The Recapture ร้ายทวงรัก(สำนักพิมพ์ sugar beat)
ฉันจะทำให้คุณสยบแทบเท้า เพราะรักฉัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 4...100%

ตอนที่ 4

สำหรับลูกผู้หญิง เรื่องการสูญเสียพรหมจรรย์ ถือเป็นเรื่องใหญ่โตไม่น้อยตามค่านิยมที่ปลูกฝังกันมานับตั้งแต่สมัยก่อน ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นกับปีวราเมื่อคืนนี้ มันจึงเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจเธอมาตลอดตั้งแต่ขับไล่ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นออกไปจากห้อง...เธอไม่แน่ใจตัวเอง ว่าการที่ไม่เอาเรื่องเอาราวกับนายคนนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่

แต่ถ้าเธอเอาเรื่องขึ้นมาล่ะ ไม่แคล้วเรื่องที่เกิดขึ้น ก็คงจะกลายเป็นประจานตัวเองให้อับอายต่อสังคม ครั้นจะปล่อยให้มันผ่านไป ก็ดูเหมือนเธอจะกลายเป็นผู้หญิงโง่เง่าสิ้นดี

แล้วเธอจะไปตามหาตัวผู้ชายคนนั้นได้ที่ไหนล่ะ?

แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามของชายผู้ฉวยโอกาส เธอก็ไม่รู้...เขาเป็นใคร มาจากไหน ก็ไม่รู้เลย เพราะช่วงเวลาที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพเปลือยเปล่ากับผู้ชายสองต่อสอง เมื่อคิดเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกเสียจากเธอจะถูกเขากระทำย่ำยี ดังนั้นจึงมีอารมณ์โกรธ เสียใจ ผิดหวัง ปะปนกันจนยากจะแยกออกจากกัน ทั้งทำอะไรไม่ถูก ทั้งโกรธที่ตัวเองชะล่าใจ ทั้งผิดหวังที่ไม่รู้จักดูแลตัวเอง จึงได้แต่อาละวาดด้วยความกลัวและอับอาย

จนลืมเสียสนิท ว่าเธอไม่ควรปล่อยให้ฝ่ายนั้นเดินจากห้องพักของเธอออกไปอย่างหน้าตาเฉย...หรืออีกนัยหนึ่ง คือเธอเป็นฝ่ายขับไล่เขาไป คงจะเข้าเค้ากว่า
แต่อย่างไรเสีย เธอก็ไม่มีทางลืมใบหน้าอันคมคาย ดวงตาที่แฝงความคุ้นเคยคู่นั้นไปได้แน่นอน...แล้วช่วงเวลาที่เธอกำลังปาดคราบน้ำตาอย่างลวกๆ ภาพการสนทนาระหว่างเขาคนนั้นกับชลลดาเมื่อคืนนี้ก็ผุดขึ้นกลางความคิด

ใช่แล้ว...แพรน่าจะรู้จักผู้ชายคนนั้น

ปีวราจึงกระวีกระวาดตรงไปหยิบโทรศัพท์ รีบเปิดเครื่อง...แต่หน้าจอไม่เป็นใจ กลับเปิดไม่ติด ทำให้เธอนึกโมโห จนพลั้งเผลอเขวี้ยงมันลงบนตียงด้วยมืออันสั่นเทา แต่แรงโกรธที่สุมในอกมันอัดแน่นเสียจนแรงทุ่มมากกว่าปกติ โทรศัพท์เจ้ากรรมจึงกระเด้งจากขอบเตียง กระดอนไปชนข้างฝาอย่างแรง เมื่อตกกระทบลงบนพื้น นอกจากหน้าจอนั้นจะดับอย่างถาวร ตัวเครื่องรุ่นใหม่ก็แตกเป็นชิ้น ไม่สามารถประกอบคืนรูปได้ดังเดิม

เป็นอันว่า ‘จบเห่’ ไม่สามารถติดต่อใครได้ แต่ยังไงก็ตาม ฉันจะตามหาตัวคุณให้พบ และคุณจะต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำกับฉันเมื่อคืนนี้!

