The Recapture ร้ายทวงรัก(สำนักพิมพ์ sugar beat)
ฉันจะทำให้คุณสยบแทบเท้า เพราะรักฉัน!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 5

ตอนที่ 5

มันเป็นน้ำตาแห่งความคิดถึง ซึ่งซ่อนอยู่ในรูปของความเจ็บปวด!

สิบเอ็ดปีกับการไม่ได้เห็นหน้ากัน นับว่ายาวนานที่จะทำให้ใครต่อใครอาจลืม แต่สำหรับเธอ ความรู้สึกอันดีต่อสูรย์ มันเป็นความทรงจำที่ฝังหัวใจเธอให้จมอยู่กับการ ‘รอ’ ทั้งที่มันเป็นเพียงความว่างเปล่า แต่เธอก็ยังคงรู้สึกเช่นนั้นอยู่เสมอมา

‘พี่ไปไม่นานหรอก ทำไมปีถึงได้ขี้แยนักล่ะ’

หล่อนทอดถอนใจกับตัวเอง...นี่น่ะหรือ ที่บอกกันว่าไม่นาน แต่ที่ผ่านมา เธอไม่เคยได้รับการติดต่อจากเขาเลยสักครั้ง ทั้งที่ก่อนจะไปเรียนต่อที่อเมริกา เขารับปากกับเธอ

‘พี่สัญญา...พี่จะเขียนจดหมายมาหาปีทุกอาทิตย์’

แต่ ‘สัญญา’ นั้น มันเป็นเพียงแค่ลมปาก...ลมแห่งความเวิ้งว้าง ซึ่งผูกพันเอาหัวใจของเธอเป็นเครื่องบรรณาการ แต่เธอจะไปโทษใครกันเล่า ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายเดียวมิใช่หรือ ที่รู้สึก ‘พิเศษ’ เกินกว่าความเป็นพี่ชายกับน้องสาว ระหว่างเขากับเธอ

ความทรงจำอันปวดร้าวในวัยเด็ก ค่อยๆปรากฏชัดในมโนภาพ เมื่อตอนที่เธอเพิ่งย้ายตามมารดามาอยู่ที่เกาะมุกแก้วแห่งนี้ ด้วยวัยเพียงสิบสองปี เธอโตพอที่จะรับรู้ความเป็นไปของชีวิตก็จริง ว่าคุณชีวา ผู้เป็นบิดาฆ่าตัวตาย เพื่อ ‘หนี’ ปัญหาหนี้สิน โดยทิ้งเธอกับแม่ให้เผชิญกับความทุกข์ที่เหลืออยู่ตามลำพัง แต่เธอก็ไม่อาจรู้เรื่องราวอันซับซ้อนกว่านั้นได้เลย ว่าการตายของบิดามีเงื่อนงำ และการมาลงหลักปักฐานอยู่ที่เกาะแห่งนี้ มันไม่ได้เกิดจากความเต็มใจของมารดาเธอสักนิด แต่มันเกิดจากการบีบบังคับ

นางปราณีผู้เป็นช้างเท้าหลังตามสามีมาตลอด มีบทบาทในครอบครัวเป็นเพียงแม่บ้าน คอยปรนนิบัติสามีอย่างที่ภรรยาที่ดีพึงกระทำ เมื่ออ่อนต่อโลก จึงกลายเป็น ‘เหยื่อ’ ให้ผู้ที่ฉลาดกว่า ได้ตักตวงผลประโยชน์...ท่านหลงคารมเสี่ยสวัสดิ์ ผู้เป็นเพื่อนรักของสามี ได้ฝ่ายนั้นคอยช่วยเหลือ พลิกฟื้นธุรกิจของครอบครัว โดยหารู้ไม่ว่า เสี่ยสวัสดิ์มีเบื้องหลังแอบแฝง และการคิดคดของเพื่อนสามีรายนี้ มันกระจ่างชัดขึ้นตามวันเวลา

คุณชีวาตายไปไม่ถึงครึ่งเดือน ธุรกิจที่ล้มไม่เป็นท่า ได้เสี่ยสวัสดิ์เป็นผู้ที่กอบกู้ พลิกฟื้นให้มันคงอยู่...จากคำบอกเล่าของเขา ทำให้นางปราณีเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ เหมือนเรือน้อยลำหนึ่งที่ลอยคว้างกลางทะเล แล้วมีเรือลำที่ใหญ่กว่าเข้ามาเทียบ ช่วยชีวิตเธอกับลูกสาว จึงไม่แปลกที่ระยะหลัง ฝ่ายนั้นแนะนำสิ่งใด นางปราณีก็จะทำตามเสมอ

