ในสวนศิลป์
พี่ต้นกล้า นาวาตรีจิรวัติ สุกปลั่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาของกฤษณะอีกต่อไปแล้ว วันนี้เป็นวันวิวาห์ของเขากับพี่แพรวพรรณที่เพาะบ่มความรักดูใจกันตามที่แม่ของพี่แพรวพรรณต้องการมาถึงเกือบสองปี..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 3. ‘งานศิลปะไทยโบราณสืบสานแล้ว เพราะทูลกระหม่อมแก้วเอาพระทัยใส่”

บทที่ 3

หลังมื้ออาหารคุณบรรจงกับจรินนาเดินมาขึ้นรถของเดชาพงษ์เพราะตอนขามานั้นทั้งคู่มารถของวิษณุจักร แต่ว่าระหว่างมื้ออาหารนั้นเลขานุการของวิษณุจักรโทรตามให้ชายหนุ่มกลับมายังสำนักงานด้วยมีตัวแทนของบริษัทขายวัสดุก่อสร้างมาขอพบ

จริง ๆ แล้ววิษณุจักรจะขับรถมาส่งคุณบรรจงกับจรินนาที่โรงแรมก่อนก็ได้ แต่ว่าก่อนหน้านั้นคุณบรรจงกับเดชาพงษ์คุยกันถึงเรื่องภาพวาดจิตรกรรมไทยบนผนังอุโบสถวัดหนองไม้แห้งซึ่งอยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปประมาณยี่สิบกิโลเมตร แล้วคุณบรรจงนึกอยากไปดูงานว่าลุล่วงไปถึงไหน ดังนั้นหลังจากที่วิษณุจักรใช้เครดิตการ์ดจ่ายค่าอาหารแล้ว เดชาพงษ์จึงเดินนำสองพ่อลูกมาสต๊าทรถยนต์สี่ประตูของตัวเองเปิดแอร์ไว้รอท่าพร้อมกันนั้นก็รีบเคลียร์ข้าวของที่ระเกะระกะวางไว้ด้านหนึ่งของเบาะหลังทำที่นั่งให้กับคุณหนูจรินนาที่เดินหน้ามุ่ยเคียงข้างมากับบิดาด้วย...

“เรากลับไปเอารถของเราไปไม่ดีกว่าหรือคะ...” ตอนแรกนั้นจรินนาขอตัวจะไม่ไปที่วัดแห่งนี้ด้วยโดยอ้างว่าจะกลับไปเรียนรู้งานกับผู้จัดการโรงแรมอัมรินทร์ในภาคบ่าย แต่ว่าผู้เป็นพ่อคะยั้นคะยอให้เป็นด้วยกัน และเมื่อเห็นว่าค้านผู้เป็นพ่อไม่ได้ จรินนาจึงคิดเอาประโยชน์ที่ว่า ระหว่างทางที่นั่งรถไปหรือระหว่างอยู่กับเดชาพงษ์ ไม่มีวิษณุจักรนั่งอยู่ด้วยกัน พ่อกับเดชาพงษ์จะคุยเรื่องอะไรกัน หรือเขามีวาทศิลป์ขนาดไหน ทำไมถึงทำให้พ่อของตัวเองนั้นเคลิบเคลิ้มเปลี่ยนจากคนจีนไหว้เจ้าหันมานับถือพุทธไทยเสียได้...แต่ว่าเมื่อเห็นสภาพรถคันกลางเก่ากลางใหม่ของเขาแล้ว จรินนาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ...

“ไปคันนี้แหละ จะได้ไม่เสียเวลา” คุณหนูจรินนาจำต้องเปิดประตูหลังเข้าไปนั่งหน้ามุ่ยผินหน้าออกไปนอกรถบ่งบอกให้คนขับรถรู้ว่าเธอไม่อยากไปกับเขาเลยสักนิด ส่วนคุณบรรจงนั้นเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างหน้าคู่กับคนขับทำตัวสบาย ๆ ไม่ถือสาว่าเป็นรถเก่าไม่สมฐานะของตน และพอเห็นว่าผู้โดยสารกิตติมศักดิ์ทั้งสองท่านปิดประตูและนั่งกันเรียบร้อย เดชาพงษ์ก็เคลื่อนรถออกจากลานจอด...

