ในสวนศิลป์
พี่ต้นกล้า นาวาตรีจิรวัติ สุกปลั่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาของกฤษณะอีกต่อไปแล้ว วันนี้เป็นวันวิวาห์ของเขากับพี่แพรวพรรณที่เพาะบ่มความรักดูใจกันตามที่แม่ของพี่แพรวพรรณต้องการมาถึงเกือบสองปี..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 2.วิษณุจักร

บทที่ 2

เมื่อปรับเวลาได้แล้ว จรินนาก็ตื่นแต่เช้า แต่ “เช้า” สำหรับจรินนานั้นก็ปาไปเกือบสามโมงเช้าและเมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย หญิงสาวก็พบว่าผู้เป็นพ่อยังไม่ได้ออกจากบ้านไปทำงานหรือทำธุระอื่นๆ เหมือนเช่นทุก ๆ วัน หญิงสาวเดินลงบันไดมาพลางยิ้มแย้มทักทายผู้เป็นพ่อโดยทำเหมือนกับว่าก่อนจะขึ้นไปนอนนั้นไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจต่อกัน และเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะอาหารนั้น อาหารมื้อเช้าที่เป็นข้าวต้นกุ๊ยกับพวกผัดผักใบเขียวยังไม่พร่องไป จรินนาจึงได้มีเรื่องชวนพ่อคุยทั้งที่ในใจนั้นก็ยังรู้สึก ‘งอน’ กับเรื่องที่พ่อไม่ยอมลงให้เหมือนทุก ๆ ครั้ง “ทานข้าวเช้าหรือยังคะ”

..ผู้เป็นพ่อก็อยู่ในชุดที่พร้อมออกจากบ้านแต่ว่ายังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาพลางเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้เสียด้วย เงยหน้าขึ้นมามองดูบุตรสาวคนเดียวที่อยู่ในชุดเดรทสั้นสีม่วง แม้ท่อนบนจะมิดชิดแต่ว่าความยาวของเดรทชุดนั้นก็เผยให้เห็นขาเรียวงามและผิวพรรณขาวผ่องตามเชื้อสายของตน...

“รอลูก”

“จะรอทำไมคะ” ถามผู้เป็นพ่อแล้วจรินนาก็ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะอาหารที่ป้าสำเนียงจัดเตรียมไว้ให้ก่อนจะออกไปวุ่นวายอยู่กับงานเสื้อผ้าที่หลังบ้าน

“จะชวนไปดูโรงแรมด้วยกันหน่อย..”

“ที่ประชุมเมื่อวานก็สรุปหมดแล้วนี่คะว่าใครต้องทำอะไรบ้าง...”

“แล้ววันนี้จะไปไหน”

“จินว่าจะไปดูรถค่ะ” เมื่ออ้อนขอให้เปลี่ยนแปลงแผนงานในโรงแรมไม่สำเร็จ จรินนาจึงคิดระบายความอึดอัดด้วยการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ประชดผู้พ่อเป็นเสียเลย

“แล้วคันเก่าล่ะ..” รถคันล่าสุดที่เจ้าหล่อนเพิ่งถอยออกมาเมื่อตอนซัมเมอร์ปีก่อน นับนิ้วดูแล้วยังไม่ถึงสองปีเสียด้วยซ้ำ...และช่วงที่จรินนาไม่อยู่ ผู้เป็นพ่อก็ทำได้เพียงสต๊าทเครื่องยนต์ให้เท่านั้น จำนวนระยะทางที่ล้อหมุนไปยังขยับไปไม่ถึงหลักหมื่นกิโลเมตรด้วยซ้ำ

“จะปรึกษาอยู่นี่ไงคะว่าจะ ขายหรือว่าจะเก็บไว้ดี”

“แล้วจะเอายี่ห้ออะไร”

“ดูโฆษณาเมื่อวาน จินสนใจรุ่นใส่ใจสิ่งแวดล้อม...พรีอุสนะคะ”

พอลูกสาวเอ่ยถึงรุ่นของรถที่ตัวเองรู้ว่าแพงแค่ไหน ผู้เป็นพ่อจึงนิ่งไปอึดใจใหญ่ ๆ ก่อนจะพูดเสียงเนิบนาบผสมน้ำเสียงอย่างคนใจดีว่า “ป๊าว่าอย่าเพิ่งเลยนะ..”

