ในสวนศิลป์
พี่ต้นกล้า นาวาตรีจิรวัติ สุกปลั่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาของกฤษณะอีกต่อไปแล้ว วันนี้เป็นวันวิวาห์ของเขากับพี่แพรวพรรณที่เพาะบ่มความรักดูใจกันตามที่แม่ของพี่แพรวพรรณต้องการมาถึงเกือบสองปี..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 1.คุณหนูจรินนา & อาจารย์เดชาพงษ์

เคยลงเรียกน้ำย่อยไปแล้ว ทีนี้(วันนี้)ก็ขอลงเต็มบทแล้วกันนะครับ ยังไม่ได้ให้ฝ่ายตรวจคำผิดช่วยดูให้เลย เจอไม่ชอบมาพากลตรงไหนก็บอกกันบ้างนะครับ...

สำหรับ ชุดนิยายอย่างไม่เป็นทางการ ชุด ลิขิตพรหม โดยมี พี่ต้นกล้า จิรวัติ สุกปลั่ง เปิดตัวในเรื่องราชนาวีที่รักไปแล้วนั้น...ตอนนี้ เรื่อง ม่านพรหม ของน้องหนูนา เมขลาก็ผ่าน การพิจารณาจากสนพ.ดอกหญ้า 2000 ไปแล้วนะครับ อย่างไร เจอฉบับรูปเล่ม ภายในเร็ววันนี้ ช้าสุดก็งานหนังสือเดือนตุลาคม ฝากอุดหนุนด้วยแล้วกัน...ส่วน ในส่วนศิลป์ เรื่องของพี่คนรองของน้องหนูนา นี้ จะพยายาม...ทำงานให้ได้สัปดาห์ละตอนนะครับ ...ให้กำลังใจกันดี ๆ ใจคนเขียนฟู ๆ ก็อาจจะได้อ่านเร็วขึ้น..บอกตรง ๆ ว่า ช่วงนี้..คิดอะไรไม่ค่อยออกเลย...ว่างเปล่ามากมาย...แต่จะพยายามครับ..

............

นวนิยาย

ในสวนศิลป์

เฟื่องนคร

บทที่ 1

หญิงสาวผมหยิกยาวสีน้ำตาลอ่อนอันเกิดจากการทำสี ปรายตาไปยังประตูทางเข้าร้านอาหารเมื่อคนที่ได้นัดหมายผลักประตูเข้ามา และเมื่อคนร่างสูงที่อยู่ในชุดกางเกงสแลคสีครีมเอวต่ำสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวออกเหลือง ๆ พอดีตัวเดินมาหยุดที่หน้าโต๊ะที่เจ้าหล่อนนั่งอยู่หญิงสาวก็เอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงแข็ง ๆ ใบหน้าบึ้งตึงบ่งออกให้รู้ว่าเจ้าหล่อนนั้นเป็นคนอาแต่ใจตัวเองอย่างชนิดร้ายกาจทีเดียว

“นั่งค่ะ”

“เป็นอะไรหน้าตาดูไม่ได้เลย” ชายหนุ่มที่มีอายุแก่กว่าทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวตรงกันข้ามพลางร้องถามด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ อย่างคนรู้ใจกัน

“ยิ้มไม่ออก”

“ก็ยิ้มให้มันออก”

“เบื่อ...”

“ใครทำให้เบื่อ การประชุมเป็นอย่างไรบ้าง”

หญิงสาวผินหน้าไปหากระจกมองถนนที่มีรถวิ่งไปมา ถนนเส้นนั้นมีฝุ่นพอรู้สึกได้ เป็นถนนเส้นหลักกลางตลาด สภาพคนเดินถนนนั้นเล่าก็แต่งตัวเหมือนอยู่กับบ้าน หาความเจริญหูเจริญตาไม่ได้สักนิด แม้แต่ร้านที่นั่งรอเอกรินทร์นี่ก็เหมือนกัน ถึงมันจะดูดีกว่าร้านอื่น ๆ ในถนนเส้นเดียวกัน แต่ว่าหญิงสาวก็ยังรู้สึกว่ามันธรรมดาเป็นอย่างมาก แต่ถ้าให้ไปหาที่นัดเจอกันที่ดีกว่านี้มันก็ไม่มีในย่านนี้ ดังนั้นแม้จะนั่งรอเขาร่วมห้านาทีแต่ว่าใจของหญิงสาวก็หาได้เย็นลงเหมือนน้ำเปล่าใส่น้ำแข็งที่วางอยู่ตรงหน้า

“ถามก็ไม่ตอบ..”