มารู้ตัวอีกที...ธุรกิจของครอบครัว ก็ถูกอีกฝ่ายฉ้อโกงไปเรียบร้อย...ทั้งที่ฝ่ายนั้นเองก็ไม่ใช่คนจนตรอก ไม่มีอันจะกิน แต่นางปราณีก็ไม่นึกว่า เขาจะกล้าฮุบธุรกิจของเธอกับสามีเป็นของตัวเองหน้าตาเฉย

แต่นั่น มันก็ยังไม่เท่ากับที่เสี่ยสวัสดิ์ทำลายชีวิตของนางปราณี ด้วยการรังแก ข่มเหง ฉกชิงอิสรภาพของแม่ม่ายยังสาว ด้วยการขืนใจ...

ปีวรานึกถึงตรงนี้ หัวใจของผู้เป็นลูกก็เจ็บช้ำเสียยิ่งกว่าถูกเอามีดกรีดลงบนผิวเนื้อ แล้วเอาเกลือทาจนแสบสันต์

ทำไมเรื่องราวสกปรกเช่นนี้ มันจึงถูกซ่อนซุกอยู่กับมารดามายาวนานตั้งสิบกว่าปี โดยที่เธอไม่เคยระแคะระคายเลย...และมันเลวร้าย อย่างที่เธอไม่เข้าใจมารดาเช่นกัน ว่าทำไมท่านถึงต้อง ‘ทน’ อยู่กับความเจ็บปวดแบบนี้

แล้วการต้องมาอยู่ที่นี่ ผลพวงของความเจ็บปวด มันคือการที่หัวใจของเธอตกหลุมรัก ‘พี่ชาย’ ผู้ที่ใครๆบนเกาะแห่งนี้ ต่างรู้จักกันดี ว่าเขาคือทายาทหนุ่มเพียงคนเดียว ของฟาร์มไข่มุกชื่อดัง

ในตอนนั้นเธออายุสิบสอง...สูรย์อายุสิบห้า ด้วยวัยไล่เลี่ยกัน ทำให้ความสนิทสนมก่อตัวขึ้นแบบเงียบๆ ต่อหน้าผู้ใหญ่ ทั้งคู่ได้แต่ปฏิบัติตัวนิ่ง ไม่เคยแสดงความรู้สึกต่อกัน ทว่า...เมื่อมีโอกาสหลายครั้งที่ได้อยู่กันสองต่อสอง การเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาว สอนให้เธอเองได้รู้ว่า เขาคือผู้ชายที่ ‘พิเศษ’ สำหรับเธอคนเดียว

ธรรมชาติสอนให้เธอคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าสูรย์คือผู้ชายที่โอบอ้อมอารี ใจดี คอยช่วยเหลือแบ่งปันความทุกข์ของเธอ เหมือนครั้งหนึ่งที่เธอแอบมานั่งร้องไห้อยู่คนเดียว ภายใต้ร่มเงาความโปร่งสูงของทิวมะพร้าว เขาก็ยังตามมาเจอ

‘แอบมาร้องไห้ขี้มูกโป่งอีกแล้ว...โตจนจะขึ้นมัธยมปลายอยู่แล้วนะ’ เขาพูดแบบมีหลักการ ดูโตกว่าอายุจริง ทั้งที่เขาเองก็เพิ่งจะขยับชั้นเรียนมัธยมปลายได้แค่ปีเดียว

เธอจำได้ว่า...เขาส่งกำลังใจในครั้งนั้นให้ ด้วยการนำดอกเข็มมาร้อยต่อกันเป็นพวง พอที่จะสวมคาดศีรษะ แม้มันจะไม่มีราคาค่างวด เป็นดอกไม้ที่ขึ้นอยู่เป็นกอข้างบ้าน แต่เขากลับจำความเพ้อเจ้อของเธอตามประสาเด็กผู้หญิงได้ เมื่อครั้งหนึ่งเธอเคยบอกว่า เธออยากเป็นเหมือนเจ้าหญิงในนิทาน มีดอกไม้มาสวมแทนมงกุฎ

เรื่องเล็กๆ...ทีละเรื่องสองเรื่อง ค่อยๆร้อยเรียงไม่ต่างไปจากดอกเข็มเหล่านั้น จนมันสะสมกลายเป็นวงขนาดใหญ่อยู่ในใจเธอ