ปีวราจึงตัดสินใจอาบน้ำ เปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้วเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าใบเดิม ออกจากโรงแรมที่เป็นเสมือน ‘สวรรค์ล่ม’ เรียกรถแท็กซี่ตรงดิ่งกลับไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรอเที่ยวบินสำหรับกลับไปยังภูเก็ต เธอไม่มีแก่ใจจะติดตามตัวผู้ชายคนนั้นในตอนนี้ ต้องรีบกลับไปสะสางธุระที่ทำให้เธอหนักอกหนักใจแต่แรกให้เรียบร้อย

เธอจะต้องพาแม่ของเธอ ออกมาจากบ้านหลังนั้นให้ได้!

....................................................

ปีวรามาถึงท่าเทียบเรือในช่วงบ่ายคล้อย แสงตะวันจวนตกกระทบสู่ผืนพสุธา...ทว่าการเดินทางของเธอเพื่อจะข้ามจากฝั่งท่าเรือแหลมหิน ไปยังเกาะ ‘มุกแก้ว’ อันเป็นเกาะส่วนตัวซึ่งอยู่ห่างจากเกาะภูเก็ตไปไม่ไกลนัก ล้วนมีคนคอยอำนวยความสะดวกทุกเวลา ดังนั้นเพียงแค่ขยับขาก้าวลงจากรถรับจ้าง เด็กๆชาวเลผิวสีเข้มสองคนก็รีบวิ่งกุลีกุจอมาช่วยขนกระเป๋าสัมภาระในทันใด

หญิงสาวขยับแว่นตากันแดดกรอบสีขาวเล็กน้อย ขณะที่พึมพำคำว่าขอบใจออกไปเบาๆ โดยที่กระเป๋าสองใบของเธอถูกเด็กหนุ่มคู่นั้นช่วยกันหิ้วจนตัวเอียงกะเท่เร่ เธอจึงได้แต่ก้าวตามไปยังถนนซีเมนต์ ไปหยุดยืนรออยู่ที่ท่าเทียบเรือ

ไม่นานนัก เหนือผืนน้ำทะเลสีฟ้าครามซึ่งทอดยาวไกลสุดสายตา ก็มีเรือเร็วลำหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบ โดยที่กระเป๋าสองใบนั้นถูกลำเลียงลงไปวางอย่างระมัดระวัง เสียงหนุ่มชาวเลผู้ทำหน้าที่พลขับเรือ เอ่ยเป็นสำเนียงท้องถิ่นว่า

“นายหญิงจะกลับไปที่เกาะเลยใช่ไหม หรือว่าจะให้ผมขับไปส่งที่หน้าฟาร์มไข่มุก”

“ฉันบอกกี่ทีแล้ว ว่าอย่าเรียกฉันว่า ‘นายหญิง’ คำๆนี้ไม่เหมาะกับฉันหรอก” เธอตำหนินายเกลี้ยง จนเจ้าตัวหัวเราะฝืดๆ แล้วเธอก็ขมวดคิ้วมุ่น เมื่อนึกขึ้นได้ว่า นายเกลี้ยงเอ่ยถามเธอว่าจะแวะไปลงที่ฟาร์มไข่มุกหรือว่าบ้าน จึงถามกลับไป “เกลี้ยงจะให้ฉันไปที่ฟาร์มฯทำไมกัน”

เสียงเด็กหนุ่มดูตื่นเต้น แสดงถึงความปรีดาจนออกนอกหน้า “เดี๋ยวนายหญิงก็รู้เองนั่นล่ะ ว่าทำไม...ว่าแต่นายหญิงจะไปที่ไหนกันล่ะ”

นอกจากนายเกลี้ยงผู้ชอบพูดยอกย้อนเธอด้วยความสนิทสนม จะไม่บอกว่ามีเหตุอันใด ถึงคำพูดอันมีลับลมคมใน เจ้าตัวยังยิ้มยิงฟันขาวซึ่งเด่นชัดตัดกับสีผิว ทำให้เธอนึกอยากเขกมะเหงกใส่สักครั้ง อย่างที่เคยทำอยู่กับฝ่ายนั้นบ่อยๆเวลาหมั่นไส้

“เรียกนายหญิงอีกแล้ว...เดี๋ยวพอฉันกลับไปถึงเกาะ เจอหน้าเกลา น้องชายเรา ก็คงไม่พ้นถูกเรียกแบบเดียวกันอีก”

