ชื่นหัวใจ กลิ่นอายรัก
เศร้า เคล้า โรแมนติก
Tags: โรแมนติกดราม่า

ตอน: ตอนที่ 3/1

ตอนที่ 3
“อย่าทำอะไรหนูเลย หนูขอร้องล่ะ ปล่อยหนูไปเถอะ”พิชชาอรส่งเสียงร้องราวกับคนเสียสติในขณะที่หล่อนอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งของอินทัช น้ำตาเจ้ากรรมก็หลั่งไหลมาด้วยความตื่นกลัวชายหนุ่มยังกอดรัดตัวเธอไว้แนบแน่นโดยไม่พูดอะไร ใจหนึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องร้องโวยวายราวกับเขาเป็นคนร้ายที่จะทำร้ายเธอขนาดนั้น ใจหนึ่งก็นึกสงสารและอยากปลอบโยนเธอด้วยอ้อมแขนของเขา
“ฟังนะสาวน้อย” อินทัชเอ่ยเสียงแผ่วเบาข้างหูหญิงสาว ซึ่งเสียงที่ฟังนุ่มขึ้นนั้นทำให้เธอสงบลงได้ไม่ยาก
“หยุดร้องและเลิกโวยวายได้แล้ว ฉันสัญญาว่าจะไม่มีวันทำร้ายเธอ และจะไม่มีทางยอมให้ใครมาทำร้ายเธอทั้งนั้น ถึงแม้เราจะไม่เคยรู้จักกัน แต่ฉันยินดีจะช่วยเหลือเธอนะ ไม่ต้องกลัวนะคนดี” คำพูดที่ฟังดูจริงใจของเขานั้นทำให้พิชชาอรรู้สึกประทับใจอย่างสุดซึ้ง จะว่าเธอหลงคารมเขาก็คงไม่ใช่ เธอสามารถตอบตัวเองได้ดี ว่าเธอไม่ได้ประทับใจเขาเพียงเพราะเขาพูดจาดี แต่เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและจริงใจของเขา หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคายของเขา ถึงแม้รกไปด้วยหนวดเครานิดหน่อย แต่ชายตรงหน้าเธอนี้ก็หน้าตาดีกว่าผู้ชายที่เธอเคยพบมาทั้งชีวิตเลยทีเดียว
สติกลับคืนมาอีกทีเมื่อถูกนิ้วมือสากนั้นลูบไล้ไปตามแก้ม หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยแต่พอจับใจความได้ว่าเขาเพียงแค่เช็ดน้ำตาให้ เธอจึงเบือนหน้าไปทางอื่นเล็กน้อยแล้วเช็ดน้ำตาด้วยมือเธอเอง อินทัชแอบรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆที่ไม่ได้สัมผัสแก้มเธออีก และตอนนี้ร่างบางนั้นก็ผละออกจากอกเขาเรียบร้อยแล้ว
“เอาล่ะ ตอนนี้เธอจะบอกได้หรือยัง ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน” อินทัชถามขึ้นเมื่อเห็นเธอเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ
“ชื่อทับทิมค่ะ ส่วนเรื่องอื่นหนูก็ได้บอกคุณไปตั้งแต่เมื่อเช้านี้แล้วนี่คะ ทุกอย่างที่หนูพูดคือเรื่องจริงค่ะ”พิชชาอรตอบเสียงเรียบ อินทัชเลิกคิ้วมองเธอเล็กน้อย
“เรื่องที่เธอบอกว่า เธอถูกตามฆ่างั้นหรือ” พิชชาอรพนักหน้าให้แทนคำตอบ
“แล้วทำไมไม่แจ้งตำรวจ” อินทัชถามอีกครั้งพลางจ้องมองเธออย่างสงสัย
“หนูกลัวค่ะ ถ้าอยู่ในกรุงเทพหนูต้องตายแน่ๆ พวกมันตามหนูไม่คลาดสายตาเลยค่ะ”