แต่แล้ว โชคชะตากลับเล่นตลก ให้เขาต้องพรากจากกัน เมื่อคุณนายใหญ่ ผู้เป็นแม่ของสูรย์ ออกคำสั่งให้เขาย้ายไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ โดยอาศัยอยู่กับญาติทางโน้น...การจากกันโดยไม่ทันตั้งตัว มันคือความทรมาน แต่เธอเล่า จะสามารถเอ่ยถ้อยความในใจได้อย่างไร ในเมื่อฐานะที่ทุกคนมอบให้เธอกับเขา ความเป็นลูกเลี้ยงที่นายหัว ผู้เป็นบิดาของสูรย์ให้ยึดถือคอยค้ำขวางความสัมพันธ์ในหัวใจ ก็คือความเป็นพี่น้องกัน

ซ้ำร้าย การไปอเมริกาครั้งนั้น เขาไม่เคยมีโอกาสได้กลับมาเยือนที่แห่งนี้อีกเลย มีเพียงแต่เสี่ยสวัสดิ์กับคุณนายใหญ่เป็นฝ่ายเดินทางไปเยี่ยมเยียนเขา

เธอจึงได้แต่รอคอย...ด้วยความเจ็บปวดตลอดมา

มันนานเสียจนเธอนึกไม่ออกแล้วด้วยซ้ำว่าตอนนี้ เด็กหนุ่มซึ่งตัวผอมกะหร่อง ตัดผมเกรียน ใส่แว่นหนา ในปัจจุบัน เขายังคงเอกลักษณ์เดิมหรือไม่...และเมื่อคิดกลับกัน เขาเองก็คงจำเธอไม่ได้เช่นกัน ในเมื่อสมัยยังเป็นเด็กหญิง ช่วงนั้นเธอไว้ผมหน้าม้า ตัดสั้นแค่ติ่งหู และจัดฟัน แถมร่างกายยังหนักไปทางเจ้าเนื้อ ติดจะอวบเสียด้วยซ้ำ

นี่เธอกำลังคาดหวังสิ่งใดกันนะ...

ความคิดของปีวราหยุดลงฉับพลัน เมื่อมีเสียงเรือเร็วแล่นเข้ามาจอดเทียบท่า บริเวณปลายสะพานไม้ที่ทอดยาวออกไป เธอจึงเพิ่งสังเกตรอบตัว ในเวลานี้ฟ้าได้ผลัดสีจากครามเป็นมืด แสงจันทร์ที่ลอยเด่นสีนวลกระจ่างชัดกว่าเก่า แถมหมู่ดาวที่โรยตัวเคลื่อนคล้อยมารวมตัวกันมากขึ้น

เสียงเรือเร็วแล่นออกไปแล้ว แต่เธอกลับยืนสังเกตสังกายังจุดเดิม จนกระทั่งเห็นร่างสูงโปร่งของใครคนหนึ่งกำลังเดินจากปลายสะพานเข้ามา...แม้จะมืดมองไม่ถนัดตานัก แต่แสงจากดวงจันทร์สว่างพอที่จะกระทบให้เห็นเสี้ยวหน้าความคมเข้มของฝ่ายนั้น

เธอจำเขาได้แม่นยำ!

ผู้ชายที่ข่มเหงเธอเมื่อคืนนี้ ไม่ผิดตัวแน่...เท้าไวกว่าความคิด จึงก้าวเดินกึ่งวิ่ง ย่ำผ่านรอยทรายมุ่งตรงไปยังผู้ชายคนนั้น โดยไม่ได้นึกกลัวเกรงแต่อย่างใด

หญิงสาวปรี่ไปถึงตัวเขา ต่างฝ่ายต่างหยุดชะงักค้างอยู่กับที่ ยืนประจันหน้ากันห่างสองช่วงตัว ในใจเธอเดือดปุดๆ ไม่นึกว่าจะมาพบหน้าเขาที่นี่

“แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...ไอ้...”

......................................................................

