ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: คาร์นัก (๒)

แจ้งข่าวสำหรับแฟนๆ ลายลินินครับ ตอนนี้ลายลินินจำหน่ายแล้วนะครับ นักอ่านที่ไม่อยากรออ่านในเว็บที่นาถลดาจะลงจนจบตามกำหนดการณ์เดิมคือจันทร์ - พุธ - ศุกร์
ไม่อยากรอวางแผงหนังสือ สามารถจับจองเป็นเจ้าของก่อนใครได้ที่เว็บไซต์สำนักพิมพ์นี้ครับ
http://www.satapornbooks.co.th/Book/BookDetail.aspx?id=1865
ขอบคุณที่อุดหนุนและคอยให้กำลังใจเสมอมาครับ

+++++++++++++++++++++++

อารีสคู้ตัวนอนนิ่งบนพื้นทราย ซุกใบหน้าไว้ใต้วงแขนต่างที่กำบังลมรุนแรง ครั้นรับรู้ว่าลมเริ่มสงบจึงค่อยคลายตัวออก หันมองรอบๆ ด้วยความฉงน

บัดนี้หล่อนอยู่ที่มหาวิหารคาร์นัก...ทว่า...ปรักหักพัง

หญิงสาวลุกขึ้นยืน รอบตัวหล่อนมืดมิด แทบมองไม่เห็นสิ่งแวดล้อม ท้องฟ้าดำสนิท เดือนดับ ไร้ดาว หากยังพอมองเห็นรำไรจากดวงตะเกียงเพียงดวงเดียวซึ่งวางอยู่ข้างๆ เท้า

อารีสทอดสายตามองมหาวิหาร บัดนี้ความยิ่งใหญ่ที่เคยตระหง่านเหนือแผ่นดินไอยคุปต์กลับทรุดโทรม กลายเป็นโบราณสถานอย่างปัจจุบัน เวลานี้อารีสคืออารีส ไม่ได้อยู่ในความคิดหรือจิตใจของบาสตีเช่นเมื่อครู่ หล่อนสวมชุดลินินขาวกรุยกรายชายกระโปรงระพื้น คลุมไหล่ด้วยผ้าลินินที่จำได้ว่าเป็นหลักฐานทางโบราณคดี

ผ้าลินินผสมทองคำ...ของพระนางเนเฟอร์ตารี

แต่น่าแปลกใจ เพราะเหตุใด...จึงหลุดมาอยู่ที่ ‘คาร์นัก’

หญิงสาวฉวยคว้าหูถือตะเกียงหิ้วเดินไปตามเสาไพลอนสูงใหญ่ พ้นจากขอบรัศมีสว่างของดวงตะเกียงคือความมืดมิดที่ยากจะหยั่งรู้ว่าสิ่งใดซ่อนเร้น ในอกของหล่อนวูบไหว มือซึ่งถือหูตะเกียงสั่นจนเปลวไฟสะบัดวูบ นัยน์ตามองซ้ายแลขวา พยายามก้าวขาไปเรื่อย หวังว่าจะเจอประตูทางออกแล้วหาทางกลับโรงแรมเซติเสียที

‘อนัตตา’

ชื่อนั้นสว่างวาบในความคิด ทว่าเขาอยู่ที่ใดกัน เหตุใดจึงทิ้งหล่อนให้อยู่ท่ามกลางความมืดมิดในมหาวิหารคาร์นัก เพราะอะไรจึงปล่อยให้หล่อนอยู่กับดวงตะเกียงที่เริ่มริบหรี่ราวจะมอดดับในไม่ช้า

“นัต!” อารีสส่งเสียงร้องเรียก นัยน์ตาคลอรื่นด้วยน้ำ “คุณอยู่ที่ไหน...นัตคะ!”

ไม่มีเสียงตอบรับใดนอกเสียจากเสียงสะท้อนของหล่อนเอง เสียงนั้นแว่วดังเป็นระลอกแล้วเงียบหาย คงเหลือเพียงเสียงหวีดของสายลมยามค่ำ กลางมหาวิหารรกร้าง

หญิงสาวยังคงเดินต่อไปเรื่อย กระชับผ้าคลุมไหล่ไว้แน่น ราวยึดถือเป็นที่พึ่งสุดท้าย ทว่าดวงไฟในตะเกียงที่ริบหรี่จวนจะมอดดับ ทั้งที่หล่อนยังติดอยู่ในห้องโถงแบบไฮโปสไตล์ รอบกายเต็มไปด้วยความมืดและหมู่เสาไพลอนขนาดยักษ์ มองไปทิศทางใดก็ยังไม่พบประตูทางออก