ทั้งนายเกลา นายเกลี้ยง สองพี่น้อง ผู้อยู่บนเกาะนี้เมาตั้งแต่เกิด...ต่างให้ความเคารพต่อทุกคนผู้เป็นสมาชิกในครอบครัวเจ้าของฟาร์มไข่มุก ดังนั้นเขาจึงเรียกปีวราด้วยคำนี้มาตั้งแต่รู้ความ จะให้เปลี่ยนก็คงยาก

“ผมเรียกจนเคยตัวแล้วล่ะนายหญิง...” เขาลูบผมหยิกขอดแก้เก้อ ก่อนจะท้วงถามถึงคำตอบ “แล้วตกลงนายหญิงจะให้ผมไปส่งที่ไหน”

‘นายหญิง’ ของเด็กหนุ่มจ้องตากลับ “เมื่อเกลี้ยงไม่บอกว่าที่ฟาร์มฯเขามีอะไรกัน ฉันก็กลับบ้านดีกว่า...มาเหนื่อยๆ อยากจะอาบน้ำอาบท่า...ไปเถอะ”

พูดจบ เธอก็ก้าวลงเรือเร็วสีขาว ถอยไปนั่งที่เบาะด้านหลัง บอกให้เด็กหนุ่มขับเรือแล่นออกไป ส่วนตัวเธอก็นั่งเงียบไปตลอดทาง มองผืนฟ้าสีครามอมส้ม ซึ่งทาบไปจนจรดขอบน้ำทะเล เห็นระลอกคลื่นเป็นริ้วแลสวยงาม เมื่อยามที่แสงตะวันต้องกระทบ นึกแล้วก็ใจหาย ถ้าเกิดเธอต้องการทำตามความคิดของตัวเอง คือ...ไปจากที่นี่

ถึงจะไม่ได้อยู่มาตั้งแต่เกิด แต่ระยะเวลาสิบเอ็ดปี มันก็นานเพียงพอสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่จะรู้สึกรักและผูกพันกับสถานที่ รวมถึงตัวบุคคล

แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคน เมื่อนึกถึงคำพูดของนางสาวิตรีที่ด่ากราดใส่แม่ของเธอเมื่ออาทิตย์ก่อน ความเจ็บใจซึ่งฝังแน่นในอกก็ทำให้เธอขบเม้มริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว

‘แกสองคนแม่ลูกมันก็แค่กาฝาก บุญคุ้มกะลาหัวแค่ไหนแล้ว ที่ตลอดเวลาสิบกว่าปี ฉันไม่เคยพูดถึงเรื่องอัปยศของครอบครัวแก ต้องทนใช้ผัวร่วมกับแก ทั้งๆที่ไม่มีเมียหลวงหน้าไหนหรอกที่จะยอมอดทนแล้วก็ใจดีเท่ากับฉัน แต่นี่แกคิดจะมาลำเลิกบุญคุณเอากับฉัน...สมองน่ะมีไว้สำนึกบ้างไหม รู้อย่างนี้น่าจะปล่อยให้แกกับลูกตายตกตามผัวเก่าของแกไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว’

ปากเธอสั่นขึ้น..จนนายเกลี้ยงตะเบ็งเสียงฝ่าลมแรง “นายหญิงหนาวหรือ เห็นนั่งกอดอก ปากสั่น”

เธอจึงรู้สึกตัวว่าเผลอแสดงความรู้สึกต่อหน้าคนอื่นมากไป นี่ถ้านายเกลี้ยงสามารถมองทะลุแว่นตากันแดดเข้าไปได้ ก็คงจะเห็นว่าดวงตาสองข้างนั้นมีน้ำใสๆปริ่มอยู่ขอบตา

“หนาวอะไรล่ะ เกลี้ยงเล่นขับเร็วขนาดนี้ ลมมันก็แรงเท่านั้นเอง” เธอเบนหน้าหลบไปอีกทาง จึงไม่ทันรู้ตัวว่าช่วงเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงที่นั่งเรือมา ตอนนี้เรือเริ่มเข้าเขตเกาะมุกแก้วแล้ว

