ชื่นหัวใจ กลิ่นอายรัก
เศร้า เคล้า โรแมนติก
Tags: โรแมนติกดราม่า

ตอน: ตอนที่ 2/3

“ว้าย ตายแล้ว!” แม้นวาดอุทานออกมาเสียงดังเมื่อหล่อนเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี ทว่าเธอมาไม่ทันได้อธิบายอะไรให้ลูกสาวตัวดีของเธอฟังเสียแล้ว เมื่อคนที่พ่อเลี้ยงฝากให้มาดูแลตอนนี้สลบไปเสียแล้ว
“ยะอะหยังลงไปฮู้ตั๋วก่อ แม่ใบบั๋ว” แม้นวาดเดินมาดุพร้อมกับหยิกลูกสาวตัวเองจนเนื้อแทบหลุด ใบบัวร้องโวยวายออกมาเสียงดังพร้อมกับสะบัดแขนหลุดจากผู้เป็นแม่
“โอ๊ย แม่ บัวเจ็บนะ ยะหยังแม่ต้องหยิกบัวโต้ย แม่หญิงคนนี้เปิ้นเป็นไผก็บ่อฮู้ ท่าทางบ่น่าไว้ใจ๋ บัวก็แค่จะไล่เปิ้นไปก็เท่านั้นเอง แต่เปิ้นจะทำร้ายบัว บัวก็เลยป้องกันตั๋ว” ใบบัวพูดอย่างไม่แยแสอะไรนัก ทำให้แม้นวาดนึกหมั่นใส้ในความมุทะลุของลูกสาวที่ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“โอย ฉันอยากจะเป็นลม นี่นังใบบัวแกฮู้ก่อว่าเปิ้นเป็นใผ”
“แล้วเปิ้นเป็นไผล่ะแม่”
“เปิ้นเป็นแขกของป้อเลี้ยง!”
สิ้นคำบอกของแม้นวาด ทำเอาใบบัวแทบทรุดลงทันที ก่อนหันไปมองสาวน้อยร่างบางที่นอนสลบไม่ได้สติเพราะฝีมือเธอ ก่อนจะหันมามองหน้าผู้เป็นแม่อย่างไม่น่าเชื่อ

เข็มนาฬิกาชี้บ่งบอกเวลาอย่างเช่นเคย แม้นวาดแหงนหน้าดูก็พบว่าเข็มสั้นนั้นชี้ไปตรงเลข สิบแล้ว แต่สาวน้อยหน้ามนคนงามก็ยังไม่ฟื้นสักที หล่อนยังคงนอนหลับตาอยู่บนที่นอนหนาแต่ไม่ค่อยนุ่มเท่าไหร่ เพราะนี่คือห้องนอนของแม้นวาดนั่นเอง หลังจากที่ไล่ใบบัวแม่ลูกสาวตัวดีให้ไปช่วยงานในไร่แล้ว แม้นวาดก็รีบจัดแจงทำแผล เช็ดเนื้อเช็ดตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับพิชชาอร ด้วยนึกสงสารเธอยิ่งนัก ไม่รู้หลงทางมาจากไหน ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ แถมยังต้องมาโดนฤทธิ์แม่ลูกสาวตัวแสบของเธออีก ดูซิ หน้าผากข้างซ้ายมีบาดแผลกระแทกขอบโต๊ะจนได้เลือดสลบไปตั้งนานแล้วยังไม่ฟื้นสักที
หลังจากเพ่งพิศใบหน้าที่งามหมดจดนั้นอยู่พักหนึ่ง แม้นวาดก็เห็นว่าร่างของหญิงสาวนั้นเริ่มมีการเคลื่อนไหว
ขนตางอนหนานั้นเริ่มขยับถี่ๆ ในที่สุดเปลือกตาก็เริ่มเปิดขึ้น และภาพแรกที่พิชชาอรได้เห็นนั้นก็คือ ใบหน้าเปื้อนยิ้มของหญิงวัยกลางคนที่เธอเพิ่งรู้จักนั่นเอง
พิชชาอรละสายตาจากแม้นวาดแล้วค่อยๆหันไปมองรอบกายอย่างมึนงง ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกหนักอึ้งในหัวพร้อมกับปวดแปล๊บขึ้นมาทันที