“แล้วทำไมคนพวกนั้นต้องตามฆ่าเธอด้วย มันต้องการอะไรหรือ” อินทัชเริ่มให้ความสนใจกับเรื่องของเธอมากขึ้น
“คือมันต้องการเงินของพ่อหนูมันเลยฆ่าพ่อหนูตายและจะฆ่าหนูตายตามไปด้วย”ได้ยินเพียงเท่านั้นอินทัชก็มองหน้าพิชชาอรอย่างครุ่นคิด เนื่องจากเรื่องที่เธอเล่าช่างสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เขาได้ยินมาเสียเหลือเกิน
“พ่อเธอชื่ออะไร” ชายหนุ่มถามด้วยความใคร่รู้
“ภากร วิริยะอนันต์” เสียงนั้นดังก้องในโสตประสาทของอินทัชทันทีที่ได้ยิน ชายหนุ่มแทบล้มทั้งยืน แต่ยังดีที่ประคองร่างกายและสติตัวเองไว้ได้เสียก่อน คำตอบนี้ของหญิงสาวทำให้เขาจ้องมองเธอตาเขม็งราวกับจะรั้งตัวเธอไว้ด้วยสายตานั้นให้นานที่สุด ก่อนที่เขาเอ่ยถามหญิงสาวเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“เธอคือ ลูกสาวของคุณภากรเองหรอกหรือ”
“ใช่ค่ะ ฉันชื่อพิชชาอร วิริยะอนันต์ คุณถามเหมือนคุณรู้จักพ่อฉันเลยนะ แต่ฉันก็ไม่แปลกใจหรอก ใครๆก็รู้จักพ่อฉันทั้งนั้นแหละ โดยเฉพาะในวงการอะไหล่ พ่อฉันน่ะ เป็นเจ้าของโรงงานผลิตอะไหล่รถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเลยนะ” พิชชาอรพูดแอบอวดนิดๆ พลางลอบมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างสงสัย เพราะตอนนี้หน้าตาเค้าดูมึนๆงงๆไปหลังจากที่รู้จักชื่อพ่อของเธอ
อินทัชแทบไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริง ผู้หญิงที่ยืนตรงหน้าคนนี้คือคนที่เป็นลูกสาวของคนที่เขาต้องการจะช่วยเหลือให้พ้นจากเงื้อมือของพี่สาวบุญธรรมของเขา โลกมันกลมเสียจริงเลย หรือว่าเขาฝันไป ไม่น่าจะใช่นะ
“เอ่อ ขอโทษนะที่ฉันถาม ตอนนี้พ่อของเธอ....”
“เสียแล้วค่ะ” พิชชาอรตอบคำถามของอินทัชอย่างปวดใจอีกครั้ง เพราะที่ต้องเสียพ่อบังเกิดเกล้าไปอย่างกะทันหันนั้นมันช่างทำใจลำบากเสียจริง แต่ทว่าคนฟังนั้นกลับรู้สึกลำบากใจยิ่งกว่า เพราะสิ่งที่เขาพยายามป้องกันมาโดยตลอดว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้น แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นจนได้ ไม่น่าเลยจริงๆ ชายหนุมสบตากลมโตของสาวน้อยอีกครั้งอย่างลึกซึ้งราวกับจะบอกบอกอะไรบางอย่างกับเธอ ซึ่งสิ่งที่อยากบอกนั่นคือคำว่า ขอโทษ ขอโทษจริงๆนะที่ไม่สามารถช่วยเหลือพ่อเธอไว้ได้
“แล้วนี่หน้าผากเธอไปโดนอะไรมา”อินทัชถามอย่างแผ่วเบาพลางมองไปที่หน้าผากข้างซ้ายที่ถูกปิดทับด้วยผ้าก็อตสีขาว ในใจนึกอยู่แล้วว่าต้องเป็นแผลที่ได้เลือดมากที่เดียว
พิชชาอรเอามือคลำที่บาดแผลของตัวเอง ก่อนมองหน้าอินทัชสีหน้าเศร้า
“คือว่า.......”
