ชื่นหัวใจ กลิ่นอายรัก
เศร้า เคล้า โรแมนติก
Tags: โรแมนติกดราม่า

ตอน: ตอนที่ 3/2

กลับมาถึงไร่ อินทัชสั่งเรียกประชุมคนงานทุกคนในไร่ พร้อมกันที่ลานกว้างหน้าบ้านพัก เพียงไม่นานคนงานราว 50 คน ก็มาโดยพร้อมเพรียงกัน พิชชาอรเองก็ร่วมประชุมด้วย
“เอาล่ะทุกคน วันนี้ทุกคนคงเหนื่อยกันมาก แต่ผมขอเวลาประชุมไม่นานนะครับ อันดับแรกผมขอแนะนำสมาชิกใหม่ที่จะมาอยู่ที่ไร่บริรักษ์ศักดานะครับ นี่คือทับทิม เป็นญาติของผมเอง ฝากทุกคนช่วยดูแลด้วย”พูดจบก็ทุกคนต่างหันไปมองสาวน้อยร่างบางผู้แปลกหน้าเป็นตาเดียวกัน พิชชาอรยิ้มให้ทุกคนพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม แม้นวาดมองดูเธออย่างเอ็นดู พร้อมกับนึกสงสัยในใจเป็นญาติฝ่ายไหนของพ่อเลี้ยงกัน แต่เธอก็ไม่สนใจความคิดเหล่านั้นอีกเมื่อพิชชาอรนั้นขยับเข้ามานั่งใกล้ๆเธออย่างฉอเลาะ
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ คุณป้า” พิชชาอรออดอ้อน ใบบัวชำเลืองมองตาเหลือก แต่พิชชาอรก็ไม่สนใจแถมยังส่งยิ้มหวานไปให้เธออีก เล่นเอาใบบัวถลึงตาใส่แทบไม่ทัน
หลังจากนั้นอินทัชก็เริ่มหัวข้อการประชุมโดยการวางแผนการทำงานให้กับคนงานทุกคนรวมถึงนัดแนะวิธีการขยายพันธ์ต้นไม้ให้กับคนงาน พร้อมกับนำตัวอย่างการขยายพันธ์มาให้ดู เช่นการตอนกิ่ง การปักชำ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นต้น ก่อนจบลงด้วยเรื่องของการใช้สารเคมีในไร่ อินทัชสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขาจะเข้มงวดมากในเรื่องการใช้สารเคมี เนื่องจากไร่ของเขาเป็นแบบออร์แกนิกส์ เพราะฉะนั้นต้องปลูกโดยไร้สารเคมี และโดยส่วนตัวแล้วเขาก็ไม่ชอบการใช้สารเคมีอยู่แล้วด้วย เพราะคิดว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมากับพืชเลยนอกจากกันแมลงเท่านั้น และยังส่งผลกระทบกับผู้บริโภคด้วยถ้านำไปใช้ในทางที่ผิด
“ถ้าผมตรวจสอบผมสารเคมีอยู่ในพื้นที่การดูแลของใครล่ะก็ คนนั้นจะต้องมีบทลงโทษนะครับ เอาล่ะทุกคนแยกย้ายการประชุมได้” สิ้นเสียงประกาศของชายหนุ่ม บรรดาคนงานในไร่ก็ลุกฮือกันราวกับผึ้งแตกรัง พิชชาอรเองก็ช่วยประคองแม้นวาดลุกขึ้นเช่นกัน
“ขอบคุณนะเจ้า คุณหนู เอ้อ ว่าแต่คืนนี้หนูจะนอนที่ไหนล่ะ” แม้นวาดพูดกับพิชชาอรพลางชำเลืองตามองไปยังอินทัช พิชชาอรเองก็เช่นกัน อินทัชส่งยิ้มมุมปากมาให้แม้นวาดและพิชชาอรก่อนเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“นอนที่บ้านนี้ไง” อินทัชบอกพร้อมพยักหน้าประกอบ
“ไม่ได้นะเจ้าป้อเลี้ยง” ใบบัวตะโกนขึ้นทุกคนจึงหันไปมองเธอ หญิงสาวจึงรีบพูดขึ้นอย่างแก้เก้อ
