ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: คาร์นัก (๑)

+++++++++++++

เป็นอีกครั้งที่อารีสมองผ่านสายตาของ ‘บาสตี’ รับรู้ได้ถึงสิ่งที่ผู้หญิงคนนี้เห็น เข้าใจและนึกคิด หญิงสาวไม่อาจให้คำตอบกับตนเองได้ว่า เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่ฝันถึงเรื่องราวในอียิปต์ยุคโบราณ หล่อนจึงต้องอยู่ในความคิด ความอ่านของบาสตี หากความรู้สึกนั้นคล้ายมีสายใยบางอย่างผูกพันระหว่างหล่อนกับช่างฝีมือทอผ้า

เวลานี้บาสตีอยู่ในขบวนเดินทางใหญ่โต ผู้คนในขบวนโดยมากเป็นสตรี สวมใส่อาภรณ์หรูหรา แสดงฐานะให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นว่าเป็นคนในราชสำนัก เว้นเหล่าผู้แบกเก้าอี้หามลวดลายฉูดฉาด ของพระนางเนเฟอร์ตารีพร้อมคณะชายาในฟาโรห์รามเสสที่ ๒ อีก ๑๙ นาง เหล่านั้นเป็นบุรุษร่างกำยำ โกนหัวเกลี้ยง นุ่งผ้าลินินขาวอย่างสามัญ

บุรุษอีกพวกเป็นพวกเมดจาย กลุ่มผู้รักษาการณ์ คอยลาดตระเวนปกป้องขบวนเสด็จชายาเอกและคณะชายาในองค์กษัตริย์ หน้าตาแต่ละคนเหี้ยมเกรียม นัยน์ตาดุดัน เป็นชาวนูเบียผิวคล้ำ ผมหยิกขอดยาวหนาด้วยขี้ผึ้ง มือหนึ่งถือโล่ มือหนึ่งกุมหอก บั้นเอวเหน็บเคเปซ ดาบใบโค้งคมกริบ

บาสตีเดินเคียงข้างเก้าอี้หามของพระนางเนเฟอร์ตารี คอยดูแลถวายงานเมื่อมีรับสั่ง เช้าวันนี้พระนางทรงภูษาลินินขาวกรุยกรายประดับใยทองจีบประณีต บั้นพระองค์คาดด้วยครุยสีแดงชาด ตามวรกายประดับทองคำและอัญมณีเจียระไน ยามต้องแสงอาทิตย์ เหล่านั้นระยิบระยับขับกับพื้นขาวสุกปลั่ง

พระนางทรงเครื่องอย่างนางกษัตริย์ สวมวิกผมยาวถึงกลางหลัง หนาด้วยขี้ผึ้ง หอมฟุ้งด้วยน้ำมันหอม ทรงศิราภรณ์ทำจากเม็ดพลอยประดิษฐ์เป็นนกแร้งสยายปีกโอบทับพระเกศา ยอดมงกุฎเป็นเขาวัวคู่กั้นกลางด้วยจานสุริยะ เหนือขึ้นไปคือขนหางคู่ของนกกระจอกเทศ พระพักตร์อิ่มเอิบงดงามด้วยเครื่องประทินโฉม เปลือกตาสีฟ้าอมเขียวขับกับเส้นขอบตาสีดำลากยาว พวงแก้มสีเลือดฝาด ริมฝีปากแดงชาดเคลือบน้ำมัน

ภายในขบวนมีเสียงประโคมดนตรีแห่แหน เหล่าสตรีในราชสำนักเดินเรียงราย ในมือถือผลไม้ ไวน์ อาหาร เครื่องหอม ดอกไม้ รวมทั้งอาภรณ์เครื่องประดับ เหล่านี้คือบรรณาการ ของขวัญแด่เทพเจ้า

สู่สักการสถาน วิหารแห่ง ‘อามุน’

“บางที คราวหน้าเราอาจให้เจ้าเป็นเวรสักการะอามุน จะได้แบ่งเบาหน้าที่เราอีกแรง เราจะได้มีเวลาช่วยราชกิจองค์รามเสสให้มากขึ้น” ทรงหันพระพักตร์มองบาสตีขณะที่ขบวนยังเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ สุรเสียงแว่วหวาน หากเนื้อความกลับทำให้หญิงสาวซึ่งเดินเลียบข้างหันมองตระหนก