“ป้อเลี้ยงเจ้า ป้อเลี้ยง” เสียงใสของใบบัวที่ดังขึ้นพร้อมกับตัวเธอที่ทั้งเดินทั้งวิ่งเข้ามา ทำเอาทั้งอินทัชและพิชชาอรสะดุ้งเล็กน้อย ทั้งคู่หันไปหาเจ้าของเสียง
ใบบัวเองก็ตกใจไม่น้อยที่พบกับหญิงสาวแปลกหน้าอยู่ในบ้านกับพ่อเลี้ยงเพียงลำพัง หล่อนปรายตามองพิชชาอรเล็กน้อยก่อนจะ หันไปพูดกับชายหนุ่มเสียงหวาน
“ป้อเลี้ยงเจ้า ไอ้เจ้าปุยฝ้ายที่มันไม่สบายนอนโรงบาลเมื่อคืน เมื่อครู่นี้หมอโทรมาหาใบบัวว่ามันค่อยยังชั่วแล้วเน้อเจ้า แล้วหมอก็บอกหื้อมันปิ๊กบ้านได้แล้วโต้ย”
“จริงเหรองั้นไปสิ ฉันว่างพอดีงั้นเดี๋ยวเราไปรับเจ้าปุยฝ้ายกัน” อินทัชบอกกับใบบัวอย่างยินดี แล้วทันใดนั้นใบบัวก็เอื้อมมือมาคล้องแขนพ่อเลี้ยงอย่างว่องไว ท่ามกลางสายตางงงวงยของพิชชาอร ใบบัวพยายามดึงอินทัชไปให้พ้นจากตรงนั้นเร็วไว แต่ทว่าอินทัชรั้งไว้ก่อน แล้วชายหนุ่มก็หันมามองหน้าพิชชาอรก่อนเอ่ยปากขึ้น
“ไปด้วยกันไหม” อินทัชถือโอกาสชวนอย่างเป็นกันเอง เพราะเขานั้นอยากให้เธอได้ผ่อนคลายและลดความตึงเครียดกับเรื่องที่เจอมา และได้ทำความคุ้นเคยกับเขาและคนที่นี่ให้มากขึ้นด้วย พิชชาอรมองหน้าอินทัชอย่างลังเล กะจะบอกว่าไม่ไปแต่ทว่าสายตาหันไปเห็นแววตาถลึงของใบบัวที่ทำใส่เธอแล้วนึกอยากจะเอาชนะขึ้นมา
“ไปก็ได้ค่ะ” คำตอบของพิชชาอรทำเอาใบบัวกัดฟันแทบหักเชียว พ่อเลี้ยงเห็นใบบัวจ้องพิชชาอรไม่วางตาจึงถือโอกาสแนะนำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน
“ใบบัวนี่ทับทิม เป็นลูกของญาติฉันเอง มาจากกรุงเทพ เขาจะมาอยู่ด้วยสักพักนะ มีอะไรก็คุยกันแนะนำเขาบ้างนะ” อินทัชหันไปหาพิชชาอรแล้วแนะนำให้รู้จักใบบัวบ้าง
“นี่ใบบัว เป็นลูกสาวของป้าแม้นแล้วก็เป็นคนดูแลคนงานที่นี่ร่วมกับอำพล ลูกน้องของฉันที่เธอเจอเมื่อเช้า”
‘เป็นคนคุมคนงานนี่เอง มิน่าถึงทำตัวกร่างไม่ใช่เล่น แล้วดูแสดงท่าทางเข้าสิ ทำอย่างกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของพ่อเลี้ยง’ พิชชาอรนึกในใจ
“ใบบัวบ่เกยจะได้ยินเลยนะเจ้าว่าป้อเลี้ยงมีญาติเป็นเด็กสาวคนนี้เลยนี่เจ้า จะมีก็คุณนง...”