“จินอยากได้” เมื่อถูกห้าม เสียงของลูกสาวจึงแข็งขึ้นโดยอัตโนมัติ

“ลูกสาวป๊าอายุเท่าไหร่แล้ว”

“ถามทำไมคะ”

“กินข้าวกันก่อนดีกว่า วันนี้ ป๊าคิดว่า ป๊าน่าจะมีเรื่องคุยกับหนูยาวเลย”

“พูดกันก่อนดีกว่าค่ะ” แม้น้ำเสียงของผู้เป็นพ่อจะยังคงสนุก ๆ ใบหน้าแม้จะยังยิ้ม ๆ แต่จรินนาก็รู้สึกได้ว่า พ่อมีเรื่องต้องอบรมเธอยกใหญ่แน่ ๆ

“กินข้าวก่อนดีกว่า” ว่าแล้วผู้เป็นพ่อก็วางหนังสือพิมพ์แล้วเดินมายังเก้าอี้ประจำตำแหน่งของตน ซึ่งบุตรสาวก็ตักข้าวต้มที่หมดความร้อนจากโถแล้วใส่ถ้วยให้อย่างรู้งานที่ลูกสาวพึงจะต้องทำเป็น...


และเมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ผู้เป็นพ่อก็ปิดโทรทัศน์ก่อนจะตบเบาะข้างตัวเรียกให้บุตรเดินไปนั่งข้าง ๆ

“มีอะไรคะ”

“สมบัติของป๊าทุกชิ้นจะต้องตกเป็นของลูก..”

“ค่ะ..เพราะป๊ามีจินคนเดียว” ผู้เป็นแม่ของหญิงสาวนั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่จรินนาอายุได้เพียงสิบเอ็ดย่างสิบสองขวบ เรื่องที่จรินนาหวาดกลัวเป็นที่สุดคือกลัวว่าพ่อจะมีเมียใหม่มีลูกใหม่มาแย่งความรักจากพ่อไป หญิงสาวขอร้องและต่อรองกับผู้เป็นพ่อไว้ว่า ถ้าไม่อยากให้เห็นเธอเป็นเด็กดื้อด้าน พ่อจะต้องไม่มีใครมาแทนที่ผู้เป็นแม่ ผู้เป็นพ่อตกลง แต่ถึงอย่างนั้นจรินนาก็หาได้ไว้วางใจ...และความเอาแต่ใจตัวเองก็หาได้ลดลงแต่อย่างใดเช่นกัน

“อาจจะเป็นวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็ได้”

“ทำไมป๊าพูดอย่างนั้นละคะ”

“ชีวิตคนเราเอาแน่อะไรไม่ได้หรอกลูก...”

จรินนาถอนหายใจเบา ๆ

“ประหยัด ๆ ไว้ ดีที่สุด...”

“ก่อนหน้านั้นจินก็ประหยัด” ประหยัดของลูกสาว ก็ยังถือว่าฟุ่มเฟือยในสายตาของผู้เป็นพ่อ แต่ว่าในเวลานั้น เมื่อมีกำลังจ่าย ความสุขของลูกจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ว่า หากลูกสาวยังจ่ายอย่างไม่ยั้งมือ หรือไม่ทันได้คิดก่อนจ่ายแบบนี้ อนาคตทรัพย์สินเงินทองที่สะสมไว้ก็จะอาจจะหมดลงได้ และเมื่อถึงเวลานั้น คู่ชีวิตของลูกสาวจะมีนิสัยเป็นอย่างไร คนเป็นพ่อไม่อาจจะทราบได้ ดังนั้น การให้สติกันเสียก่อนจึงเป็นหนทางดีที่สุด

“ปีหน้าป๊าก็จะครบหกสิบปีแล้วนะ”

“ทำไมคะ”

“โรงแรมที่กำลังจะเปิด เรากู้หนี้ยืมสินมาทำด้วยนะลูก...อีกเป็นสิบ ๆ ปีกว่าโรงแรมจะคืนทุนทำกำไรให้กับเรา...เพราะฉะนั้น เราต้องเผื่อ ๆ ไว้บ้าง”

จรินนากรอกตาใคร่ครวญในสิ่งที่พ่อกำลังพูด...

“ทรัพย์สินและเงินฝากเรามีอยู่เป็นจำนวนมากก็จริง แต่ที่ป๊าตัดสินใจสร้างตรงนั้นไว้ให้ลูก ป๊าก็หวังว่าลูกจะประคับประคองมันไปตลอดรอดฝั่ง...และตรงส่วนนั้นมันก็เป็นเอกเทศจากญาติคนอื่น ๆ เป็นเรื่องที่เราจะต้องช่วยกันจัดการล้วน ๆ แล้วนะ”

“จินทำได้อยู่แล้วค่ะ”

“ป๊าเชื่อว่าลูกสาวของป๊าเก่ง แต่อีกนั่นแหละ เราก็อย่าประมาท ธุรกิจมันมีทางพลิกผลันได้อยู่เสมอ อย่างไรเสียลูกต้อง โตขึ้นกว่าเดิมแล้ว...”