“ไม่ได้หรอกเพคะ การสักการะเทพเป็นหน้าที่ของชายาเทพ ต้องเป็นสตรีในราชสำนัก หากเป็นพระองค์ผู้เป็นชายาเอก หรือเหล่าชายาทั้ง ๑๙ นั่นเป็นสิ่งที่เหมาะสมอยู่ แม้อนุชายายังไม่มีสิทธิ์อาจเอื้อม แล้วหม่อมฉันเป็นแต่เพียงผู้รับใช้...เทพเจ้าคงลงทัณฑ์” บาสตีว่าพลางเหลียวมองเหล่าสตรีบนทิวแถวเก้าอี้หามขนาดเล็กยาวเหยียดไปด้านหลัง

“ใครว่า...” พระนางเนเฟอร์ตารีทรงค้านพลางแย้มสรวล ตั้งท่าจะรับสั่งต่อ หากอึดใจก็ทรงลังเล เปลี่ยนพระทัยรับสั่งด้วยสุรเสียงเรียบเฉยแทน “เอาเถอะ เวลานี้อาจไม่ใช่ แต่ต่อไปภายภาคหน้า อามุนเท่านั้นที่จะล่วงรู้”

รับสั่งเพียงเท่านั้น ชวนให้บาสตี...นั่นหมายรวมถึง ‘อารีส’ ใคร่รู้ว่าดำริสิ่งใดอยู่กันแน่ หากไม่รับสั่งอะไรต่อ นอกเสียจากสงบนิ่ง

หญิงสาวเหลียวหลังกลับไปมองทิวขบวนยาวเหยียดของเหล่าชายาแห่งฟาโรห์รามเสสที่ ๒ อีกครั้ง แล้วนางหนึ่งก็ปรากฏให้เห็นเด่นชัด ถัดจากเก้าอี้หามของพระนางเนเฟอร์ตารี หากบนเก้าอี้หามขนาดเล็กกว่า ฝ่านสายตาของบาสตี

อารีสจำได้ดีว่านางคือใคร แต่ไม่นึกว่าจะเป็นเช่นอนัตตาสันนิษฐาน

‘เมอริตเน็บท์เฮ็ท’ หญิงสาวเคยถามชายหนุ่มด้วยชื่อปริศนานี้ และเขาก็ให้คำตอบได้ตรงอย่างภาพที่กำลังเห็น

‘ถ้ามีความสำคัญจนมีชื่อเสียง ให้เดาก็คงเป็นสตรีราชนิกุลที่เกี่ยวข้องกับฟาโรห์หรือราชินี ไม่เป็นพระญาติของกษัตริย์หรือราชินี ก็อาจเป็นชายาหรือไม่ก็อนุชายานางหนึ่งของฟาโรห์’

ใช่แล้ว ‘เมอริตเน็บท์เฮ็ท’ คือหนึ่งในคณะชายาทั้ง ๑๙ นาง เก้าอี้หามมีไว้สำหรับการเดินทางของกษัตริย์ พระญาติพระวงศ์ เหล่าขุนนางและบุคคลสำคัญเท่านั้น สตรีผู้นี้ร่วมขบวนของพระนางเนเฟอร์ตารี เมื่อครู่บาสตีได้คุยกับพระนางถึงการบูชาเทพอามุน

เมอริตเน็บท์เฮ็ทจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก ‘ชายา’ ในองค์กษัตริย์ และหนึ่งใน 'ชายาเทพ'

‘การสักการะเทพเป็นหน้าที่ของชายาเทพ ต้องเป็นสตรีในราชสำนัก หากเป็นพระองค์ผู้เป็นชายาเอก หรือเหล่าชายาทั้ง ๑๙ นั่นเป็นสิ่งที่เหมาะสมอยู่’