“เอาเถอะน่ะ ไม่ต้องอยากรู้หรอกว่าญาติข้างไหนเอาเป็นว่าเค้าเป็นญาติของฉันก็แล้วกัน เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” อินทัชรีบตัดบทอย่างฉิวเฉียด ก่อนที่ใบบัวจะพูดซื่อนงลักษณ์ขึ้นมา ซึ่งนั่นอาจทำให้พิชชาอรตื่นตระหนกกันไปใหญ่
“อำพล เอารถออก เราจะไปโรงพยาบาลสัตว์กัน”อินทัชสั่งกับลูกน้องที่ยืนเช็ดรถอยู่พอดี พร้อมกันนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาลูกน้องคนสนิทอย่างระแวดระวัง
“นี่นายห้ามบอกใครเลยนะว่า แม่สาวคนนั้นเป็นใคร”อินทัชกระซิบบอกอำพลพร้อมกับชี้ให้ดูพิชชาอรที่กำลังเดินตามหลังใบบัวมา
“ฉันจะบอกกับคนที่นี่ว่าเธอเป็นญาติของฉัน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลังนะเข้าใจไหม” อำพลพยักหน้าเข้าใจทันทีที่อินทัชพูดจบ เขาจึงถูกเจ้านายตบไหล่เบาๆสองครั้ง ในขณะที่สองสาวนั้นเดินมาถึงรถพอดี
ใบบัวเองนั้นรู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าพิชชาอรเท่าไหร่นักที่ต้องมาอยู่ใกล้ชิดกับพ่อเลี้ยง อันที่จริงแล้วเธอเองก็ไม่ชอบหน้าผู้หญิงทุกคนที่อยู่ใกล้กับพ่อเลี้ยงนั่นแหละ โดยเฉพาะกับแม่สาวน้อยคนนี้ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักไม่เบาเลย ถึงแม้พ่อเลี้ยงจะบอกว่าเป็นญาติก็เถอะ แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี
‘อย่านึกนะว่าเฮาบ่ฮู้ว่าตั๋วกึ๊ดจะใดกับป้อเลี้ยง เมื่อเช้าแม่ยังบอกว่าตั๋วเป็นแขกของป้อเลี้ยงอยู่เลย แต่ตอนนี้ตั๋วทำยังไงให้ป้อเลี้ยงยอมฮับตั๋วเป็นญาติได้ มารยาเยอะนัก’ ใบบัวนึกในใจอย่าชิงชังพลางลอบมองใบหน้าหวานของพิชชาอร ตลอดเวลาที่นั่งรถไปด้วยกัน
พิชชาอรเองก็อึดอัดอยู่ในใจเช่นกันที่ต้องถูกแม่สาวชาวเหนือนี่จ้องเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เธอไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าไปทำอะไรให้หล่อนนะ ถึงดูท่าทางไม่เป็นมิตรกับเธอเสียเลย ทั้งๆที่เรื่องที่หล่อนเข้าใจผิดและทะเลาะกับเธอเมื่อเช้าจนหัวแตกเธอก็ไม่ติดใจเอาความแล้วนี่นา
เมื่อถึงโรงพยาบาลสัตว์ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน พิชชาอรได้ติดตามพวกอินทัชเข้าไปรับสัตว์เลี้ยงของพวกเขาในโรงพยาบาล เมื่อติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ได้แล้ว เจ้าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยก็หลุดพ้นจากมือของหมอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเจ้านายผู้เป็นที่รักทันที