“ก็เปิ้นเป็นแม่หญิง จะหื้อมาอยู่บ้านเดียวกับป้อเลี้ยงสองต่อสองได้จะใดกันเจ้า น่าเกลียดตายเลย”
“ไม่เห็นเป็นหยังเลย ก็เปิ้นเป็นญาติกั๋น ลืมไปแล้วกาแม่ใบบัว” แม้นวาดพูดขึ้น ทำเอาใบบัวไม่พอใจตาเขียวอย่างแรง
“ผมไม่ได้อยู่กับน้องสองคนเพียงลำพังหรอกครับป้าแม้น” อินทัชมองหน้าพิชชาอรที่เริ่มก้มหน้าเขินอาย
“เพราะผมจะให้กระแตอยู่เป็นเพื่อนเธอและคอยดูแลช่วยเหลือเธอตลอด”
“ใครคะ กระแต”พิชชาอรถามด้วยความใคร่รู้
“แต่น แตน แต๊น หนูเองเจ้า กระแตคนงามมาแล้วเจ้า” เด็กสาววัยรุ่นหน้าตาค่อนข้างจะตรงข้ามกับที่เธอพูด วิ่งกระโดกกระเดกมาหยุดอยู่ตรงหน้าอินทัช
“กระแต นี่ทับทิมนะ เธอรู้แล้วใช่ไหมว่าต่อไปนี้เธอต้องคอยดูแลเธอยังไงบ้าง” อินทัชแนะนำ พิชชอารให้กับกระแตอีกครั้ง
“รับทราบแล้วเจ้า ป้อเลี้ยง กระแตจะดูแลให้อย่างดีเลย” พูดจบก็หันไปยิ้มให้พิชชาอร หญิงสาวก็ยิ้มตอบกลับมาเช่นเดียวกัน
“ดูแลเปิ้นดีๆเน้อ เพราะเปิ้นมาจากกรุงเทพ บ่เกยใช้ชีวิตบ้านนอกอย่างพวกเฮาดอก เข้าใจ๋ก่อแม่กระแต” แม้นวาดเอ่ยกำชับอย่างนึกห่วงอยู่ในใจ
“เจ้าค่าคุณป้าแม้น” กระแตพูดจบ ก็ได้ยินเสียงฟึดฟัดอยู่ใกล้ๆ หันไปก็คือใบบัวนั่นเอง หล่อนยืนหน้าบูดเชียว
“เป็นอะไรหรือเจ้า คุณใบบัว” กระแตย่นหน้ามาถามอย่างทะเล้น แต่ทว่าใบบัวเชิดใส่ พร้อมกับเดินหนีไปจากตรงนั้น กระแตเกาหัวแกรกด้วยความงง
“เป็นหยัง อู้ด้วยก็บ่อู้ด้วย” พูดจบหล่อนก็ไม่สนใจอะไรอีก และหันมาให้ความสนกับหญิงงามตรงหน้าแทน คนที่เธอได้รับมอบหมายให้ดูแลอย่างดีที่สุด
“ไปกันเถอะคุณหนู อาบน้ำกันดีกว่า มืดแล้ว” กระแตพูดพลางคว้าข้อมือพิชชาอรขึ้นมา จนแทบตั้งตัวไม่ทัน แต่พิชชาอรหญิงสาวก็ยิ้มให้กระแตอย่างเป็นกันเองและไม่หวงเนื้อหวงตัวเลย
“จ้า ไปก็ไป” พิชชาอรตอบสั้นๆ ก่อนเดินตามกระแตไปอย่างว่าง่าย ทว่าเสียงเจื้อยแจ้วระหว่างเธอกับกระแตดังอย่างต่อเนื่อง เพราะกระแตได้ชวนเธอคุยไปเรื่อยเพื่อทำความรู้จักและสนิทสนมมากกว่าขึ้นนั่นเอง

ดึกมากแล้ว บรรยากาศภายในไร่บริรักษ์ศักดาเงียบสงบ มีเพียงเสียงสายลมพัดแผ่วมาเบาบาง อากาศเริ่มหนาวเย็น ดวงดาวบนท้องฟ้าคืนนี้ส่องสว่างเป็นประกายงดงามเหลือเกิน หญิงสาวห่อตัวเข้ามากันพร้อมห่มผ้าคลุมไหล่ให้แน่นขึ้นเพื่อบรรเทาความหนาวเย็น
