครั้งที่เป็นก็เมื่อเห็นอาการรังเกียจของสาวน้อยด้านข้าง มันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ น้อยใจ...เฮ้ย!

ชายหนุ่มหน้าตื่นด้วยความตกใจเมื่อนึกทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้นยามนั้นแล้วพบว่าหนึ่งในนั้นเกิดจากความน้อยใจ...น้อยใจ! คนอย่างกรวีร์ สิทธิวัติที่มีผู้หญิงมาสยบแทบเท้ากองเป็นภูเขาเพียงแค่ขยิบตาให้เนี่ยนะ จะมาน้อยใจเพราะแค่ผู้หญิงไม่สนใจ ไม่มีทางเด็ดขาด เป็นไปไม่ได้ มันต้องเป็นอาการที่เกิดจากความเครียดเรื่องแพ้ประมูลมากกว่า ไม่ใช่เรื่องของเบญญาภาแน่นอน คนหล่อมั่นใจ! เขาสะบัดหัวไล่ความคิดอันฟุ้งซ่านออกไป หันไปฉีกยิ้มให้หญิงสาวที่มองมาราวกับประเมินว่าเขาเป็นบ้าไปแล้วหรือยัง

ไม่นานทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงโรงแรม ‘The Trophy’ สถานที่จัดงาน ซึ่งเป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาวของนายดนัย คู่แข่งทางธุรกิจของกรวีร์และเจ้าของงานเลี้ยงที่เธอมาร่วม เบญญาภามองการตกแต่งผ่านกระจกอย่างสนใจและจดจำเผื่อเอาไปปรับแต่งโรงแรมของครอบครัวเธอเพิ่มเติม โรงแรมแห่งนี้เน้นสีแดง-ทองเป็นหลัก ดอกไม้ในสวนหน้าโรงแรมส่วนใหญ่ก็เน้นปลูกแต่ต้นที่ออกดอกสีเหลืองและสีแดงมากกว่า

กรวีร์ลงจากรถมายืนมองแสงไฟสปอร์ตไลท์สีทองที่ดูเหมือนจะถูกเพิ่มจำนวนมากกว่าปกติ ส่องเข้าหาตัวโรงแรมจนเหมือนทาสีทองทั้งตึกดูอลังการมาก เขาคาดว่าศัตรูตัวดีคงจะประโคมจัดขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะเหนือเขา ชายหนุ่มมองรูปปั้นถ้วยรางวัลสีทองใบใหญ่ที่ทำเป็นน้ำพุตั้งหน้าโรงแรมอย่างประเมิน ส่ายศีรษะน้อยๆ ‘เฮอะ! ไร้รสนิยมชะมัด’

ร่างสูงถอนสายตาออกจาก ‘ถ้วยทอง’ ตรงหน้าไปสนใจคู่ควงคนสวยของเขาที่ยังคงอยู่ในรถ ขายาวก้าวอ้อมตัวรถไปยังอีกฝั่ง เปิดประตูพร้อมกับมือใหญ่ยื่นตรงไปข้างหน้าของเจ้าหล่อน เบญญาภาชะงักมองมือของเขาอย่างชั่งใจก่อนจะยอมหยวนๆให้สักครั้ง ก่อนจะวางมือเล็กของตนลงไปให้เขาช่วยประคอง ชายหนุ่มยิ้มพอใจพอเธอลงมายืนบนพื้นเรียบร้อยแล้วจึงถือวิสาสะอาแขนเรียวคล้องเขากับแขนเสียเลยโดยที่อีกฝ่ายคัดค้านอะไรไม่เพราะกองทัพนักข่าวจำนวนมากตรงเข้ามาถ่ายรูปของทั้งคู่ แสงแฟลชวูบวาบเข้าจนเธอมองอะไรไม่เห็น

“วันนี้คุณกรวีร์พาใครมาด้วยคะเนี่ย” นักข่าวใจกล้าคนหนึ่งถามขึ้นมาพร้อมกับเครื่องอัดเสียงที่ยื่นมาจ่อ ทำให้เสียงชัตเตอร์ที่ดังระรัวเมื่อครู่เงียบกริบ นักข่าวทุกสำนักต่างพากันรอคอยคำตอบจากเสือหิวตัวพ่ออย่างใจจดใจจ่อ ที่พวกเขามาในวันนี้ก็เพื่อจะดูว่าชายหนุ่มควงดาราหรือนางแบบคนไหนมางานด้วยจะได้เอาไปแต่งเสริมกันให้มันส์ แต่เท่าที่ดูรู้สึกจะไม่ทั้งสองอย่าง คงเป็นคนนอกวงการ และอีกสาเหตุก็คือจะมาดูการเชือดเฉือนกันระหว่างกรวีร์กับดนัยนั่นเอง คู่นี้เจอกันงานไหนต้องมีข่าวให้ได้เขียนนานไปเป็นเดือน

กรวีร์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะตอบกำกวม “ก็แล้วแต่จะคิดครับว่าเป็นใคร แต่ที่แน่ๆคนนี้ไม่เหมือนกับคนอื่นที่ผ่านมา” ส่งสายตาหวานซึ้งไปให้ลูกแกะสาวที่แม้จะยิ้มรับตามมารยาทแต่ในใจนั้นรู้สึกพะอืดพะอมอย่างมาก เล่าเหยี่ยวข่าวต่างพากันร้องออกมาอย่างตื่นเต้น รีบแย่งกันจ่อไมค์มาทางเธอกันใหญ่ ยิงคำถามใส่เป็นชุด ทำนองว่าเป็นลูกใคร มาจากไหน เรียนจบที่ไหน ทำงานอะไร เรื่อยไปจนว่าคบกับชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์มานานหรือยัง