“เป็นไงบ้าง ปุยฝ้ายหายดีแล้วคราวนี้อย่าซนไปกินอะไรแสลงเข้าอีกล่ะเดี๋ยวก็ได้มาที่นี่อีกนะ” อินทัชพูดกับสุนัขพันธ์พุดเดิ้ลตัวโปรดของเขาอย่างเอ็นดู คำพูดของเขาแซมด้วยรอยยิ้มสดใสตลอดเวลา เจ้าสนัขขนฟูสีขาวก็ซุกซนเลียหน้าเลียตาของเจ้านายอย่างดีใจทำเอาอินทัชหัวเราะร่า ทำเอาคนมองอย่างพิชชาอรอดยิ้มด้วยไม่ได้ ใจหนึ่งก็ชื่นชมที่มีหมาน่ารัก อีกใจหนึ่งเธอก็นึกชอบรอยยิ้มของชายหนุ่มขึ้นมา เพราะเธอไม่อยากเชื่อเลยว่า ผู้ชายที่ดูมาดเข้มดุดันที่เถียงกับเธอเมื่อแรกเจอ จะดูอ่อนโยนได้ขนาดนี้
“นี่เป็นยากินหลังอาหารนะครับ แล้วก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เขากินพวกผักหรือผลไม้ที่ไม่ได้ล้างอีก เพราะเขาอาจรับยาฆ่าแมลงเข้าไป เพราะปุยฝ้ายเขาแพ้นะครับ” สัตวแพทย์อธิบาย ทว่าอินทัชมองหน้าหมอเครียดลงทันที
“หมอจะบอกว่าที่เจ้าปุยฝ้ายหมาของผมมันไม่สบายเพราะไปกินผักหรือผลไม้ที่มียาฆ่าแมลงเหรอ เป็นไปไม่ได้ ที่ไร่ผมปลูกพืชแบบธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีนะครับ”
“แต่ทางเราตรวจพบสารเคมีจากน้ำลายของปุยฝ้ายนะครับ”สัตวแพทย์ยังยืนยันหนักแน่น อินทัชหันมามองหน้าอำพลและใบบัวแวบหนึ่งก่อนหันมากล่าวกับหมอ
“อย่างนั้นเหรอครับ ไม่เป็นไร งั้นผมจะดูให้ดี ขอบคุณครับ” เมื่อสัตวแพทย์เดินจากไปแล้ว อินทัชก็รีบหันมาถามอำพลและใบบัวสีหน้าเครียดทันที
“ทำไมที่ไร่บริรักษ์ศักดาถึงมีการใช้ยาฆ่าแมลง ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเราทำการเกษตรแบบธรรมชาติ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีกับยาฆ่าแมลงไง ทำไมต้องขัดคำสั่งฉัน” เมื่อได้ยินคำถามที่ฟังดูเครียด ทำเอาอำพลและใบบัวหน้าซีดลงทันที โดยเฉพาะใบบัวนั้นก้มหน้างุดด้วยความหวาดเกรง เนื่องด้วยเธอรู้ดีว่าเวลาที่พ่อเลี้ยงเอาจริงเอาจังขึ้นมานั้นมันเคร่งเครียดแค่ไหน
“บ่มีเน้อป้อเลี้ยง ทางผมก็ได้สั่งกับคนงานแล้วว่าบ่มีการใช้สารเคมี ไร่ชาของเฮาเป็นแบบออร์แกนิกส์นะเจ้าจะมีการปนเปื้อนสารเคมีได้จะใด” อำพลตอบอย่างมั่นใจ เนื่องจากเขาก็ ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้านายอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะให้เกิดเหตุการ์ณเช่นนั้นขึ้นมาได้
“ใช่เจ้า ป้อเลี้ยงไร่สตอร์เบอรี่ของเราก็ปลูกแบบออร์แกนิกส์ 100 % ค่ะ บ่มีสารเคมีแน่นอนเจ้า หรือไม่เจ้าปุยฝ้ายมันอาจจะไปเล่นซนที่ไร่ข้างๆ ที่ใช้สารเคมีก็ได้นะเจ้า” ใบบัวเองก็พูดทำท่าเหมือนจะมั่นใจเช่นกัน
“ไอ้เจ้าปุยฝ้ายพุดเดิ้ลเนี่ยนะ วิ่งไปเล่นที่ไร่ข้างๆ ระยะทางจากบ้านของฉันกับไร่ข้างๆ มันไม่ใช่ใกล้เลยนะ” อินทัชถามกลับอย่างจับผิด ทำเอาทั้งใบบัวกับอำพลไม่รู้จะตอบคำถามนี้ยังไง เนื่องจากรู้ดีว่าปุยฝ้ายมันไม่เคยวิ่งเล่นไกลเกินอาณาเขตบ้านพักหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงเลยสักครั้ง