“ทำงานกันได้รวดเร็วดีจังเลย ไหนบอกว่า น่าจะ ประมาณหนึ่งปี”

“เด็ก ๆ ไฟแรงครับทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ จากปีก็เลยเหลือแค่แปดเดือน” เด็ก ๆ ของเดชาพงษ์นั้นอันที่จริงก็ไม่เด็กอย่างที่เขาพูด บางคนถึงจะเป็นลูกศิษย์ของเขา แต่ว่าอายุอานามนั้นมากกว่า แต่ทุกคนที่เข้ามาเป็นลูกศิษย์ให้เขาประสิทธิ์ประสาทวิชางานเขียนภาพจิตรกรรมไทยให้ก็พร้อมใจเรียกเขาอาจารย์ ดังนั้น เวลาเอ่ยถึงทีมงานของตัวเองที่ออกไปรับงานตามที่ต่าง ๆ ผ่านตัวเองกับเจ้าภาพ เดชาพงษ์จึงต้องใช้คำว่า เด็ก ๆ เพื่อจะให้เจ้าภาพนั้นอุ่นใจว่า งานบางที่แม้เขาไม่ได้ลงมือวาดเองแต่ว่าเขาก็ส่งมือดีไปทำงาน และพร้อมจะไปดูแลทำให้ภาพจิตรกรรมร้อยเป็นเรื่องเป็นราวทศชาติเสียเป็นส่วนใหญ่นั้นออกมาเป็นวิจิตรตระการตาสร้างศรัทธาให้แก่ผู้ที่มาพบเห็น

“หมดจากโบสถ์หลังนี้แล้วมีงานอีกหรือเปล่า”

“มีครับ แต่ว่าเป็นที่จังหวัดอุทัยธานี...เจ้าภาพมาทำบุญที่นี่ พอเห็นว่าช่างทีมนี้ลายเส้นคมแปลกตาเขาก็เลยจ้างต่อ นั่นก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้พวกเขาต้องเร่งมือกัน”

“มีงานทำกันตลอดก็ดีนะ...”

“ก็มีหลายปัจจัยครับ..ฝีมือด้วย วินัยในการทำงานด้วย ราคาด้วย แล้วก็ลูกศิษย์ของผม ผมจะเน้นให้เคารพสถานที่ นอกจากนั้นผมก็หมั่นให้พวกเขาสวดมนต์ไหว้พระก่อนลงมือทำงาน และก่อนนอน ตรงนั้นก็คงมีส่วนหนุนนำให้พวกเขามีงานทำกันมาโดยตลอด...”

“ผมเองก็สวดมั่ง ไม่ได้สวดมั่ง...โลกมันวุ่นวาย...คนนั้นลากไปตรงนี้ คนนี้ลากไป
ตรงนั้น โรงแรมเปิดแล้ว คงจะมีเวลามากขึ้น”

“ก็ใหม่ ๆ ครับ จิตยังไม่คุ้น.. ผมเองก็ไม่ได้ทำเป็นประจำทุกวันหรอกครับ แต่อย่างวันพระก็หนักหน่อย...”

“แต่ผมก็ตั้งใจจะเอาทุกวันนะ..ทำแล้วใจมันเบาขึ้น...เอ้อ นี่ เพื่อนผมก็มาชวนให้ไปสร้างพระประธานในศาลาการเปรียญที่จังหวัดตาก...แต่ผมว่าจะขึ้นไปดูสถานที่ก่อน เผื่อด้านหลังตรงผนังจะสามารถทำอะไรได้บ้าง...”

“ลงสีดำทาสีทับลายดอกมณฑารพก็ได้ครับ องค์พระจะได้เด่น ๆ”

ด้วยหนังท้องตึง และด้วยแอร์ในรถคันเก่าของเขานั้นเย็นถึงเบาะหลัง กับเรื่องที่พ่อกับเดชาพงษ์คุยกันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีอยู่ในหัว ทำให้คุณหนูจรินนาที่ตั้งใจจะมาฟังความว่าเขากับพ่อคุยอะไรกันบ้าง รู้สึกว่าเปลือกตาของตัวเองหนักอึ้งขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน คอของจรินนาก็เริ่มตกทั้งที่เจ้าตัวพยายามฝืน เดชาพงษ์ที่มองจากกระจกส่องหลังอมยิ้มนิด ๆ ที่เห็นสาวสวยใบหน้าเต่งตึงดังนางละครในภาพวาดนั้นเสียกิริยา