ในความรู้สึกนึกคิดของบาสตี อารีสอ่านออก สตรีเหล่านี้มีหน้าที่สำคัญในการสักการะเทพอามุน ที่วิหารคาร์นัก ภาระหน้าที่อันทรงเกียรติแห่งพระเป็นเจ้า มีพระนางเนเฟอร์ตารีเป็นผู้นำแห่งเหล่าชายาเทพ ดังที่ทรงดำรงพระยศเป็นชายาเอกแห่งองค์กษัตริย์ ทุกครั้งที่เสด็จด้วยพระองค์เอง ขบวนแห่แหนจะต้องยิ่งใหญ่ ยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา คณะชายาทั้ง ๑๙ นาง รวมถึงอนุชายานับพันต้องตามเสด็จสู่มหาวิหารเพื่อสักการะเทพอามุน

ครั้นรุ่งเช้าวันใหม่จึงผลัดเปลี่ยน เป็นขบวนแห่แหนขนาดเล็กพร้อมเก้าอี้หามของ ‘ชายาเทพ’ เพียงนางเดียว เวียนครบ ๑๙ วัน ขบวนแห่แหนจึงยิ่งใหญ่เกรียงไกรอีกคราว

บาสตีภาคภูมิแทน ‘นาย’

รอยยิ้มภูมิใจของบาสตี อารีสไม่แน่ใจว่าเป็นเหตุให้ชายาเมอริตเน็บท์เฮ็ทไม่พอพระทัยหรือเปล่า ทรงชักสีพระพักตร์ ตวัดนัยน์พระเนตรจดจ้องพระนางเนเฟอร์ตารี ราวคมดาบโค้งของเหล่าเมดจาย

+++++++++

ขบวนเสด็จพระนางเนเฟอร์ตารีแห่แหนมาถึงทางเดินสู่มหาวิหารคาร์นัก สักการสถานแห่งเทพอามุน เทพเจ้าแห่งอียิปต์และธีบส์ หากในช่วงเวลาดังกล่าว...พระนางเนเฟอร์ตารีไม่ทรงเอ่ยนามเฉกเช่นอารีสเข้าใจ

“วิหารแห่งอามุน – รา เทพเจ้าสูงสุดแห่งวาเส็ต” เสด็จลงจะเก้าอี้หามซึ่งวางบนพื้นหิน เหล่าข้าราชบริพารต่างคุกเข่าหมอบแทบบาทแสดงความยำเกรง แม้ชายาอีก ๑๙ นางที่ตามหลังเสด็จก็ไม่ต่าง

กระทั่งพระราชทานอนุญาต ทุกคนจึงลุกขึ้น จัดเตรียมเครื่องถวายสักการะ แปรขบวนเสด็จซึ่งเคยมีเก้าอี้หามเป็นขบวนพระราชดำเนิน

ดนตรีประโคมแห่แหน เหล่าข้าราชบริหารห้อมล้อมหน้าหลังพร้อมเครื่องสักการะเทพเจ้า เมดจายคอยคุ้มกันภัยรอบนอกขบวน ด้านในสุดคือพระนางเนเฟอร์ตารี บาสตีผู้ติดตามพระองค์และเหล่าชายาทั้ง ๑๙

ขบวนใหญ่เคลื่อนตัวไปตามทางซึ่งปูด้วยหินแกรนิตขัดมันเงา ริมรายทางเป็นรูปสลักสฟิงซ์หมอบ ทอดตัวยาวไกลนับสิบนับร้อยจนถึงประตูวิหาร ถัดออกไปไกลคือเสาหินปลายเหลี่ยมแหลมสูงตระหง่านสามต้น ยามต้องแสงแดด ปลายยอดนั้นแข่งกันเจิดจ้าระยิบระยับเป็นสีทอง

‘โอบิลิสก์แห่งพระนางฮัตเชปซัตและพระบิดา ทุตโมซิสที่ ๑’

อารีสจำได้ดี เสาหินแห่งความทรงจำ บันทึกอักษรเฮียโรกลีฟิคถึงพระราชอำนาจ ความรุ่งเรืองแห่งราชอาณาจักรรัชสมัยพระนางฮัตเชปซัต ทั้งยังรวมถึงความกตัญญูภักดีต่อพระบิดาของพระนางเอง