เบญญาภาที่ไม่เคยเจอกับทัพนักข่าวมหาศาลแบบนี้มาก่อนก็ได้แต่ยืนหน้าตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไรอีกอย่างเธอก็กำลังเมาแสงเฟลชที่กระทบนัยน์ตาจนปวดหัว ไม่สามารถตอบอะไรได้ทั้งนั้น กรวีร์ที่ยืมมองความอลหม่านที่เกิดขึ้นอย่างขำขันกับท่าทางของผู้ช่วยเลขา แต่พอนานเข้าเห็นใบหน้าซีดคล้ายคนจะร้องไห้ก็สงสารต้องเข้าไปช่วยแก้ไขสถานการณ์

“เอาล่ะครับ พวกคุณช่วยใจเย็นกันก่อน สาวน้อยคนนี้ของผมเขาไม่เคยเจอกองทัพนักข่าว...” ชายหนุ่มเข้าไปเอาตัวใหญ่โตของตัวเองบังร่างบางของเบญญาภาเอาไว้ ก่อนจะหันมาแขวะนักข่าวเล่นยิ้มๆ “..เล่นบุกเข้าถามกันยาวเป็นขบวนไฟแบบนี้ ต่อให้เป็นสไปเดอร์แมนก็ตอบไม่ถูกครับ” ส่งยิ้มหล่อเหลาให้กับนักข่าวหลายคนที่มองค้อน ก่อนจะโยนลูกระเบิดไปให้ชายหนุ่มอีกคนที่ไม่ได้อยู่ ณ ที่นี้

“เอาเป็นว่าหากมีอะไรสงสัยก็โทรไปสอบถามกับวีรพัชร เลขาของผมได้เลยครับ เขาจะไขข้อข้องใจให้พวกคุณได้ ตอนนี้ผมกับน้องเบญขอตัวก่อน” ขยิบตาส่งให้ แล้วเดินโอบไหล่เบญญาภาเดินเข้างานไป

บรรดานักข่าวตาโตกับชื่อที่จงใจหลุดออกมาจากปากของเขา มือหลายคู่บันทึกชื่อของหญิงสาวลงไปบนหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว ได้แค่ชื่อก็ยังดี ที่เหลือเดี๋ยวค่อยไปหาเอาดาบหน้า หลายคนก็ยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพการโอบไหล่อย่างสนิทสนมนั้น ยิ้มย่องพอใจกับข่าวที่จะได้ลงหน้าหนึ่งพรุ่งนี้ซึ่งดูดีกว่าข่าวงานเลี้ยงเป็นไหนๆ

พอพ้นรัศมีการมองเห็นของนักข่าวแล้วเบญญาภาก็ถอนหายใจ หลับตาลงก่อนจะลืมขึ้น หายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง ให้ตายเถอะคราวหน้าจะไม่มาอีกแล้ว ถ้าจะมาก็ขอมากับครอบครัวเธอดีกว่าอย่างน้อยก็ไม่เป็นเป้าหมายของกล้องถ่ายรูปเท่ามากับเจ้านายผู้ทรงเสน่ห์ของเธอ

หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบมือหนาที่ยังเนียนโอบเธออยู่ แต่มันคงทากาวตาตุ๊กแกเอาไว้ล่ะมั้งถึงได้ไม่ยอมหลุดเสียที พอหันไปมองร่างสูงก็เห็นเขามีรอยยิ้มประดับหน้าไม่รู้สึกรู้สา สุดท้ายเธอจึงต้องใช้เล็บงามๆจิกลงไปบนหลังมือของเขาอย่างแรง กรวีร์เจ็บจนอยากจะร้องแต่กลัวเสียเชิงเลยนิ่งเงียบยิ้มอย่างเดียว แต่ยอมเอามือออกมาไว้ข้างลำตัวแทน ร่างสูงเดินนำเธอตรงไปยังโต๊ะตัวยาวหน้างานเพื่อเซ็นชื่อแสดงความยินดี

เบญญาภาเขียนอวยพรตามปกติ มือบางรับเอาของขอบขวัญขอบคุณเป็นพวงกุญแจรูปถ้วยรางวัลสีทอง-แดงมาดูแล้วส่ายหน้าน้อยๆ หันไปมองคนที่มาด้วยกันพบว่าเขายังเขียนไม่เสร็จแต่ดูจากสีหน้าแหยๆของแม่สาวที่ยืนแจกของขวัญอยู่ตรงนั้นก็พอจะบอกได้ว่าไอ้ที่เขียนลงไปคงไม่ใช่คำที่มีความหมายดีเท่าไหร่ ชายหนุ่มบอกปัดไม่รับของขวัญก่อนจะก้าวยาวๆมาสมทบกับเธอด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เบญญาภามองอย่างติดใจและอดไม่ได้ต้องถามออกไป

“คุณกรวีร์เขียนไปว่ายังไงคะ”

เข้าทาง! ในที่สุดเธอก็เป็นฝ่ายชวนเขาคุยก่อนแล้ว กรวีร์ยิ้มกว้าง หันมาตอบด้วยอาการระริกระรี้ราวกับเป็นสิ่งที่รอมานาน “พี่เขียนไปว่า...ขอให้ล่มจมไวๆนะเพื่อน”