“จินก็โตแล้ว จบปริญญาโทแล้ว”

“งานนี้ลูกจะต้องพิสูจน์ตัวเองว่าลูกโตแล้วและพร้อมจะดูแลทรัพย์สมบัติยามเมื่อพ่อไม่อยู่ได้ด้วย”

“ป๊าจะไปไหนละคะ”

“ป๊าจะหกสิบแล้วนะ”

“ป๊าบอกจินสองรอบแล้วค่ะ”

“ป๊ากำลังจะบอกว่า ชีวิตป๊าใกล้กับคำว่าตายเหมือนอากงอาม่าไปทุกขณะแล้ว”

“อากงเสียตอนเก้าสิบกว่า อาม่า เกือบจะเก้าสิบปี ป๊ายังอยู่กับจินไปอีกนานค่ะ”

“ตกลงว่า ป๊ายังไม่ให้หนูออกพรีอุส”

“ทำไมละคะ” คนเป็นลูกสาวเสียงสูงทันที

“นอกจากนั้นแล้ว ต่อไปป๊าจะไม่รับผิดชอบบัตรเครดิตของหนูอีกด้วย....หนูจะต้องบริหารจัดการเงินเดือนของหนูเอง”

“แค่สามหมื่นห้าเอง”

“พนักงานรายวันในโรงแรมมีเงินรายได้วันหนึ่งไม่ถึงสองร้อยเลยนะ นี่ หนูมีบ้านอยู่ เครื่องอำนวยความสะดวกในบ้านมีครบทุกอย่าง”

“แล้วป๊าทำอย่างนี้ทำไมล่ะคะ”

“ป๊าอยากให้หนูโตกว่านี้...”

“จินไม่เข้าใจ มันเกิดอะไรขึ้น จินทำผิดทำพลาดอะไรตรงไหนไป...ตอนอยู่ที่โน่นป๊าก็ไม่ได้ให้จินเยอะแยะจนเหลือจะทำอะไรได้มากมาย...”

“แต่หนูก็ไม่ต้องทำอะไรเลย มีหน้าเรียนและเที่ยวอย่างเดียวเท่านั้น”

“แต่จินก็เรียนจบมาได้ตามเวลาที่มหาวิทยาลัยกำหนดนะคะ ไม่ได้เล่น หรือเที่ยวเหลวไหลเลย...ทุกอย่างอยู่ในขอบเขตที่ป๊าต้องการ...แต่นี่..ที่นี่บ้านเรานะคะทำไมจะต้องมาจำกัดสิทธิ์อะไรจินอีก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นป๊าไม่เคยทำ”

“ป๊าแค่อยากยั้งสติลูกของป๊าไว้บาง”

“จินงงไปหมดแล้ว...” ลมหายใจของลูกสาวร้อนผะผ่าว

“เอาเป็นว่า...ป๊าสรุปเลยแล้วกัน ต่อไป หนูจะมีเงินใช้จ่ายซื้ออะไรก็ได้ที่อยากซื้อ เดือนละสามหมื่นห้าพันบาท ตามเงินเดือนที่หนูจะได้รับ...ถ้าอยากจะออกรถพรีอุสมาขับ ป๊าก็ไม่ว่า แต่ค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ ป๊าจะไม่ช่วย...”

คนเป็นลูกสาวส่ายหน้าเหมือนว่ามีก้างติดอยู่ที่คอแล้วกลืนข้าวลงคอไม่ได้อย่างไม่เข้าใจไปมา...แต่ก็ถามหาเหตุผลอะไรไม่ได้คำตอบอีก...กระทั่งสุดท้ายคนเป็นลูกสาวก็ถูกบังคับให้ออกจากบ้านมาดูงานที่โรงแรมพร้อมกัน...โดยผู้เป็นพ่อชวนคุยเรื่องอื่น ๆ อย่างไม่ได้สนใจว่าผู้เป็นลูกสาวนั้นนั่งหน้างอเป็นม้าหมากรุกอยู่ข้าง ๆ



เดชาพงษ์ สุกปลั่ง ซึ่งกำลังคุมลูกศิษย์ชายหญิงจำนวนสามคนนำน้ำใบขี้เหล็กทาผนังปูนในส่วนของพื้นที่ที่จะทำการเขียนภาพจิตรกรรมไทยบริเวณลอบบี้ของโรงแรมหิมวันต์ต้องหันหน้าไปตรงประตูทางเข้าเมื่ออนงค์นางลูกศิษย์สาววัยยี่สิบสามเอ่ยปากบอกว่า...

“คุณบรรจงมาค่ะจารย์”...