เมื่อไม่มีคำตอบกลับมา อินทัชก็ไม่พูดอะไรอีกเขาจึงเดินผ่านทั้งคู่ไปเดินทางกลับทันที พิชชาอรจึงรีบเดินตามไป อำพลมองหน้าใบบัวอย่างงงๆเล็กน้อยก่อนที่ทั้งคู่จะเดินตามกลับไป
จากการสนทนาอย่างเคร่งเครียดนั้นทำให้พิชชาอรได้รู้ว่าไร่ชาแสนสวยกับสตอร์เบอรี่ที่หวานหอมที่เธอได้เห็นและแอบกินเมื่อเช้านั้นเป็นไร่ที่ปลูกแบบออร์แกนิกส์ ไม่ใช้สารเคมีนั่นเอง ยิ่งทำให้เธอหลงรักไร่ที่นี่เข้าไปใหญ่นอกเหนือจากธรรมชาติที่สวยงาม และยังได้รู้ว่า อีตามาดเข้มคนนี้เวลาเรื่องงานเขาก็จริงจังน่าดูเชียว
“นี่คุณไม่เห็นต้องไปดุพวกเขาอย่างนั้นเลย บางทีหมาของคุณอาจจะแอบกินพวกผักที่ซื้อมาจากที่อื่นก็ได้นะ”พิชชาอรออกความคิดขึ้นมาในขณะที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังในรถกับอินทัช
“ไม่ใช่หรอก ป้าแม้นปลูกผักสวนครัวไว้กินเองหลังบ้าน อาหารส่วนใหญ่ที่ทำกินก็มาจากผักหลังบ้านแกนั่นแหละ” อินทัชพูดเสียงเรียบ เพราะยังคงมีความเครียดในแววตาอยู่ พิชชาอรเห็นอำพลกับใบบัวเดินมาถึงที่รถแล้ว พร้อมกันนั้นทั้งคู่ก็ขึ้นรถทันที อำพลนั้นประจำที่คนขับส่วนใบบัวนั้นนั่งอยู่ข้างๆคนขับอย่างจำใจ
ภายในรถเงียบไม่มีเสียงเล็ดลอดจากใคร พิชชาอรจึงทำลายความเงียบลงด้วยการเล่นกับเจ้าหมาน้อยอย่าง สนุกสนาน ซึ่งเจ้าปุยฝ้ายก็เล่นกับเธออย่างเป็นกันเองเช่นกัน
“ท่าทางปุยฝ้ายมันจะชอบเธอนะ ปรกติแล้วมันไม่เล่นกับคนแปลกหน้าหรอก” อินทัชพูดขึ้นอย่างยินดีที่หมาของเขาเข้ากับหล่อนได้ สายตาคมก็เผลอมองใบหน้าเรียวสวยพวงแก้มแดงระเรื่ออยู่อย่างนั้น ยิ่งเวลาที่พิชชาอรยิ้มเล่นกับหมายิ่งทำให้เธอดูสวยมาก ทำเอาอินทัชเผลอจ้องมองเธอดวยความชื่นชม ทว่าสายตาที่อินทัชมองพิชชาอรนั้น สะท้อนผ่านกระมองที่ใบบัวกำลังมองอยู่ หล่อนเองก็นึกกลัวอยูในใจว่าอนาคตพ่อเลี้ยงกับสาวน้อยที่บอกว่าเป็นญาตินั้นจะเป็นอย่างไร เพราะเธอก็ไม่เคยเห็นพ่อเลี้ยงมองผู้หญิงคนไหนด้วยแววตาแบบนี้เลย
“เอ๊ะ! นั่นดอกอะไรคะ สวยจังเลย” พิชชาอรอุทานขึ้นเมื่อมองออกไปนอกกระจกแล้วเห็นดอกไม้สีเหลืองสวยสดใสบานเต็มท้องทุ่ง
“ดอกบัวตองน่ะ ช่วงนี้กำลังบานเลย อยากลงไปดูใกล้ๆไหมล่ะ” อินทัชตอบพร้อมเชิญชวน
“ไปสิคะ ทับทิมอยากไปดู”พิชชาอรตอบอย่างดีใจราวกับเด็กน้อยได้ขนม