“ห๊ะ!” หญิงสาวออกอาการใบ้รับประทานไปหลังจากได้ยิน มองหน้าเขาอย่างอึ้งๆ ส่วนกรวีร์ที่อารมณ์ดีเพราะได้เล่นงานคู่แข่งไปล่วงหน้าก็ฉุดข้อมือร่างบางให้เดินเข้าไปภายในงานทันที ไม่แก้ตัวใดๆทั้งสิ้นราวกับว่าที่เขียนไปนั้นคือคำอวยพรที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เธอถอนหายใจนึกสงสารเจ้าของงานวันนี้จริงๆที่ต้องมาเจออันธพาลอย่างคนคนนี้

ภายในงานก็ตกแต่งประดับประดาไปด้วยสีแดงและสีทองเป็นหลัก ผ้าเนื้อมันผืนยาวสีแดงและสีทองหลายผืนโยงออกจากลูกบอลสีทองตรงกลางห้องไปจรดมุมห้องจัดงานดูคล้ายหลังคากระโจม

“น้องเบญดื่มอะไรดีครับ พั้นช์หรือ...” ชี้นิ้วไปที่อ่างแก้วเจียระไนสวยงามเป็นรูปดอกบัวบาน ภายในมีน้ำสีแดงอมชมพูอยู่ในปริมาณมาก ก่อนจะชี้ไปที่อ่างแบบเดียวกันต่างกันตรงที่สีของน้ำภายในเป็นสีฟ้า “...บลูฮาวายดีเอ่ย”

“พั้นช์ค่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้าให้พนักงานสาวที่ยืนรออยู่ตักน้ำสีแดงอมชมพูนั้นส่งให้ตนก่อนจะส่งต่อให้เธอ ส่วนตัวเองรับแก้วใส่น้ำสีอำพันมาถือไว้ ยื่นออกมาด้านหน้าเธอ หญิงสาวมองแก้วเหล้าสลับกับรอยยิ้มของเขาก่อนจะยอมชนแก้วเพื่อให้จบเรื่อง กรวีร์ตั้งท่าเตรียมจะชวนร่างบางคุยเล่นแต่ก็มีนักธุรกิจรุ่นใหญ่ที่คุ้นเคยกันเดินเข้ามาทักทายทำให้ต้องหันไปสนทนาด้วยอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ แต่หางตายังคงคอยมองเบญญาภาอยู่อย่างระแวดระวังภัย

เบญญาภามองสำรวจไปทั่วงาน เวลานี้แขกทยอยมากันเกือบเต็มห้องแล้ว เสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องดนตรีดังคลอสร้างความรื่นรมย์ หญิงสาวมากหน้าหลายตาต่างพากันแต่งตัวเต็มที่ทั้งหน้าตา ผม เครื่องประดับทั้งหลายถูกยกออกมาจากตู้เซฟเพื่องานวันนี้กันเลยทีเดียว ยืนจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรสโดยมากก็จะเป็นเรื่องของใช้แบรนด์เนมบ้างเรื่องของชาวบ้านบ้าง อย่างกลุ่มข้างๆเธอเป็นกลุ่มคุณหญิงคุณนายรุ่นใหญ่ที่กำลังหาทางจับคู่ลูกของตนกับคู่สนทนาอย่างครื้นเครง ป่านนี้พวกลูกๆคงสะดุ้งเฮือกกันไปหลายรอบแล้ว

ในขณะที่เหล่าผู้ชายก็ยืนจับกลุ่มคุยเช่นเดียวกันแต่หัวข้อกลับเป็นเรื่องออกรอบตีกอล์ฟ ไม่ก็ปรึกษาปัญหาทางธุรกิจ ถ้าหนุ่มหน่อยก็ชี้ชวนกันให้ดูการแต่งกายของผู้หญิงคนนั้นคนนี้ ก่อนจะเดินตรงเข้าไปทำความรู้จักหากว่าเธอคนนั้นท่าทางถูกใจ บางทีผู้หญิงเป็นฝ่ายส่งสายตาเชิญชวนก่อนก็มี

หญิงสาวส่ายศีรษะกับภาพของนักธุรกิจรุ่นลุงคนหนึ่งที่เธอพอจะจำได้กำลังโอบเอวของหญิงสาวที่มองยังใหญ่ก็ยังไม่พ้นวัยรุ่นดีไว้อย่างแนบชิดแถมมืออ้วนนั้นยังไล้เอวอีกฝ่ายไปมา บางทีก็ไล้เรื่อยลงไปยังบั้นท้ายกลมกลึงก็มี ส่วนมืออวบอูมอีกข้างก็ช้อนแก้วบรั่นดีเอาไว้พลางสนทนากับนักธุรกิจรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคน จำได้ว่าบิดาเคยเตือนเอาไว้ว่าอย่าไปเข้าใกล้เด็ดขาด เพราะอีกฝ่ายชอบเด็กสาวเอ๊าะๆ ตอนนั้นยังไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่ว่าจะมีคนประเภทนี้อยู่บนโลกด้วยมาตอนนี้ภาพที่เห็นมันยิ่งตอกย้ำคำพูดของบิดา