และเมื่อคุณบรรจงกับลูกสาวซึ่งมีใบหน้าบึ้งตึงอย่างไม่สนใจสายตาคนที่มองอยู่มาถึง ทั้งเดชาพงษ์และบรรดาลูกศิษย์ต่างก็พร้อมใจละงานในมือยกมือไหว้ทักทายตามธรรมเนียมที่ดีงามของไทย...

“สวัสดีครับ สวัสดี..” คุณบรรจงนั้นเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใสยกมือรับไหว้ ส่วนลูกสาวที่อยู่ด้านหลังนั้นเชิดหน้าหันซ้ายหันขวามองดูคนงานของส่วนอื่น ๆ ทำงานอย่างไม่ได้สนใจว่า กลุ่มที่ทำงานอยู่ตรงที่ตัวเองยืนอยู่นั้นกำลังทำอะไรกัน...เพียงแค่นั้นเดชาพงษ์ก็พออ่านใจออกว่า คุณลูกสาว กับคุณพ่อคงมีเรื่องกันมาก่อนระหว่างจะมาที่นี่ และเรื่องนั้นก็คงไม่พ้นเรื่องของเขาแน่ ๆ เจ้าหล่อนถึงได้ประกาศตัวเป็นศัตรูอย่างเปิดเผยอย่างนี้ เขาเองเมื่อเจ้าหล่อนแสร้งทำเป็นไม่สนใจว่าพ่อกำลังยืนคุยอยู่กับเขาและคณะ เขาก็ทำเป็นไม่เห็นว่าด้านหลังคุณบรรจงนั้นมีลูกสาวเดินตามมาด้วยเช่นกัน

“ทำอะไรกันอยู่หรือครับ”

“ผนังปูนที่นี่เพิ่งฉาบเสร็จ ผมจึงต้องนำน้ำขี้เหล็กพ่นผนังปูนลดค่ากรดด่างของปูน ไม่เช่นนั้นก็วาดภาพให้เสร็จทำส่วนอื่น ๆ ไม่ได้ครับ”

“แล้วนี่จะลงมือวาดได้เมื่อไหร่”

“สำหรับงานตรงนี้ก็ต้องประมาณเจ็ดวันครับ...”

“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าปูนพร้อมให้วาดภาพลงไปได้แล้วหรือยัง”

“เดี๋ยววันที่เจ็ด เราก็จะใช้ขมิ้นมาถูปูนดูครับ ถ้าปูนเป็นสีเหลือง..ตามสีของขมิ้นก็แสดงว่าใช้ได้แล้วครับ...”

“แล้วถ้าไม่เป็นสีเหลืองจะเป็นสีอะไร”

“สีแดงครับ เคยได้ยินสำนวนไทยที่ว่าขมิ้นกับปูนไหมครับ มันเข้ากันไม่ได้ มันก็เลยต้องมีปฏิกิริยาทางเคมีครับ เป็นวิธีของครูช่างโบราณ กรณีที่ต้องทำงานในสภาวะเร่งด่วนแบบนี้”

“ใช้สีรองพื้นไม่ได้หรือ”

“ได้ครับ แต่สำหรับที่นี่ ผมอยากใช้วิธีนี้ครับ...ช้าเพียงแค่เจ็ดวันสิบวันแต่ว่าชัวร์ แล้วอีกอย่าง ผมคิดว่า เวลาที่เราจะวาดในส่วนนี้กับส่วนอื่น ๆ ของโรงแรมน่าจะเสร็จทันกันพอดีโรงแรมเปิดครับ”

ระหว่างที่สนทนากับคุณบรรจงอยู่นั้น ด้วยอากาศภายในตัวอาคารร้อนอบอ้าว คุณหนูจรินนาที่แต่งหน้ามาเสียดิบดีเริ่มมีหยาดเหยื่อซึมออกมาข้างไรผม...ดวงตาเรียวยาวนั้นเริ่มเปล่งประกายความรู้สึกอึดอัดคับหัวใจออกมา..จนกระทั่งมีเสียงจากวิษณุจักร ผู้จัดการโครงการก่อสร้าง ซึ่งเป็นลูกชายคนโตเจ้าของบริษัทก่อสร้างดังทักแทรกเข้ามา...