“อยากฆ่าคน”

“โห...ขนาดนั้นเลย ฆ่าใคร ใครกล้าขัดใจคุณหนูจรินนา” เขายิ้มนิด ๆ

“พี่เอกคิดดูนะ” หญิงสาวหันกลับมาระบายเรื่องที่อัดแน่นอยู่ในอก.. “โรงแรมใหม่ที่ป๊าจะให้จินนั่งแท่นเป็นผู้บริหาร จะมีคอนเซ็ปเป็นสรวงสวรรค์ มีพวกภาพกินรี กินนร นางฟ้า เทวดา มีผลไม้ต้นไม้ในวรรณคดีไทย แต่งแต้มบนผนังปูน”

“ก็ดีนี่”

“ดีตรงไหน..เชยบรม”

“แล้วคนที่เขาคิดคอนเซ็ปให้ เขาอธิบายว่าอย่างไรบ้าง” เอกรินทร์ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าคนที่จรินนาอยากฆ่าทิ้งเป็นใคร เขายิ้ม ๆ ขณะคุยไปด้วย ซึ่งจรินถลึงตาให้ก่อนจะบอกว่า

“อย่าบอกนะว่า แอบมีใจให้อีตานั่น”

“เขาชื่อออกจะเพราะ หน้าตารึก็พอไปวัดไปวาได้”

“ได้ข่าวว่าหากินอยู่กับวัดอยู่แล้ว”

“หูเร็วตาเร็วเหมือนกันนี่”

“ไม่ได้อยากรู้จักหรอก...ตอบมาก่อน นายนั่นเป็นแบบพี่ด้วยใช่ไหม ปิ๊งกันอยู่ใช่ไหม” แม้ไม่อยากรู้จัก แต่ในข้อมูลในแฟ้มที่เลขานุการของคุณพ่อนำมาให้เธอได้ศึกษาก็มีข้อมูลของเขาพร้อม ตั้งแต่ ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด ที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เบอร์โทรศัพท์ และสถานภาพทางการศึกษา ประสบการณ์ทำงานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงรูปถ่ายหน้าตรงของเขาที่ดูเหมือนจะมีแววยิ้มเยาะให้กับเธอเสียด้วย...ซึ่งเธอเองต้องอ่าน ต้องรู้จักเขาไว้ เพราะในตอนนี้เธอรู้สึกว่าเขาเป็นผู้มีอิทธิพลกับความคิดของคุณพ่อเป็นอย่างมาก

...มากจนเธอไม่สามารถคันค้านกับเรื่องที่เห็นว่ามัน ‘ไม่ใช่’ ได้เสียด้วย ซึ่งเธอจะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด เพียงแต่วันนี้ในที่ประชุม เธอยังไม่อยากแผลงฤทธิ์แผลงเดชให้คนเก่าคนแก่ได้เห็น แต่คนอย่างเธอจะไม่มีวันยอมแพ้..และยิ่งพี่เอกรินทร์ที่กลับมาจากอเมริกามาก่อนเธอหนึ่งปีมีทีท่าหูตาแพรวพราวยามเมื่อเอ่ยถึงเขาอย่างนี้ด้วย ก็แสดงว่าน่าจะเป็นพวกเดียวกัน ซึ่งคนพวกนี้คงไม่ยากที่จะคุยกันเป็นการส่วนตัว...

“เขาก็เป็นเขา...แบบที่จินเห็น”

“แต่ จินก็ไม่ได้มีตาดวงที่สามแบบพี่นี่..”

“พี่ว่าเขาแมนเต็มร้อยนะ...”

“พวกอยู่กับงานศิลป์ไว้ใจไม่ได้หรอก”

“อย่าไปเหมาเลย จริง ๆ มันแฝงตัวอยู่ทุกวงการแหละ...แต่คนนี้ พี่รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง แต่ขณะเดียวกัน พี่ก็รู้สึกว่าเขาไม่ค่อยธรรมดา มีเสน่ห์ซ่อนเร้นอย่างบอกไม่ถูก”

“ตรงไหน..” ริมฝีปากบางได้รูปเคลือบลิปสติคเนื้อดีสีชมพูอ่อนเบะออก ดวงตารียาวหางตาชี้ขึ้นนั้นเล่าก็ดูแคลนคนที่เธอหาได้รู้สึกสนใจในแบบเสน่หาสักนิด..

“สูงใหญ่ไหล่กว้าง ตาเขาสวยนะ ได้มองตาเขาบ้างหรือเปล่า..ไหนจะมีเครา มีหนวดอีก เคยเจอเขาตอนไม่ได้โกนหนวดโกนเคราหรือยัง?..”

“เห็นหน้าครั้งแรกก็ไม่ต้องชะตาแล้ว..แต่งตัวไม่รู้กาลเทศะ เสื้อลายผ้าขาวม้า กางเกงยีนขาด ๆ”

“อ้าว ก็เขาศิลปิน”

“ดีนะผมไม่ยาวรุงรัง..”