แต่กระนั้นเส้นทางน้ำ ก่อนจะอ้อมไปถึงตัวบ้านหลังใหญ่ ซึ่งเป็นที่พักอาศัย ต้องแล่นเรือผ่านเขตน้ำทะเลซึ่งเป็นสถานที่ทำฟาร์มไข่มุก นายเกลี้ยงแกล้งชะลอความเร็วของเรือ ราวกับรู้ว่าเธอกำลังชะแง้มองเข้าไปยังโรงเรือนบนฝั่ง ซึ่งอยู่เหนือแผงกระดานไม้สำหรับแขวนหอยมุก มองเข้าไปยังกลุ่มคนหลายสิบซึ่งกำลังยืนออล้อมวงใครบางคนตรงกลาง

เธอเห็นเพียงศีรษะด้านหลังของผู้ที่ยืนเป็น ‘ไข่แดง’ ด้วยถูกล้อมกรอบจากสาวๆเหล่านั้น...ได้แต่มองนิ่ง...ขณะที่ดวงความคิดโลดแล่นไปถึงใครบางคน

“ตกลงนายหญิงไม่แวะแน่นะ”

เธอหันขวับไปมองต้นเสียง นึกฉุนที่นายเกลี้ยงพูดยอกย้อนจนน่าโมโห “บอกว่าไม่แวะ ก็ไม่แวะสิ เกลี้ยงนี่ชักยังไงกัน”

เสียงเขาหัวเราะอย่างมีเลศนัย...

แต่ไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไปอีก เหมือนว่านายเกลี้ยงจงใจจะแกล้ง กลับเร่งความเร็วของเรือให้ออกห่าง จนร่างสูงกลางวงล้อมนั้นเริ่มไกลลิบตา จนลำเรือแล่นมาใกล้ฝั่งที่เป็นบ้านพักหลังใหญ่ ตั้งอยู่เหนือหาดทรายขาวละเอียดบนเนินสูง

เธอจึงตัดสินใจถามนายเกลี้ยงลอยๆ “เมื่อตะกี้ พวกสาวๆเขารุมล้อมใครกัน ยังกับมีดาราแวะมาเที่ยวชมฟาร์มไข่มุก”

หญิงสาวนึกไปถึงขบวนดาราหรือผู้มีชื่อเสียง ซึ่งมักจะแวะมาเยี่ยมชมการทำฟาร์มหอยมุกอยู่บ่อยครั้ง จนบรรดาสาวๆชาวเลล้อมหน้าล้อมหลัง ขอถ่ายรูปไปใส่อัลบั้ม หรือไม่ก็อัดรูปไปติดกรอบฝาผนังบ้านอยู่เป็นประจำ

แล้วนายเกลี้ยงก็ทำให้เธอต้องค้อนตาขวางอีกจนได้ เมื่อตอบสั้นๆแบบยียวน พร้อมกับยิ้มแหยๆ “ผมไม่บอกหรอกครับนายหญิง”

...............................................................

เมื่อนายเกลี้ยงไม่เปิดปาก ปีวราก็ไม่สนใจ...เธอรอเรือเร็วที่โดยสารมาเทียบท่ากับไม้กระดานซึ่งทอดยาวลงไปบนผืนทะเล โดยที่เด็กหนุ่มผู้ทำหน้าที่สารถี ขยับตัวไปยกกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดขึ้นวางด้านบน ครู่เดียวนายเกลาก็วิ่งกระหย่องกระแหย่ง ใบหน้ายิ้มยิงฟันขาวถอดพิมพ์ผู้เป็นพี่มาถึงตัว

“นายหญิงมาถึงแล้ว ดีใจจังครับ นึกว่าจะกลับมาไม่ทันคืนนี้ซะอีก นายหญิงรู้ไหมครับว่าวันนี้มี...”