‘นางสร้างเป็นอนุสรณ์สถานสำหรับพระบิดา อามุน...เทพแห่งธีบส์ ตระหง่านเหนือคาร์นัก สร้างเสาหินสองต้น จากหินแกรนิตของทางใต้ ยอดเป็นโลหะผสม มองเห็นได้จากสองฝั่งของแม่น้ำ ผู้ที่จะได้เห็นอนุสรณ์สถานของข้าในอนาคต และจะกล่าวถึงสิ่งที่ข้าได้กระทำ จงระวัง...อย่ากล่าวสิ่งที่ไม่เกิดขึ้น และอย่ากล่าวอวดอ้าง แต่แทนที่จะกล่าวถึง ‘นาง’ ว่าเป็นเช่นไร ขอให้กล่าวถึงคุณค่าของพระบิดาแห่งนาง’

ความแปลจากอักษรเฮียโรกลีฟิกบนเสาหิน อารีสจดจำได้ขึ้นใจ เต็มเปี่ยมด้วยพลังอำนาจ ความปราดเปรื่องและกตัญญูภักดี

สติและสายตาของบาสตีดึงอารีสกลับมาสู่ภาพปัจจุบัน ด้านหน้าประตูทางเข้าวิหารมหึมา วิศวกร ช่างฝีมือ และเหล่าคนงานในชุดผ้าลินินทะมัดทะแมงวางอุปกรณ์ลงข้างตัว คุกเข่าหมอบแทบบาททำความเคารพชายาเทพ

เบื้องหลังของพวกเขาคือหินแกรนิตขนาดยักษ์ ใหญ่โตสูงเทียบขอบประตูด้านบน หินก้อนขรุขระกำลังอยู่ระหว่างการสลักให้เป็นภาพมหากษัตริย์ผู้เรืองอำนาจแห่งยุค

‘รามเสสที่ ๒’

พระนางเนเฟอร์ตารีทรงแย้มสรวลให้ทุกคนอย่างงดงาม ไม่มากหรือน้อย เป็นรอยแย้มยิ้มพิมพ์ใจ ชวนมอง ครั้นเคลื่อนขบวนลึกเข้าไปข้างใน ปรากฏหมู่เสาไพลอนหินใหญ่ตระกานตา เต็มไปด้วยสีสันและการจารึก

แน่แล้ว...เป็นมหาวิหารคาร์นัก หากในช่วงรัชสมัยฟาโรห์รามเสสที่ ๒ เมื่อ ๓,๐๐๐ กว่าปี รอยแกะสลักยังใหม่เอี่ยมในบางส่วน บางส่วนก็เก่าคร่ำคร่าตามกาลเวลานับแต่สมัยฟาโรห์เซซอสตริสที่ ๑ ปฐมกษัตริย์ผู้สร้างมหาวิหาร แห่งราชวงศ์ที่ ๑๒

ทว่าในส่วนที่ใหม่เอี่ยม สีของภาพเขียนยังสดใส อารีสคุ้นตา เหมือนเคยเห็นที่ใดสักที่หนึ่ง

แล้วฉับพลันภาพสถานที่ดังกล่าวก็สว่างวาบในความคิด เฉกเช่น ‘ไฟ’ แสงสว่างในคบซึ่งตั้งเรียงรายตามเสาหินในที่ดังกล่าว

แสงสว่างจากเปลวไฟที่วูบไหว เผยให้เห็นภาพเขียนลงสีเป็นแม่น้ำไนล์ เรือพิธีศพ กอกกปาปิรุสและดอกบัวบนเสาไพลอนแต่ละต้น โดยรอบเป็นห้องโถงแบบไฮโปสไตล์ เช่นที่แห่งนี้ วิหารแห่งอามุน – รา เทพเจ้าแห่งวาเส็ต

และสถานที่ดังกล่าวนี้เอง ที่เริ่มดึงชีวิตของอารีสให้จมดิ่งสู่เรื่องลี้ลับ ความฝันและเสียงเพรียกอันเยียบเย็น

“ข้าบริสุทธิ์ เทวีมาอัตทรงเป็นพยานแห่งคำสัจนั้นได้...”

“เทวีมาอัต ทรงเป็นพยานแห่งคำสัจนั้นได้...”

“เทวีมาอัต ทรงเป็นพยาน...”

“เทวีมาอัต...”