“คุณพ่อคะ คุณพ่ออยู่บนนั้นใช่ไหมคะ ทับทิมคิดถึงคุณพ่อจังเลย”พิชชาอรรำพึงรำพันกับตัวเองเสียงเศร้าด้วยความอาลัยรักและคิดถึงพ่อบังเกิดเกล้า แม้ดึกมากแล้วความง่วงก็ทำอะไรเธอไม่ได้สักนิด เมื่อความคิดถึงนั้นมีมากกว่า เธอจึงเดินออกมายืนรับลมนอกระเบียงหน้าพักของเธอ คิดถึงพ่อได้ไม่นาน น้ำตาก็เริ่มไหลค้างขอบตา เมื่อภาพที่พ่อถูกสังหารนั้นตามมาหลอกหลอนอีกแล้ว หญิงสาวจึงใช้มือบางปาดน้ำตาออกพร้อมกับปลอบตัวเองในใจไม่เธอต้องเข้มแข็ง และต้องผ่านวันคืนที่โชคร้ายนี้ไปให้ได้ และจะต้องหาทางทวงความยุติธรรมคืนมาอย่างแน่นอน พิชชาอรตั้งมั่นกับตัวเอง ก่อนหันกลับไปมองในห้อง เห็นกระแต นอนหลับใหลอยู่ข้างเตียงของเธอแล้วนึกเอ็นดูไม่น้อย และนึกลงสารเธอเช่นกัน เพราะชีวิตของกระแตนั้นน่าสงสาร เธอเล่าให้ฟังว่าเป็นเด็กกำพร้า พ่อกับแม่ตายตั้งแต่เธอยังจำความไม่ได้ เธออยู่กับตายายมาตลอด ไม่นานตากับยายก็เสียไปอีก เธอจึงต้องร่อนเร่หางานทำเพื่อเลี้ยงชีพ จนได้มาพบกับพ่อเลี้ยงอินทัช เธอจึงมีงานทำ มีชีวิตที่ดีขึ้น และยังได้เรียนหนังสือด้วยและเธอก็บอกกับพิชชาอรว่าเธอจะจงรักภักดีกันอินทัชตลอดจนชีวิตจะหาไม่เลยทีเดียวเพราะอินทัชคือผู้มีพระคุณของเธอคนเดียวที่เหลืออยู่
“ยังบ่นอนอีกก๋า คุณทับทิม” เสียงของกระแตดังขึ้นเบาๆ ในขณะที่ตาเธอก็ยังปิดอยู่ พิชชาอรนึกขำกับท่าทางของเธอจึงพูดขึ้น
“นี่ กระแตตกลงเธอหลับหรือละเมอกันแน่เนี่ย ปากก็พูดแต่ตาหลับสนิทเชียวนะ”
“คุณยังบ่หลับ กระแตจะหลับได้ยังไงล่ะเจ้า นอนเต๊อะเจ้า ดึกนักแล้ว” คำตอบของกระแตเรียกรอยยิ้มจากพิชชาอรได้เป็นอย่างดี กระแตยังคงทำหน้าที่ดูแลไม่ขาดตกบกพร่องจริง พิชชาอรนึกขอบคุณเธอในใจ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงหนานุ่ม ที่เคล้ากลิ่นหอมอ่อนๆของยูคาลิปตัส
ได้กลิ่นนี้แล้วชวนให้นึกถึงใบหน้าเจ้าของบ้านใจดีเสียจริง

เช้าแล้ว เสียงนกขับขานเจื้อยแจ้วดังเคล้ากับเสียงสายลมปนไอแดดอ่อนยามเช้า ซึ่งสาดส่องลงมาให้ความอบอุ่น ไก่ที่ชาวบ้านชาวเขาเลี้ยงไว้ต่างส่งเสียงขันตามหน้าที่ ถือว่าเป็นนาฬิกาปลุกธรรมชาติที่หาได้ยากจริงๆในเมืองหลวง หากไม่ใช่ตามชนบทหรือตามธรรมชาติ ก็คงไม่มีทางได้ยินเสียงไก่ขันในยามเช้าที่แสนสดใสนี้
พิชชาอรตื่นขึ้นมานั่งบนเตียงพลางมองออกไปนอกหน้าต่างกระจก เสียงของเจ้าไก่ที่ขันแต่เช้าสามารถปลุกเธอได้ดีโดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุกเลย หญิงสาวเดินออกมานอกระเบียงอย่างช้าๆ เปิดประตูออกมาเพื่อรับกับอากาศสดชื่น และสิ่งตรงหน้าทำให้เธอตกหลุมรักได้ในทันที กับบรรยากาศธรรมชาติต้นไม้สีเขียวสดใสโอบล้อมทิวเขา โดดเด่นด้วยดวงอาทิตย์ดวงโตที่กำลังจะโผล่พ้นเทือกเขาแลเห็นเป็นแสงสีทองจับขอบฟ้ายิ่งชัดเจนมากขึ้นทุกที
เพียงไม่นานภาพแห่งความประทับใจที่เธอไม่ค่อยมีโอกาสได้พบเห็น กับธรรมชาติที่ชวนหลงใหลนี้ก็ค่อยๆจางไป เหลือแต่ความเป็นธรรมชาติของแมกไม้และภูเขา เพราะหญิงสาวยืนดูพระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่เช้ามืดจนเริ่มสายแล้วนั่นเอง