“นี่ห้องของป้าเองจ้ะ หนูจำได้ไหม หนูล้มหัวฟาดโต๊ะแล้วสลบไปน่ะ ป้าก็เลยพามานอนในนี้” แม้นวาดอธิบายให้หญิงสาวฟัง พิชชาอรได้ฟังแล้วพยักหน้าเบาๆเป็นการรับรู้ ก่อนก้มลงสำรวจร่างกายตัวเอง ก็พบว่าเธออยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีขาวทรงกระบอกแบบเดียวกับที่แม้นวาดสวมใส่
“ป้าเช็ดตัวแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้หนูด้วยน่ะ หวังว่าหนูคงไม่ว่านะ ป้าเห็นว่าชุดที่หนูใส่มามันมอมแมมมากน่ะจ้ะ” แม้นตอบโดยที่ไม่ต้องถามเพราะรู้ว่าพิชชาอรต้องสงสัยแน่นอนว่าหล่อนสวมชุดนี้ได้อย่างไร
“ขอบคุณป้ามากนะคะที่ช่วยดูแลหนู”พิชชาอรพูดพลางยกมือไหว้อย่างสวยงาม แม้นวาดยิ้มให้
“หนูชื่อทับทิมค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” พิชชาอรแนะนำชื่อของเธอให้รู้จักอย่างเป็นกันเอง เพราะเธอก็พอจะรู้ว่าหญิงตรงหน้านี้ชื่ออะไร
“จ้า ป้าชื่อแม้นวาดจ้ะ อ้อ ป้าเองต้องขอโทษแทนใบบัวลูกสาวของป้าด้วยนนะ ที่ทำไม่ดีกับหนูน่ะ ทำให้หนูต้องเป็นอย่างนี้” แม้นวาดพูดพลางมองที่หน้าผากมนของหญิงสาวที่มีร่องรอยของการทำแผลอยู่ พลางนึกถึงตอนที่ทำแผลให้เธอใหม่ๆ เลือดเธอออกมากพอดูเชียว
พิชชาอรนึกย้อนเหตุการณ์กลับไปทำให้เธอนึกถึงหญิงสาวที่ออกมาฉุดกระชากและพยายามจะขับไล่เธอให้ออกไปจากบ้านให้ได้ โดยที่ไม่ฟังอะไรเลย
“อ๋อ ผู้หญิงคนนั้นลูกสาวป้าเองเหรอคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรหรอก เป็นธรรมดาเพราะทับทิมเป็นคนแปลกหน้าและท่าทางมอมแมมไม่น่าไว้ใจมานั่งในบ้านของเธอ เป็นใครก็ต้องระแวง”
คำพูดของเด็กสาวตรงหน้าทำให้แม้นวาดรู้สึกตื้นตันใจไม่น้อย ขนาดถูกทำร้ายจนเจ็บตัวขนาดนี้เธอยังไม่โกรธ น่านับถือน้ำใจของหล่อนจริงๆ
“ว่าแต่หนูหลงทางมาจากไหนหรือจ๊ะ แล้วบ้านตัวเองอยู่ที่ไหนล่ะ” แม้นวาดถามหญิงสาวด้วยความสงสัยถึงที่มาของหล่อน
“อ๋อ คือ หนูถูกคนที่บ้านทำร้ายน่ะค่ะ ก็เลยหนีมา ” พิชชาอรตอบไปตามความจริง แม้นวาดตาโตอย่างไม่น่าเชื่อ
“จริงหรือลูก หน้าตาน่าฮักอย่างหนู ใผจะทำร้ายได้ลงจ๊ะ ยิ่งเป็นคนที่บ้านด้วย บ่น่าเชื่อเลย” พิชชาอรพยักหน้าช้าๆเนิบๆส่งเสริมคำพูดของเธอ หญิงสาวไม่ชอบการพูดโกหกอยู่แล้ว ไหนๆก็ไหนๆเธอจะพูดความจริงกับทุกคนที่ถามเธอก็แล้วกัน แม้ว่าความจริงที่เธอพูดมันจะเหมือนนิยายประโลมโลกก็ตาม แต่ยังไงมันก็คือความจริง ถึงแม้จะไม่ค่อยมีคนแชื่อก็เถอะนะ
“แล้วหนูมาเจอกับพ่อเลี้ยงอินได้ยังกันเจ้า” แม้นวาดถามต่อ พิชชาอรนึกถึงใบหน้าหล่อคม แต่ชอบเก็กของเขาขึ้นมา ชายคนที่เธอติดรถมาคงเป็นพ่อเลี้ยงของคนที่นี่สินะ