“สวัสดีครับคุณลุง...” เขายกมือไหว้คุณบรรจงและยิ้มน้อย ๆ ผงกศีรษะได้รูปมองไปหาลูกสาวคนสวยที่ยิ้มหวานตอบให้กับเขาเช่นกัน ความรู้สึกของเดชาพงษ์ในขณะนั้นเหมือนกับว่านายวิษณุจักรกับคุณหนูจรินนานั้นช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน สาวเจ้ารึก็เป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของโครงการหลายสิบล้าน หนุ่มหน้าหยกนั่นก็สมบูรณ์พร้อมทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและคุณสมบัติ ซึ่งมีค่าคู่ควรกันเป็นอย่างยิ่ง

..และเมื่อเห็นว่าคุณบรรจงหันไปสนใจนายวิษณุจักร เหมือน ๆ ลูกสาว เดชาพงษ์จึงหันกลับไปทำงานของตน แต่ว่าใจนั้นมีคำถามขึ้นมาว่า ถ้าคุณหนูจรินนายังไม่ใช่คนที่เมขลาทำนายทายทักไว้ แล้วชีวิตของเขา จะมีใครที่มีคุณสมบัติตรงเผงขนาดนี้เข้ามาในชีวิตอีก...


จรินนาใช้จังหวะที่ผู้เป็นพ่อเดินไปดูงานกับวิษณุจักรเดินเร่ออกไปด้านนอกอาคารที่ร้อนอบอ้าวเพื่อโทรหาเอกรินทร์เพื่อที่จะระบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ให้ฝ่ายนั้นช่วยหาทางออก และเมื่อปลายสายซึ่งรู้ว่าจรินนานั้นถูกจำกัดเรื่องเงิน เขาก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดีตามนิสัย

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ไปได้”

“ก็ทำไมไม่ถามไปตรง ๆ ล่ะ”

“ถามแล้ว...เฮ้อ..นี่หมายความว่าตั้งแต่เป็นพ่อเป็นลูกกันมา ป๊าไม่ได้มองว่าจินโตแล้วเลยใช่ไหม”

“ไม่ใช่หรอก..พี่ว่าอาเจ็กคงมีเจตนาอะไรแอบแฝงอยู่ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่นะ”

“เฮียเอก” จรินนาขึ้นเสียงทันที และฝ่ายนั้นก็หัวเราะขำกิ๊ก ๆ กลับมาก่อนจะปลอบใจว่า

“...น่า ทน ๆ ไปหน่อย เดี๋ยวก็กลับมาทุ่มให้ลูกสาวคนนี้ไม่อั้นเหมือนเดิม”

“เมื่อเช้าอยากกรี๊ดมากเลยนะ...แต่ว่าจินโตแล้ว ก็เลยต้องเก็บอาการ..อึดอัดมาก”

“คืนนี้ไปแดนซ์กันไหมละ แล้วไปกรี๊ดในเธค...”

“อย่ามัวไปเหล่หนุ่มแล้วทิ้งน้องให้คว้างแล้วกัน”

“ที่นี่ไม่กล้าหรอก...อึดอัดใจจะตายแล้วเนี่ย ดีนะ คนที่จะถูกบังคับให้แต่งงานด้วยดันชิ่งไปซะก่อน”

“ใคร?”

“น้องแพรวพรรณ...รู้จักไหม น่าจะเคยเรียนมัธยมมาด้วยกันกับจินนะ..”

“นึกไม่ออกหรอก คนเยอะแยะ...”

“เขาไล่แจกการ์ดแล้ว เดี๋ยวก็คงถึงบ้านเรา...เดี๋ยวไปงานแต่งเค้ากันนะ”

“ที่ไหน”

“เลยหนองเบนไปหน่อย บ้านเขารับซื้อพืชไร่...”

“บ้านนอก”

“เศรษฐีบ้านนอกแต่งกับนายทหารเรือ...อุ้ย ๆ ๆ ลืมบอกไป...ได้ข่าวมาว่า นายทหารเรือก็พี่ชายอาจารย์กล้วยของเรานี่เอง”

“ฮะ อะไรนะ” จรินนาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า...น้ำหน้าอย่างนั้น...จะมีพี่ชายเป็นนายทหารเรือ

“นายทหารเรือนี่ยศอะไร”

“จบจากโรงเรียนนายเรือ ถ้าเทียบทางทหารบกก็โรงเรียนนายร้อย ถ้าเทียบทางตำรวจก็โรงเรียนนายร้อยสามพราน...คงยศสูงอยู่หรอก ไม่งั้นคุณนายวันเพ็ญคงไม่ยอมแน่ ๆ”

“แล้วอีตานี่ ทำไมได้เป็นแค่นี้...”