และจรินนาก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อรู้สึกว่ารถนั้นหยุดเคลื่อนที่ไปข้างหน้า...เบาะด้านหน้าที่เธอนั่งอยู่ว่างเปล่า แต่ฝั่งคนขับนั้น เขายังนั่งตัวตรงพิงเบาะ สายตาหลังแว่นกันแดดสีดำนั้นทำให้จรินนาไม่เห็นว่าเขามองเห็นใบหน้าของเธอในยามนี้หรือเปล่า...แต่จรินนาก็เลือกที่จะหันไปมองทางด้านซ้ายมือแทนจะสนใจพูดคุยกับเขา
“จะเข้าห้องน้ำไหมครับ คุณพ่อของคุณเข้าห้องน้ำ”

น้ำเสียงของเขานุ่มทุ้มฟังสบายหู แต่ว่าจรินนาที่ตั้งป้อมไว้ว่าจะไม่ญาติดีกับเขา จะทำให้เขาไม่มีความสุขกับการการเข้ามาข้องเกี่ยวกับพ่อ กับกิจการโรงแรมของเธอ จนกระทั่งอาจจะต้องถอนตัวออกไปเสียก่อนจะวาดภาพลายไทยในโรงแรมครบทุกชั้น...หญิงสาวถอนหายใจแรง ๆ ประกาศความไม่เป็นมิตรให้เขาได้รับรู้เธอรำคาญใจกับเสียงของเขา...แต่ว่าเขาก็ยังตื้อที่จะคุยด้วยเพราะอยากผูกมิตรผูกสัมพันธ์กันไว้ หวังว่าความดีของตัวเองนี้จะทำให้หญิงสาวเปิดใจมองเขาอย่างเป็นมิตรขึ้นมาบ้าง...ดังนั้นเมื่อถามไปแล้วปฏิกิริยาของจรินนายังเป็นเหมือนผนังปูนที่ยังเป็นด่างไม่ยอมรับสีเหลืองของขมิ้นเขาจึงต้องเอ่ยถามอีกประโยค

“หิวน้ำไหมครับ ตื่นนอนใหม่ ๆ คอจะแห้ง...”

ใช่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าคอแห้ง หิวน้ำ และเธอก็มองเห็นว่า ที่หลังเบาะของเขามีขวดน้ำขนาดไม่ถึงหนึ่งลิตรเสียบอยู่ แต่ว่ามันเป็นของของเขาและมันก็ไม่ใช่น้ำเย็นที่เธอโปรดปราน และด้วยไม่อยากทนอึดอัดนั่งอยู่กับเขา จรินนาจึงตัดสินใจเปิดประตูรถ และพาตัวเองออกไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ด้านหน้าข้างปั้มน้ำมัน

หญิงสาวหายไปพักใหญ่ก็เดินกลับมาพร้อมกับถุงใส่น้ำเย็นและขนมกรุบกรอบ หญิงสาวส่งขวดน้ำให้กับผู้เป็นพ่อ..ในขณะที่เดชาพงษ์เคลื่อนรถออกจากลานจอดหน้าห้องน้ำ

“อ้าว แล้วของอาจารย์เดชาล่ะ”

“ก็จินไม่รู้ว่าเค้าจะหิวหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ค่อยชอบน้ำเย็นสักเท่าไหร่”

“ตอนกลางวันก็เห็นกินไปตั้งหลายแก้ว” จรินนาเอ่ยออกไปพอให้เขาได้ยิน แต่เขาก็ทำได้เพียงสนใจกับถนนตรงหน้า แต่ว่าใจนั้นกลับครุ่นคิดว่า...นี่ เขากลายเป็นอริศัตรูของเจ้าหล่อนอย่างเปิดเผยอย่างนั้นเลยหรือ แม้แต่ตอนที่นั่งร่วมวงกินอาหารด้วยกันเมื่อตอนกลางวัน เจ้าหล่อนก็พยายามชวนวิษณุจักรคุยถึงเรื่องเมืองนอกเมืองสวรรค์ที่เจ้าหล่อนและเขาเคยไปเรียนหนังสือกันมา ซึ่งประเด็นนั้นทำให้เขากลายเป็นคนอื่นของวงสนทนาในทันที นอกจากนั้นมีอยู่สองสามหนที่เจ้าหล่อนจงใจคีบอาหารในจานตัดหน้าเขา...และพอเขาจะย้ายตะเกียบไปคีบจานอื่นเจ้าหล่อนก็เลื่อนตะเกียบตามไปขัดขวาง...