เบญญาภารีบเบือนสายตาหนี คิดว่าหากยังมองต่อไปคงได้คายของเก่าออกมาให้เสียภาพลักษณ์เป็นแน่ แต่ไอ้อาการสะอิดสะเอียนที่เป็นเหมือนโรคประจำตัวยามได้เจอผู้ชายเจ้าชู้ก็ดูท่าจะกำเริบ ท้องไส้เริ่มปั่นป่วน หญิงสาวจึงรีบวางแก้วพั้นช์ลง มองไปทางเจ้านายเห็นกำลังคุยบางอย่างอยู่กับใครซักคนอยู่อย่างเคร่งเครียดและไม่ได้เหลือบมองมาเลย ครั้นจะเข้าไปขัดเพื่อบอกขอตัวไปห้องน้ำก็ดูจะไม่เหมาะ เธอจึงตัดสินใจว่ารีบไปรีบกลับอันที่จริงแค่อยากจะออกไปให้พ้นห้องนี้สักครู่เพื่อภาพน่ารังเกียจที่เห็นจะหายไป

ร่างบางเดินออกจากห้องน้ำหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ แต่ด้วยความที่ยังไม่แน่ใจว่าตาลุงลามกคนนั้นเดินไปส่วนอื่นของงานแล้วหรือยังจึงไม่ยังไม่อยากจะกลับเข้างาน หญิงสาวเดินมาหยุดยืนตรงกระจกบานใหญ่มองทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่มีแสงไฟตามตึกสูงประดับไว้อย่างสวยงาม ทำให้ความตึงเครียดผ่อนคลายลง เสียงเรียกเข้าดังขึ้นทำให้หลุดจากภวังค์

เบญญาภาหมุนตัวกลับเดินเข้างานพร้อมกับความหาโทรศัพท์ในกระเป๋าถือไปด้วย ทำให้มองไม่เห็นร่างสูงของใครบางคนที่กำลังเดินมาจากทางซ้ายอย่างเร่งรีบชนโครมเข้าให้อย่างจัง เธอล้มลงกระแทกพื้นกระเป๋ากระเด็นหลุดจากมือข้าวของข้างในหล่นกระจายเต็มพื้นรวมทั้งโทรศัพท์ด้วย เสียงเรียกเข้าหายไปแล้ว
ส่วนอีกฝ่ายก็ผงะเซออกไปเล็กน้อยไม่ได้ล้มลงไปจับกบเช่นหญิงสาวเพราะเป็นผู้ชายและร่างกายที่สูงโปร่งแม้จะไม่บึกบึนแต่ก็ไม่ได้ผอมบางไร้กล้ามเนื้อ เขาก้มลงมองร่างบางที่ทรุดอยู่กับพื้นพอเห็นว่าคนที่ตนชนเป็นผู้หญิงก็หน้าตาตื่นรีบนั่งลงถามอย่างเป็นห่วง

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“เจ็บข้อเท้าค่ะ” หญิงสาวเอามือกุมข้อเท้าไว้หลวมๆไม่กล้าจับแน่นด้วยกลัวเจ็บ เพราะแค่มันอยู่เฉยยังปวดนิดๆขืนจับลงไปเต็มที่มีหวัง อึ๋ย! ใบหน้านวลซีดลงเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดเวลาข้อเท้าแพลง ชายหนุ่มมีสีหน้ากังวลเหลือบมองรองเท้าที่อีกฝ่ายใส่แล้วก็หน้าเสียกลัวว่าจะไม่ใช่แค่แพลง

“ผมว่าเดี๋ยวคุณไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโน้นดีกว่า ขอผมดูข้อเท้าหน่อย จะได้รู้ว่าควรไปโรงพยาบาลหรือเปล่า” เบญญาภาพยักหน้า ค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นโดยลงน้ำหนักที่ข้อเท้าอีกข้างซึ่งปกติยืนขึ้นแล้วก็วางเท้าอีกข้างลงกับพื้นเบาๆเป็นการทดสอบว่าเจ็บมากไหมพอเห็นว่าไม่มีอาการอะไรก็เพิ่มน้ำหนักลงไปอีกเพื่อจะเดินไปยังเก้าอี้ที่อยู่ถัดไปโดยมีชายหนุ่มตัวต้นเหตุเดินตามมาใกล้คอยประคองแต่ด้วยความประมาทจึงลงน้ำหนักไปเต็มแรงส่งผลให้ความเจ็บแล่นปราดทั้งข้อเท้าล้มลงดีแต่คนข้างหลังที่ระวังอยู่ปราดเข้ามาพยุงทันควัน

“ระวังครับ เดี๋ยวจะเป็นมากกว่านี้ ผมว่าเดี๋ยวผมประคองไปแบบนี้แล้วกัน” ว่าแล้วเขาก็กล่าวขอโทษก่อนจะใช้มือหนาจับต้นแขนเธอค่อยๆพาเดินไปยังจุดหมาย หญิงสาวลอบมองเสี้ยวหน้าของเขาเพื่อหาสิ่งที่เคลือบแฝง แต่พบเพียงร่องรอยกังวลและห่วงใยไร้ซึ่งอาการเจ้าชู้ ยิ่งทำให้วางใจ

ชายหนุ่มถอดสายรัดข้อเท้าของร่างบาง ดึงออกอย่างเบามือ คลำข้อเท้าสำรวจมีกดบ้างเป็นบางครั้งเพื่อดูว่ามันหักหรือเปล่า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มโล่งใจ

“แค่แพลงครับ ไม่ถึงขั้นหัก แต่มันอาจจะบวมได้ยังไงเดี๋ยวผมไปขอน้ำแข็งแล้วก็ยาทามาให้ คุณรออยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน” เบญญาภารีบเรียกเขาไว้ก่อนที่จะเดินออกไป

“เดี๋ยวค่ะ”

“ครับ?”