“หนูแอบหนีขึ้นรถกระบะเขามาน่ะจ้ะ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง นี่หนูโชคดีมากนะที่ได้มาเจอกับพ่อเลี้ยง นี่ถ้าไปเจอกับคนอื่นที่คิดไม่ดีล่ะก็ สวยๆอย่างหนูอาจไม่รอดก็ได้นะ” แม้นวาดพูดถึงเจ้านายของเธอด้วยความภูมิใจ พิชชาอรแอบเบะปากโดยที่ไม่ให้หญิงวัยกลางคนเห็น เนื่องพ่อเลี้ยงที่หล่อนว่านั่น พูดดูถูกเธอไว้อย่างร้ายกาจเชียว
“หนูหลับไปนานไหมคะ” พิชชาอรเริ่มถามถึงเวลาที่เธอมาอยู่ตรงนี้เพราะอยากรู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว และอีกอย่างเธอก็เริ่มหิวขึ้นมาแล้วด้วย
“ก็หลายชั่วโมงอยู่นะ อ้อ จริงสิ หนูคงหิวแล้ว ป้าเตรียมอาหารไว้ให้หนูแล้ว อยู่ในครัวแน่ะ ไปกินสิลูก ลุกไหวไหม” พูดจบแม้วาดก็ทำท่าจะเข้ามาประคองหญิงสาว พิชชาอรจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงเพื่อให้เธอรู้ว่าเธอสามารถลุกเดินไหว แม้นวาดจึงเดินนำหญิงสาวเข้าไปกินข้าวในครัว
เมื่อเข้าไปในห้องครัวที่จัดแยกเป็นสัดส่วนระหว่างมุมทำอาหาร กับมุมรับประทาอาหาร เมื่อเข้าไปถึงพิชชาอรก็มองหาโต๊ะเพื่อที่จะนั่งกินข้าวแต่ภายในห้องนั้นกลับไม่มีโต๊ะ หรือเก้าอี้สักตัว มีแต่เสื้อสีสดปูยาวๆอยู่ตรงกลางห้อง ไม่นานนักเธอก็เห็นแม้นวาดยกโต๊ะไม้เล็กๆกลมๆ ที่เธอพอจะรู้จักว่านั่นคือขันโตกที่ใช้จัดสำรับบอาหารของคนภาคเหนือมาวางไว้ตรงกลางเสื่อ ก่อนจะหันมายิ้มให้หญิงสาว
“เข้ามาสิหนู มากินข้าวกัน” แม้นวาดเอ่ยชวนหญิงสาว ก่อนจะค่อยๆนั่งลงพับเพียบข้างๆขันโตก พิชชาอรยืนงงอยู่สักพักหนึ่ง ด้วยความที่เกิดมาในชีวิตหล่อนไม่เคยกินข้าวกับพื้นอย่างนี้เลย เคยนั่งกินบนโต๊ะอาหารสุดหรูตลอด ถ้าจะให้เธอนั่งกินบนพื้นเสื่อแบบนี้เล่นเอาทำตัวไม่ถูกจริงๆ
“กินข้าวตรงนี้เหรอคะ” พิชชาอรถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แล้วเธอก็เห็นแม้นวาดพยักหน้าส่งมาให้เธอแทนคำตอบ ทำเอาหญิงสาวมึนไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปหาที่นั่งกินข้าวสไตล์ชาวเหนือ แล้วค่อยๆนั่งพับเพียบอยู่ข้างๆแม้นวาด
ทันทีที่นั่งลงพิชชาอรชื่นชมกับอาหารหน้าตาและสีสันที่แปลกๆที่เธอไม่เคยเห็น หญิงสาวพอจะเดาได้ว่าต้องเป็นอาหารพื้นบ้านของที่นี่แน่ๆ ยังไม่ทันหายตื่นตะลึงกับอาหารหน้าตาแปลกๆ พิชชาอรก็พบว่ามีกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่ทำด้วยวัสดุธรรมชาตินำมาสานกัน ภายในกล่องบรรจุข้าวเหนียวก้อนหนึ่งดูจากลักษณะแล้วขนาดพออิ่ม ถูกส่งมาให้หญิงสาวโดยมือของแม้นวาด พิชชาอรมองหน้าแม้นวาดอีกครั้งอย่างงงเล็กน้อย พลางคิดอยู่ในใจว่า
‘อย่าบอกนะ ว่าให้กินกับข้าวเหนียวนี่’