“ให้ตายเถอะ” อารีสใจเสีย “อย่าเพิ่งดับตอนนี้สิ”

หญิงสาวพยายามเขย่าตะเกียง ทว่าเปลวไฟภายในขนาดย่อมลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดก็มอดดับ พร้อมความมืดที่เข้ามาครอบงำ เคลื่อนตัวโอบล้อมราวกลืนกินแสงสุดท้ายในชีวิต

สีดำมืดปกคลุมร่างกายและจิตใจ อารีสสิ้นไร้หนทางก้าวเดิน อันตรายต่างๆ นานาโลดแล่นในความคิด ในอกราวกลองรบถูกกระหน่ำตี หรือชีวิตของหล่อนจะต้องจบลงที่นี่...เช่นนั้นหรือ?

ความคิดเตลิดเปิดเปิง หากชั่วแวบเดียวที่ได้ยินเสียง สิ่งที่ฟุ้งซ้านอยู่ในหัวก็ดับวูบ

‘เสียงกระเด็นกระดอนของเศษหิน’

หญิงสาวนึกภาวนา หายใจแทบจะกลายเป็นหอบ เสียงนั้นดังเข้ามาเรื่อยๆ นอกจากนั้น...เสียงลากผ่านพื้นของบางสิ่งก็เริ่มดังระคน ใช่...การลากผ่านอย่างต่อเนื่องบนพื้นหิน พื้นทราย ระคนด้วยเสียงเขย่าขนดหางและเสียงขู่ฟ่อในลำคอ

งู!

อารีสตาโต แม้ในความมืดที่มองไม่เห็น หล่อนหันรีหันขวาง ทว่าจนหนทาง ทุกอย่างมืดมิด เสียงเคลื่อนตัวและการเขย่าขนดหางดังเข้ามาใกล้ทุกขณะ ทุกวินาทีมีเสียงแห่งอันตรายคุกคาม หากหญิงสาวไม่กล้าเคลื่อนไหว ได้แต่ปิดปากสะอื้นไห้น้ำตานองหน้า จะส่งเสียงร้องหรือ...ก็เกรงว่างูร้ายจะรู้ตัว

‘แม่คะ...พี่คะ...ช่วยหนูด้วย’ อารีสนึกภาวนาในใจขณะที่น้ำตายังคงไหลริน ‘วิล...นัต...ช่วยฉันด้วยเถอะ ได้โปรด...พระนางเนเฟอร์ตารี บาสตี เทวีไอซิสหรือใครก็ได้ช่วยฉันที’

ในช่วงเวลาที่มืดมิด อารีสประสานมือพร่ำภาวนา คิดถึงทุกคนที่ผ่านมาเข้ามาในชีวิตและความทรงจำ ทั้งคนใกล้ตัว เทพเจ้า หรือแม้แต่บุคคลในความฝันและประวัติศาสตร์ กระทั่งจบคำอธิษฐานดังกล่าว อึดใจที่หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดสิ้นความหวัง ใยผ้าลินินคลุมไหล่กลับเริ่มเรื่อเรืองด้วยแสงอ่อนๆ ทีละเส้น...สองเส้น จากนั้นจึงอร่ามเรืองทั้งผืน เปล่งรัศมีสาดส่องไปรอบตัว เบิกทางสว่างแก่หญิงสาวผู้อับจน

อารีสเบิกตามองผ่านม่านน้ำที่คลอหน่วย เส้นใยลินินโบราณเรืองรองส่องแสงขาวสลับทอง มลังเมลืองนวลกระจ่าง จากทุกเส้นใยทอแสงรวมกันเป็นความสว่างดับหนทางมืดมิด แสงนั้นละมุน หากกว้างไกลจนมองเห็นทางออกของมหาวิหารอันทรุดโทรม

เสียงเขย่าขนดหางดังเข้ามาเรื่อย ยิ่งปรากฏแสงสว่างเช่นนี้ เสียงก็ยิ่งเคลื่อนตัวเร็วขึ้น เศษก้อนหินที่กระเด็นกระดอนบัดนี้กลายเป็นเสาไพลอนถูกกระแทกล้มระเนระนาดดังสนั่น อารีสหันกลับไปมอง การล้มของเสาอยู่ห่างออกไปประมาณสิบช่วงเสา มีเงาร่างขนาดยาวเคลื่อนไหวว่องไวรวดเร็ว เป็นไปได้ว่าอีกไม่กี่วินาทีมันคงเคลื่อนมาถึงตัว