“คุณทับทิม อาบน้ำแล้วลงไปทานข้าวเต๊อะเจ้า ป้าแม้นเปิ้นยะข้าวต้มฮ้อนๆมาให้แต่เช้าแล้วเจ้า” เสียงสดใสของกระแตดังขึ้นหลังจากที่หล่อนตื่นและลงไปดูความเรียบร้อยข้างล่างมาแล้ว
“จ้า..” พิชชาอร รับคำอย่างว่าง่ายแล้วก็เดินตรงเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกาย

“นักธุรกิจเจ้าของบริษัทวิริยะอนันต์อะไหล่ ปลิดชีพดับอนาถในคฤหาสน์สุดหรูของตัวเอง ตำรวจคาด เครียดเรื่องงานและธุรกิจที่กำลังไปไม่รอด จึงฆ่าตัวตายเพื่อจบปัญหาชีวิต” ข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์รายวัน ทำให้อินทัชถึงกับช็อกไปชั่วขณะ ก่อนจะพยายามใจเย็นเพื่อเปิดอ่านหน้าด้านในเพื่อที่จะให้ได้รู้รายละเอียด และในขณะที่เขากำลังอ่านอย่างตั้งใจอยู่นั้น พิชชาอรก็เดินมาพร้อมกับกระแตที่โต๊ะอาหาร พิชชาอรนั้นเดินตรงมาที่โต๊ะอาหารทันที ส่วนกระแตเดินเลี้ยวไปในครัวเพื่อดูว่าแม้นวาดมีอะไรให้ตนช่วยเหลือหรือไม่
“คุณพ่อ!” เสียงหวานนั้นดังขึ้นอย่างปวดร้าว ทันทีที่ได้เห็นข่าวหน้าหนึ่งบนหนังสือพิมพ์ อินทัชลดหน้าหนังสือพิมพ์ลงอย่างว่องไวก่อนจะได้จ้องใบหน้าสวยของพิชชาอรที่ตอนนี้เปื้อนด้วยน้ำตาเสียแล้ว
“ขอทับทิมดูหน่อยหน่อยค่ะ” หญิงสาวพูดอย่างอ้อนวอนพลางยื่นมือไปเพื่อขอหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น อินทัชยื่นให้อย่างจำใจ
เมื่อได้หนังสือพิมพ์มาแล้ว หญิงสาวก็รีบอ่านอย่างไม่รีรอ หล่อนอ่านตั้งแต่หน้าหนึ่งจนถึงหน้าด้านใน อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ อินทัชสังเกตใบหน้าเธอตลอดเวลา เธอยังคงน้ำตาไหลไม่หยุด เห็นแล้วก็ให้นึกสงสาร จนอยากเข้าไปปลอบ
“ไม่จริง! พ่อหนูไม่ได้ฆ่าตัวตายซะหน่อย พ่อหนูถูกฆ่าต่างหาก ฮือๆๆ คนใจร้าย” เสียงร้องของเธอดังขึ้นทันที่อ่านจบหล่อนตะโกนใส่หนังสือพิมพ์อย่างเสียสติ ก่อนจะโยนหนังสือพิมพ์ทิ้งราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ
เสียงร้องของเธอทำเอาอินทัช กระแตและแม้นวาดต่างอึ้งไปตามๆกัน ไม่คิดว่าสาวน้อยคนสวยผู้นี้จะเป็นได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก ก็พ่อเธอเสียไปทั้งคนนี่นา
พิชชาอรลุกขึ้นพรวดขึ้นมา และก็รีบวิ่งไปด้านนอกทันที อินทัชไม่รอช้ารีบวิ่งตามเธอไป ความว่องไวกว่าทำให้ชายหนุ่มรวบตัวหญิงสาวไว้ได้ทัน
“ปล่อยหนู หนูจะไปบอกกับตำรวจว่าพ่อหนูถูกเขาฆ่า หนูจะไปเอามันเข้าคุก ปล่อยหนู” พิชชาอรร้องอย่างบ้าคลั่งและดิ้นขลุกกลักอยู่ในอ้อมกอดของอินทัช ทว่าอินทัชไมปล่อยเธอง่ายๆหรอก