“อาจจะเคยไว้ยาวรุงรังก็ได้ แต่ก็คงน่าดูอยู่เหมือนกัน รูปหน้าเขาสวยนะ จมูกโด่ง ตาเหมือนแขกผมหนาดีด้วย”

“หยุดชมโฉมเขาสักทีเถอะ..น่าเบื่อชะมัด...” ตัดบทแล้วจรินนาก็ถอนหายใจแรง ๆ ก่อนจะระบายความในใจว่า “ตัวโครงสร้างหลักราคาวัสดุก็แพงเว่อร์อยู่แล้ว แค่ทาสีอย่างเดียว หรือติดวอลเปเปอร์ลงไป ทุกอย่างก็จบแล้ว จ้างช่างมาวาดภาพลงไปพี่คิดดูเถอะว่ามันจะเสียเวลาแค่ไหนแล้วค่าใช้จ่ายอีกตั้งเท่าไหร่ แล้วถามจริง ๆ มันทำให้โรงแรมดูมีรสนิยมตรงไหน....เป็นอาร์ตโมเดิร์นก็ว่าไปอย่าง อยากได้งานศิลป์แต่งแต้มโรงแรมพวกจิตรกรหัวสมัยใหม่ที่พร้อมขายงานมีเยอะแยะ ซื้อรูปใส่กรอบมาติดก็ได้”

“แต่อาเจ็กก็ตัดสินใจไปแล้ว ใครก็ขวางไม่ได้ เพราะงานนี้ แยกทำตามลำพัง...”
“แล้วก่อนหน้านั้นอาแปะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า”

“ถึงรู้ก็ไม่สนใจอะไรหรอก...โต ๆ กันแล้ว อาเจ็กก็คงมีเหตุผลของเขา ตัวเองเป็นลูกก็ถามเองสิ..”

“ถามแน่ ๆ...แล้วก็คิดแก้ไขสถานการณ์อยู่เนี่ย”

“ทำใจยอมรับน่าจะง่ายกว่านะ”

“ไม่..อย่าลืมนะว่าจินจะต้องดูแลที่นั่นไปอีกนานทีเดียว..เห็นแล้วมันแสลงลูกตา”

“เขายังไม่ทันได้วาดเลย วาดแล้วอาจจะออกมาดูดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ก็ได้..”

“บอกแล้วว่าไม่ชอบ ไม่ชอบก็ไม่อยากเห็น..แล้วนี่เขากำลังจะเอาช่างมาลงมือในวันสองวันนี้แล้วนะ...เบิกเงินก้อนแรกไปแล้วด้วย”

“ก็ให้รีบกลับมาพร้อมกัน ก็มัวโอ้เอ้อยู่นั่นแหละ...แล้วเป็นไงสุดท้ายก็ไม่ใช่อยู่ดี”

“อย่าไปพูดถึงมันเลย ถ้าไม่อยู่ต่อ ก็ไม่รู้หรอกว่า เขาเจ้าชู้ขนาดไหน ดีนะไม่ถลำตัว”

“แต่ก็เสียใจใช่ไหมละ”

“คิดซะว่าไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน..”

“เข็ดไหม”

“ไม่เข็ดหรอก แต่ถ้าจะเผลอใจไปรักใครใหม่ง่ายๆ อีก ก็เห็นจะไม่มีทาง”

“เนื้อคู่จินอาจจะเป็นคนที่นี่ก็ได้ จินก็เลยต้องว่างเพื่อกลับมาเจอเขา...”

“นครสวรรค์เนี่ยนะ” จรินนาเบะปากอย่างดูแคลนอีกครั้ง

“ออกงานสังคมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เจอ และถึงแม้ไม่อยากเจอเดี๋ยวแม่พี่ก็จัดการพามาให้ดูตัว”

“หมดยุคคลุมถุงชนแล้ว...หาเองได้ ถ้าหาไม่ได้ก็อยู่คนเดียวไป..สั่งอะไรมากินดีกว่าค่ะ..หิวแล้ว” จรินนาตัดบทง่าย ๆ ก่อนจะหันหน้าไปหาเจ้าของร้านที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ ซึ่งพยายามจ้องเข้ามารับออเดอร์ตั้งแต่ที่เอกรินทร์เข้ามาในร้าน...




เดชาพงษ์ สุกปลั่ง คนที่ถูกสาวเจ้าเอ่ยถึงอยู่นั้น กำลังรดน้ำแปลงผักที่ปลูกไว้หลังกระท่อมที่เรียกว่าบ้านพักของตน ถึงกับจามไม่ได้หยุด...และพอจามติด ๆ กัน เหมือนมีคนนินทาแบบนี้ใจของเขาก็กระหวัดไปหาเจ้าหล่อน

‘เจ้าหล่อน’ คนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขาในขณะที่นั่งประชุมแผนดำเนินการงานก่อสร้าง โรงแรม หิมวันต์ ที่จะเปิดให้บริการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เมื่อตอนบ่ายของวันนี้