คำพูดด่าทอจุกอยู่ที่ปลายลิ้น มันอัดแน่นอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเห็นอีกฝ่ายตีสีหน้าเรียบเฉย ทำให้ความฉุนจัดมันทบทวีคูณ

“ผมต่างหาก น่าจะเป็นฝ่ายถามคุณก่อนด้วยซ้ำ ว่าทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

หญิงสาวนึกว่าเขายียวน จึงโพล่งคำที่อึดอัดแต่แรกออกไปว่า “คุณเป็นใครกันแน่...หรือว่าคุณแอบตามฉันมาจากกรุงเทพฯ”

ได้ยินเสียงเขาหัวเราะลงคอเล็กน้อย ก่อนจะแย้มยิ้มออกมาชนิดที่มองแวบเดียวก็รู้ว่ามันคือยิ้มเหยียดแกมขบขัน เท่ากับเป็นการตอกย้ำทางสีหน้าเขาให้เธอชาวาบ

“คุณดูละครมากไปหรือเปล่า คนอย่างผมนี่นะ ที่จะถ่อตามคุณมาถึงที่นี่...” เขาขยับขามาอีกก้าว ขณะที่เธอเองเป็นฝ่ายถอยออกไปอีกหนึ่งก้าวเช่นกัน “คุณคิดว่าผมพิศวาสกับเรื่องเมื่อคืน อย่างนั้นล่ะสิ”

พูดถึงชนวนเหตุ ควันแทบออกหู เหมือนกับเขาเป็นฝ่ายเอากิ่งไม้ไปเขี่ยกองไฟที่ใกล้มอด ทำให้เธอของขึ้นทันควัน “ในหัวคุณมันคิดแต่เรื่องสกปรก เป็นผู้ชายมักง่าย รังแกผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ด้วยวิธีที่เห็นแก่ตัวที่สุด ฉันเองไม่เคยนึกเลย ว่าชาตินี้จะต้องมาพบเจอผู้ชายที่ชั่วช้าอย่างคุณ”

เมื่อด่ากราดออกไปบ้าง อารมณ์คุกรุ่นในใจปีวราเหมือนจะทุเลาลงเล็กน้อย เพราะความอัดอั้นมาตลอดทั้งวัน มันกำลังสั่งสมให้เธอเกิดความขึ้งเครียด และผลจากความบาดหมางใจนั้น ทำให้เธอเองลืมนึกถึงเรื่องที่สูรย์กลับมาจากต่างประเทศเสียสนิท ทำให้ไม่ได้เอะใจเลยสักนิด ว่าผู้ชายตรงหน้าที่เธอกำลังต่อล้อต่อเถียง มีเค้าเดิมของคนที่เธอเคยฝากความรู้สึกไว้หรือไม่

“ผมยอมรับ ว่าเรื่องเมื่อคืน มันเป็นสิ่งที่อาจเห็นแก่ตัวสำหรับผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่อาจทนกับความเร่าร้อน ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเป็นฝ่ายเรียกร้องได้...แต่ความเป็นจริง คุณน่าจะขอบใจผมมากกว่านะ เพราะถ้าไม่ได้ผมช่วยคุณไว้จากผู้ชายคนนั้น...”

เขาพูดยังไม่ทันจบ หญิงสาวก็ถลันเข้าไปถึงตัวเขา ฟาดฝ่ามือตวัดหน้าชายหนุ่มเต็มแรง “คุณมันมักง่าย เห็นแก่ตัวที่สุด...ฉันไม่ได้นึกขอบใจคุณหรอกนะ กับการที่คุณบอกว่ายอมรับผิด เพราะถ้อยคำของคุณมันบอกให้ฉันเห็นธาตุแท้ในตัวคุณมากขึ้น ว่าคุณมันก็เป็นผู้ชายประเภทที่ไร้มนุษยธรรม ขาดความรับผิดชอบ เป็นพวกขยะสังคม...มีอย่างที่ไหน มากล่าวหาว่าฉันเป็นฝ่ายให้ท่า แล้วยังมีหน้ากุเรื่อง โยนความผิดให้คนอื่นอีก”

หญิงสาวระบายความรู้สึกอึดอัดออกมาเป็นชุด ขณะที่ดวงตาเริ่มแดงก่ำ มีน้ำใสเอ่อคลอขึ้นมา...โดยที่ฝ่ายชายนั้นหุบปากสนิท มีแววเคร่งขรึมมากขึ้น

เขาขยับเท้าเข้ามาอีกก้าว หลังจากปล่อยให้เธอพรั่งพรูความรู้สึกมาเป็นชุด โดยสัญชาตญาณของลูกผู้หญิง เห็นดังนั้นจึงถอยเท้าก้าวห่าง ความกลัวเริ่มบังเกิด หลังจากได้ปลดปล่อยความรู้สึกออกไป เพราะเธอเองก็ยังไม่รู้หัวนอนปลายเท้าว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน ดังนั้นเมื่อเธอตบหน้าเขาเต็มรัก มันอาจส่งผลให้เขาบันดาลโทสะเข้ามาทำร้ายเธอก็เป็นได้