“ขอโทษที่ต้องรบกวนนะคะ”

“อ๋อ...”เขาลากเสียง ส่งยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวตาเล็กหยี “...ไม่เป็นไรครับ อันที่จริงผมเป็นฝ่ายผิดกำลังรีบเลยไม่ทันได้มองอะไร”

“ฉันเองก็มัวแต่ควานหาของไม่ได้มองเหมือนกันค่ะ ขอโทษด้วย” หญิงสาวรับผิดเสียงอ่อย เขาหัวเราะน้อยๆซึ่งเบญญาภามองว่ามันน่าดู

“งั้นเราก็เจ๊ากันครับ ผิดทั้งคู่ ผม...พงษ์พัฒน์ ไม่ทราบว่าคุณ...” พงษ์พัฒน์ยื่นมือส่งให้ แต่ก็ต้องชะงักเปลี่ยนไปรับไหว้แทบไม่ทันเมื่อเธอยกมือไหว้

“เบญญาภาค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ยินดีเช่นกันครับ” เขาสำรวจกิริยาท่าทางแบบไทยๆของเธออย่างชื่นชม การจับมือคือการทักทายแบบสากลก็จริงอยู่ แต่ในเมื่ออยู่ประเทศไทยและอีกฝ่ายคือคนไทยก็ควรจะใช้วิธีแบบไทยจะดูดีกว่า นี่ยังไม่นับรวมโครงหน้าสวยอย่างสาวไทยที่สะดุดตาอีก การแต่งกายก็บ่งบอกว่ามาจากครอบครัวที่ดี

‘ช่างเป็นผู้หญิงที่สวยและดีพร้อมเหมาะจะเป็นคู่ชีวิตของหนุ่มๆหลายคน’ พงษ์พัฒน์มองเพลินจนหญิงสาวเริ่มจะอึดอัด แม้สายตาของเขาจะไม่ได้มองแบบจะกลืนกินแต่ไอ้แววชื่นชมที่ฉายออกมาก็ทำเอาเธอไปไม่ถูกเหมือนกัน

“งั้นเดี๋ยวผมไปเอายากับน้ำแข็งดีกว่า รอสักครู่นะครับ” เขารีบบอกแก้เก้อเมื่อเห็นสายตาของเธอ ก่อนจะฉากออกไปร่างบางถอนหายใจก้มลงแตะๆข้อเท้า นึกสมน้ำหน้าตัวเองในใจแทนที่จะได้สนุกกับงานกลับต้องมานั่งจ๋อง... ซวยจริงๆยายน้องเบญ!

“น้องเบญ!” กรวีร์ที่เดินตามหาร่างบางอยู่รีบวิ่งเข้ามาเมื่อเห็นเธอ สีหน้าของเขาโกรธจัดผสมเป็นห่วง เบญญาภาเงยหน้ามอง มือก็ยังไม่ละจากข้อเท้าแล้วก็ต้องรู้สึกผิดเมื่อนึกได้ว่าเธอหายมานานอีกทั้งไม่ได้บอกกับเขาว่าจะไปไหนด้วย ก็สมควรแล้วที่เขาจะโกรธ ถ้าเธอเป็นเขาก็โกรธเหมือนกันแล้วจะแถมฝ่ามือให้ด้วยอีกต่างหาก

กรวีร์หยุดยืนหอบ พยายามหายใจเข้าออกลึกๆระงับอารมณ์ที่พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ ใช่!เขากำลังโกรธ แต่ไม่ได้โกรธเจ้าหล่อนหรอกนะ โกรธตัวเองมากกว่าทั้งๆที่รับปากกับแม่ของอีกฝ่ายดิบดี แค่เพียงคลาดสายตาไปหน่อยเดียวหญิงสาวกับบาดเจ็บแล้วเขาจะไปบอกกับแม่ของเธอยังไง นอกจากนั้นยังโมโหที่จนป่านนี้ก็ยังหาคำตอบของอาการร้อนรุ่มในอกเมื่อครู่ยามเมื่อหันไปมองตรงที่ร่างบางยืนอยู่แต่กลับไม่พบ เขาขอตัวกับเพื่อนของบิดาที่เขามาทักทายออกตามหาเบญญาภาจนทั่วงาน ในใจคิดว่าเธอคงไปหาที่นั่งเพราะเมื่อย

แต่เดินจนทั่วก็ไม่เจอแม้แต่เงา เขาเริ่มกังวลกลัวว่าจะโดนไอ้หนุ่มที่ไหนล่อลวงไปหรือไม่ก็คนที่ไม่ชอบหน้าเขาอยากจะล้างแค้นและเห็นว่าเธอมากับเขาพอดี มือหนาควักโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขของหญิงสาว รออยู่นานแต่ก็ไม่มีใครรับโทรศัพท์ยิ่งตอกย้ำความไม่สบายใจ อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่าเธอหายไปนานเท่าไหร่แล้ว นึกโทษตัวเองที่พาเธอมาแต่ไม่สามารถดูแลให้ดีได้ หากเธอเป็นอะไรไปเขาจะไม่ให้อภัยตัวเองเลย...