มือข้างหนึ่งยกชายกระโปรงแล้ววิ่งอ้าวไม่คิดชีวิต อีกข้างยังคงกระชับผ้าลินินทอแสงไว้มั่น อารีสวิ่งเต็มเหยียด มีบางจังหวะเหลียวกลับไปมอง ก็พบสิ่งน่าสะพรึง

อสรพิษตัวเขื่องขนาดชายฉกรรจ์หกคนโอบ ตามตัวเป็นเกล็ดมันลื่น มีกลิ่มสาบสัตว์เลื้อยคลานระคนกลิ่นตมน้ำลึกคลุ้งกระจาย เลื้อยไล่รวดเร็วเข้ามาใกล้เพียงไม่กี่อึดใจ จากช่วงเสาไพลอนซึ่งล้มก่อนหน้า

“ให้ตายเถอะ” อารีสสะบัดผมหยักศกยาวให้พ้นจากการบดบังทัศนวิสัย สาวเท้าวิ่งเต็มกำลัง ระหว่างนั้นก็หลบหลีกสลับสับหว่างตามเสาไพลอนต้นต่างๆ ล่อหลอกให้งูยักษ์ไล่ตาม งูยักษ์เองก็เลื้อยไล่รวดเร็ว ถล่มเสาไพลอนในห้องโถงไฮโปสไตล์จนล้มระเนระนาดพาดเสาอื่นให้ทลายลงพร้อม บางจังหวะก็ใช้ขนดหางเหวี่ยงฟาดเศษเสาไพลอนก้อนมหึมาใส่อารีส หากโชคดีที่หล่อนม้วนกลิ้งหลบหลีกได้ทัน

หลังจากลุกขึ้นมาได้ หญิงสาวก็สาวเท้าเต็มเหยียดอีกรอบ เวลานี้ใกล้ประตูทางออกทุกขณะ ยิ่งใกล้ประตูทางออกมากเท่าไร อารีสยิ่งรู้สึกถึงความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น

“ประตู...ต้องไปที่ประตูให้ได้” หล่อนวิ่งพลางพูดพลาง พยายามเรียกกำลังเฮือกสุดท้ายที่จะนำพาไปสู่ทางออกของมหาวิหารคาร์นัก

“ต้องไปที่ประตู...ประตู!”

อารีสแทบกรีดร้อง สองเท้าวิ่งไม่คิดชีวิต สองมือกระชับชายกระโปรงและชายผ้าลินินคลุมไหล่ไว้มั่นจนใกล้ปากทางออก หล่อนจึงคลี่ยิ้มเตรียมกระโจน ทว่ากลับต้องชักเท้าถอยหนี เมื่อหินก้อนใหญ่ลอยลิ่วจนเกือบหล่นทับ

“ให้ตายเถอะ!” หญิงสาวหับกลับไปมองด้านหลัง เป็นงูยักษ์นั่นเองที่พยายามขัดขวางหล่อน มันชูขนดหางมหึมาขึ้นเขย่า นัยน์ตาสีอำพันจดจ้องมองอารีสด้วยแววตาสัตว์ร้าย กระหายหิว ทั้งคมเขี้ยวและฟันแหลมที่เผยแย้มเรียงกันน่าหวาดกลัว

เวลานี้ทั้งสองต้องเผชิญหน้า หากทั้งอารีสและงูยักษ์ต่างจดจ้องกันนิ่ง ยังไม่มีการหลบหนีหรือจู่โจมต่อ

“กะ...แกต้องการอะไรจากฉัน!” อารีสตะโกน พยายามทำใจกล้าทั้งที่ริมฝีปากสั่นระริกจนรู้สึกได้ “บอกมาสิไอ้งูบ้า แกต้องการอะไรจากฉัน”

งูยักษ์ยังคงเฉย จดๆ จ้องๆ ชุดลินินทอแสงสว่างสีขาวจ้า นัยน์นั้นอารีสมองเห็นความลังเลระคนหวาดหวั่นแฝงอยู่ มีบางอย่างทำให้มันไม่กล้าจู่โจมหล่อนเวลานี้