“รับไปสิเจ้า จะได้กินข้าวกัน” แม้นวาดเห็นสาวน้อยจ้องกล่องข้าวเหนียวอยู่นานโดยไม่หยิบสักที เธอจึงพูดขึ้น ทำให้พิชชาอรเริ่มรู้สึกเกรงใจหญิงวัยกลางคน ที่หล่อนดูแลเธออย่างดี อุตส่าห์หาข้าวให้กินอย่างนี้ถึงแม้จะเป็นอาหารท้องถิ่นที่เธอไม่คุ้นเคยก็เถอะ แต่เธอจะปฏิเสธน้ำใจของแม้นวาดได้อย่างไรกัน อีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้เธอก็หิวมากเสียด้วย
และแล้วมือขาวๆเล็กๆก็ค่อยเอื้อมไปรับกล่องข้าวเหนียวนั้นมาถือไว้อย่างจำเป็น พิชชาอรนั่งมองกล่องข้าวเหนียวนั้นอย่างครุ่นคิด ก่อนหันไปมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆเธอ ก็พบว่าหล่อนนั้นใช้มือเปล่าๆ ปั้นข้าวเหนียวจิ้มกับน้ำพริกหนุ่มในขันโตกแล้วใส่ปากไปเรียบร้อยแล้ว เล่นเอาพิชชาอรแทบผงะ ก็ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยกินข้าวเหนียวมือเปล่าอย่างนี้มาก่อนเลย
“มองทำไมเหรอหนู ไม่กินล่ะลูก” แม้นวาดสังเกตเห็นสาวน้อยที่มากับเธอนั่งมองอาหารโดยไม่เริ่มกินสักที จึงพูดขึ้น ทำให้พิชชาอรหันมายิ้มแห้งๆให้กับหล่อน ก่อนจะตัดสินใจพูดความรู้สึกจริงๆออกมา
“คือทับทิมไม่เคยกินแบบนี้มาก่อนเลยอ่ะค่ะ มันก็เลยทำตัวไม่ถูก” คำสารภาพอันใสซื่อของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าที่เริ่มย่นของแม้นวาดทันทีเพราะหล่อนพอจะรู้แล้วล่ะว่า หญิงสาวตรงหน้านี้ต้องไม่ใช่คนท้องที่ และไม่ใช่คนติดดินกระจอกๆแน่นอน อย่างน้อยบ้านเธอก็คงมีฐานะ เพราะสังเกตจากท่าทางและสีหน้าของเธอตอนที่ชวนมานั่งกินอาหารตรงเสื่อนี่ ท่าทางหยิบหย่งน่าดู
“คนที่นี่เขาก็กินแบบนี้แหละลูก แต่ถ้าหนูไม่ชอบข้าวเหนียวก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวป้าจะไปหุงข้าวเจ้าให้ รอแป๊บนึงนะ” ว่าแล้วแม้นวาดก็ทำท่าจะลุกขึ้น แต่แล้วก็ถูกพิชชาอรดึงไว้ด้วยความที่เธอรู้สึกเกรงใจอย่างมาก
“ไม่เป็นไรค่ะป้า หนูกินแบบนี้ก็ได้ค่ะ” แล้วพิชชาอรก็หยิบข้าวเหนียวมาปั้นหนึ่งโดยดูตัวอย่างการปั้นและการจิ้มจากแม้นวาด เธอทำตามทุกอย่างเลยเชียวไม่ว่าแม้นวาดจะหยิบจับอะไรเข้าปาก
หลังจากที่กินอาหารแบบชาวเหนือเสร็จเรียบร้อยแล้ว พิชชาอรก็ช่วยแม้นวาดเก็บถ้วยเก็บชามเพื่อนำไปล้างทั้งๆที่ไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองจะล้างจานได้หรือเปล่าเพราะเท่าที่จำความได้เธอเคยช่วยแม่นมล้างจานไม่กี่ครั้งเอง แต่แม้นวาดก็ได้ร้องห้ามหญิงสาวไว้เสียก่อนเนื่องจากไม่อยากให้หญิงสาวผู้เป็นคนที่พ่อเลี้ยงอินทัชฝากให้ดูแลต้องมาลำบากนั่นเอง