เสียงนั้นดังก้องอีกแล้ว ดังขึ้นเรื่อยๆ อารีสเริ่มประสาทเสีย หันรีหันขวาง สายตากวาดมองหวาดระแวง มือทั้งสองกำแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บจากการจิกเล็บลงบนผิวหนัง เหงื่อเม็ดใหญ่น้อยผุดพราว แล้วเสียงพูดที่คอยหลอกหลอนหล่อนก็ดังจนในที่สุดก็ไม่อาจจะข่มตาหลับ ไม่รับฟัง

“บาสตี!” เสียงเรียกปลุกหญิงสาวจากภวังค์ ไม่มีอารีสในเวลานี้ มีแต่ความรู้สึกนึกคิด เห็นทุกสิ่งทุกอย่างในยุคอียิปต์เรืองอำนาจผ่านสายตาของบาสตี ช่างฝีมือทอผ้าของพระนางเนเฟอร์ตารีต่างหาก

“พะ...เพคะ” บาสตีขานรับพลางขมวดคิ้ว อารีสไม่แน่ใจว่าเพราะความคิดและภวังค์เมื่อครู่ของหล่อนหรือเปล่า ที่เข้าไปรบกวนอารมณ์ความรู้สึกของช่างฝีมือทอผ้า

“เป็นอะไรไป เราเรียกตั้งนาน” ทรงหันมาทอดพระเนตรด้วยความสงสัย “ไม่สบายหรือ”

“เปล่าเพคะ” บาสตีตอบมาดมั่น หากอึดใจกลับขมวดคิ้วลังเล “แต่เหมือน...เหมือนหม่อมฉันคิดอะไรบางอย่าง หากแต่ไม่ใช่ความคิดของหม่อมฉันเอง เหมือน...ใครบางคนกำลังคิดในหัวของหม่อมฉัน”

บาสตีพยายามอธิบาย หากไม่อาจกลั่นกรองคำพูดออกมาได้ พระนางเนเฟอร์ตารีทอดพระเนตรแล้วไหวพระพักตร์ ทรงแย้มสรวล รับสั่งอย่างเอ็นดูต่อหญิงสาวซึ่งตามเสด็จ

“การเดินทางไกลท่ามกลางแดดจัดอาจทำให้เจ้าเหนื่อยล้า” ทรงพยักพระพักตร์เข้าพระทัย “ไม่เป็นไร ในที่ประทับแห่งอามุนจะทำให้เจ้าผ่อนคลาย เข้ามาเถอะ...ใกล้เวลาที่ต้องถวายเครื่องสักการะและปรนนิบัติอามุนแล้ว”

บาสตีมองชายาเอกด้วยความตระหนก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยรบกวนจิตใจดูเหมือนจะมลายสิ้น หล่อนไม่คาดคิดว่าพระนางเนเฟอร์ตารีจะพระราชทานอนุญาตให้หล่อนเข้าไปภายในที่ประทับแห่งเทพอามุน

สถานที่รโหฐานซึ่งเป็นเขตเฉพาะของ ‘เทพ’ และ ‘ชายา’

“นางไม่ใช่ชายาเทพ ไม่มีสิทธิเข้าไปในเขตรโหฐานของอามุน” เสียงใครบางคนดังขึ้นคัดค้าน ดูหวานลึกล้ำ หากในเนื้อความเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์จนบาสตี...รวมถึง ‘อารีส’ รู้สึกได้

นัยน์ตางามหยดย้อยปรากฏแววคมเหี้ยมเกรียม ประหนึ่งคมเคเปซของพวกเมดจาย หากเป็นศาสตราดังนั้นแล้ว คงฟันหัวบาสตีขาดเสียทันทีที่จดจ้อง นางจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก...

‘เมอริตเน็บท์เฮ็ท’

“แต่เรา...ชายาเอกของอามุน ประสงค์ให้นางเข้าไปเพื่อรับใช้ใกล้ชิด” พระนางเนเฟอร์ตารีตรัส สุรเสียงอ่อนหวาน หากเยียบเย็นและทรงพลัง “มีใครสงสัยในความประสงค์ของเราอีกหรือไม่”

เหล่าชายาอีก ๑๘ นางก้มหน้าลงไม่คัดค้าน หากนางเดียวเท่านั้นที่เบือนพักตร์ ปรายเนตรตวัดออกไม่พอใจ

“เจ้าไม่พอใจหรือเน็บท์” ชายาเอกทรงตรัสเรียก บาสตีเฝ้ามองอีกฝ่าย รู้ดีว่าพักตร์ที่หันกลับมาอาบไว้ด้วยความไม่พึงพอใจ