“อ้าว คนละคนกันนี่...คนนี้ เขาอาจจะชอบทางนี้ก็ได้ แล้วเป็นจิตรกรครูสอนศิลปะน่ะมันไม่ดีตรงไหน ฮึ”

“ก็แค่สงสัยว่าทำไมมันถึงแตกต่างกัน...แค่นั้น”

“มองดี ๆ เขาก็พอได้อยู่นะ”

“เปลี่ยนเรื่องคุยเลย”

“คุยเรื่องอะไรดี”

“คุณวิษณุจักรนี่ยังโสดอยู่หรือเปล่า”

“รวยและหล่อระเบิดขนาดนั้น ไม่น่าจะซิง”

“ถามว่ายังโสดอยู่หรือเปล่า”

“ยังไม่ได้แต่งงาน”

“หน้าตาดีนะ ทำท่าจะจีบจินอยู่เหมือนกัน”

“ได้ยินมาว่าเจ้าชู้ใช่ย่อย...หูตาเขาแพรวพราวนัก เห็นไหมล่ะ”

“เห็นแล้ว ท้าทายดี”

“ระวังน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า”

“ถ้าเขาจีบจินขึ้นมาจริง ๆ จะทำอย่างไรดีล่ะ”

“ถึงขั้นนั้นแล้วค่อยว่ากัน...เอ้อ...แค่นี้นะ ขอตัวทำงานก่อน...แล้วว่าไง คืนนี้ ออกเที่ยวไหม”

“ไปก็ได้ แต่ต้องเลี้ยงจินนะ...”

“ได้ ๆ เดี๋ยวค่อยนัดกันอีกที..บายก่อน...”

จรินนาที่อาศัยเงาของอาคารที่กำลังตกแต่งภายในคุยโทรศัพท์ก็หันกลับไปยังตัวอาคาร และหญิงสาวก็พบว่าผู้เป็นพ่อกับวิษณุจักรยืนมองเหมือนจะรอคุยธุระด้วย...จรินนาจึงก้าวเท้าเข้าไปหา และพอเห็นหน้าวิษณุจักรสบตากันอีกรอบ ความรู้สึกแรกที่จรินนารู้สึกได้คือความอบอุ่นผสมความเสน่หาและพอผู้เป็นพ่อบอกว่า จะออกไปทานข้าวกลางวันกับเขา จรินนาก็คิดไปเองว่าพ่อของเธอนั้นคงจะเชียร์เขาให้กับเธอแน่ ๆ



“อ้าว อาจารย์เขาออกกันไปแล้วทำไมไม่ตามเขาไปล่ะ...” ก่อนหน้านั้น ทั้งคุณบรรจงและวิษณุจักรได้ชวนเดชาพงษ์และคณะออกไปทานข้าวด้วยกัน เขาจำปฏิเสธออกไปตามมารยาท แต่คุณบรรจงก็คะยั้นคะยอจนเขาหาทางออกไม่ได้ และเมื่อคิดได้ว่าบนโต๊ะอาหารมื้อกลางของวันนี้ เขาจะต้องเจอสายตารังเกียจเปิดเผยจากคุณหนูจรินนา และคุณหนูจรินนาก็จะต้องส่งยิ้มส่งสายตาให้กับวิษณุจักรผู้จัดการโครงการก่อสร้างลูกชายเศรษฐีใหญ่เจ้าของร้านขายวัสดุก่อสร้างที่ผันตัวเองมาต่อยอดธุรกิจของครอบครัวเปิดรับเหมาก่อสร้างตามความรู้ความสามารถของตน ที่เดินยิ้มหวานออกไปจากหน้าตึกเมื่อครู่ อารมณ์อยากจะตามไปร่วมวงในภัตตราคารใกล้ ๆ ก็หายไปสิ้น...

เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมพออยู่ใกล้ ๆ กับจรินนาสาวสวยประหนึ่งดอกฟ้าคนนี้ ใจของเขาต้องว่อกแว่กทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยรู้สึกรู้สากับเรื่องของหัวใจมาก่อน...มีผู้หญิงมาทอดสะพานทิ้งผ้าเช็ดหน้าให้เขาตั้งมากมาย แต่เขากลับรู้สึกว่า เธอเหล่านั้นยังไม่ใช่ ชีวิตยังไม่ถึงเวลาที่จะมีคู่คิด..แต่ว่าครั้งนี้...ใบหน้าเจ้าหล่อนรบกวนจิตใจของเขา จนเขาเสียสมาธิทำงานตั้งแต่เมื่อคืน...การอยู่โดดเดี่ยวในกระท่อมพักจากที่คิดว่าเป็นเรื่องของสมถะกลับกลายเป็นความว้าเหว่ไปเสียอย่างนั้น

และเมื่อครู่ ตอนที่หนุ่มสาวทั้งคู่สบตากัน ใจของเขาก็เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว...อาการอย่างนี้จะเรียกว่าเขาตกหลุมรักลูกสาวคุณบรรจงอย่างนั้นหรือ? มันจะเป็นไปได้หรือ?