ไม่ต้องรอให้อินทัชบอกอำพลก็เลี้ยวรถเข้าไปในไร่ดอกบัวตองทันที ซึ่งขณะนี้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมทุ่งดอกบัวตองกันเยอะพอสมควร พิชชาอรลงจากรถพร้อมออกมามองอย่างตื่นเต้น ภาพตรงหน้าเรียกรอยยิ้มให้ปรากฎบนใบหน้างดงามได้ในทันที อินทัชจูงเจ้าสุนัขปุยฝ้ายลงมาจากรถ พร้อมกับส่งรอยยิ้มให้หญิงสาวก่อนเชิญชวนเธอเข้าไปดูดอกบัวตองใกล้ๆ
ดอกไม้สีเหลืองสดขนาดกำลังดีบานสะพรั่งชูช่อสดใส เมื่อได้มาอยู่รวมกันกลางท้องทุ่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาแล้วก็สามัคคีกันสวยเลย พิชชาอรประทับใจมากกับภาพที่เห็นตรงหน้า แสงแดดอ่อนๆยามบ่ายสะท้อนมากระทบร่างบางเมื่ออยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ยิ่งทำให้ดอกไม้นั้นดูสวยมากขึ้นอีกเมื่อมีหญิงสาวอยู่ตรงกลาง ภาพนั้นช่างงดงามจับใจอินทัชอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาไม่เคยชมทุ่งดอกบัวตองครั้งไหนที่สวยงามเท่าครั้งนี้เลย สวยจนอยากเก็บภาพที่งดงามนี้เอาไว้
“เธออยากถ่ายรูปไหม” อินทัชถามขึ้น พิชชาอรรีบพยักหน้าแทบไม่ทัน เพราะเธอเองก็อยากเก็บความประทับใจนี้ไว้เช่นกัน อินทัชจึงหันไปมองหน้าอำพล แวบเดียวเท่านั้นอำพลจึงเดินกลับบ้านที่รถเพื่อไปหยิบกล้องให้ทันที
ท่ามกลางความสวยงามของดอกไม้เต็มท้องทุ่งกับรอยที่สดใสของพิชชาอร ใบบัวจ้องมองหญิงสาวอย่างนึกอิจฉาอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้เป็นเพราะอะไร หรือเป็นเพราะเธออิจฉาใบหน้าหวานซึ้งนั่น หรืออิจฉาที่พ่อเลี้ยงที่เธอแอบหลงรักมานานนั้น ให้ความสนใจกับแม่นั่นเป็นพิเศษ
“อ้าวใบบัวมายืนทำหน้าบูดอิหยังรตรงนี้ล่ะ บ่ไปดูดอกบัวตองใกล้ๆ” อำพลทักขึ้นหลังจากที่เขาเดินไปหยิบกล้องมาไว้แล้วเตรียมจะเอาไปให้พ่อเลี้ยง
“บ่เป็นหยังดอกปี้ เฮาดูจนเบื่อแล้ว” เมื่อได้ฟังคำตอบแล้วอำพลก็พักหน้าเบาๆ ก่อนจะรีบเดินต่อเพื่อนำกล้องถ่ายรูปไปให้พ่อเลี้ยง
“ถ่ายตรงนี้ด้วยตรงนี้ด้วย!” พิชชาอรชี้ไปตรงที่มีดอกบัวตองชูช่อสวยไล่เลียกับความสูงขงเธอ เพื่อจะให้ตากล้องจำเป็นอย่างอินทัชถ่ายให้อย่างสนุกสนาน อินทัชเองก็เต็มใจถ่ายรูปให้หญิงสาวอย่างไม่รู้เบื่อ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทำไมเขาต้องมาทำให้เธอด้วย ทั้งๆที่ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนที่จะมาตามถ่ายรูปให้ใครหรือพาใครเที่ยวอย่างนี้มานานแล้ว ชีวิตเขาที่ผ่านมามีแต่เรื่องงานเท่านั้น หรือเป็นเพราะเขาอยากให้เธอมีความสุขและพ้นทุกข์จากเรื่องที่เธอเคยสูญเสียมาเมื่อไม่นานและเขาเองก็รู้สึกผิดที่ไม่สามารถไปช่วยเธอไว้ได้ทัน ทั้งๆที่รู้เรื่องมานานแล้ว
อำพลยืนมองพ่อเลี้ยงของเขากับแม่สาวน้อยคนสวยนั่นแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นพ่อเลี้ยงอินทัชดูสดใสมีชีวิตชีวาอย่างนี้