ผู้ชายสมัยนี้...รู้หน้าไม่รู้ใจ ต่อให้หน้าตาดี แต่งตัวดี มีการศึกษาดี แต่บางราย สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นเพียงเปลือกห่อหุ้มเอาความสมบูรณ์ไว้ภายใต้รูปทอง ดังเช่นที่เธอกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจตอนนี้

เขาก้าวมาจนเกือบถึงตัวเธอ “ผมจะรับผิดชอบกับเรื่องเมื่อคืนก็ได้ ถ้าคุณต้องการ”

เธอไม่คิดหรอกว่าจะเรียกร้องสิทธิ์อันชอบธรรมด้วยวิธีนี้...เพราะแต่เดิม เธอคิดว่าถ้าสืบพบเจอเขาเมื่อไหร่ เธอจะหาหนทางวิธีการเอาคืนความคับแค้นใจครั้งนี้อย่างสาสม แล้วเรื่องอะไรที่เธอจะต้องเอาชีวิตทั้งชีวิตไปผูกมัดกับ ‘อุบัติเหตุ’ ทางกายที่เปรียบเสมือนรอยแผลนั้น

“คุณเป็นใคร ถึงจะมาสมอ้างรับผิดชอบเรื่องเมื่อคืน...อย่าคิดนะ ว่าคนอย่างฉัน จะเรียกร้องให้คุณรับผิดชอบ ด้วยวิธีการโง่ๆ แต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างคุณ”

เมื่อเอ่ยถึงความไม่รู้จักกันมาก่อน จู่ๆความเคยคุ้นที่ผ่านมาแวบหนึ่งราวกับสายลมพัด มันกลับมากระทบความรู้สึกเธออีกครั้ง เมื่อได้จ้องตาของชายหนุ่มตรงหน้าแน่วนิ่ง...หลายสิ่งในตัวผู้ชายตรงหน้าแปรเปลี่ยนไป จนเธอจำเขาไม่ได้สักนิด ทว่าในดวงตาสีดำสนิท กลับมีแววห่วงใยแบบที่เธอเคยรู้สึกกับ ‘พี่ชาย’ มาก่อน อย่างที่เธอก็บอกไม่ถูก

“ตกลงคุณเป็นใครกันแน่...แล้วมาทำไมที่นี่”

เธอถามเสียงสั่นพร่า ด้วยความคาดหวังบางอย่าง ว่าผู้ชายตรงหน้าคงจะไม่ใช่ใครคนหนึ่งที่เธอรอคอยมาตลอดสิบเอ็ดปี แล้วคำพูดของเขาก็ทำให้เธอเดือดดาล ลบความหวังในใจจนริบหรี่

“ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ ว่าผมเป็นใคร คุณรู้เอาไว้แค่ว่า ต่อไปนี้ ผมจะกลับมาอยู่ที่นี่”

เธอเหลืออด ขี้คร้านมาต่อปากต่อคำเช่นนี้ จึงย้อนกลับ “ฉันเองก็ไม่อยากรู้นักหรอก ว่าคุณจะเป็นใคร...แต่คุณรู้เอาไว้เลย ถ้าคุณคิดจะมาอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้ คุณจะอยู่ไม่เป็นสุขแน่”

เขาหรี่ตา แม้ในความมืด ยังเห็นได้ว่าประกายมันส่งแสงท้าทาย “ทำไม...ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างคุณ จะทำอะไรผม...หรือว่าแค่ปากพูดอย่าง แต่ใจคิดอีกอย่าง จริงๆแล้วคุณอยากจะชวนผมไปรื้อฟื้นเรื่องเมื่อคืนนี้ ก็เลยทำเป็นพูดยั่ว...อย่างนั้นใช่ไหม”

เขาจงใจทอดเสียงยั่วโมโหเธอ และมันก็ได้ผล เมื่อต่อคำไปว่า “ฉันไม่มีวันคิดแล้วก็ทำตัวได้สกปรกแบบคุณแน่...ส่วนเรื่องเมื่อคืนนี้ ฉันถือว่าทำทาน”

เขานิ่วหน้า เข้มเครียดลงฉับพลัน ย่างสามขุมมาถึงตัวอย่างเร็ว เผลอคว้าตัวเธอกระชากเข้ามาใกล้จนร่างแนบชิดกัน ส่งเสียงลอดไรฟันเป็นเชิงแหย่

“ถ้าอย่างนั้นก็ทำทานผมด้วยจูบอีกสักครั้งละกัน...ก็ดี ผมชอบของฟรี”