เดชาพงษ์ลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตอบลูกศิษย์ที่มีวัยไม่ห่างจากตนมากนักไปว่า

“ไม่ไปดีกว่ามั้ง โทรไปบอกเขาดีกว่าว่าเราไม่สะดวก..”

“แต่อาจารย์รับปากเขาไปแล้วนะ” อนงค์นางเอ่ยปากติงขึ้นมา...พออาจารย์หนุ่มมองหน้าขอให้ร่วมตัดสินใจอีกรอบ..อนงค์นางก็ยักคิ้วพลางพยักหน้าให้อาจารย์ของตนอีกรอบ...

“งั้นก็เก็บงาน”

“แต่พวกเราขอไม่ไปด้วยนะคะ” พวกเราของอนงค์นาง นั้นมีสราวุฒิ อดีตหลวงพี่ที่เพิ่งลาสิกขาเมื่อระหว่างเรียนหลักสูตร 800 ชั่วโมงของปีการศึกษานี้ และขจรเกียรติ รุ่นพี่ปีที่แล้ว ช่างตัดผมที่ได้มาร่วมทีมทำงานกับอาจารย์เดชาพงษ์วาดภาพในโรงแรมหิมวันต์ในครั้งนี้...ส่วนอนงค์นางนั้น เธอเป็นลูกเจ้าของร้านทำกรอบรูปซึ่งเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีทางด้านคหกรรมศาสตร์แต่ดันมาค้นพบว่าตัวเองสนใจงานเขียนภาพจิตรกรรมไทยที่ทางศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก(วิทยาลัยในวัง)จังหวัดนครสวรรค์เปิดสอน มากเสียกว่าการทำขนมนมเนย หญิงสาวเป็นคนคล่องแคล่วพูดจาคมคายนิสัยออกไปแนว ๆ ผู้ชาย เพื่อนในรุ่นจึงยกให้อนงค์นางนั้นเป็นหัวหน้าเพราะว่ากล้าต่อปากต่อคำกับอาจารย์เดชาพงษ์ นอกจากนั้นบ้านของอนงค์นาง ก็จัดว่ามีฐานะเพราะนอกจากเปิดร้านทำกรอบรูปแล้ว พ่อของอนงค์นางยังมีห้องแถวซึ่งเป็นมรดกตกทอดแบ่งให้เช่าอีกสองคูหา เงินทองของอนงค์นางจึงมีมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันและที่สำคัญอนงค์นางใช้รถเก๋งคันกลางเก่ากลางใหม่และหญิงสาวเองก็พร้อมที่จะบริการคนอื่น ๆ เสียด้วย

“ได้ที่ไหน...ไปเป็นเพื่อนกันซิ”

“พี่จรต้องกลับไปดูร้านตัดผม...หลวงพี่..เอ้ย..พี่วุฒิก็ต้องไปวาดภาพที่ค้างไว้ต่อ นางจะรีบกลับไปซักผ้าให้แม่..อาจารย์ไปคันเดียวแหละดีแล้ว”

“หักหลังกันนะ”

“จริง ๆ แล้วเขาชวนอาจารย์คนเดียว แต่พอดีพวกเราอยู่ด้วย เขาก็ชวนตามมารยาท...ไปเถอะค่ะ..เดี๋ยวงานที่ค้างอยู่พวกเราทำกันเองไม่ต้องห่วง...”

และเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ที่ตัวเองได้ถ่ายทอดวิชาให้หมดแล้วสามารถดูแลงานที่ยังค้างอยู่ได้ เดชาพงษ์จึงเดินไปยังรถกระบะสี่ประตูของเขาแล้วขับไปยังภัตตาคารที่คุณบรรจงนัดหมายไว้ ระหว่างทางนั้นเพลงจากคลื่นวิทยุเอฟเอ็มที่เขาเปิดทิ้งไว้ก็ดันเป็นเพลงบุพเพสันนิวาส ที่ประพันธ์โดยอาจารย์ไพบูลย์ บุตรขันที่ทำให้เขาต้องครุ่นคิดหนักเข้าไปอีก...

‘ฯน้องสบตาพี่ ไม่หลบตาหนี พี่รู้แน่ หัวใจของพี่พ่ายแพ้ รักน้องศรีแพรเสียแล้วแน่นอนรักเกิดจากใจ ใครมิได้เสี้ยมสอนมิใช่ภาพลวงภาพหลอน พี่รักบังอรคงเพราะบุพเพฯ’




และเมื่อเห็นว่าเดชาพงษ์ที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายผ้าขาวม้าดำขาวกางเกงยีนขากระบอกสีซีดเดินเนิบนาบเข้ามาหา จากที่กำลังยิ้มแย้มคุยเรื่องเหตุบ้านการเมืองและอาหารกับวิษณุจักรอยู่ จรินนาก็เม้มริมฝีปากในทันที...