“มีสติบ้างสิ! อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น ฉันรู้ว่าเธอเสียใจ แต่เธอต้องตั้งสติ ผลีผลามไปอย่างนี้มีแต่เสียกับเสียนะ” อินทัชพูดขึ้นเพื่อเรียกสติของเธอกลับคืนมา
“หนูไม่ได้เสียสตินะ แต่หนูไม่เข้าใจ ทำไมตำรวจทำอะไรพวกเขาไม่ได้ พวกเขาดูกันยังไงว่ามันเป็นการฆ่าตัวตาย เดี๋ยวหนูจะไปบอกเขาเอง”
“เธอจะบอกเขาที่ไหน กรุงเทพฯ ตอนนี้เธออยู่แม่ฮ่องสอนนะ ลืมไปแล้วหรือไง” อินทัชพูดดังนั้นพิชชาอรก็นึกขึ้นได้เธอจึงสงบลง ไม่ดิ้นเหมือนเมื่อครู่นี้ อินทัชคลายอ้อมกอดออก พิชชาอรจึงหันขวับมาพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอนมาให้เขา
“พ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงพาทับทิมไปส่งที่กรุงเทพฯหน่อยสิ ทับทิมอยากไป แจ้งความกับตำรวจเพื่อลากตัวคนผิดเข้าคุกให้ได้ พ่อเลี้ยงช่วยทับทิมที นะคะ นะคะ” หญิงสาวพูดพลางจับมือแข็งแกร่งของเขาไว้ด้วยมือนุ่มนิ่มของเธอ ซึ่งไอร้อนจากมือนุ่มนิ่มของเธอนั้น สื่อให้รู้ว่าใจเธอร้อนรนแค่ไหน
“จะไปให้เขาฆ่าทิ้งหรือไง” อินทัชพูดด้วยอารมณ์ทั้งห่วงทั้งโมโห ก่อนจะฉุกคิดได้ว่าพูดอะไรออกไป พิชชาอรจ้องหน้าอินทัชอย่างสงสัย เขาพูดราวกับเขารู้จักคนที่บ้านเธออย่างนั้นแหละ และก่อนที่พิชชาอรจะเอ่ยถามในสิ่งที่เธอสงสัยออกมา ชายหนุ่มก็พูดขึ้นตัดบทเสียก่อน
“เอาเป็นว่า ฉันสัญญาว่า ฉันจะช่วยเธอเรื่องนี้เอง เธอไม่ต้องห่วง เธอและพ่อของเธอจะต้องได้รับความยุติธรรมคืนมา แต่ตอนนี้เธอต้องอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเธอ ฉันกล้ายืนยัน” อินทัชให้คำมั่นด้วยความหนักแน่น และนั่นก็เรียกรอยยิ้มหวานซึ้งจากหญิงสาวได้ อินทัชมองใบหน้าสวยนั้นเปื้อนคราบน้ำตา แต่เธอก็ยังสวย สวยมากด้วย สวยจนอาจรบกวนจิตใจของเขาได้ง่ายๆ
“เอ้านี่ เช็ดน้ำตาซะแล้วไปกินข้าว” อินทัชยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กจากกระเป้าเสื้อส่งให้หญิงสาว ก่อนเดินจากมาจากตรงนั้น นึกเสียดายที่ไม่ได้สัมผัสมือนุ่มเนียนอีก จำต้องปล่อยแล้วลอบยิ้มมุมปากเล็กๆให้ตัวเอง หลังจากที่หันหลังให้เธอแล้ว
หลังจากอาหารมื้อเช้าผ่านไป อินทัชจึงอาสาเป็นไกด์ชั่วคราวโดยพาพิชชาอรทัวร์ไร่ของเขาให้ทั่วเพื่อให้เธอคลายเครียด แต่ก่อนที่จะไปเดินเที่ยวนั้นอินทัชสังเกตเห็นแผลที่หน้าผากของพิชชาอรที่เป็นตั้งแต่เมื่อวานและยังไม่ได้คำตอบว่าเกิดจากอะไร แต่เขาก็ไม่อยากรู้เสียแล้ว เพราะถ้าถามเธอมันอาจสะกิดต่อมเครียดเธอขึ้นมาอีกได้ จึงได้แต่สั่งให้กระแตหายามาใส่แผลให้เธอก่อน