หรือจะเป็น...ผ้าลินิน

“ถ้าไม่พูดฉันไปล่ะ” หญิงสาวกลับหลังหัน ใช้จังหวะงูยักษ์เผลอ ไต่ข้ามซากเสาไพลอนก้อนมหึมาที่ขวางปากทางออก งูยักษ์เลื้อยไล่ตามติด ทลายทุกอย่างที่ขวางหน้าเพื่อให้ถึงตัวหล่อน หากเมื่อออกพ้นประตูวิหาร หญิงสาวกลับรู้สึกถึงฝีเท้าที่เบาหวิวและการวิ่งที่รวดเร็วขึ้น ประหนึ่งกำลังล่องลอยเหนือพื้นดิน

‘ความฝัน’

ใช่แล้ว...นี่หล่อนกำลังอยู่ในฝัน หล่อนเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็วและว่องไวราวสายลม ในฝันนี้หล่อนจะเป็นอะไรก็ได้ ผู้วิเศษ หรือยอดมนุษย์

ต้องขอบคุณอนัตตา...

‘ฉันสามารถควบคุมฝันได้เหรอคะ’

‘ได้สิครับ แค่คุณมีสติอยู่ตลอดว่าคุณกำลังฝัน’ เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นมาในความคิด ‘คุณยายของผมท่านเคยสอนครับ เวลาที่ผมฝันร้าย ไม่มีใครช่วยได้ คุณยายให้ผมลองควบคุมความฝัน ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่สุดท้ายคุณจะรู้ว่าฝันมันเป็นสิ่งสามารถควบคุมได้ครับ เราจะกลายเป็ยยอดมนุษย์หรือผู้วิเศษได้ในความฝันของเรา แฟนตาซีจะตายไป เชื่อไหมครับ ครั้งหนึ่งสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก ผมเคยสู้กับยักษ์ตัวต่อตัวด้วย’

คิดได้เท่านั้น อารีสก็ชะงักฝีเท้าในทันที หล่อนกลับหลังหัน เผชิญหน้ากับอสรพิษตัวเขื่องซึ่งตามไล่ล่าไม่ลดละ นัยน์ตาของหญิงสาววาวกล้าอย่างไม่เคยเป็น ใช่...นี่คือความฝันของหล่อน ฝันของอารีส หล่อนเท่านั้นที่จะเป็นผู้ควบคุมความฝัน

ในเมื่ออนัตตาเคยล้มยักษ์วัดแจ้งมาแล้ว พญางูตัวนี้ก็คงไม่คณามือหล่อนหรอก

“มาเลย แม่จะจับใส่ไหถ่วงแม่น้ำไนล์เสียให้เข็ด” อารีสท้าทาย มองดูงูยักษ์เลื้อยไล้ใกล้เข้ามา ครั้นคะเนว่าห่างสิบเมตรจากตัวหล่อน หญิงสาวก็เหยียดแขนไปข้างลำตัว โบกอากาศไปข้างหน้า แล้วฉันพลันผืนทรายตรงหน้าพญาอสรพิษก็สั่นสะเทือน ทรายจำนวนมากรวมตัวพวยพุ่งเป็นแถวแนวกั้นเป็นกำแพงใหญ่ เคลื่อนไหวรุนแรงตลอดเวลา จนงูใหญ่ต้องเคลื่อนตัวถอยหนี

อารีสกระหยิ่มยิ้มย่อง นึกในใจว่าพรุ่งนี้คงมีเรื่องไปเล่าให้อนัตตาฟัง ครั้นเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามพยายามฟาดขนดหางทำลายกำแพงทราย หญิงสาวจึงก้มลง สองมือโกยพื้นทราย รอจังหวะที่กำแพงถูกทำลายจึงเงื้อง้างสิ่งที่จินตนาการเอาไว้

ฝันของฉัน ฉันจะทำอะไรก็ได้...

อารีสนึกในใจ พยายามใช้พลังแห่งจินตนาการสร้างสิ่งที่ปรารถนา ครั้นงูยักษ์ฟาดขนดหางทลายกำแพงทรายของหล่อนย่อยยับ พุ่งตัวเลื้อยผ่านเข้ามาได้ หญิงสาวก็กระชากค้อนขนาดใหญ่จากพื้นทรายขึ้นฟาดพญางูโดยไม่ให้มันทันตั้งตัว

ค้อนทรายที่หล่อนจินตนาการไว้ใหญ่มหึมา หัวค้อนใหญ่พอๆ กับหัวงู ทันทีที่หล่อนหวด งูใหญ่ก็ล้มฟาดพื้นตามแรงกระแทก พร้อมค้อนทรายแห่งจินตนาการกระจายเป็นผุยผง