เจ้าหล่อนชื่อ จรินนา เป็นลูกสาวคนเดียวของคุณบรรจง ลี้กิตติพงษ์ พยายามถามหาเหตุผลที่จะทำให้โรงแรมหิมวันต์ที่เจ้าหล่อนจะได้นั่งแท่นเป็นผู้บริหาร ต้องมีชื่อว่า โรงแรมหิมวันต์ และมีภาพวาดป่า หิมพานต์สอดแทรกอยู่ตามผนังภายในของตัวอาคาร แต่เมื่อผู้เป็นพ่อซึ่งสรุปคอนเซ็ปของโรงแรมไปตั้งแต่ก่อนลงมือก่อสร้าง ไม่ยอมบอกเหตุผล เจ้าหล่อนก็ชักสีหน้าไม่พอใจอย่างไม่ปิดบัง ซึ่งเขามั่นใจว่าเมื่ออยู่กันตามลำพังพ่อลูก คุณบรรจงคงได้อธิบายให้เจ้าหล่อนได้รู้ว่าโรงแรมที่มีความสูงถึงแปดชั้นมีหลังคาเป็นทรงไทยแห่งใหม่ของเมืองนครสวรรค์ทำไมถึงต้องใช้ชื่อนั้น...

แต่ว่าตอนที่เจ้าหล่อนรู้ว่าเขา เป็นหัวหน้าทีมงานวาดภาพจิตรกรรมไทยภายในโรงแรม...สายตาที่เริ่มต้นดูจะเย็นชามองเหมือนไม่เห็นว่ามีเขานั่งอยู่ตรงกันข้ามก็วาวโรจน์ขึ้นมาทันที..เจ้าหล่อนพลิกแฟ้มอ่านประวัติของเขา และเรื่องของเขานี้ เจ้าหล่อนก็คงได้ซักถามกับผู้เป็นพ่อหรือคนอื่นๆ อีกเป็นแน่ เขาถึงได้จามถี่ ๆ เหมือนคนแพ้สี แพ้อากาศ แพ้เกสรดอกไม้ อยู่อย่างนี้

...นอกจากนั้น ในเวลานี้ ขณะที่ยืนรดน้ำพืชผักสวนครัวปลอดสารพิษซึ่งปลูกไว้กินเองกับเป็นการฆ่าเวลายามเย็นและออกกำลังกายไปในตัว ใจเขาเองก็ยังเผลอไปนึกถึงคำพูดเมื่อตอนต้นปีของ ‘เมขลา’ น้องสาวคนเล็กผู้มีสัมผัสพิเศษ ถึงไม่อยากจะเชื่อ แต่ว่ามันก็เริ่มมีเค้า จนเขารู้สึกแปลก ๆ

‘เค้าเป็นคนนครสวรรค์ เกิดที่นครสวรรค์ เป็นคนไทยเชื้อสายจีนเขากำลังจะกลับมาจากต่างประเทศ ที่พี่กลับไปอยู่บ้านก็เพราะพี่ต้องกลับไปรอเขา”

“มันจะเป็นไปได้หรือวะ..” เขาเปรยออกมาเบา ๆ แต่ว่า

..ก่อนหน้าคำทำนายของเมขลาที่มีต่อพี่ชายคนโต พี่ต้นกล้า นายทหารเรือประจำกองทัพเรือไทย ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้น แม้แต่คำทำนายให้กับแพรวพรรณว่าที่พี่สะใภ้ของเขา เร็ว ๆ วันนี้ มันก็กำลังเป็นไปตามนั้นเสียอีก...ส่วนเขา ในเวลานี้ คุณหนูจรินนาเข้าเกณฑ์อยู่ถึงสามข้อ..

นึกถึงใบหน้าผู้หญิงดูปราดเปรียวเช่นเจ้าหล่อนแล้ว เขาก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า..เส้นทางที่พระพรหมได้ลิขิตไว้ระหว่างเขากับเธอจะเป็นไปในทิศทางไหน..
เดชาพงษ์สูดลมหายใจอีกครั้ง...พยายามตั้งสติอยู่กับปัจจุบัน พยายามที่จะไม่นึกถึงดวงตาชั้นเดียวคู่ที่ทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ แต่ว่าเขากลับทำไม่ได้...หรือจะเป็นเพราะว่าเธอเกิดมาเพื่อเขาอย่างนั้นหรือ?