ช่างทำตัวได้เป็นเด็กเสียเหลือเกิน...และพอนึกได้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างหลังยังทำตัวเหมือนเด็กเกเร เดชาพงษ์ก็ยิ้มบาง ๆ กับตัวเอง...และจรินนาที่ส่งขนมเข้าปากก็มองเห็นรอยยิ้มนั้น หญิงสาวส่งตาวาว ๆ ให้เขา ก่อนจะพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า

“เปิดเพลงหน่อยได้เปล่า”

เดชาพงษ์ไม่ตอบ ว่าได้หรือไม่ได้ แต่เขาก็ละมือมากดปุ่มเปิดวิทยุคลื่นเอฟเอ็ม และเขาก็ต้องอมยิ้มบาง ๆ เมื่อเสียงสนทนาของดีเจกับคนขอเพลงนั้นนั้นช่างตรงกับเรื่องของเขากับเธอเหลือเกิน...

“น้องนพจากบ้านแก่งนะครับ จะฟังเพลงอะไรครับ...”

“ไม่มีที่ยืน ของพี่ปั่น ไพบูลย์ครับ”

“พี่ปั่น เค้าชื่อไพบูลย์เกียรติ ครับ นามสกุล เขียวแก้วครับ”
“ครับ พี่ปั่นนั่นแหละครับ”

“แล้วน้องนพ มีสตอรี่อะไรของตัวเองที่มันเข้ากับเพลงนี้ไหมครับ...”

“ก็ตามเพลงนั้นเลยครับพี่...ผมรู้สึกว่า ผมทำอะไรไป มันก็ไม่มีดีในสายตาของเขาครับ ผมทำอะไรไปก็ไม่ถูกใจเขาเลย เขา เขาไม่เห็นค่าของผมเลยครับ...”

“เขานี่ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ”

“ผู้หญิงซิพี่...”

“งั้นพี่เปลี่ยนจากเขาเป็นเธอแล้วกันเนอะ”...

ดีเจยังหยอกเหย้ากับคนที่โทรมาขอเพลงอยู่อึดใจ กระทั่งอินโทของเพลงดังขึ้น ตอนนั้นจรินนาก็ไม่

คิดว่า คนขับรถนั้นจะส่ายหัวไปทางซ้ายและขวาตามจังหวะดนตรี...และตอนนั้นพ่อของเธอก็เงียบเสียงไม่ชวนเขาคุย เหมือนจะอยากให้เธอได้ฟังเสียงจากวิทยุฆ่าเวลาเดินทางไกลในครั้งนี้

แต่คนที่จรินนาคิดว่าเขาจะร้องเพลงไม่เป็น กลับร้องเพลงพร้อมกับนักร้องต้นฉบับอย่างไม่ได้สนใจว่าตอนนี้เขาได้นั่งอยู่ลำพังหรือไม่...และถ้าหูของจรินนาไม่ปัญหาเหมือนใจ หญิงสาวก็รู้สึกว่า แก้วเสียงของเขาใช้ได้ทีเดียว...และเมื่อเพลงมันวนกลับมาที่ท่อนฮุก..จรินนาจึงต้องเงี่ยหูฟังและแปลความหมายของเพลง...พลางปรายตาดูใบหน้าของเขาที่กระจกส่องหลังจึงได้เห็นว่า เขาแอบเลิกคิ้วให้เธอเล็กน้อย..

“ฯถึงแม้ทำดีสักกี่ครั้ง ก็ไม่เคยมีความหวังแหละสุดท้าย ฉันนั้นก็ได้รู้..ว่าใจเธอนั้น ไม่มีที่ให้ฉันยืน ไม่ว่าจะตอนไหน ฉันหมดสิทธิ์ฝัน เพราะทั้งใจเธอ ไม่รู้ มีใครยืนอยู่ในนั้น ไม่มีแม้เงาตัวฉันข้างใน”