ยังพูดไม่ทันจบ นายเกลี้ยงซึ่งกระโดดขึ้นมาบนสะพานไม้พอดี จึงเอามือเขกกะโหลกน้องชาย แล้วหันไปจุปาก เพราะรู้ว่าสิ่งที่นายเกลากำลังจะพูด ก็คือสิ่งเดียวกันกับที่ตัวเขาอุบไว้เป็นความลับมาตลอดทาง

“เอ็งนี่มันพูดมากจริงเว้ย...รีบๆขนกระเป๋านายหญิงเข้าไปเก็บในบ้าน...ไป ไป๊”

นายเกลี้ยงเอ็ดตะโรใส่ ในฐานะที่อายุมากกว่าสองปี รูปร่างก็สูงใหญ่กว่า ทำให้น้องชายหน้าหงอ ได้แต่มองอย่างอึดอัดที่ไม่สามารถบอกกล่าวถึงสิ่งที่ใครๆบนเกาะแห่งนี้ล้วนตื่นเต้น ดีใจ

“ตกลงมีลับลมคมในอะไรกันทั้งพี่ทั้งน้อง”

ปีวราชะเง้อมองไปยังนายเกลาที่กำลังยกกระเป๋าขึ้นแบกไว้บนบ่าข้างหนึ่ง เห็นเด็กหนุ่มผู้น้องเอาแต่หลบตา ไม่กล้าปริปาก เธอก็เลยพานบ่นกระปอดกระแปดไปเรื่องอื่นว่า “เกลี้ยงก็ดุน้องซะจนกลัวไปหมดแล้ว ดูซินั่น...อ่อ เกลา แม่ฉันล่ะ อยู่ในบ้านหรือเปล่า”

หญิงสาวปีนข้ามบันไดไม้ขึ้นมาบนสะพานเช่นกัน แล้วเอ่ยถามเด็กหนุ่มอย่างนึกขึ้นได้ นายเกลาจึงรีบตอบ “นายแม่อยู่ในครัว...เดี๋ยวผมจะวิ่งไปบอกให้ครับ ว่านายหญิงกลับมาถึงแล้ว เผื่อนายแม่จะได้เป็นคนบอกนายหญิงเอง ว่ามีใครบางคนกลับ...”

พูดไม่จบรอบสอง ผู้เป็นน้องก็กระเด้งตัววิ่งหันหลังกลับ เมื่อผู้เป็นพี่ยกไม้ยกมือเหมือนจะขว้างอะไรบางอย่างใส่ พอเขาหันกลับมาก็เจอกับสีหน้าของผู้ยืนดูเหตุการณ์กำลังขมวดคิ้วสองข้างชนกัน แต่เธอก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ ‘เรื่องลับ’ ของสองพี่น้อง แต่กลับเอ็ดไปยังเรื่อง ‘นายหญิง’

“ฉันนึกแล้วไม่มีผิดว่านายเกลาก็ยังเรียกฉันว่านายหญิงๆๆ นี่ถ้าเกิดคุณนายใหญ่ท่านได้ยินเข้า จะมาหาเรื่องกับฉันได้ ว่าฉันอยากเป็นพวกคางคกขึ้นวอ...ไม่ก็กิ้งก่าได้ทอง...ขี้กลากจะขึ้นหัวฉันเปล่าๆ”

เธอบ่นพึมพำตามหลังร่างบึกบึนของเด็กหนุ่มซึ่งหอบกระเป๋าอีกใบ เดินนำหน้าไปหลายช่วงตัว จนกระทั่งก้าวลงจากสะพานแล้วนั่นล่ะ ‘นายแม่’ ที่เด็กหนุ่มทั้งสองเรียกติดปาก เดินกึ่งวิ่งมาหยุดคอย ยืนอยู่ตรงฝั่งเนินทราย ซึ่งมีต้นมะพร้าวสูงปลูกไล่เรียงเป็นแนวขนานไปจนสุดปลายตา

“แม่คะ...”

เธอตรงเข้าไปสวมกอดมารดาอย่างเคย เพียงแต่ว่าคราวนี้กลับเป็นกอดที่แนบแน่นขึ้น มิใช่ด้วยความคิดถึงหรือเป็นห่วง เสมือนครั้งที่แล้วๆมา เวลาที่เธอไม่อยู่ ต้องไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐที่กรุงเทพฯ แต่ครั้งนี้ เธอกอดด้วยความรู้สึกเบาโหวงในหัวใจประสมลงไป ด้วยเรื่องราวทั้งสองอันหมกมุ่นในใจ