ชายหนุ่มปฏิบัติการอย่างพูด ด้วยการเหวี่ยงมือข้างหนึ่งไปรุนศีรษะเธอเข้ามาใกล้ แล้วประกบริมฝีปากลงอย่างหนักหน่วง ทว่าความหักดิบในการจูบของเขาไม่อาจทำให้เธอเคลิ้มคล้อยตาม ดังนั้นเมื่อเธอตั้งสติได้ จึงขืนตัวเต็มเหนี่ยว สะบัดออกอย่างแรง

“ไอ้คนฉวยโอกาส...” เธอด่าเขาทั้งที่หัวใจเต้นโครมครามออกมานอกทรวง พลางถอนเท้าหนี อารามว้าวุ่นใจทั้งโกรธทั้งกลัว ทำให้เธอไม่ได้รู้เลยว่าบัดนี้ปลายรองเท้าที่สวม ได้ถอยร่นมาจนสุดทางเสียแล้ว

เธอจึงทรงตัวไม่อยู่...หงายหลังตึง!

ด้านล่างเหมือนมีแรงดึงดูดจากน้ำทะเลสีเข้ม กำลังกระชากเอาร่างของเธอให้ดิ่งลง และสิ่งที่เธอเห็นเบื้องหน้าคือท้องฟ้ากว้างสีดำ ถักทอด้วยดาวดวงเล็ก มือสองข้างคว้าไขว่หาที่ยึดเหนี่ยว ความอึกอักในลำคอตีบตันอยู่นาน กว่าที่จะเปล่งเสียงร้องตะโกนออกไปดังลั่น

“ว้าย!!”

ไม่ทันเสียแล้ว...ร่างเธอผงะหงายลง กระแทกแผ่นน้ำเสียงดังโครมใหญ่ จนผืนน้ำรอบตัวแตกกระจายเป็นวงกว้าง แล้วความมืดดำของท้องทะเลก็สูบร่างของเธอให้จมลึก มวลน้ำพรูเข้าทุกส่วนที่เธอหวังสูดอากาศเข้าไปหายใจ

.................................................................

ความเย็นเฉียบของน้ำทะเลยามค่ำ บาดลึกเข้าไปปะปนกลับความหวาดกลัวในจิตใจ...เมื่อภาพหลอนในวัยเยาว์ผุดขึ้น...ครั้งกระโน้น เธอก็เคยตกน้ำเช่นนี้ แม้ว่าจะว่ายน้ำเป็น แต่ก็ไม่คล่องนัก กอปรกับเกิดตะคริว จึงทำให้ครั้งนั้นตัวเธอเกือบจะจมน้ำอยู่แล้วเชียว โชคดีที่รอดชีวิตมาได้ เพราะความช่วยเหลือของคนที่เธอเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’

แล้วครั้งนี้เล่า...ในความมืดดำใต้สายน้ำ เพียงชั่ววินาทีที่เธอทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ เธอจึงตะโกนเรียกออกไปอย่างลืมตัว

“พี่สูรย์ ช่วยปีด้วย...ช่วยด้วย”

เสียงน้ำแตกกระเซ็นอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อผู้ชายที่ยืนเสวนากับเธอเมื่อครู่กระโจนตามลงมา แล้วว่ายเข้ามาถึงตัว ตรงเข้าประคองร่างของเธอในน้ำอย่างผู้รู้หลักการช่วยคนจมน้ำ ด้วยความตกตะลึง ไม่ทันตั้งตัว มือสองข้างของเธอจึงคว้าแหล่งยึดเกาะอย่างสะเปะสะปะ คว้าลำตัวของอีกฝ่ายได้ จึงเหนี่ยวรั้งเอาไว้แน่น ลืมเสียสนิทว่าเขาคนนี้มิใช่หรือ ที่เธอเกลียดขี้หน้า

พอตั้งสติได้ ขณะลอยตัวอยู่ในน้ำ ปีวราจึงปล่อยมือข้างหนึ่งลูบเส้นผมซึ่งเปียกม่อลอกม่อแลกปรกดวงหน้า ไล่หยาดน้ำที่เกาะพราวจนบังม่านตา ครั้นเห็นหน้าฝ่ายนั้นถนัดถนี่ จากแสงจันทร์เสี้ยวรางๆ เธอจึงพยายามจะรุนร่างของเขาให้ออกห่าง

“คุณปล่อยฉันนะ...ฉันช่วยตัวเองได้”