พิชชาอรจงได้แต่ยืนยิ้มหวานส่งกำลังใจไปให้แม้นวาด ก่อนจะค่อยๆเดินออกมาจากห้องครัวด้วยใจห่อเหี่ยว ด้วยไม่รู้ว่าเธอต้องทำตัวอย่างไรดี กับการที่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ ต้องอยู่กับคนที่ไม่รู้จัก ต้องจากคนที่เธอรักมาไกลเชียว จากนี้ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไรก็ไม่รู้เลย เมื่อคิดถึงคนที่เธอรักและคนที่รักเธอนอกจากพ่อแล้วก็ยังมีอีกหนึ่งคน ใช่สิ นมอ้วน! ป่านนี้นมอ้วนจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วหล่อนจะติดต่อกับแม่นมของเธอได้อย่างไร และเมื่อฉุกคิดเช่นนี้ขึ้นมาได้พิชชาอรก็รีบวิ่งแจ้นกลับเข้าไปหาแม้นวาดในครัวทันที
“ป้าคะ ป้าแม้นวาดคะ” แม้นวาดสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงที่ฟังดูลุกลี้ลุกลนของหญิงสาว ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
“มีอะไรรึหนู”
“ทับทิมขอยืมโทรศัพท์หน่อยค่ะ ทับทิมอยากโทรหาคนที่บ้าน” หญิงรีบพูดอย่างเร็วด้วยความร้อนใจ พร้อมส่งสายตาวิงวอนไปให้ผู้ที่เธอร้องขอ แม้นวาดจึงล้างมือจนสะอาดเพื่อละจากการล้างจานแล้วหันมาพูดกับหญิงสาว
“ป้าน่ะไม่มีหรอกโทรศัพท์น่ะ จะมีก็แต่ใบบัวลูกสาวป้า แต่ตอนนี้มันยังไม่เข้ามา” ได้ยินดังนั้นพิชชาอรคอตกขึ้นมาทันที ราวกับว่าฝันสลายลงแล้ว
“แต่ที่เรือนใหญ่ของพ่อเลี้ยงน่ะมีโทรศัพท์อยู่ หลายเครื่องเชียวล่ะ มาไปกับป้าเดี๋ยวป้าพาไปโทร” แม้นวาดพูดด้วยสีหน้ายินดี และนั่นก็สามารถเรียกรอยยิ้มแห่งความหวังของพิชชาอรขึ้นมาได้
แม้นวาดเดินนำหน้าพิชชาอรไปยังเรือนไม้หลังใหญ่ซึ่งเป็นที่พักอาศัยส่วนตัวของพ่อเลี้ยงอินทัช ซึ่งมีแม้นวาดคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้ามาได้โดยไม่ต้องขออนุญาติจากพ่อเลี้ยง
ระยะทางจากบ้านแม้นวาดมาถึงที่เรือนใหญ่ก็ไม่ไกลนัก แต่ด้วยความที่ไม่คุ้นชินกับทางที่นี่ทำให้พิชชาอรรู้สึกว่าไกลประมาณว่าเรียกเหงื่อได้ทีเดียว
กลิ่นหอมเย็นสดชื่นโชยมาแตะจมูกแต่ไกล หญิงสวาไม่แน่ใจเท่าใดนักว่านี่คือกลิ่นอะไร จะว่ากลิ่นดอกไม้ก็ไม่ใช่ กลิ่นผลไม้ก็ไม่ใช่อีก ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เรือนใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่กลิ่นที่ว่านี้ยิ่งส่งกลิ่นหอมรุนแรงขึ้น
“กลิ่นอะไรนะหอมเย็นๆ” พิชชาอรพึมพำกับตัวเองเมื่อเดินตามแม้นวาดมาถึงเรือนใหญ่ ทว่าแม้นวาดได้ยินเสียงพึมพำของเธอจึงตอบให้หายข้องใจ
“กลิ่นยูคาลิปตัสผสมเปบเปอร์มิ้นท์น่ะ” พูดจบพิชชาอรทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนจะทวนคำที่แม้นวาดพูดเบาๆ
“ยูคาลิปตัสผสมเปบเปอร์มิ้น”