“เป็นยังไง งงไหมจ๊ะ” อารีสเท้าเอวเยาะเย้ย เหยียดยิ้มส่งให้พญางูซึ่งกำลังสะบัดหัวไปมาอย่างมึนงง “เอาล่ะ ฉันว่ามาจบเกมกันเถอะ แกทำฉันเจ็บแสบมาหลายรอบแล้ว”

ได้เวลาที่หล่อนจะต้องจัดการขั้นเด็ดขาด ล้มงูยักษ์ตัวนี้ลงให้ได้ ทว่าทันทีที่อารีสย่อตัว ตั้งท่ากอบทรายขึ้น งูยักษ์ก็อาศัยช่วงเวลาดังกล่าวพุ่งตัวฉกหญิงสาวอย่างรวดเร็ว

ทว่าโชคดีที่หล่อนกลิ้งหลบทัน

“เล่นที่เผลอ” อารีสตวาดแหว ลุกขึ้นได้ก็โกยอ้าววิ่งเต็มเหยียด ทว่าดูเหมือนคราวนี้อสรพิษตัวเขื่องกลับเลื้อยไล่หล่อนได้เร็วขึ้น พุ่งตัวฉกซ้ายที่ขวาทีราวระเบิดลงจนหล่อนหลบแทบไม่ทัน กระทั่งเมื่อพลาดท่าวิ่งขัดขาตัวเองจนหน้าทิ่ม หญิงสาวจึงกอบทรายขึ้นมากำหนึ่งพลางจินตนาการถึงสิ่งที่จะช่วยหล่อนได้

งูยักษ์พุ่งตัวฉก หากทรายในกำมือหญิงสาวกลับพวยพุ่งรวมตัวเป็นโล่วงกลม ทำให้งูที่พุ่งตัวลงมากระเด้งผงะหงาย

อารีสเตรียมลุก หากอึดใจขนดหางใหญ่ก็ลอยหวดเข้าที่โล่จนกระจายเป็นผง ฟาดอารีสกระเด็นกลิ้งไปอีกฟาก

ฝุ่นทรายฟุ้งตลบ หญิงสาวได้แต่นอนกุมชายโครงจุกเจ็บ เมื่อครู่ขนดหางใหญ่ฟาดเข้าที่ลำตัวของหล่อนอย่างแรง ขนาดมีโล่กำบังยังเจ็บจนลุกไม่ขึ้น นี่หากไม่มี เห็นทีหล่อนคงกระอักเลือดเหมือนภาพยนตร์จีนกำลังภายใน

ครั้นงูยักษ์ลุกขึ้นได้ ก็เลื้อยไล่มาที่หล่อนอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวจนหนทางเพราะลุกไม่ไหว จึงพยายามเถือกไถไม่ต่างจากงู

‘เอ๊ะ! งูอย่างนั้นเหรอ’ หล่อนนึกได้ทั้งที่ยังกุมชายโครง ‘ได้การล่ะ’

ก่อนที่อสรพิษจะพุ่งตัวลงฉก อารีสก็ทิ่มหัวลงพื้น มุดตัวลงทราย เหลือเพียงรอยพูนทรายจากการเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่างๆ งูยักษ์เห็นก็นิ่งงัน จดจ้องพูนทรายเคลื่อนที่คดเคี้ยว พยายามพุ่งตัวฉกเอาอารีสขึ้นมาก็พลาดเสียทุกครั้ง

หญิงสาวพยายามเคลื่อนตัวใต้พื้นทราย รอจังหวะเข้าใกล้งูยักษ์แล้วจะพุ่งขึ้นพร้อมอาวุธเพื่อพิชิตเหมือนในภาพยนตร์แฟนตาซีที่เคยดูบ่อยๆ ส่วนเทคนิคการมุดดิน หญิงสาวนึกถึงงูรวมถึงสัตว์อื่นในทะเลทราย ที่มักเคลื่อนตัวใต้พื้นทรายเป็นการอำพรางและปกป้องตัวเอง

อารีสเคลื่อนตัวเข้าใกล้งูยักษ์ทุกขณะ งูใหญ่ก็พยายามไล่ฉกไม่ลดละ ครั้นฉกมากเข้าก็เห็นจะรำคาญ จึงหวดขนดหางฟาดขวางหน้าพูนทราย ทำเอาหญิงสาวผุดกระเด็น กลิ้งคลุกฝุ่นออกไปไม่เป็นท่า มารู้ตัวอีกทีก็ระบมจนขยับไปไหนไม่ได้แล้ว