ด้วยรู้ว่าสราวุฒิอดีตหลวงพี่ที่บวชมาถึงห้าพรรษามีใจให้กับอนงค์นาง ขจรเกียรติจึงต้องหาข้ออ้างไม่ขี่มอเตอร์ไซด์ไปส่งสราวุฒิที่มีหอพักอยู่ย่านวัดคีรีวงศ์ เพื่อให้อนงค์นางที่รู้ตัวดีว่าสราวุฒินั้นจีบตนอยู่นั้นไปส่งแทน อนงค์นางที่ไม่ได้มีใจให้สราวุฒิ จึงแอบถองขจรเกียรติเบา ๆ

“น่า ไปเหอะ เอาบุญ”

อนงค์นางถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะตะโกนบอกกับสราวุฒิผู้ชายที่เฉิ่ม ๆ เชย ๆ ว่า

“ไป หลวงพี่ขึ้นรถ..” เหตุที่ ทุกคนเรียกสราวุฒิว่าหลวงพี่นั้นเพราะตอนที่เปิดเรียนวันแรกเมื่อตอนต้นมกราคม สราวุฒิมาในเครื่องแบบพระภิกษุ ท่านนั่งรถจากวัดที่จำวัดอยู่มาลงที่หน้าปั้มน้ำมัน แล้วเดินผ่านปั้มน้ำมัน ปตท.เข้ามายังโรงเรียนซึ่งเป็นเพียงศาลาทรงไทยขนาดสิบคูณสิบสองเมตรด้านข้างเปิดโล่งรับลมซึ่งเจ้าของปั้มน้ำมันได้ให้ความอนุเคราะห์สถานที่ด้านหลังปั้มจัดตั้งเป็นที่ทำการสอน และด้านข้างปั้มทางเข้าโรงเรียนนั้นเป็นร้านจำหน่ายผลงานของนักเรียน

...มื้อเพลนั้น ทุกคนจะต้องหยุดเรียนมาถวายอาหาร และบางครั้งก็มีรับพรจากท่านด้วย และเมื่อเรียนไปได้สักสามเดือน ท่านสราวุฒิก็ลาสิกขาออกมาโดยอ้างเหตุผลว่าสู้กับกิเลสไม่ไหว..ดังนั้นเพื่อน ๆ ร่วมรุ่นบางคนยังคงเรียกท่านว่าหลวงพี่บ้าง ท่านบ้าง ซึ่งสราวุฒิเองนั้นก็ยังทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวเหมือนสมัยที่ยังครองเพศบรรพชิต แต่ว่าหลาย ๆ คนก็ดูออกว่าเขามีความรู้สึกพิเศษกับอนงค์นาง แต่ว่าอนงค์นางนั้นหาได้สนใจหนุ่มที่มีลักษณะอย่างนั้น และหลาย ๆ คนก็ดูออกว่า อนงค์นางนั้นมีใจให้กับอาจารย์เดชาพงษ์แต่ว่า ตัวอาจารย์นั้นวางตัววางระยะหางกับอนงค์นางได้ดีจนหลาย ๆ คนก็รู้ว่า อนงค์นางนั้นหมดหวังอย่างแน่นอน..

ดังนั้น เพื่อให้อนงค์นางมีแฟนเป็นเรื่องเป็นราว ๆ ไม่ไปวุ่นวายกับอาจารย์เดชาพงษ์ เพื่อนในรุ่นที่มีอยู่ไม่ถึงสิบคนจึงได้พยายามเชียร์สราวุฒิให้ฝากรักกับอนงค์นางให้เป็นผลสำเร็จ แต่ว่าฐานะของสราวุฒิชายหนุ่มที่มีพื้นเพอยู่ทางภาคอีสานนั้นก็ยากจะผ่านด่านครอบครัวของอนงค์นางไปได้เสียอีก

..แต่อีกนั่นแหละ บางคนก็ได้แต่ให้ความหวังสราวุฒิไว้ว่า

‘มีรักก็ต้องมีหวัง’ และสราวุฒิเองก็ถือคตินั้น ดังนั้นทางเดียวที่จะสร้างฐานะให้เสมออนงค์นางได้คือเพียรพัฒนาฝีมือตัวเองให้เป็นที่ประจักษ์สายตาแก่ลูกค้า ทำงานให้ได้มาก ๆ และขายงานออกให้ได้มากที่สุด แต่ว่าความปรารถนาของคนเรานั้นก็หาได้ สำเร็จได้ดังใจประสงค์ของเจ้าตัว งานของสราวุฒิจัดว่าดี แต่ถ้าเทียบฝีมือกับผู้เป็นอาจารย์แล้ว งานของอาจารย์เดชาพงษ์เป็นที่ต้องการของลูกค้ามากกว่า แต่ว่าเขาก็ไม่ละความเพียรพยายามฝึกปรือฝีมือตนเอง