ตั้งแต่กลับมาจากอเมริกา จรินนาก็ยังไม่ได้เจอหน้าผู้เป็นพ่ออย่างจริง ๆ จัง ๆ เพราะตอนเครื่องบินมาถึงสุวรรณภูมิ เอกรินทร์ก็ขับรถไปรับแต่เพียงผู้เดียว กลับมาถึงบ้าน พ่อของเธอ เปิดประตูห้องนอนออกมากอดหอมแก้มทักทายกันพอเป็นพิธี และเมื่อเห็นว่าเธออ่อนเพลียพ่อก็ให้รีบเข้าห้องไปนอนพักผ่อน

วันรุ่งขึ้น เธอตื่นมาตอนสาย ๆ พ่อก็ออกจากบ้านไปดูแลกิจการเสียแล้ว มีเพียงระหว่างวันที่พ่อโทรมาหาสอบถามสารทุกข์สุกดิบแล้วก็วางสายไป หลังจากนั้น เธอเองก็สวนทางกับพ่อ ในระหว่างที่พ่อกลับมาบ้าง เธอออกไปเที่ยวกับเอกรินทร์บ้าง หรือเธอกลับมาถึงบ้าน พ่อก็ขึ้นนอนไปแล้วบ้าง กระทั่งพ่อเห็นว่าเธอปรับตัวเข้ากับเวลาในเมืองไทยได้แล้ว พ่อก็บอกกับเธอว่าอีกสามวันให้เธอเข้าร่วมการประชุมแผนงานดำเนินกิจการของโรงแรมหิมวันต์ ซึ่งเป็นโรงแรมน้องใหม่ของเครือโรงแรมอัมรินทร์ของตระกูลลี้กิตติพงษ์ที่เปิดดำเนินการมาอย่างยาวนาน ตอนแรกเธอสะดุดหูกับชื่อออกแนวสรวงสวรรค์แบบนี้ แต่ว่าก็เข้าใจว่า เมื่อโรงแรมตั้งอยู่ในเมืองนครสวรรค์ ก็ไม่แปลกที่จะมีชื่อโรงแรมเป็นชื่ออะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับสวรรค์ซึ่งจรินนาเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก แต่ว่าเมื่อพ่อมามัดมือชกให้โรงแรมหิมวันต์ที่จะให้เธอเข้าบริหารประเดิมการกลับมาทำงานต้องมีภาพวาดลายจิตกรรมไทยเป็นเรื่องราวในป่าหิมพานต์ เธอจะเป็นต้องคุยนอกรอบกับพ่อก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้...

จรินนากดโทรศัพท์โทรออกหาผู้เป็นพ่อครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ว่าเหมือนว่าทางนั้นปิดเครื่องไว้...หญิงสาวเดินกลับไปกลับไปมา..แล้วก็กระแทกก้นลงที่โซฟาเนื้อดี ซึ่งเครื่องเรือนในบ้านหลังใหม่นี้เธอเป็นคนสั่งเข้ามาตกแต่งบ้านหลังใหม่ขนาดใหญ่ที่อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรด้านหลังภูเขาดาวดึงส์ โดยที่คนไม่เป็นพ่อซึ่งเป็นคนออกเงินให้สิทธิ์เสียงกับเธออย่างเต็มที่..

ดังนั้นบ้านหลังนี้จึงติดแอร์ทั้งหลัง ใช้เครื่องเรือนเครื่องแต่งบ้านมียี่ห้อ ออกแบบภายในโดยมัณฑนากรมืออาชีพ แถมยังมีป้าสำเนียงคนรับใช้เก่าแก่ซึ่งอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ตึกแถวคอยดูแลทำความสะอาด บ้านหลังนี้จึงสะอาดเรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา

“ผุดนั่งผุดลุกมีอะไรหรือคะ”

“โทรหาป๊าไม่ติด เหมือนไม่เปิดเครื่อง ป๊าไปไหน ป๊ามีใครหรือเปล่าป้า”

“เอ ...เรื่องนี้ป้าก็ไม่รู้ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีนะ...”

“ก็ตอนที่จินไม่อยู่ล่ะ”

“ก็ทำแต่งาน กลับบ้าน ไปงานเลี้ยง วนเวียนอยู่อย่างนี้ แล้วช่วงหลัง ๆ ก็มีไปวัดเป็นประจำ...บางทีก็ไปถือศีลแปด ค้างอยู่ที่วัด”

พอป้าสำเนียงบอกอย่างนี้จรินนาก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ...เพราะก่อนหน้านั้น วิถีชีวิตใน
บ้านของเธอกับวัดพุทธนั้นสวนทางกัน พ่อไหว้เจ้า ไหว้เทวดาฟ้าดิน ทำงานให้กับศาลเจ้า เป็นเถ่านั้งเป็นคณะกรรมการให้กับงานแห่มังกรมาโดยตลอด...แล้วจู่ ๆ พ่อไปวัดได้อย่างไร..

เมื่อรู้ว่าพ่อของตนเองเปลี่ยนไปเข้าวัด ความรู้สึกแรกของจรินนาก็คือ...

“แล้วพ่อไปรู้จักอีกตา...ตา ตา” พอจะเอ่ยชื่อของเขา ใบหน้าและดวงตาของเขาก็ลอยเข้ามาจน จรินนาต้องรู้สึกอึดอัดเสียอย่างนั้น..