หนึ่งคือเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับมารดา ‘ก่อน’ ที่จะข้ามฝั่งไปงานแต่งของชลลดา...ส่วนอีกหนึ่ง คือเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอเมื่อคืนนี้

ไม่รู้ทำไม ความโกรธ ความเสียใจอันเกิดจากความพลั้งพลาดกับผู้ชายคนนั้น ถึงได้ผุดขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เพียงแค่ได้สัมผัสรอบกอดของผู้ให้กำเนิด

จนไม่อาจทานเสียงสะอื้นในทรวง

“ปีเป็นอะไรลูก...ร้องไห้ทำไม...มีอะไรเกิดขึ้นกับลูกของแม่หรือเปล่า”

ผู้เป็นแม่พลอยปากสั่น เสียงสั่นไปตามกัน เมื่อได้ยินเสียงร่ำไห้ที่ดังออกมานอกโพรงอก แต่ผู้เป็นลูกก็รีบกลบเกลื่อนสิ่งที่อยู่ในใจเร็วพลัน

“ไม่มีอะไรค่ะแม่...หนูแค่รู้สึกว่า หนูไม่อยากจากแม่ไปไหนอีก และหนูก็ไม่อยากให้แม่ทนอยู่ที่นี่อีกต่อไป”

นางปราณีรั้งตั้งลูกสาวห่างจากอก มือหนึ่งจับข้างไหล่ ส่วนอีกข้างยกขึ้นลูบเรือนผมยาว ซึ่งปลิวสยายไปตามแรงลม ทอดหน่วยตาอันเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย “ปีอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนั้นเลยนะลูก กลับมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำอาบท่าให้ร่างกายสดชื่น แล้วไปรอทานข้าวเย็นดีกว่านะ”

“แต่แม่คะ...”

ในที่สุด เธอก็ปาดน้ำตาทิ้ง แล้วหยุดพูดถึงความไม่สบายใจเหล่านั้น เมื่อเห็นสีหน้าหมองหม่นของมารดา

“แม่ขอร้อง”

“ถ้าอย่างนั้น หนูขอไม่ไปร่วมวงทานข้าวเย็นกับคุณนายใหญ่จะได้ไหมคะแม่ หนูยังไม่อยากเจอหน้าท่าน”

หญิงสาวรู้ดีว่าถึงอย่างไร ก็ต้องพบหน้ากันทุกวัน แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงแค่ไหนก็ตาม แต่ในเมื่อเธอกับแม่ ยังต้องอาศัยพักพิงอยู่ภายใต้ชายคาบ้านของตระกูลสมบูรณ์พูนผล เธอก็คงไม่อาจหลุดพ้นไปจากคำดูถูก หรือย่ำยี

“ปีจะหลบหน้าคุณนายใหญ่ไปได้สักกี่มื้อกัน...อย่าลืมสิลูก ว่ายังไง ‘นายหัว’ ก็มีบุญคุณกับเราสองแม่ลูก...” ผู้เป็นแม่ชะงักเท้าตามบุตรสาว เมื่อฝ่ายนั้นแสดงความรู้สึกรังเกียจแม้เพียงแค่ได้ยินมารดาเอ่ยถึงบุคคลที่สาม

“บุญคุณ...เพราะคำนี้คำเดียวหรือคะแม่ ที่ผูกเราสองคนเอาไว้ให้จมอยู่กับความจอมปลอมที่เขาสร้างขึ้นมา แล้วก็ย่ำเท้าลงมาในสิ่งที่เขาสร้างกับมือ” หญิงสาวผินหน้าหลบ ดวงตามีแววกระด้างด้วยนึกเกลียด ‘นายหัว’ ขึ้นมาจับใจ ทั้งที่แต่ก่อนนั้นเธอรู้สึกตรงกันข้าม คือทั้งรัก ทั้งเทิดทูน ราวกับเป็นบิดาแท้จริง

“แม่...”