“อ้าว แล้วเด็ก ๆ ละครับ” คุณบรรจงเอ่ยถาม พลางผายมือให้เดชาพงษ์ทรุดตัวลงนั่งตรงกันข้าม...ดังนั้นโต๊ะที่คิดว่าจะจุคนถึงเจ็ดที่จึงกลายเป็นว่าเขากับวิษณุจักรจึงได้นั่งฝั่งเดียวกันแต่ห่างกัน แต่ถึงกระนั้นมันยังอยู่ตรงกันข้ามกับที่นั่งของจรินนา..ซึ่งตอนนี้เจ้าหล่อนถอนหายใจอย่างเปิดเผยความรู้สึก...

“เด็ก ๆ ขอตัวไม่มาครับ”

“ไปไหนกัน...หรือว่าทำงานที่ค้างอยู่ต่อ”

“ครับ..”

“ตัวเองก็น่าจะขอบ้าง” จรินนาเปรยออกมาแล้วก็เสยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาจิบ...เขาเหลือบตามองเจ้าหล่อนนิดหน่อย แล้วก็ยิ้มกับคุณบรรจงที่ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงของลูกสาว

“จะสั่งอะไรเพิ่มไหมครับ...เมนูอยู่นี่” ว่าแล้วคุณบรรจงก็เลื่อนเมนูที่อยู่ตรงหน้าไปให้ ระหว่างนั้นวิษณุจักรเองก็ผูกมิตรโดยการถามเขาว่า “อาจารย์จะรับน้ำอัดลมหรือน้ำเปล่าครับ”

“น้ำ เอ่อ..ขอเป็นน้ำอัดลมแล้วกันครับ” เขาตอบพลางหันไปยิ้มให้คนถามแล้วก็เลื่อนเมนูมาตรงหน้า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า

“สั่งอาหารกันแล้วใช่ไหมครับ ผมคงไม่ต้องสั่งอะไรแล้วมั้งครับ”

“สั่งไว้สำหรับคนเจ็ดที่ แล้วก็มากันแค่นี้...ถ้าจะสั่งมาอีก ก็ไม่ไหวแล้ว” จรินนาขัดด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ ใบหน้าสวยนั้นเชิดขึ้นและที่สำคัญเจ้าหล่อนหาได้มองเขาดูเขาสักนิด



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 มิ.ย. 2555, 22:57:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2555, 13:23:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 2547





<< 1.คุณหนูจรินนา & อาจารย์เดชาพงษ์   3. ‘งานศิลปะไทยโบราณสืบสานแล้ว เพราะทูลกระหม่อมแก้วเอาพระทัยใส่” >>
overtime 25 มิ.ย. 2555, 23:27:25 น.
ขอบคุณคะ พี่เฟื่อง รอตอนต่อไปอยู่นะ อิอิ


nateetip 25 มิ.ย. 2555, 23:45:41 น.
:)


คิมหันตุ์ 26 มิ.ย. 2555, 03:16:06 น.
โห่..เปิดตัวมาซะน่าสงสารพี่กล้วยเลยเนี่ย!!!


teesaparn 26 มิ.ย. 2555, 11:06:53 น.
โธ่ถัง กล้วย...
รออ่านต๋อนต่อไปเน้อเจ้า


Orathai 26 มิ.ย. 2555, 18:58:57 น.
รออาจารย์กล้วยต่อนะคะ..


Zephyr 26 มิ.ย. 2555, 19:49:22 น.
จรินนา นิสัยไม่น่ารักเลยอ่ะ
เชียร์พี่กล้วยให้ได้นางเอกน่ารักกว่านี้ได้มั้ย เฮ้อ
อิอิ รอต่อค่ะ อิอิ


loveleklek 26 มิ.ย. 2555, 22:42:46 น.
จรินนานิสัยไม่ดี ต้องให้อาจารย์มาปราบ


รอให้เป็นเล่ม 27 มิ.ย. 2555, 08:40:41 น.
เรื่องใหม่มาแล้ว รอติดตามนะคะ


anOO 27 มิ.ย. 2555, 20:10:43 น.
จิน...นิสัยเสียหลายเรื่องเลยนะ


nutcha 28 มิ.ย. 2555, 13:39:38 น.
กว่าพี่กล้วยจะได้จินมาเป็นแฟนมิหืดขึ้นคอเหรอ


lookAme 20 ก.ค. 2555, 17:57:41 น.
จะมีช่วงปรับปรุงนิสัยไหม นางเอกเรา -*-


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account