แทนที่ชายหนุ่มจะทำตามที่บอก กลับกอดเธอเสียแน่นขึ้น คล้ายกับฉวยโอกาสหรือไม่ก็จงใจยั่ว และพฤติกรรมเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เนื้อต่างแนบเนื้อ เธอรู้สึกได้ทันทีว่าเสื้อผ้าซึ่งสวมใส่ทั้งสองฝ่าย ยามเปียกน้ำจนลู่ผิวเนื้อ มันช่างบางเสียจนไม่อาจกั้นเสียงสะท้อนซึ่งเต้นผิดจังหวะอยู่ในโพรงอก จนไม่แน่ใจว่าเสียงที่ดังตึกตักนั้นเป็นของเธอฝ่ายเดียวหรือไม่

“เมื่อครู่คุณเรียกผมในน้ำว่าอะไรนะ...”

ดวงตาสีดำสนิท มีแววอ่อนโยนขึ้นมาแวบหนึ่ง...ไม่ต่างไปจากน้ำเสียงทุ้ม แม้ในยามที่สั่นพร่าเพราะความเย็นจากกระแสน้ำ...เขาจดจ้องเธอ ราวกับรอคำตอบ

“ฉันจะเรียกคุณว่าอะไร มันก็เรื่องของฉัน แต่ตอนนี้ปล่อยตัวฉันก่อน ฉันว่ายน้ำเป็น เมื่อครู่ฉันแค่ตกใจ...ตอนนี้ฉันจะว่ายน้ำเข้าฝั่งแล้ว”

เธอขยับแขนสองข้างขึ้นมากันลำตัว เมื่อรู้สึกว่าหัวใจตนเองระส่ำระสายมากขึ้น แต่กระนั้นปลายเท้าซึ่งขยับไปมากลับไม่เป็นใจ เพราะบังเอิญไปเกี่ยวกระหวัดเข้ากับขาของอีกฝ่ายอย่างไม่ตั้งใจ มันยิ่งทำให้รู้สึกได้ว่า สีหน้าเธอมีเลือดฝาดระเรื่อ

“ถ้าคุณไม่ยอมบอกว่าเรียกผมว่าอะไร ผมก็จะไม่ปล่อยคุณ”

เขาจงใจกระชับวงแขนที่โอบรอบลำตัวเธอแน่นขึ้นอย่างถือวิสาสะ ด้วยอาศัยความรู้สึกบางอย่างของการแสดงตัวว่าเป็นเจ้าของ โดยที่เธอเองไม่อาจรู้ความนัยนั้นได้เลย...แต่ยิ่งแน่น เธอก็ยิ่งขัดขืน มือกำหลวมๆทุบลงไปบนลำตัวอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนเขากลับชอบใจ

“ทุบแรงๆเลยก็ได้ ผมไม่ถือสา”

“ซาดิสม์...ถ้าฉันหลุดไปได้ ฉันจะบอกคนบนเกาะให้มาจับตัวคุณไว้ ถึงเวลานั้นฉันจะเอาคืนให้สาสม”

เขาหัวเราะในลำคอ ไม่ได้มีท่าทีน่ากลัวอย่างที่เธอคิดแต่แรก กลับมองเธอด้วยความสุขุมลุ่มลึก ลูกนัยน์ตาพราวระยิบไม่ต่างไปจากดาวดวงเล็กที่ทอแสงบนผืนฟ้า

“คุณดูละคร หรือไม่ก็อ่านนิยายเพ้อฝันมากไป...ทำยังกับว่า จะจับตัวผมไปคุมขังไว้ในกระท่อม เหมือนละครเรื่องอะไรน้า...” เขาทอดเสียงยียวน พลางทำท่านึกไปด้วย

ทว่าเธอไม่ได้ขบขันหรือนึกสนุกไปตามเขา...กลับรู้สึกว่ายิ่งอยู่ในวงแขนเขานานมากเท่าไหร่ หัวใจเธอนั่นล่ะ ที่จะเป็นฝ่ายกระเจิดกระเจิงมากขึ้นเป็นทวีคูณ จึงไม่คิดต่อล้อต่อเถียง ทอดเสียงอ่อนอย่างยอมจำนน

“คุณปล่อยฉันไปเถอะ...ฉันหนาวแล้ว”

แววตาเขาตริตรองเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นคุณก็บอกผมมาสิ ว่าคุณเรียกผมว่าสูรย์...ใช่ไหม...คุณรู้จักเขาด้วยหรือยังไงกัน”