“ไม่เป็นไรค่ะแม่...หนูหวังว่าสักวัน เรื่องเลวร้ายพวกนั้น มันคงจะเลือนหายไป เมื่อน้ำทะเลมันซัดเข้าฝั่ง แล้วกลบเอารอยย่ำเท้าของคนเหล่านั้นให้มันจมหายไปพร้อมกับน้ำทะเล”

เธอถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะเบี่ยงตัวกลับมาประคองมารดา แล้วก้าวเดินกลับไปยังทางโรยกรวดเบื้องหน้า มุ่งสู่ตัวบ้านด้วยกัน

ความเงียบงันของสองแม่ลูก ทิ้งช่วงไประยะเดียว...นางปราณีจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน เมื่อนึกขึ้นได้ว่า มีอีกสิ่งที่ท่านลืมเล่า

“ปีรู้หรือยังลูก...ว่า ‘พี่ชาย’ ของลูก กลับมาจากอเมริกาแล้ว”

พี่ชาย...เธอพึมพำคำนี้เบาๆ ด้วยความคาดไม่ถึง...ได้แต่นึกว่าการรอคอยอันยาวนานถึงสิบเอ็ดปี พร้อมกับความเจ็บปวดหัวใจ มันจะวนกลับมาเริ่มต้น หรือว่าจบสิ้นกันแน่

แล้วความคิดในแวบหนึ่งซึ่งแฝงแววตัดพ้อ น้อยใจ ก็ทำให้เธอพูดด้วยน้ำเสียงพร่าเล็กน้อย “เขาไม่ใช่พี่ชายของปีหรอกค่ะแม่...เขาเป็นลูกของคุณนายใหญ่ ปีไม่อาจเอื้อมไปนับญาติกับเขาหรอกค่ะ แล้วมันก็คงไม่มีวัน...ขนาดจดหมายตั้งหลายฉบับ เขายัง...”

เธออยากจะพูด ‘บางสิ่ง’ เกี่ยวกับการส่งจดหมายตั้งแต่ครั้งอดีต แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ซึ่งวินาทีนั้น แววตาของผู้เป็นมารดาถึงกับไหววูบขึ้นมาเล็กน้อย

“แสดงว่าคืนนี้ เขาก็จะอยู่ทานอาหารเย็นร่วมกันเพิ่มอีกหนึ่งที่ใช่ไหมคะ” เธอนิ่งตรอง ขณะจ้องดวงหน้ามารดา แล้วในความเงียบนั้น เธอก็เป็นฝ่ายพูดเองเออเอง “แปลว่าตอนนี้เขาคงจะอยู่ในบ้าน ปียังไม่อยากเจอใครทั้งนั้นค่ะแม่...แม่เข้าไปข้างในบ้านก่อนนะคะ ปีขอไปเดินเล่นที่ชายหาดสักครู่...”

เธอหมุนตัวกลับทันควัน พยายามปั้นสีหน้าไม่ให้แสดงถึงความในใจที่มันตีกันปั่นป่วนไปกว่านี้ แล้วสาวเท้าอย่างเร็ว กลับไปยังทางเดิมเมื่อตอนมาถึง ได้ยินเสียงมารดาไล่หลังลอยมาตามลมว่า

“อย่าไปนานนักนะลูก ฟ้าจวนจะค่ำอยู่แล้ว...แม่เป็นห่วง”

นี่เธอกำลังเป็นอะไร...ทำไมผู้ที่ใครๆต่างยัดเยียดให้เป็น ‘พี่ชาย’ ต้องกลับมาตอนนี้ กลับมาในเวลาที่เธอกำลังสับสนที่สุดในชีวิต

เธอก้าวไปจนถึงริมหาดทราย ซึ่งอยู่ห่างจากสะพานไม้หลายช่วงตัว ยืนมองไปยังเวิ้งฟ้าใกล้พลบค่ำ ที่ตอนนี้จันทร์เสี้ยวแขวนตัวอยู่ตรงกลาง มีดาวดวงเล็กส่องแสงในตัวล้อมแสงอันเรืองรองนั้น มันสว่างเพียงวิบวับ โดยที่สะท้อนความวาววามผ่านลูกนัยน์ตาดำทั้งสองข้างของเธอ ซึ่งบัดนี้กำลังมีม่านน้ำตาพร่าพราย

นี่เป็นน้ำตาครั้งที่เท่าไหร่ของวันนี้แล้วนะ...ปีวรา

............................................................






พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ย. 2555, 17:32:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ย. 2555, 17:32:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1197





<< ตอนที่ 3    ตอนที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account