“ไหนว่าฝันเป็นของเรายังไงเล่า” หญิงสาวโอดครวญ นึกโกรธอนัตตา แต่เมื่อมองไปข้างหน้าพบงูยักษ์พุ่งตัวเข้าใส่ สิ่งเดียวที่นึกได้ก็ผุดขึ้นในความคิด

‘เทวีบาสต์คือผู้สังหารพญางูอโบพิส’

หญิงสาวก้มลงที่คอ เห็นสร้อยเงินพร้อมจี้รูปแมวประดับอยู่ ในใจปรากฏศรัทธาแรงกล้า สองมือกุมกระชับจี้รูปแมวไว้มั่นราวเป็นที่พึ่งสุดท้าย แล้วทันทีที่กลิ่นสาบงูคละคลุ้งกลิ่นตมน้ำลึกกระจายทั่ว เสียงขู่ฟ่อดังก้องพร้อมการพุ่งตัวของพญาอสรพิษ อารีสก็รู้สึกถึงบางสิ่งที่ขยับเขยื้อนอยู่ในกำมือ

“เกิดอะไรขึ้น” หล่อนมองด้วยความสงสัย รีบคลายกำมือนั้นออก แล้วฉับพลันริ้วผ้าลินินหลากสีสันก็พุ่งออกจากจี้เงินรูปแมวเป็นพวยสูง เหล่านั้นบิดม้วนรวมกันราวดอกบัวตูมชูช่อ กระทั่งคลี่บาน หญิงสาวจึงเห็นสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าอย่างชัดเจน

"เทวีบาสต์!"

เทวีร่างสะโอดสะองในภูษาลินินจับจีบกรุยกราย ซ้อนทับด้วยริ้วผ้าหลากสี ทรงลอยล่องกลางอากาศ ตามวรกายประดับด้วยเพชร พลอยและหินมีค่าหรูหรา ทองคำและเงินขึ้นรูปแปลกตา หากงดงามอ่อนช้อย ครั้นเหลียวดวงพักตร์ทอดมองอารีส พักตร์นั้นกลับเป็นแมว สวมวิกผมยาวประดับรัดเกล้าวิจิตร ‘เทวี’ ทรงแย้มยิ้มให้หล่อน ก่อนจะหันไปเสยดาบเงินในหัตถ์ เสียบปากพญางูราวสายลม

อสรพิษดิ้นพล่าน พร้อมเสียงกรีดร้องเจ็บปวดทรมานของผู้หญิง เสียงนั้นอารีสคุ้นหูเหลือเกิน หากไม่อาจบอกได้ว่าเป็นใคร ครั้นหันมองงูใหญ่ มันพยายามสะบัดดาบเงินที่ฝังในปากออก ทว่าไร้ความหมาย อารีสหันมองเทวีแมว เห็นองค์เทวีเหยียดพาหาข้างพระองค์ จากนั้นจึงโบกอากาศไปข้างหน้า ฉับพลันฝูงแมวนับร้อยนับพันก็พุ่งตัว ผุดกระโจนจากพื้นทรายเข้ากลุ้มรุมงูยักษ์ ทั้งกัด ข่วน ฉีกทึ้ง ดึงเกล็ดและร่าง แม้อสรพิษพยายามสลัดฝูงแมวเหล่านั้นออก หากก็พ่ายแพ้ ถูกบางตัวกระโดดเข้าข่วนกัดลูกตาจนเลือดสาดกระเซ็น

อารีสมองด้วยความหวาดผวา นึกกลัวแมวขึ้นมาฉับพลัน แล้วอึดใจเดียวเท่านั้น งูยักษ์ก็ล้มลง...แน่นิ่งบนพื้นทราย

+++++++++++++++

หลังการสิ้นชีพของอสรพิษตัวเขื่อง หญิงสาวเฝ้ามองเทวีแห่งความสุขสันต์สลายกลายเป็นฝุ่นทรายพร้อมเหล่าแมวบริวาร องค์เทวีกลับมาสู่จี้เงินรูปแมวดังเดิม อยู่ในมือของหล่อนซึ่งกุมไว้ด้วยความศรัทธา

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยกจี้แมวขึ้นกระซิบ จุมพิต ก่อนจะรับรู้เสียงฝีเท้าที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ทุกขณะ

หล่อนหยัดตัวลุกขึ้น มองผ่านม่านทรายก็เห็นเงาดำสองเงาเคลื่อนมาใกล้ กระทั่งเด่นชัด เข่าทั้งสองก็อ่อนยวบในทันที