จนกระทั่ง เมื่อต้นปีที่ผ่านมา 'แพรวพรรณ' ว่าที่พี่สะใภ้ของอาจารย์เดชาพงษ์ที่มีอาชีพเป็นนักเขียนนิยายเข้ามาเยี่ยมที่โรงเรียนแห่งนี้แล้วก็สอบถามอาจารย์เดชาพงษ์ ถึงงานปกนิยายสไตล์สีไม้ เป็นรูปคน รูปดอกไม้ หรือภาพวิวทิวทัศ และวันนั้นสราวุฒิจึงได้ยกมือว่าเขาสามารถวาดรูปเหล่านั้นได้ โดยพื้นฐานนั้นเกิดมาจากการซื้อหนังสือสอนวาดมาอ่านแล้วลองหัดวาดอยู่เรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดเป็นความชำนาญ จะเรียกความสามารถแบบนี้ว่าพรสวรรค์ก็ได้ และเขาก็ได้งานจากสำนักพิมพ์ดวงใจมาทำในที่สุด

ปัจจุบัน งานวาดปกนิยายทำเงินให้สราวุฒิมากกว่างานภาพจิตรกรรมไทยที่ทำได้ยากกว่า แต่ด้วยเป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ที่อยู่ที่อีสาน เขาจึงต้องส่งเงินรายได้นั้นกลับไปจุนเจือ ดังนั้นรถมอเตอร์ไซด์ที่ตั้งใจจะซื้อไว้ขับไปไหนมาไหนในเมืองนี้จึงต้องพับโครงการไว้ก่อน แต่ว่าการที่เขาไม่มีรถใช้มันก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง มันสามารถทำให้เขารู้ว่าเพื่อนคนไหนมีน้ำใจพร้อมที่จะไปรับไปส่งเขาบ้าง และครั้งนี้ เหตุที่เขาไม่มีรถก็ทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับอนงค์นางได้อยู่กันลำพังสองคน และเพลงที่ดีเจกำลังเปิดอยู่นี้ มันก็ทำให้เขา ต้องเหลือบตาไปหาอนงค์นางอยู่บ่อย ๆ แล้วใบหน้าเรียบก็หันมาทำตาขวาง ๆ ก่อนจะถามตามสไตล์ผู้หญิงเปิดเผยความรู้สึกว่า

“มองอะไร”

“อยากจะบอกว่าเพลงเพราะ”

“อืม เพราะดี...”

“รักเขาข้างเดียวนี่เจ็บปวดเนอะ”

“อืม...” อนงค์นางยอมรับเพราะตัวเองนั้นรักอาจารย์เดชาพงษ์อยู่ข้างเดียวด้วยเช่นกัน และหญิงสาวก็รู้ว่า อาจารย์เดชาพงษ์หาได้สนใจตนในแง่ชู้สาว แต่ว่า เมื่อความรักเป็นผลิบานไปแล้ว มันก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กัน...และใช่ว่าอนงค์นางจะไม่พยายามตัดใจ แต่ว่าเมื่อใจมันยังวิ่งแล่นไปหา เธอก็จำต้องปล่อยหัวใจตามใจตัวเองไปก่อน

“ดีใจจังเลยที่อาจารย์ชวนผมมาร่วมทีมด้วย”

“บอกกี่ครั้งแล้วเนี่ย”

“ก็ไม่รู้จะพูดอะไร”

“หาเรื่องคุยสนุก ๆ ไม่ได้ก็นั่งเงียบ ๆ ฟังเพลงไป”

แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบที่ถูกหญิงสาวขึ้นเสียงบ่งบอกอารมณ์ให้รู้ว่ารำคาญ แต่ว่าถ้อยคำให้กำลังใจเชิงยุยงของขจรเกียรติก่อนหน้านั้นก็ทำให้สราวุฒินั้นหาได้ย่อท้อหรือหมดหวัง...