“มิได้เพคะ” เสียงหวานลึกล้ำ หากนัยน์ตานั้นแข็งกร้าวน่ากลัว “หากเป็นพระสงค์ของชายาเอกแห่งอามุน ใครเล่าจะกล้าขัด”

“ดีแล้วน้องรัก เช่นนั้นก็สมควรที่เราจะเข้าไปรับใช้อามุนเสียที”

สิ้นพระเสาวนีย์ เหล่าชายาทั้ง ๑๙ พร้อมบาสตีก็ร่วมประคองของสักการะตามเสด็จเข้าไปด้านใน ส่วนข้าราชบริพารอื่นๆ คุกเข่าหมอบแทบพื้น เฝ้ารออยู่บริเวณลานหินแกรนิตขัดมันภายนอก กระทั่งพระนางเนเฟอร์ตารีพร้อมผู้ติดตามลับสู่ที่ประทับรโหฐานของเทพ จนมั่นใจว่าเสียงพูดคุยจะไม่เล็ดลอดสู่ภายใน การโจษจันถึงบาสตี ช่างฝีมือทอผ้าคนโปรดของชายาเอกก็ดังระงม

เนื้อหาโดยส่วนใหญ่ คือเรื่องการแต่งตั้งชายาองค์ใหม่ของกษัตริย์รามเสสที่ ๒ โดยการผลักดันของพระนางเนเฟอร์ตารี ดูเหมือนเบื้องลึกเบื้องหลังคงไม่พ้นการพยายามธำรงอำนาจแห่งพระนางและสืบทอดไว้ชั่วนิจนิรันดร์

+++++++++++++++++

นี่เป็นครั้งแรกที่อารีสได้เห็นที่ประทับรโหฐานของอามุนเมื่อ ๓,๐๐๐ กว่าปีก่อน แม้จะผ่านสายตาของบาสตี แต่ก็ชัดเจน หล่อนรับรู้ได้ถึงความลี้ลับและมนตร์ขลังแห่งแดนไอยคุปต์ที่ลอยอวล

ภายในเป็นห้องขนาดกะทัดรัด ทึบด้วยผนังหินแกรนิตก่อสูง หากสว่างรำไรด้วยแสงจากเชิงเทียนที่ถูกจุด รอบห้องสลักภาพของเทพอามุน และเหล่าชายาเทพในอิริยาบถต่างๆ บางภาพถูกสกัดขึ้นใหม่ หากบางภาพเป็นของเดิมที่มีมานานและเริ่มผุกร่อนตามกาลเวลา เสาหินขนาดย่อมจารึกอักษรเฮียโรกลีฟิคถึงเรื่องราวของเทพเจ้าและความสัมพันธ์ของชายาเทพ

ผนังด้านหนึ่งเป็นภาพสลักชายาเทพสวมกอดอามุน แขนของนางคล้องพระศอเทพเจ้าเหนี่ยวรัดเข้าหาตัว และอามุนก็ตอบสนองโดยการกอดรัดหล่อนแนบแน่น สอดเท้าเข้าไประหว่างขาของหล่อน

จิตรกรรมบทสังวาส เป็นความ ‘พิเศษ’ ในศิลปะของอียิปต์

อีกฟากผนัง...เทพแตะปลายจมูกของชายาเทพด้วยอังค์ สัญลักษณ์แห่งชีวิตของอียิปต์ ขณะเดียวกันเทพก็มอบอังค์ให้ชายาเทพสามชิ้น เป็นการให้ความมั่นใจแก่ชายาเทพว่าจงเชื่อมั่นต่ออำนาจของอามุนตลอดชีวิต

ตรงกลางห้องโล่งกว้าง มีแท่นหินยกสูงระดับบั้นเอว เป็นสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ รอบด้านสลักภาพเทพเจ้าและจารึกอักษรภาพเป็นเรื่องราวต่างๆ ถัดจากนั้นเป็นรูปปั้นทองคำของบุรุษเปลือยอกยืนตรงในอ่างหินสี่เหลี่ยมเตี้ยๆ