จำได้ว่าหลังจากตัดสาย ขายาวๆก็ก้าวออกจากห้องจัดเลี้ยงทันที เขาเดินเลี้ยวไปทางห้องน้ำวานให้แม่บ้านเข้าไปดูทีว่ามีผู้หญิงลักษณะคล้ายผู้ช่วยเลขาคนสวยของเขาหรือไม่ ไม่นานแม่บ้านก็ออกมาบอกว่าไม่พบ เขาโทรหาธัชพลทันทีแม้จะนึกอยู่แล้วว่าคงไม่ได้เรื่องเพราะหากเบญญาภาถูกพาออกไปข้างนอกจริง คนของเขาต้องเห็นแล้วก็โทรขึ้นมารายงานแล้วแต่นี่ไม่มีเป็นไปได้มากว่าต้องอยู่ในโรงแรมนี้ แล้วก็อย่างที่คิดธัชพลไม่เห็นเบญญาภาออกจากงานไป แต่เพื่อความไม่ประมาทเขาจึงสั่งให้อีกฝ่ายลองเดินหาให้ทั่วอีกที ส่วนตัวเขาก็จะไปติดต่อที่ล็อบบี้ของโรงแรมดูคิดไว้แล้วด้วยว่าถ้าจนปัญญาจริงๆคงต้องพึ่งศัตรูตัวร้ายเจ้าของโรงแรมให้เสียศักดิ์ศรีสักครั้งแน่ๆ

ระหว่างทางที่เดินไปยังล็อบบี้ สายตาคมก็เหลือบไปเห็นหลังไวๆของหญิงสาวคนหนึ่งนั่งโน้มตัวไปข้างหน้าอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องจัดเลี้ยงเขม่นมองอยู่ครู่จึงเห็นว่าเป็นคนที่ตามหา ร่างสูงรีบวิ่งตรงเข้าพร้อมตะโกนเรียกเสียงดังและอาการหนักอกที่เกิดขึ้นก็หายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อสำรวจด้วยสายตาคร่าวๆแล้วว่าไม่มีตรงไหนบุบสลาย ก่อนจะเครียดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจับข้อเท้าที่เริ่มบวมขึ้นมาเล็กน้อย

“น้องเบญเป็นอะไรครับ แล้วมันเกิดอะไรขึ้น”

“ดิฉันสะดุดพรมล้ม ข้อเท้าแพลงค่ะ” หญิงสาวจงใจข้ามตอนที่มีคนวิ่งมาชนเธอ เพราะดูท่าทางแล้วกรวีร์คงแจ้นไปจับพงษ์พัฒน์ถ่วงน้ำแน่หากรู้ว่าเธอไม่ได้เจ็บจากอุบัติเหตุ ชายหนุ่มถอนหายใจทรุดตัวนั่งสำรวจอาการ

“โชคดีนะเนี่ยที่แค่แพลง เกิดหักขึ้นมาพี่จะโวยไอ้เจ้าของโรงแรมให้จ่ายค่าเสียหายโทษฐานใช้พรมไม่มีมาตรฐาน ทำให้แขกสะดุดได้”

“ดิฉันไม่ได้ระวังเอง คุณอย่าให้มันเว่อร์ไปเลย” เธอรีบติง เพราะกลัวเขาจะทำจริงๆ

“พี่ว่าเรากลับกันเถอะ จะได้พาน้องเบญไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกที”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวเอาน้ำแข็งประคบ เอาทาก็ค่อยยังชั่ว คุณเข้าไปในงานก่อนเถอะ อีกสักพักดิฉันจะตามเข้าไป”

“ไม่ได้!” เขาบอกเสียงดุ “พี่พามาพี่ก็ต้องรับผิดชอบ เดี๋ยวพี่ไปขอยาให้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ มีคนเขาอาสาไปเอาให้แล้ว เดี๋ยวก็คงมา” เบญญาภารีบบอก ทำให้ร่างสูงนิ่วหน้าถามเสียงห้วนอย่างหวงๆ

“ใครกัน แล้วผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“ผู้ชายค่ะ ชื่อ...”

“ให้ตายเถอะ...ไอ้เราก็นึกว่าคุณกรวีร์จะรีบไปตามควาย เอ๊ย! ตามหาใครที่ไหน ที่แท้ก็เป็นสาวน้อยน่ารักคนนี้นี่เอง” น้ำเสียงยียวนพร้อมด้วยคำพูดแบบอ้อนอวัยวะเบื้องล่างดังขึ้นข้างหลัง ทำให้เบญญาภาที่กำลังจะบอกชื่อคนที่ช่วยเธอต้องชะงัก เอียงคอมองร่างสันทัดของชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับกรวีร์ แต่หน้าตากลับไม่คมคายเท่าออกจะ เอ่อ กังฉินซะมากกว่าอย่างฉงน ข้างกายของเขามีสาวสายหุ่นอวบอัดยืนอยู่แนบชิดจนแทบจะกลายเป็นร่างเดียวกัน น่าแปลกตรงที่สาวสวยนางนั้นชม้ายชายตามายังเจ้านายของเธอ

ส่วนกรวีร์ก็กรอกตาอย่างเบื่อหน่ายแม้จะทำใจเอาไว้อยู่แล้วว่ามางานนี้ก็คงต้องรับฟังคำพูดบาดหูจากมัน แต่ไม่คิดว่าจะเป็นตอนนี้เท่านั้นเอง แต่ด้วยความที่พ่อแม่สั่งสอนมาดีจึงจำต้องหันไปทักทาย(?)