เทพแห่งพิธีมรณะ ‘อานูบิส’ และ ‘อัมมุท’ ตัวเขมือบความตาย

“ยังไม่พร้อม” อยู่ๆ อารีสก็โพล่งขึ้นมา นัยน์ตาเอ่อท้นด้วยน้ำคลอหน่วย สองมือกระชับผ้าลินินคลุมไหล่แน่น “ข้ายังไม่พร้อม”

หญิงสาวไม่อาจให้คำตอบกับตัวเอง เพราะเหตุใด...หล่อนจึงกล่าววลีเหล่านั้น ทว่าความรู้สึกเด่นชัด ไม่มีวลีใดแทนที่ เป็นเช่นนั้นจริงๆ หล่อนยังไม่พร้อม และยังไม่ถึงเวลา

อารีสพยายามลุกอีกครั้ง กลับหลังหันเตรียมวิ่งหนี หากเทพอานูบิสยื่นหัตถ์ไปเบื้องหน้า รวบกำราวกระชากบางสิ่งจากร่างของหญิงสาว แล้วฉับพลันอารีสก็รู้สึกถึงปลายมือปลายเท้าที่ชาวาบ ทั้งตัวไร้เรี่ยวแรง คล้ายคนเป็นอัมพาต หล่อนล้มตัวลงนอนนิ่งกับพื้นทราย แม้ใจอยากหนีให้พ้นจากความฝัน หากร่างกายไม่เอื้ออำนวยเสียแล้ว

“ข้ายังไม่พร้อม ยังไม่ถึงเวลา” หล่อนยังคงพร่ำบ่นด้วยถ้อยวลีเดิมๆ นัยน์ตาวูบไหวหวาดกลัว และก่อนที่เทพแห่งพิธีมรณะกับอัมมุทจะมาถึง ผ้าลินินคลุมไหล่ของหญิงสาวก็เคลื่อนตัวโอบรัดพันล้อม จากนั้นสัมปชัญญะก็ดับวูบ เหลือเพียงความมืดมน

*****

อารีสตื่นขึ้น ท่ามกลางความมืดสลัวในห้องนอนของโรงแรม หล่อนนอนอยู่บนเตียง มีผ้าลินินซึ่งเป็นหลักฐานทางโบราณคดีห่มไว้ต่างผ้าห่ม

หญิงสาวหันซ้ายแล้วขวา ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก้มลงมองเนื้อตัว แขนขา...ไม่มีบาดแผล ครั้นมองสร้อยเงินและจี้รูปแมวที่คอก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นจึงหันไปหยิบผ้าลินินโบราณคลุมกายมาพินิจอย่างชื่นชม

หากไม่ใช่เพราะผ้าลินินโบราณผืนนี้ หล่อนอาจไม่รอดจากมหาวิหารคาร์นัก นี่คงต้องขอบคุณอำนาจแห่งพระนางเนเฟอร์ตารี กับความเมตตาปรานีที่รู้สึกอยู่ข้างใน

เพราะ ‘พระนาง’ ที่ช่วยเหลือ และองค์เทวีบาสต์ ‘เทวีแมว’ กับเทพปกรณ์ของอนัตตา

อารีสถอนหายใจพลางยิ้มอย่างมีสุข แม้ลึกๆ ยังรับรู้ได้ถึงปลายมือปลายเท้าที่ชา ขยับได้ลำบาก ชวนให้นึกถึงความฝันที่กำลังจะถูกเทพอานูบิสจับตัวไป หากหล่อนก็ยังดีใจที่ลมหายใจคงอยู่

ทว่าคิดไม่ออกจริงๆ...เพราะเหตุใดจึงฝันถึงแต่เทพแห่งพิธีมรณะ

หรือว่า...หล่อนกำลังจะ ‘ตาย’

คิดเท่านั้นก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง กวาดสายตาไปมา พยายามคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเพื่อไม่ให้ตระหนกไปมากกว่านี้ ทว่าอยู่ๆ สายตาก็สะดุดเข้ากับแสงระยิบระยับสีแดงที่มุมห้องด้านหนึ่ง

อะไรกันที่มุมห้อง มันดูคล้าย...