รูปร่างเทวรูปนั้นสันทัด แขนขามีกล้ามเนื้อนูนน้อยๆ อย่างชายผู้มีสรีระงาม มีผ้าลินินจีบพลีตถี่ประณีตนุ่งไว้สั้นเหนือเข่า ใบหน้าคมสันมีเคราปลอมสวม บนเศียรประดับมงกุฎขนนกคู่หนึ่ง

นี่เอง ‘อามุน’ เทพแห่งธีบส์

เหล่าชายาเทพเริ่มพิธีกรรม กลุ่มหนึ่งบรรเลงเพลงพิณ ตีกลอง เขย่าซิสทรัม ขับลำนำบทเพลงแปลกหู หากไพเราะจับใจ น้ำเสียงนั้นอ่อนหวาน เต็มไปด้วยอารมณ์ออดอ้อน ปลอบประโลม บางครั้งก็เย้ายวน ฟังแล้วสบายใจ ทั้งยังนึกรักใคร่ในบทเพลงและผู้บรรเลง

อีกกลุ่มยกหม้อน้ำ บรรจงรินรดร่างสลักทองคำของอามุน น้ำซึ่งนำมาอาบชำระ เป็นน้ำจากลำน้ำไนล์อันศักดิ์สิทธิ์ ผสมเครื่องหอม ดอกไม้

ชำระหนึ่งครั้ง...น้ำเหล่านั้นก็ไหลลงอ่างด้านล่าง ค่อยๆ ระบายออกตามทางระบายซึ่งถูกขุดไว้ จากนั้นเหล่าชายาเทพผู้มีหน้าที่สรงสนานเทวรูป ก็บรรจงลูบไล้เนื้อนวลกายซึ่งเป็นทองคำ ขัดถูกด้วยน้ำมันหอมจนมันเลื่อม กลิ่นหอมฟุ้งอบอวล ประหนึ่งการปรนนิบัติสวามีให้สะอาดผ่องใส

เหล่าชายาบรรจงลูบไล้พระพักตร์และวรกาย เน้นย้ำทั่วอุระและนาภี จากนั้นจึงชำระร่างสลักทองคำนั้นอีกครั้งด้วยน้ำสะอาด ทำซ้ำไปมาจวบเทวรูปผุดผ่อง จึงนำผ้าลินินเนื้อดีทอประณีตมาซับวรกายจนสะอาด

ครั้นแล้วเหล่าชายาเทพผู้ดูแลเครื่องสักการะก็นำผลไม้ ไวน์ อาหาร ทั้งน้ำดื่มขึ้นตั้งบนแท่นหน้าเทวรูป จัดวางอย่างงดงาม เรียบร้อย เสร็จสรรพ...พระนางเนเฟอร์ตารีจึงเสด็จมายืนหน้าแท่นสักการะ นำช่อดอกบัวสายหลากสีจากลำน้ำไนล์ขึ้นวางถวาย แล้วเริ่มจุดเครื่องหอมบูชา

ควันหอมจากปล้องทองคำคล้ายปล้องยาสูบลอยฟุ้งอบอวล ภายในห้องมัวมนราวอยู่ในสายหมอก หากพระนางเนเฟอร์ตารียังคงมีสมาธิในการวนปล้องเครื่องหอมไปมาต่อหน้าพระพักตร์เทพเจ้า ริมพระโอษฐ์พร่ำบริกรรมคล้ายการสรรเสริญหรือบทสวด พระเนตรสบเนตรเทวรูปอย่างศรัทธา

นี่หรือ...พิธีกรรมของชายาเทพ

อารีสซึ่งมองผ่านสายตาของบาสตีกำลังคิด พิจารณาแล้วดูคล้ายเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ต้องปรนนิบัติสามี หากแตกต่างก็เพราะมีพิธีกรรมทางเรื่องของเทพเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่เมื่อลองวางพิธีกรรมลง ก้คงเหลือเพียงการบรรเลงขับร้องเพลงให้ผ่อนคลาย อาบน้ำ ชำระล้างร่างกายให้สะอาด ประพรมเครื่องหอมให้สบายเนื้อสบายตัว เรียบร้อยก็จัดข้าวปลาอาหาร ล้วนแล้วแต่เป็นการที่ภรรยาควรปฏิบัติต่อสามี และที่เหลืออีกอย่างก็คงเป็นการกระทำตามภาพสลักบนฝาผนังแกรนิตภายในที่รโหฐานของอามุน