เมื่อสิ้นคำถาม หญิงสาวแอบนึกในใจว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เซ้าซี้ ถามสิ่งเดิมๆอยู่ได้ แต่คนอย่างเธอ ก็ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นใด ที่จะต้องพูด

“ถ้าอย่างนั้น เอียงหูมาใกล้ๆ แล้วฉันจะบอก”

ขณะที่เขาเผลอตัว โน้มศีรษะเข้ามาใกล้ แล้วเอียงหูไปตามคำขอ...เธอจึงใช้ช่วงเวลานั้น กัดเข้าที่ใบหูเขา ถึงจะไม่แรงเพื่อหวังผลให้มันขาดวิ่น แต่มันก็ทำให้ร่างแข็งแกร่งซึ่งโอบตัวเธออยู่ถึงกับคลายวงแขนออกหลวมๆ พร้อมกับส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

เธอจึงใช้แรงที่พอหลงเหลือ ผลักร่างของเขาออก รีบวาดแขนจ้ำไปข้างหน้าเพื่อเข้าฝั่งให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือน เขาเองก็ไม่ยี่หระ ว่ายน้ำตามเธอมาติดๆ

เมื่อขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล ปีวราไม่มีเวลาคิด ตั้งใจจะกลับไปที่บ้านเพื่อตั้งหลัก แล้วบอกกับคนในบ้านให้ย้อนมาจับกุมตัวผู้ชายคนนี้ทีหลัง เพราะเชื่อว่า ถ้าจะจับตัวเขาเพื่อมาไต่ถามถึงจุดประสงค์ของการมาเยือนที่นี่ ว่าเป็นใคร มาจากไหน คงจะไม่ยากเย็น

แต่ดูเหมือนความคิดอันกระท่อนกระแท่นนั้นก็ต้องหยุดลงฉับพลัน เมื่อรู้สึกตัวว่าเท้าที่กำลังก้าวมันหนักเสียจนขยับยากเย็น และมันกำลังจะเสียการทรงตัว เมื่อถูกผู้ที่วิ่งตามหลังมา โถมน้ำหนักทั้งหมด เพื่อจะคว้าร่างของเธอเอาไว้

สุดท้ายก็ล้มลงทั้งคู่ บนผืนทรายละเอียด....โดยที่น้ำหนักของฝ่ายชายทิ้งตัวลงมาทาบทับบนแผ่นหลังของเธอในท่านอนคว่ำ ครั้นเธอขัดขืน จะพลิกตัวเพื่อหลีกหนีจากอาการ ‘กดทับ’ ในท่านี้ แต่มันก็ไม่ง่ายนัก เมื่อพลิกร่างมาได้จริง แต่เธอก็ไม่สามารถถอนตัวไปจากร่างของเขาได้

กลายเป็นว่ายามนี้ เธอกำลังนอนหงาย แผ่นหลังทาบอยู่บนเม็ดทราย โดยที่ร่างสูงของเขานอนคว่ำทาบอยู่ข้างบน...โลกทั้งใบเหมือนจะไร้การเคลื่อนไหว เข็มนาฬิกาเหมือนจะหยุดเดิน ไม่มีสรรพเสียงใดทั้งลมทะเล ทั้งเสียงหวีดหวิวของกิ่งไม้น้อยใหญ่ มีแต่เสียงของ ‘หัวใจ’ ซึ่งเธอไม่อาจหักห้ามมัน

แล้วความนิ่งเฉยของเธอ ก็ทำให้เขาฉวยโอกาส ยันแขนขึ้น เพื่อยกช่วงตัวด้านบนออกห่าง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโน้มใบหน้าลงมา “คุณกัดหูผม...ผมจะเอาคืน”

“ฉันจะร้องตะโกนให้คนมาช่วย”

เธอเปล่งเสียงออกไป ด้วยความคิดที่ไม่เข้าที่เข้าทางนัก...เสียงนั้นเหมือนลอยออกไปโดยที่สมองมิได้สั่งการ และคล้ายจะอ่อนกำลังลง โดยที่ไม่ได้ขัดขืนในวินาทีถัดมา เมื่ออีกฝ่ายรุกคืบอีกครั้ง ซึ่งไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ด้วยการก้มหน้า ประกบริมฝีปากอย่างย่ามใจ

จนเธอเคลิ้มคล้อย...ปล่อยหัวใจลอยคว้าง

................................................................




พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ย. 2555, 19:04:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 พ.ย. 2555, 19:04:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1344





<< ตอนที่ 4...100%   ตอนที่ 6 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account