“ตาไหน” ป้าสำเนียงที่ยังยืนอยู่ห่าง ๆ พลางใช้ผ้าสะอาดเช็ดทำความสะอาดตามจุดต่างที่ตัวเองยืนอยู่ หรือนั่งอยู่ตามความเคยชินเอ่ยปากถาม...

“ตาเดชาพงษ์”

“อ๋อ อาจารย์กล้วย”

“กล้วย...แหวะ”...แม้อายุจะเลยเบญจเพสแล้ว แม้จะเรียนจบมาจากเมืองนอกเมืองนาแต่สีหน้าและท่าทางนั้นไม่ต่างจากเด็กที่เอาแต่ใจตัวเองจนป้าสำเนียงที่เลี้ยงดูจรินนามาตั้งแต่แม่ของหญิงสาวเสียชีวิต ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะท่องเที่ยวต่างประเทศกับคณะทัวร์ ต้องยิ้มบาง ๆ อย่างเอ็นดูให้...

“ไปแหวะ ให้อาจารย์เค้าทำไม”

“ไม่ชอบ...ที่รอป๊าอยู่ก็จะคุยเรื่องอีตาอาจารย์ขี้เก๊กนี่แหละ”

“ป้าไม่เห็นว่าเขาจะเก๊กตรงไหน”

“แบบนั้นแหละเรียกว่าเก๊ก แล้วนี่ เขาเคยมาที่บ้านเราไหม” ถามไปแล้วจรินนาก็กวาดตาสำรวจรอบ ๆ บ้านอีกรอบเผื่อจะมีตรงไหนบ้างที่พ่อของเธอนำผลงานของอีตาอาจารย์กล้วยขี้เก๊กมาติดไว้..แต่แล้วสายตาของจรินนาก็ไปสะดุดกับขอนไม้ที่สูงประมาณเข่า ซึ่งตัวขอนที่ถูกบากจนเรียบแถบหนึ่งอีกแถบหนึ่งยังมีสภาพเป็นขอน และแถบที่ถูกบากก็มีภาพจิตรกรรมไทยแต่งแต้มอยู่ จรินนาลุกขึ้นแล้วรีบเดินไปยังขอนไม้ที่วางชิดผนังห้องรับแขกทันที..

“ผลงานของอีตากล้วยขี้เก๊กใช่ไหมป้า”

ป้าสำเนียงรีบกรากเข้ามาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ กับขอนไม้นั้น

“ไม่ใช่..นี่มันเป็นผลงานของ สุนันทา” สุนันทาเป็นลูกสาวคนเดียวของป้าสำเนียงที่เกิดกับลุงอนันต์ ป้าสำเนียงเป็นญาติห่างๆ ข้างแม่ของจรินนา ช่วงที่ป้าสำเนียงต้องมาเป็นพี่เลี้ยงดูแลจรินนา ลุงอนันต์ที่ทำสวนอยู่ก็นอกใจทำหญิงสาวในหมู่บ้านเดียวกันท้อง ป้าสำเนียงจึงขอเลิกแล้วนำสุนันทามาเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านของจรินนาด้วย แต่สุนันทาก็โตมาในฐานะกึ่ง ๆ เพื่อนเล่นของจรินนาและลูกสาวคนขับใช้

..หญิงสาวเรียนจบแค่ชั้น ปวส. สายพาณิชย์หลังจากนั้นก็ ทำงานเป็นพนักงานบัญชีบริษัทในเครือของตระกูล ลี้กิตติพงษ์ และตอนหลังมาแต่งงานกับลูกชายร้านขายดอกไม้สดที่อยู่ในตลาดสดมีลูกด้วยกันหนึ่งคน แล้วต่อมาไม่นานทางฝ่ายชายก็มาล้มป่วยเป็นเนื้องอกในสมองและเสียชีวิตในที่สุด ด้วยเห็นกับหลานชายทางแม่สามีเก่าจึงยกร้านนั้นสุนันทาดูแล แต่ว่าเมื่อปีก่อนสุนันทานั้นกลับใช้เวลาว่าง ในช่วงกลางวันไปเรียนวาดภาพกับอาจารย์เดชาพงษ์ โดยร้านดอกไม้ก็ให้แม่ไปช่วยขายแทน กระทั่งมีผลงานเป็นที่ประจักษ์สายตาอยู่ในขณะนี้ และผลงานชิ้นนี้ สุนันทาก็นำมามอบให้ลุงบรรจง เมื่อวันเกิดที่ผ่านมา เพราะถือว่าเป็นผลงานชิ้นแรกกับ ต้องการตอบแทนบุญคุณของลุงบรรจงที่เคยส่งเสียให้เรียนหนังสือจนจบชั้น ปวส.