“เดี๋ยวสิ้นเดือน ทางสำนักพิมพ์ดวงใจจะโอนค่าทำปกมาให้ คราวนี้สองปกแน่ะ” สองปกก็เป็นจำนวนเงินถึงหกพันบาท หักภาษี ณ ที่จ่าย 5% แล้วจะได้เงินโอนเข้าบัญชี เป็นเงิน ห้าพันเจ็ดร้อยบาทเดือนหนึ่ง เขาจะมีรายได้จากสำนักพิมพ์ดวงใจอยู่ที่หนึ่งปกถึงสามปก กับรายได้ส่วนหนึ่งจากการเขียนงานเอาไปฝากขายในร้านจำหน่ายผลงานหน้าโรงเรียน

“รวยเลยซิ”

“ก็...หายใจคล่องคอขึ้น อาจจะดาวน์มอ-ไซด์มาใช้”

“น่าจะดาวน์ตั้งนานแล้ว”

“จริง ๆ อยากซื้อสด”

“ดาวน์ก็ดี ค่อย ๆ จ่ายเขาไป เงินมีก็เก็บสำรองไว้” ด้วยบวชแต่เป็นเณรอนงค์นางจึงรู้สึกว่าบางทีสราวุฒินั้นไม่ประสีประสาต่อโลก...

“อยากชวนไปดูหนัง” เขาตัดสินใจบอกความรู้สึกของตัวเอง อนงค์นางเป่าลมออกจากปากเบา ๆ

“ไม่เห็นอยากดูเลย” ตัดบทไปแล้วรถก็เลี้ยวเข้าซอยวัดคีรีวงศ์พอดี และด้วยซอยนั้นเป็นซอยแคบ ๆ แถมมีรถจอดขวางการจราจรอย่างน่าเกลียดอยู่หลายคัน อนงค์นางจึงถือโอกาสหันไปด่าคนที่ทำให้การจราจลติดขัด สราวุฒิจำต้องสงบปาก... กระทั่งรถถึงวงเวียนหน้าวัดอนงค์นางก็หยุดรถ...

“ขอบใจนะ”

“เจ้าค่ะ”

“อยากดูหนังเมื่อไหร่ก็บอกนะ อยากเลี้ยง” กลั้นใจบอกความในใจไปอีกรอบ สราวุฒิก็เปิดประตูลงจากรถโดยที่อนงค์นางยักไหล่และให้คำตอบกับตัวเองเบา ๆ ว่า

“คงไม่มีวันนั้นหรอก”




พอรถกระบะสี่ประตูของเดชาพงษ์ถึงวัด จรินนาก็อ้างกับพ่อว่าเวียนหัว ขอรออยู่ข้างนอก คุณบรรจงรู้ว่าเป็นอุบายของลูกสาวที่ไม่อยากเปิดใจยอมรับว่าจิตรกรรมไทยนั้นมีดี..แต่ว่าการจะโน้มน้าวใจคนสักคนนั้น คุณบรรจงเองก็รู้ว่ามันต้องมีผ่อนหนักผ่อนเบา เขาตามใจลูกสาวให้รออยู่ข้างนอก ดังนั้นเดชาพงษ์จึงไม่ได้ล็อกรถ เพราะคิดว่าจรินนาคงจะป้วนเปี้ยนชมนกชมไม้อยู่ไม่ไกลจากรถ แต่ว่าเมื่อพ่อกับเดชาพงษ์เข้าไปดูงานในพระอุโบสถแล้ว จรินนาก็เดินไปทรุดตัวลงนั่งเล่นเกมส์โทรศัพท์มือถือพลางสนทนาข้อความกับเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ กระทั่งเดชาพงษ์กับคุณบรรจงเสร็จธุระ เดชาพงษ์จึงต้องเดินไปตามหญิงสาว...

“คุณจรินนาครับ” เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยชื่อของหญิงสาว และพอได้ยินเสียงเขา เจ้าของชื่อก็หันกลับมาทันทีเช่นกัน...ตาสองคู่ประสานกันแต่ว่าจรินนาก็หลบตาไปมองทางอื่นเสียก่อน

“เสร็จธุระแล้วครับ จะกลับบ้านแล้วครับ...”