“ใช่เจ้า คือพ่อเลี้ยงน่ะ ตอนเด็กๆเป็นหวัดบ่อย นายหญิงแม่ของพ่อเลี้ยงก็เลยหาน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติแบบนี้มาไว้ในบ้าน หลังจากนั้นพ่อเลี้ยงก็ไม่ค่อยเป็นหวัดเลยแล้วพ่อเลี้ยงก็ชอบกลิ่นหอมนี้ตั้งแต่นั้น” แม้นวาดอธิบายตั้งแต่เริ่มต้นถึงที่มาของกลิ่นหอมนี้ ทำเอาพิชชาอรอดคิดถึงหน้าพ่อเลี้ยงหน้าเข้มตอนเป็นหวัดขึ้นมาไม่ได้ คงจะตลกน่าดูเชียว
“อ้อ เหรอค่ะ อย่างนี้นี่เอง แต่กลิ่นนี้ก็หอมดี นะคะ คล้ายๆยาดมเลย” พิชชาอรตอบยิ้มๆ แล้วก็เดินตามแม้นวาดเข้าไปในเรือนไม้หลังนั้น
เมื่อได้เข้ามาในเรือนไม้อันเป็นที่พักอาศัยของนายใหญ่แห่งไร่บริรักษ์ศักดิ์ดา พิชชาอรสัมผัสได้ถึงความสะอาดภายใน และความเป็นธรรมชาติที่แฝงไว้ในเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นที่ทำหน้าที่ประดับตกแต่งให้เรือนไม้หลังนี้ดูแตกต่างจากบ้านที่เธอเคยพบเห็น ถึงแม้จะไม่หรูหราเทียบเท่าคฤหาสน์ของเธอที่กรุงเทพฯ แต่ที่นี่ก็มีความหรูแบบธรรมชาติและให้ความรู้สึกอบอุ่นทางใจอย่างบอกไม่ถูก
พิชชาอรสะดุดตากับกรอบรูบไม้แกะสลักเป็นลวดลายวิจิตรบรรจงขนาด A 4ใบหนึ่งที่ถูกวางไว้บนตู้โชว์เครื่องแก้วและแจกัน สีสันแปลกตา และบุคคลในภาพนั้นเธอคุ้นตาอย่างยิ่ง
“นั่นตาเข้มนี่นา หล่อเหมือนกันนะเนี่ย” พิชชาอรเรียกแทนพ่อเลี้ยงว่าตาเข้ม เพราะหน้าตาของเขาดูเข้มมากจริงๆ แต่เมื่อมองเขาผ่านรูปถ่าย ชายคนนั้นยิ้มให้กับกล้อง ดูแล้วเป็นกันเองมาก ไม่เหมือนกับตอนที่เถียงกับเธอเมื่อเช้านี้เลย อย่างกับคนละคน
“คุณหนูคะ นี่ค่ะโทรศัพท์” พิชชาอรละสายตาจากรูปถ่ายนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงแม้นวาด หญิงสาวหันมาสบตากับแม้นวาดพร้อมกับรับโทรศัพท์ไร้สายมาไว้ในมือ
“ขอบคุณค่ะคุณป้า” พูดจบหญิงสาวก็ไม่รอช้ารีบกดโทรศัพท์หมายเลขบ้านเธอทันที ทางด้านแม้นวาดนั้นรู้ดีว่าไม่สมควรอยู่ฟัง หล่อนจึงเดินหลีกออกมาเพื่อไปทำงานบ้านนายในครัวนั่นเอง
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น เรียกจังหวะการเต้นของหัวใจของเธอให้ถี่ขึ้นยิ่งดังนานโดยไม่มีคนรับสักทียิ่งทำให้เธอคิดหนัก ด้วยกลัวว่าจะมีคนที่เธอรักอีกคนจะเป็นอันตราย
“สวัสดีค่ะ บ้านวิริยะอนันต์ค่ะ” เสียงตามสายที่ดังขึ้นนั้นพิชชาอรจำได้ทันทีว่าเป็นใคร
“นมอ้วน! นมอ้วนนี่ทับทิมเอง อย่าพูดดังนะ นี่หนูเองค่ะ” พิชชาอรส่งเสียงไปด้วยความดีใจ อย่างน้อยเธอก็รู้สึกโล่งใจที่แม่นมที่เลี้ยงเธอมาตั้งแต่เด็กยังปลอดภัย
ทางด้านแม่นมอ้วน เมื่อได้ยินเสียงสาวน้อยที่เธอรักเหมือนลูกนั้น ทำให้เธอเองก็รู้สึกดีใจมากอย่างที่สุด แต่เธอก็ไม่สามารถส่งเสียงดีใจแบบออกหน้าออกตาได้ เธอจึงมองซ้ายขวาอย่างระวังก่อนส่งเสียงกลับไปคุณหนูสุดที่รักเบาๆ แต่พอให้คนที่ปลายสายได้ยิน