“เค้าไปวาดภาพเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่” พินิจพิจารณาภาพวาดอันวิจิตรตระการตาแล้วจรินนาก็ลุกขึ้นกลับมานั่งบนโซฟาตัวเดิม

“ก็ไปเรียนกับอาจารย์เดชาพงษ์นั่นแหละ”

“ตอนนี้สุนันทาเป็นอย่างไรบ้าง” แม้จะอยากรู้ว่า เรียนกันนานแค่ไหน สอนกันอย่างไร ที่ไหน แต่ว่าจรินนาก็เปลี่ยนเรื่องคุยเสีย

“ก็สบายไปแล้ว มีบ้านอยู่ มีร้านดอกไม้ดูแล ลูกชายก็เข้าอนุบาลแล้ว”

“แล้วเค้ายังไม่มีใหม่เหรอ” พอถามไป..แว๊บนั้นของความรู้สึกจรินนาก็นึกถึง ใบหน้าของครูสอนวาดภาพกับลูกศิษย์ที่เป็นม่ายสาวขึ้นมาอีกครั้ง..

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ยังสาว เอาแน่อะไรไม่ได้หรอก...”

“ป้ายังอยู่เป็นโสดมาได้เลย”

“ก็ คนเราไม่เหมือนกัน..”

“ป๊า ..ไปเงียบเลย” จรินนาวกกลับมาหาเรื่องที่กังวลใจครั้งแรก คู่สนทนาก็ต้องพลอยชะเง้อดูที่ต้นทางไปด้วย..

“ป้าว่าถ้าง่วงก็ขึ้นนอนก่อนก็ได้นะ...ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าเอาแน่อะไรไม่แน่หรอก..”

“แอบไปมีบ้านเล็กหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“ไม่เอาน่า...จนป่านนี้แล้วยังไม่ไว้ใจป๊าอีกเหรอ...”

“ไม่ไว้หรอก ป๊ายังไม่หกสิบเลยนะ..อ้อ..แล้วอีตากล้วยขี้เก๊กน่ะมาบ้านเราบ่อยไหม”

“ไม่เอา ไม่พูดถึง คนอื่นในทางลับหลังอย่างนั้น”

พอถูกตำหนิ จรินนาก็แสร้งสะบัดผมไปมา...

“นาน ๆ จะมาที...มีอะไรรึ”

“แล้วมาทำอะไร”

“ก็...อาจจะมีธุระกับป๊า แล้วก็แวะมารับกันออกไป...ไม่รู้เหมือนกัน ป้าไม่เคยถาม..แต่คงจะรับไปวัดมั้ง...มาทีไรเห็นป๊าใส่เสื้อขาวตลอด”

มุมปากของจรินนากระตุกเพียงนิด และด้วยไม่อยากให้ป้าสำเนียงรู้ว่าตัวเองนั้นไม่อยากคุยถึงอีตากล้วยขี้เก๊กแล้ว จรินนาจึงเอ่ยตัดบทไปว่า

“ป้า ไปพักผ่อนเหอะ จินจะดูโทรทัศน์คอยป๊าแล้วกัน...”

“จะกินอะไรไหม ผลไม้ปอกไว้ในตู้เย็นมีนะ ป้าจะเอามาให้”

“ถ้าหิวเดี๋ยวจินหากินเองค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”...

“ป้าไปแล้วนะ...” ว่าแล้วป้าสำเนียงก็เดินออกไปโดยมีจรินนามองตามไปจนลับตา...และเมื่อแม่นมกึ่งๆ คนรับใช้เดินออกจากบ้านไปแล้วจรินนาก็ลุกจากโซฟากรากไปที่ขอนไม้ซึ่งมีลายวิจิตรตระการตาอีกรอบ..พินิจพิจารณาแล้วก็เอ่ยอย่างอคติว่า..

“ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย...ชิ”




“ป๊าค่ะ” ลูกสาวที่นั่งดูทีวีรอคุยกับเอ่ยร้องเรียก เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพ่อเปิดประตูบ้านเข้ามา

“ดึกแล้วทำไมหนูยังไม่นอนอีก” ผู้เป็นพ่อร้องทักแล้วเดินเนิบนาบเข้ามาหา...หลังจากนั้นก็ทรุดตัวลงนั่งหลังจากที่ลูกสาวขยับตัวให้...

“รอป๊า” พอผู้เป็นพ่อนั่งลงแล้วจรินนาก็โถมตัวกอดที่ต้นแขนทันที

“รอทำไม”

“มีเรื่องจะปรึกษาค่ะ”

“ตอนเช้าก็ได้นี่”

“ทำไมกลับบ้านดึกจัง ไปไหนมาคะ จินโทรไปหาป๊าก็ไม่เปิดเครื่อง”

“ก็...ไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ร้องเพลง กินโต๊ะแชร์เลยปิดโทรศัพท์”

“แน่นะ”

“เชื่อใจป๊า”

“เชื่อก็ได้...”

“แล้วมีเรื่องอะไรจะปรึกษา”

“เรื่องภาพวาดในโรงแรม..”