“อ้าว! เสียงนายเองเหรอดนัย โทษทีนะ...”ชายหนุ่มทำหน้าลุแก่โทษบอกเสียงนุ่มแต่บาดใจ “...นึกว่าหมามันเห่า”

ดนัยยิ้มแต่กำหมัดแน่น ดวงตาวาวโรจน์แต่ไม่ยอมเป็นฝ่ายหลุดก่อน ได้...ในเมื่อไอ้กรวีร์อยากเล่นสงครามเชือดเฉือนก็เอา จัดให้ จะทำให้คลานกลับไปซบตักแม่แทบไม่ทัน

“โรงแรมฉันไม่เคยปล่อยหมาเขามาเผ่นผ่านน่ะนะ ไม่เหมือนของนายหรอกที่ให้หมา...”ส่งสายตาไปยัง ‘หมา’ที่ยืนตาเขียว หน้านิ่ง “...ขึ้นไปนั่งทำงานในห้องประธาน ว่าแต่นายอยากให้ฉันเรียกเทศบาลให้ไหม เขาจะได้เอาไอ้หมานั่นไปให้พ้น”

“ลำบากนายแย่เลยนะดนัย แต่ไม่เป็นไรหรอกโรงแรมฉัน ฉันจัดการได้ นายห่วงเรื่องนี้ดีกว่า” ดนัยเลิกคิ้วมองรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาอย่างไม่วางใจ เรื่องอะไรของมัน

“เรื่องอะไรที่ฉันต้องกังวลไม่ทราบ ที่ดินฉันก็ประมูลชนะแล้ว โรงแรมที่จะสร้างบนที่ผืนนั้นก็หรูจนจะทำให้โรงแรมของนายเจ๊งไม่เป็นท่าเลยทีเดียว”

กรวีร์ยิ้ม ไม่สนใจต่อคำโอ่ของอีกฝ่าย “เรื่องที่บอกก็เรื่องโหงวเฮ้งของโรงแรมนี้น่ะสิ ฉันว่านายเอาไอ้ครกสีทองอันใหญ่หน้าโรงแรมออกไปดีกว่านะ มันบังความมั่งคั่งของโรงแรม อีกอย่างเดี๋ยวคนเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรงงานทำครกไม่ใช่โรงแรม ทุกวันนี้นี่อยู่ได้เพราะอาศัยกลุ่มลูกค้าจากการออกบูธในงานท่องเที่ยวไม่ใช่เหรอ คนของฉันบอกลดแลกแจกเบอร์สาว เอ๊ย แถมของขวัญตั้งเยอะแยะ”

ดนัยอ้าปากค้าง ใบหน้าขาวแดงก่ำด้วยความโกรธ ชายหนุ่มมองซ้ายขวาดูว่ามีนักข่าวอยู่แถวนั้นบ้างหรือไม่ก่อนจะหันกลับมามองคนที่ยิ้มลอยหน้าลอยตาอย่างเจ็บใจ ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องนี้ ช่วงนี้โรงแรมเขาอยู่ในขาลงสาเหตุมาจากเหตุการณ์ที่แม่บ้านในโรงแรมไปขโมยของของลูกค้า อีกทั้งยังเรื่องที่พนักงานรักษาความปลอดภัยของเขาโรงแรมเขาย่องเขาไปถ้ำมองลูกค้าในห้องพักอีก ชื่อเสียงของที่นี่เลยดรอปลงไปมาก แต่เขามั่นใจว่าสั่งปิดข่าวเงียบแล้วนี่หว่า แล้วไอ้บ้าตรงหน้ามันรู้ได้ไง

“เรื่องของที่นี่ช่างมันเถอะ จะเจ๊งก็เจ๊งไป อีกไม่กี่เดือนโรงแรมบนที่ดินใหม่” เขาย้ำคำว่าใหม่เป็นการเยาะเย้ยเพราะรู้มาว่ากรวีร์หวังไว้สูงกับที่ดินผืนที่เขาเพิ่งจะประมูลมาได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องเดียวที่เขาจะเล่นงานให้มันช้ำในจนต้องไปกินใบบัวบกเลย กรวีร์คิ้วกระตุกกึกๆ มันเล่นเอาจุดเจ็บของเขามากระทืบเล่น คราวนี้คงต้องแพ้มันจริงๆ

ชายหนุ่มเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มนึกหาหนทางเอาคืน ระหว่างนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นใบหน้าของหญิงสาวคนที่ควงแขนกับดนัยอยู่ เขาจ้องหน้าของหล่อนรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่นึกไม่ออก สายตาเย้ายวนที่มองมานั่นยิ่งคุ้นตา ดนัยยิ้มเย้ยคนที่เงียบไป ร่างที่เตี้ยกว่ากรวีร์เล็กน้อยมองไปทางเบญญาภาที่นั่งมองเหตุการณ์อยู่อย่างสนใจ ประเมินร่างบางด้วยสายตา ‘ยายคนนี้เป็นอะไรกับไอ้กรวีร์ คู่ควงคนใหม่ก็ไม่น่าใช่ ไม่เห็นมีอะไรจะตรงสเป็กของหมอนี่’

แต่พอกวาดสายตาไล่ลงมาเรื่อยจนถึงเนินอกสวยภายใต้ชุดราตรีก็พบว่ามันมีขนาดที่ ‘ตรงสเป็ก’ ของคู่อริ เขายิ้มมุมปาก แววตาที่ใช้มองเบญญาภานั่นดูถูกเต็มที่เล่นเอาคำถูกมองหน้าร้อนต้องเบือนหน้าหนี

“นี่นะกรวีร์ ตอนแรกฉันยังสงสัยว่านายเห็นดีเห็นงามอะไรในตัวของผู้หญิงคนนี้ถึงกับขนาดเลือกมาควง แต่พอมองไปนานๆ...” ไม่ว่าเปล่าจ้องกันให้เห็นจะจะเลยว่าหมายถึงตรงไหน กรวีร์ชะงักมองตามสายตาของอีกฝ่ายไปก่อนจะรีบหันกลับมาจ้องดนัยอย่างโมโหในความบังอาจของเขา “... ก็รู้แล้วว่ามีดีตรงอึ๋มนี่เอง คงจะถูกใจนายน่าดูสินะ คนเก่ายังไม่อึ๋มเท่านี้นี่”

เบญญาภาตาแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอับอายอยากจะหายตัวไปให้พ้นๆ เกิดมายังไม่เคยโดนดูถูกขนาดนี้ ดีเด่นขนาดไหนถึงกล้ามาดูถูกเธออย่างนี้ กรวีร์จ้องดนัยนิ่งชักจะโมโหขึ้นมาจริงๆแล้ว จะกระทบกระแทกเขาไม่ว่าแต่เล่นลามปามมาที่เบญญาภาด้วยนี่คงปล่อยไว้ไม่ได้กับคู่ควงคนอื่นๆของเขาจะว่ายังไงก็ว่าไปเพราะมันเป็นเรื่องจริงเขามองผู้หญิงเล่านั้นแค่เรื่องบนเตียง แต่กับเบญญาภานี่ไม่ใช่ถึงจะยังไม่รู้ว่ารู้สึกยังไงกับเธอแต่ที่แน่ๆ อีกฝ่ายเป็นลูกสาวเพื่อนของแม่เขา เป็นเพื่อนของน้องเขาก็เท่าตอนนี้มีฐานะเป็นน้องของเขาด้วย ถ้าพี่ชายปล่อยให้ไอ้หน้าแมวที่ไหนมาดูถูกน้องสาวของตัวเองก็บ้าแล้ว ไม่สมควรเรียกว่าพี่ด้วยซ้ำ!

และเขาก็เป็นพี่ที่ดีเสียด้วย

“นายมันก็คิดได้แค่นี้ล่ะนะดนัย มิน่าโรงแรมมันถึงได้เจริญลง ฉันว่าอีกหน่อยนายเปลี่ยนเป็นม่านรูดเหอะ ไม่สิ...ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกทุกวันนี้เขาก็คิดกันว่าคือม่านรูดอยู่แล้วนี่ ขนาดเจ้าของโรงแรมยังพาผู้หญิงมากกเลย เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ...” เขายกมือห้ามไม่ให้ดนัยเถียง ก่อนจะเดินเข้าไปจ้องหน้าหญิงสาวที่สวยราวกับนางแบบข้างกายดนัยดวงสายตาหวานเยิ้มทำเอาสาวเจ้าระทดระทวยแทบจะโผจากดนัยมาหาชายหนุ่ม ดนัยตาลุกโพลงรีบดันตัวสาวสวยของตนไปไว้ด้านหลังทันที “...คุณผู้หญิงคนนี้หน้าคุ๊น คุ้น”

“คุ้นบ้าอะไร นี่ลิซ่าลูกคุณหญิงลักษณา เพิ่งกลับมาจากปารีสเมื่ออาทิตย์ที่แล้วไม่มีทางที่แกจะรู้จักแน่นอน”

“อ๋อ...”ชายหนุ่มร้องอ๋อ ยิ้มมุมปากยื่นหน้าเข้าไปใกล้กระซิบบางอย่างให้ได้ยินกันแค่สองคน “...นึกออกแล้ว แฟนแกคนนี้เคยนอนกับฉันมาแล้วว่ะ ที่ปารีสนั่นแหละเมื่อเดือนก่อนตอนที่ฉันไปประชุมที่โน่น”

“!!!!”
----------------------------------------------------------------------------------------
มาแล้วค่าาาาาา หายหัวไปนานมาก ข้าพเจ้ายุ่งๆอยู่กับการสัมภาษณ์งานและช่วยงานที่

บ้านไปด้วยเลยไม่ว่างแต่งต่อ แต่ตอนนี้ว่างแล้วค่ะ จะกลับมาอัพเรื่อยๆเหมือนเดิม

อาทิตย์ละตอน แต่ถ้าหายไปอีกไม่ต้องสงสัยนะคะ โดนใช้งานอีกแล้วนั่นเอง แต่นัก

อ่านอย่าเพิ่งหายหน้ากันไปน้าาา ข้าพเจ้าเหงา

สำหรับตอนนี้มีตัวร้ายของเรื่องโผล่มาแล้วสองคน คนหนึ่งเปิดเผยเต็มที่ อีกคนนี่เดา

เอาเอง แต่เชื่อเถอะว่านักอ่านของข้าพเจ้าเก่งเดาได้อยู่แล้ว

ตอนหน้าพบกับความหน้าทนของพี่วีร์อีกรอบ มาช่วยกันยำพี่วีร์เถิดหนา

เจอกันตอนหน้าค่ะ ติชมได้น้า บายบี



ไอจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2555, 21:55:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2555, 21:55:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1751





<< ตอนที่ 13   ตอนที่ 15 >>
กาซะลองพลัดถิ่น 21 มิ.ย. 2555, 01:56:34 น.
อ่ะนะ เถียงกันอยู่ได้ คนเจ็บเท้าก็เจ็บไปดิ แล้วนายวีร์นี่ก็ระวังเหอะ คู่แข่งโผล่ออกมาแล้ว ...


anOO 21 มิ.ย. 2555, 16:30:09 น.
ตายๆๆๆๆ ดันเอาเรื่องนี้มาข่ม น้องเบญคงหักคะแนนหมดหน้าตักแล้ว


Auuuu 29 ก.ค. 2555, 01:39:13 น.
นายดนัยไม่ไหวนะ พูดดูถูกผู้หญิง
แต่คุณพระเอกแสบนะฮ้าาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account