“คุณหนูของนม เป็นอย่างไรบ้างคะ สบายดีใช่ไหม แล้วตอนนี้คุณหนูอยู่ที่ไหนกับใครคะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงทับทิมนะคะนม ทับทิมปลอดภัยและสบายดี” หญิงสาวพูดต่ออย่างไม่รีรอ
“นมอ้วนคงทราบเรื่องคุณพ่อแล้วใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ คุณหนูทำใจดีๆไว้นะคะ นมจะเล่าให้ฟัง คือเมื่อวานนี้ นมจำได้ว่ากำลังล้างจานอยู่ในครัว สักพักหนึ่งก็รู้สึกเหมือนมีของแข็งๆกระแทกที่หัว หลังจากนั้น ก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยค่ะ พอตื่นมาอีกที ก็มืดมากแล้ว เด็กรับใช้คนอื่นมาเรียก ทุกคนบอกว่าอยู่ดีๆก็หลับไปไม่รู้เรื่องเลยเหมือนกัน” พิชชาอรได้ฟังแล้วครุ่นคิด กรณีของนมอ้วนคนร้ายน่าจะทำร้ายให้ได้รับบาดเจ็บ ส่วนคนอื่นอาจโดนวางยาสลบ มิน่า ตอนนั้นถึงเรียกใครก็ไม่มีใครขานรับเลย
“หลังจากนั้น คุณพิพัฒน์กับยายนงลักษณ์นั่นก็เดินเข้ามาบอกนมว่า คุณท่านเสียแล้ว เขาบอกว่าคุณท่านเครียดเรื่องงานก็เลยยิงตัวตายค่ะ” นมอ้วนเล่าไปก็น้ำตาไหลไป ด้วยความอาลัยรักในตัวเจ้านายของเธอยิ่งนัก
“ไม่จริงค่ะนมอ้วน ทับทิมอยู่ในเหตุการณ์ คุณพ่อถูกยิง คุณพ่อถูกคุณอา...ยิง” ประโยคหลังแทบจะหายไปจากลำคอ เมื่อหญิงสาวหวนนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น น้ำตาใสๆก็ไหลมาอาบแก้มนวลทันที ในขณะที่นมอ้วนแทบไม่อยากจะเชื่อ ว่าน้องชายจะฆ่าพี่ชายได้ลงคอ
“จริงหรือคะ คุณพัฒน์นี่นะกล้ายิงคุณท่าน นมไม่อยากเชื่อเลย เพราะอะไรกัน”นมอ้วนถามกลับมาเสียงสั่น
“ก็เพราะอาพัฒน์อยากจะได้ทุกอย่างของพ่อไงคะนม ฮือๆๆ”พิชชาอรเองอดกลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆเธอจึงปล่อยออกมาเพื่อระบายกับแม่นมที่เธอไว้ใจมากที่สุดในตอนนี้
“ใจเย็นๆนะคะ คุณหนูของนม นมรู้ว่าคุณหนูเสียใจ แต่ร้องไห้ไปคุณพ่อก็ไม่ฟื้นมาหรอกนะคะ ทางที่ดีเรามาช่วยกันกำจัดคนเลวดีกว่าค่ะ คุณหนูไม่ต้องกลัวนะคะว่าพวกนั้นจะได้สมบัติของคุณท่านไป ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะท่านได้ทำพินัยกรรมไว้แล้ว”
“จริงหรือคะ แล้วพินัยกรรมนั้นอยู่ที่ไหนคะ”หญิงสาวถามอย่างร้อนรนเพราะพินัยกรรมจะต้องเป็นทางออกของเธอในการทวงความยุติธรรมคืนมาอย่างแน่นอน
“นมอ้วนไม่ทราบค่ะ” เสียงนั้นแผ่วเบาลงพอๆกับใจของพิชชาอรที่เหี่ยงห่อลงทันที มีพินัยกรรมแต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน มันจะมีประโยชน์อะไรกัน