ผู้เป็นพ่อถอนหายใจเบา ๆ...เพียงแค่นั้นลูกสาวก็รู้แล้วว่า พ่อนั้นรู้ทันความคิดของตนเอง

“คือจิน จินคิดว่า มันไม่จำเป็นต้องมีก็ได้นะคะ”

“แต่ป๊าตัดสินใจไปแล้ว”

“ก็ยังทันที่จะยุติ...เงินมัดจำนั้นก็คิดว่า...” ใจจริงจรินนาอยากจะบอกว่า “ทำทานไป” แต่ว่าถ้าดูถูกเงินจำนวนนั้น พ่อจะต้องตำหนิเธอแน่ ๆ หญิงสาวจึงต้องเลี่ยงเป็นว่า “ขอเขายกเลิกสัญญาได้ไหมละ...”

“ป๊าคิดดีแล้วว่าต้องมีภาพวาดจิตรกรรมไทยในโรงแรม”

“แต่จินว่ามันไม่จำเป็นเลย แล้วก็จะยุ่งยากกับเราในภายหลังด้วย....”

“จะยุ่งยากตรงไหน”

“เกิดภาพมันหลุดมันร่อนขึ้นมา..ก็ต้องจ้างเขามาซ่อมแซมอีก ไหนจะพวกมือบอน เกิดเราเผลอเขาเอาปากกาเมจิมาแต่งแต้มเพิ่มเติมวาดทับ.. เราก็ต้องมาคอยระมัดระวัง...ปรับเป็นแค่ภาพวาดใส่กรอบได้ไหมคะ...”

“ป๊า อยากให้มันติดที่ผนังติดที่หัวเสาตามแบบแปลนที่อาจารย์เดชาพงษ์เสนอไปเลย”

“แต่จินไม่ชอบ จินต้องไปนั่งอยู่ที่นั่นทุกวันนะคะ จินว่ามันเห่ย มันเชย..มันเอ้าท์...มันเหมือนวัดมากกว่าโรงแรม โอ้ยยย..ป๊าคะ จินขอนะคะ"

“ถ้าป๊าให้ไม่ได้ละ จินจะโกรธป๊าไหม”

พอบิดาตัดบทแบบนี้ ผู้เป็นลูกสาวก็ถดตัวออกจากต้นแขนของบิดาทันที ใบหน้าที่ยิ้มแย้มดูเอาใจเมื่อครู่ก็บึ้งตึงอย่างเปิดเผย...

“ป๊าว่า ภาพวาดพวกนั้นแหละ มันจะเป็นจุดขายของโรงแรมที่จะทำให้ใครต่อใครอยากมาพัก...เชื่อป๊าเถอะนะ..ไป ๆ ลุก ๆ ไปนอน อย่ามัวงอนเลย เดี๋ยวไม่สวยนะ...”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มิ.ย. 2555, 12:40:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มิ.ย. 2555, 23:17:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 3011





<< เรียกน้ำย่อย   2.วิษณุจักร >>
jink 23 มิ.ย. 2555, 13:16:36 น.


overtime 23 มิ.ย. 2555, 13:16:38 น.
เอาอีกๆ


โซดา 23 มิ.ย. 2555, 14:09:20 น.
มาส่งเสียงอีกคนคร้า


Orathai 23 มิ.ย. 2555, 14:33:58 น.
ร้องด้วยคนๆ เอาอีกๆ ค่ะ


หนอนฮับ 23 มิ.ย. 2555, 19:14:59 น.
นั่นไง...พระเอกโดน เต้าหู้ยี้...ซะแระ อิอิ


nutcha 24 มิ.ย. 2555, 11:57:18 น.
แล้วพี่กล้วยจะไปจีบไงเนี่ย โดนเกลียดขี้หน้าซะขนาดนี้


จุฬามณีเฟื่องนคร 24 มิ.ย. 2555, 12:13:56 น.
เดี๋ยวพระพรหมท่านก็จัดสรรให้เอง...เนื้อคู่กันแล้วคงไม่แคล้วกันไปได้เพราะเคยทำบุญร่วมไว้ถึงจะอย่างไรก็ต้องเจอกัน....


konhin 24 มิ.ย. 2555, 12:17:42 น.
อืม ตัวเอกแต่ละเรื่องมีเอกลักษณ์จริงๆ


Pat 24 มิ.ย. 2555, 20:12:30 น.
เขม่นเค้าขนาดนี้เลยเหรอจ๊ะหนูจิน


loveleklek 24 มิ.ย. 2555, 20:44:12 น.
ขมิ้นกับปูนเนอะ เกลียดตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้า


Zephyr 25 มิ.ย. 2555, 22:21:44 น.
ชักสงสัย อะไรทำให้จินอคติขนาดนี้เนี่ย แล้วจะรักกันยังไงหว่า


lookAme 20 ก.ค. 2555, 17:56:33 น.
จะรักกันได้ไงหนอเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account