“พ่อเลี้ยงครับ ให้ผมถ่ายรูปพ่อเลี้ยงกับคุณหนูทับทิมให้ไหมครับ เห็นถ่ายแต่คุณทับทิมอย่างเดียวเลย” อำพลออกความเห็น อินทัชกับพิชชาอรจึงมองหน้ากันตาปริบก่อนที่ฝ่ายหญิงจะเริ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส
“เอาสิคะ ถ่ายรูปด้วยกันนะคะ พ่อเลี้ยง” ว่าแล้วหญิงสาวก็หยิบกล้องในมือของพ่อเลี้ยงส่งให้อำพล เสร็จแล้วหล่อนก็หามุมสวยๆถ่ายรูปก่อนจะกวักมือยิกๆ เรียกให้อินทัชข้าไปถ่ายรูปใกล้ๆกับเธอ พร้อมกับส่งยิ้มหวานมาให้ วินาทีนั้นทำเอาชายหนุ่มหัวใจเต้นแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ใบหน้าคมคายนั้นยังดูเรียบเฉยไม่มีทีท่าตื่นเต้นให้เห็น
และในที่สุด พิชชาอรก็ทำลายความเรียบเฉยของใบหน้าคมนั้นลงได้ เมื่อเธอได้จัดแจงท่าทางการถ่ายรูป ที่สามารถเรียกรอยยิ้มจากคนถ่ายและคนถูกถ่ายได้เป็นอย่างดีรวมไปถึงคนที่เดินผ่านไปมาด้วย
“นี่เค้าเรียกว่าท่า ซารางเฮโย กำลังฮิตมากเลยนะ” พิชชาอรพูดพลางยกแขนขึ้นแล้วงอฝ่ามือลงไว้เหนือศรีษะ ในขณะที่อินทัชก็ทำท่านั้นเช่นกันทั้งคู่เอามือมาชนกันเหนือศรีษะทำให้เกิดเป็นรูปหัวใจขึ้นมานั่นเอง
ในขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุขกับการถ่ายรูปและชมทุ่งดอกบัวตองกันนั้น ทว่าอีกคนหนึ่งที่เห็นภาพความสุขระหว่างเธอกับเขาแล้วทำให้ภายในจิตใจนั้นเกิดความทุกข์อย่างแสนสาหัส เพราะเธอเองก็ไม่เคยเห็นคนที่เธอแอบรักมาตลอดนั้นดูสดใสได้ขนาดนี้เลย ความกลัวว่าพ่อเลี้ยงจะหวั่นไหวกับผู้หญิงน่ารักคนนั้นก็เกิดขึ้นภายในจิตใจ เธอเองก็รู้จักอินทัชมานาน จึงพอรู้ว่าเขาไม่เคยหวั่นไหวกับผู้หญิงคนไหนง่ายๆ แม้แต่เธอที่มีความรู้สึกดีๆให้กับเขา และพยายามจะทำให้เขาได้รับรู้แต่ก็ยังไม่มีโอกาสเลย แต่กับสาวน้อยคนนี้ทำไมถึงได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเขาได้ง่ายดายนัก...
กว่าจะเต็มอิ่มกับการชมทุ่งดอกบัวตอง แสงทองก็เริ่มจับขอบฟ้าเสียแล้ว ทุกคนเริ่มทยอยกันกลับ รวมทั้งพวกของอินทัชด้วย พิชชาอรเดินทางกลับด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ท่ามกลางความอิ่มเอมใจของอินทัช ที่รู้สึกภูมิใจอยู่ลึกๆที่วันนี้เขาสามารถทำให้เธอมีความสุขได้



พราวเพชร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 มิ.ย. 2555, 17:28:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 มิ.ย. 2555, 17:28:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1211





<< ตอนที่ 2/3   ตอนที่ 3/2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account