บท ‘สังวาส’ ระหว่างอามุนและชายาเทพ

แน่นอนว่าหากมีการสลักภาพจารึกไว้อย่างเด่นชัด พิธีกรรมดังกล่าวก็ต้องมีมูลเหตุอันเหมาะสมและเป็นจริง เหล่าชายาที่เหลือเคลื่อนตัวเข้าล้อมวงเทวรูป เปลื้องผ้าลินินพันกายทิ้งลงแทบเท้า เหลือเพียงรูปโฉมสะโอดสะองเปล่งปลั่ง อกอิ่ม สะโพกผาย พร้อมเครื่องถนิมพิมพาภรณ์

จากนั้นบทเพลงก็เริ่มบรรเลงอีกครั้ง พร้อมการร่ายรำเชิงบทสังวาสต่อเทวรูปอามุน

บาสตีถึงกับตกตะลึง หมายรวมถึง ‘อารีส’ ผู้รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านหญิงทอผ้า เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องลี้ลับและไม่มีใครล่วงรู้ ไม่มีใครทราบรายละเอียดแห่งวิถีชายาเทพ หลักฐานบันทึกเพียงภาพกว้างที่สามารถคิดและสันนิษฐานไปได้หลายทาง

หากอารีสคาดไม่ถึง...

‘สตรีในราชสำนักที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นชายาเทพจะจัดขบวนแห่แหนใหญ่โต เข้าทางประตูวิหารคาร์นัก สู่ที่รโหฐานของอามุน ซึ่งอนุญาตให้ผู้เป็นชายาเทพและบริวารเท่านั้นที่เข้าไปได้ พอเข้าไป สตรีเหล่านั้นก็จะสร้างสรรค์กับอามุนทางโลกีย์’

เสียงของอนัตตายังวนเวียนในความคิด มิน่าเล่า เขาจึงว่าแม้ฟาโรห์จะใกล้ชิดเทพเจ้า

หากลัทธิชายาเทพ...สตรีกลับใกล้ชิดยิ่งกว่า

บาสตีก้มลง ไม่กล้ามองเหล่าชายาเทพร่ายรำเย้ายวนเทวรูปด้วยท่าทางเชิงบทสังวาส อารีสเองก็เห็นพ้อง จึงรับรู้เพียงพื้นหินแกรนิตขัดมันตรงหน้า

ทว่าอยู่ๆ เม็ดทรายบนพื้นก็เริ่มเคลื่อนปลิวตามสายลมที่พาดพัดแผ่วเบา หากเพียงแวบเดียว เพราะเสี้ยววินาทีต่อมา ลมวูบใหญ่ก็โหมพัดเอาฝุ่นทราย ม้วนตัวตลบเข้าประตู จนข้าวของสักการะกระจายระเนระนาด หากทุกคนในห้องกลับนิ่งงันราวเวลาถูกหยุด ทุกสิ่งรับกระแสทรายจนเริ่มสลายกลายเป็นผงเหมือนความฝันในคราวที่แล้ว ทั้งคน ทั้งที่ประทับรโหฐาน สลายราวกองทรายต้องสายลม อารีสพยายามกรีดร้อง ทว่าเฉกเช่นเดิม นางบาสตีผู้เป็นสื่อกลับนิ่งเฉย กลายเป็นธุลีไม่ต่างกัน

++++++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 มิ.ย. 2555, 11:11:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 มิ.ย. 2555, 11:11:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 2091





<< อาบูซิมเบล (๔)   คาร์นัก (๒) >>
เจนิส 26 มิ.ย. 2555, 03:07:23 น.
เรื่องนี้ท่าทางจะเขียนยากนะคะ ทั้งราชาศัพท์ ทั้งข้อมูล คนเขียนเขียนเก่งจัง เห็นภาพพิธีกรรมชัดเลย


evelover 26 มิ.ย. 2555, 18:56:16 น.
นับถือไรเตอร์จริง ๆ


นาถลดา 27 มิ.ย. 2555, 16:49:19 น.
ขอบคุณคุณเจนิสและคุevelover ครับ ^^ นาถลดาจะพยายามพัฒนางานเพื่อผู้อ่านต่อไปครับผม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account