“สร้อยข้อมือทับทิม” อารีสยกข้อมือดูสร้อยข้อมือทองคำ ทว่าบัดนี้สายสร้อยไม่อยู่แล้ว หล่อนปิดปากตกใจ กระชับผ้าลินินคลุมไหล่ลุกวิ่งไปดู

‘ซาก’ สร้อยข้อมือกองที่มุมห้อง ตัวพลอยสีแดงแตกเป็นเสี่ยงๆ หมดค่า ตัวเรือนทองคำขึ้นรูปแมงป่องขาดจากกัน แมงป่องตัวกระจิริดหลุดออกไม่เรียงร้อยเป็นสายสร้อยเช่นของเดิม

อารีสยื่นมือไปสัมผัส ของเหล่านี้หมดราคาเสียแล้ว ตัวเรือนขึ้นรูปแมงป่องก็วิจิตร เม็ดพลอยก็เจียระไนเป็นอย่างดี ชวนให้อดเสียดายไม่ได้ และด้วยความ ‘เสียดาย’ หล่อนจึงลูบตัวเรือนแมงป่องกระจิริด หากทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัส แมงป่องทองตัวเล็กก็เคลื่อนไหว ไต่หลังมือของหญิงสาว ก่อนจะเหวี่ยงปลายหางต่อยรวดเร็วราวสายลม

“โอ้ย!” อารีสสะบัดจนหลุด

เมื่อครู่ราวถูกปลายเข็มขนาดเล็กทิ่มแทงที่หลังมือ แม้ไม่เจ็บในคราวแรก หากรู้สึกปวดหนึบบริเวณที่ถูกต่อยในเวลาต่อมา “ให้ตายเถอะ นี่มันอะไรกัน”

อารีสเคลื่อนตัวไปเปิดไฟ เผยให้หล่อนเห็นชัดถึงแมงป่องทองตัวกระจิริดนับสิบซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสายสร้อยข้อมือ มันเคลื่อนไหวได้ โอบล้อมอารีสจนหล่อนจนมุม จากนั้นทั้งหมดก็ชูหางขู่เตรียมต่อย ฝ่ายหญิงสาวด้วยอารมณ์กลัวจับใจ จึงคว้าผ้าลินินคลุมไหล่ตวัดเหล่าแมงป่องทองคำบนพื้น กระเด็นกระดอนชนฝาผนัง แล้วสิ้นฤทธิ์ในทันที

“อะไรกัน” หญิงสาวขมวดคิ้วสงสัย เมื่อครู่แมงป่องเหล่านั้นยังเคลื่อนไหวอยู่ได้ แล้วเหตุใดเพียงถูกหล่อนปัดทิ้งชนผนังก็หมดฤทธิ์ขึ้นมาเฉยๆ ครั้นคิดว่าเป็นความฝันหรือการคิดไปเอง อาการปวดที่เริ่มรุนแรงและหลังมือที่บวมแดงมีจุดรอยแผลอักเสบกลับยืนยันได้ถึงสิ่งที่หล่อนเพิ่งเผชิญ

นี่ไม่ใช่ความฝัน หากเป็นความจริง และความจริงดังกล่าวนี้ ‘ใคร’ ต้องการทำให้เกิดกับหล่อน อารีสฉุกคิด...ฉุกคิดได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากได้สร้อยข้อมือทับทิม มีเสียงเตือนเมื่อจะสวมสร้อยข้อมือนั่น เสียงซึ่งบอกให้หล่อนระวัง

แน่แล้ว...หากไม่ใช่...อีริค เค เกียน ก็ต้องเป็น...เจ้าของสร้อยข้อมือ

บางทีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงซึ่งดังขึ้นทันทีที่งูยักษ์ถูกดาบเสียบปาก อาจเป็นเสียงของผู้ที่ตั้งใจจะทำร้ายหล่อน ก็ในเมื่อหล่อนยังถูกความฝันทำร้ายจนปางตายได้ ไม่แน่ว่าเวลานี้ อีกฝ่ายคงบาดเจ็บสาหัสเพราะคมดาบของเทวีบาสต์

ไม่เช่นนั้น...เสียงกรีดร้องคงไม่ดังราวจะขาดใจ

+++++++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มิ.ย. 2555, 13:16:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มิ.ย. 2555, 13:16:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1475





<< คาร์นัก (๑)   เนเบท >>
อลินน์ 28 มิ.ย. 2555, 06:55:18 น.
แปะชื่อว่าจะมาอ่านแน่นอน (วันนี้ประชุมหลายประชุม ฮึ่มๆ )


นาถลดา 30 มิ.ย. 2555, 09:41:23 น.
ขอบคุณครับ สู้ๆ ฮับป๋ม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account