หลังจากนั้นอินทัชก็เดินหลบมุมมาเพื่อทำอะไรบางอย่าง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรออก

“กระแตว่าจะถามตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะเจ้าว่าคุณไปโดนอันหยังมาเจ้า แผลท่าทางเจ็บน่าดู” กระแตพูดพลาง เช็ดแผลให้พิชชาอร ซึ่งหญิงสาวทำหน้าแหยแกด้วยความแสบ
“ไม่มีอะไรหรอก เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดน่ะ” พิชชาอรตอบน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้นที่ทำให้เธอได้แผล ซึ่งเธอไม่ติดใจเอาความแล้วจริงๆ
“เข้าใจผิด กับใผหรือเจ้า” กระแตยังคงซักต่อ
“ก็คุณใบบัว หัวหน้าคนงานนั่นไง” พิชชาอรตอบอย่าจำใจ กับความช่างซักของกระแต
“อ๋อ! แม่นั่นน่ะก๊า คงจะวางท่ากร่างใส่คุณน่าดูเลยล่ะสิเจ้า เห็นว่าคุณเพิ่งมาใหม่ ก็เลยออกฤทธิ์ใส่ซะจะอี้” กระแตพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ไม่หรอกเขาแค่เข้าใจผิดน่ะ เขาคิดว่าทับทิมเป็นขโมย”
“แต่ก็บ่เห็นต้องยะกันจะอี้เลยนี่เจ้า คุณทับทิมต้องอยู่ห่างๆยัยใบบัวไว้ให้ดีๆเลยนะเจ้า เปิ้นชอบทำกร่างเพราะกึ๊ดว่าแม่ของตัวเองน่ะเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ อีกทั้งป้อเลี้ยงก็ให้ความเกรงใจป้าแม้นมาก ตี้ได้เป็นหัวหน้าคนงานก็เพราะบารมีของแม่ตัวเองนี่แหล่ะ” กระแตเล่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจมากทีเดียวเมื่อพูดถึงใบบัว พิชชาอรก็ได้แต่ฟัง แต่หล่อนก็ไม่นึกโกรธแค้นอะไรแม่สาวคนนั้นแล้วล่ะ เพราะเธอคิดว่าไหนเราก็อยู่ด้วยกันแล้วควรจะเป็นมิตรกันมากกว่าจะเป็นศัตรู
หลังจากทำแผลเสร็จ พิชชาอรและกระแตก็ออกไปพร้อมกับอินทัช ชายหนุ่มทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็น พาพิชชาอรชมไร่ของเขา เช้านี้คนงานในไร่ยังคงออกมาเก็บยอดใบชาเหมือนเช่นเคย หญิงสาวจึงได้พูดคุยและทำความรู้จักกับคนงานได้มากขึ้นอีก
พิชชาอรเดินชมไร่ชาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เมื่อเวลาผ่านไป จากเช้าเป็นสาย แดดเริ่มแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อินทัชจึงอาสาพาไปดูโรงงานผลิตน้ำชาและแปรรูปของเขา
และนั่นก็ทำให้พิชชาอรได้ลิ้มรสน้ำชาหวานเย็นชื่นใจ เป็นการแก้กระหายอีกด้วย




พราวเพชร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2555, 14:25:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2555, 14:25:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1199





<< ตอนที่ 3/1   ตอนที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account