“แต่คุณหนูไม่ต้องกังวลไปนะคะ เดี๋ยวนมจะไปหาดูในห้องของคุณท่าน คิดว่าท่านต้องซ่อนไว้ในนั้นแน่นอน ว่าแต่นมอ้วนจะติดต่อคุณหนูได้ยังไงคะ”
“เดี๋ยวทับทิมติดต่อกลับไปหานมเองค่ะ ยังไงก็ฝากช่วยหนูหาพินัยกรรมด้วยนะคะ” พิชชาอรฝากความหวังไว้ให้แม่นมของเธอเต็มที่ เมื่อได้ยินทางนั้นรับปากแล้ว เธอก็วางสายแล้วทิ้งตัวนั่งลงที่พื้นอย่างคนหมดเรี่ยวแรง
“แอบมาโทรศัพท์น่ะ ขออนุญาตเจ้าของหรือยัง” น้ำเสียงทุ้มเข้มดังขึ้นเบื้องหลัง พิชชาอรค่อยๆลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันไปดูด้านหลังของตัวเอง
“นี่คุณนั่นเอง” เขาคือชายที่ผู้คนที่นี่ขนานนามเขาว่าพ่อเลี้ยงนั่นเอง
“คือหนู..หนูต้องการโทรหาคนที่บ้านก็เลยขอให้ป้าแม้นวาดหาโทรศัทพ์ให้น่ะ” พิชชาอรตอบโดยไม่ได้สบตากับชายหนุ่ม
“แล้วไหนล่ะป้าแม้น”อินทัชถามกลับไปทันทีอย่างต้องการคำตอบ พลางจ้องใบหน้าสวยสะอาดนั้นไม่วางตา เพราะตอนนี้ใบหน้าและรูปร่างเธอดูสะอาดสะอ้านไม่มอมแมมเหมือนเพิ่งเจอกันครั้งแรกยิ่งได้มาอยู่ในชุดพื้นเมืองสวมผ้าซิ่นยิ่งดูน่ารักกว่าตอนใส่ชุดนักศึกษาเสียอีก
พิชชาอร มองหาแม้นวาดซ้ายทีขวาที ก่อนทำเนียนเดินห่างจากอินทัชทีละน้อยเพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ต้องตอบคำถามของเขา
“จะไปไหน” เสียงเข้มดังขึ้น ทำเอาพิชชาอรหยุดเดินอย่างตกใจ
“จะไปหาป้าแม้น” หญิงสาวตอบเสียงสั่นในลำคอ เนื่องด้วยตอนนี้เธออยู่กับเขาเพียงสองคนในห้องรับแขกเท่านั้นและเธอก็มีความหวั่นวิตกอยู่ไม่น้อยว่าจะถูกผู้ชายที่เพิ่งรู้จักไม่กี่ชั่วโมงล่วงเกินทำมิดีมิร้ายเอาได้
เมื่อไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดจากปากของชายหนุ่ม พิชชาอรก็เริ่มขยับตัวอีกครั้ง แต่ทว่า เธอก็ได้ถูกมือแกร่งนั้นคว้าข้อมือไว้ก่อนที่เธอจะเดินไปไหนไกล
“อ๊ายยย ปล่อยนะ ช่วยด้วยยย อย่าทำอะไรชั้นนะ!” หญิงสาวกรีดร้องเสียงดังด้วยความกลัวและตกใจสุดขีด พร้อมกับพยายามสะบัดมือออก ทำเอาอินทัช มึนไปชั่วขณะกับเสียงร้องของเธอ ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้และรวบร่างอรชรไว้ทันทีก่อนจะใช้ปิดปากเธอและพาเธอไปอีกมุมหนึ่งของบ้านเพราะกลัวใครจะเห็นหรือได้ยินอะไรที่ผิดปกติในบ้านของเขา



พราวเพชร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 มิ.ย. 2555, 16:36:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 มิ.ย. 2555, 16:36:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1118





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 3/1 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account