ไม่มีเสียงตอบรับว่ารับรู้ แต่จรินนาก็ลุกขึ้นแล้วเดินผ่านเขาที่แสร้งยืนรออยู่ไปยังรถที่จอดอยู่หน้าพระอุโบสถ..เดชาพงษ์ยืนมองตามไปแล้วถอนหายใจเบา ๆ ครุ่นคิดว่า จะทำอย่างไรถึงจะเอาชนะใจแม่สาวสวยคนนี้ให้ได้...แต่อีกใจ เขาก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเขาจึงได้อยากเอาชนะใจผู้หญิงคนนี้
ทั้งที่เจ้าหล่อนทำตัวไม่ได้น่ารักเลยสักนิด...

และเมื่อรถเคลื่อนออกจากวัดมุ่งหน้ากลับเข้าเมืองนครสวรรค์เดชาพงษ์ก็เปิดวิทยุทิ้งไว้เหมือนตอนขามา แต่ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ดีเจเปิดเพลงจังหวะเร้าอารมณ์ คนที่นั่งอยู่ด้านหลังเหมือนจะมีปฏิกิริยากับเพลงเพราะสีหน้านั้นดูแช่มชื่นขึ้น...

แต่ว่าเพลงเร็วเพลงนั้นก็ถูกขัดจังหวะด้วยโทรศัพท์ของเขาเอง..เดชาพงษ์ลดความดังของเสียงเพลงก่อนจะกดรับสาย ใช้มือเพียงข้างเดียวจับพวงมาลัย ...

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะอาจารย์ ตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ” คู่สนทนาของเดชาพงษ์นั้นเป็นคือณัฐธิดาเจ้าหน้าที่ประจำร้านจำหน่ายชิ้นงานที่อยู่หน้าโรงเรียน

“กำลังจะกลับเข้าเมืองครับ ไปวัดหนองไม้แห้งมา”

“มีคนกรุงเทพฯ สนใจจะให้อาจารย์วาดรูปค่ะ เขาอยากเจออาจารย์ แต่เขามีเวลาไม่มาก อีกนานไหมกว่าอาจารย์จะมาถึง...”

พอได้ยินคำถาม เดชาพงษ์ก็ครุ่นคิดว่าควรจะรีบขับรถข้ามสะพานไปส่งสองพ่อลูกที่สถานที่ก่อสร้างโรงแรมก่อน แล้วถึงกลับมาที่ปั้มน้ำมันซึ่งเป็นสถานที่ตั้งร้านและโรงเรียน แต่คำนวณเวลาแล้วก็คงจะนานเกินกว่าว่าที่ลูกค้าจะรอได้.. แต่ดูเหมือนคุณบรรจงจะได้ยินเสียงที่ลอดจากโทรศัพท์เขาจึงเอ่ยเบา ๆ ว่า “แวะทำธุระก่อนก็ได้ครับ ผมไม่รีบ”

เมื่อคุณบรรจงไม่รีบ เดชาพงษ์จึงให้ณัฐธิดาบอกให้ ‘ว่าที่’ ลูกค้านั้นรอสักครู่...แต่คนที่นั่งอยู่เบาะหลังที่ตั้งใจฟังอยู่ถึงกับทิ้งตัวลงกับเบาะสีหน้าบอกให้รู้ว่าหงุดหงิดเต็มที...


และเมื่อรถของเขาถึงจุดจอดรถตรงหน้าร้าน เดชาพงษ์ก็หันไปหาคุณบรรจงก่อนจะเอ่ยว่า

“ต้องขอโทษด้วยนะครับ ขอเข้าไปคุยธุระสักครู่”

“ตามสะดวกเลยครับ เดี๋ยวผมพาจินเค้าไปเดินเล่นด้านหลังรอก็ได้...ไปเดินดูแปลงผักของอาจารย์สักหน่อย...”

“งั้นก็ช่วงรอ ตัดผักไปให้ป้าสำเนียงด้วยเลยได้ไหมครับ คะน้ากินได้แล้ว...”

พอพ่อพาดพิงมาหาตัวเองแบบนี้จรินนาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และเมื่อทั้งสามคนลงจากรถแล้ว เดชาพงษ์ก็รีบเดินตัวปลิวเข้าไปในร้าน ส่วนจรินนานั้น ลงจากรถแล้ว หญิงสาวก็เงยหน้าหน้าอ่านป้ายขนาดใหญ่ ข้อความว่า ‘ร้านผลิตและจำหน่ายชิ้นงาน ศิลปะไทยโบราณช่างสิบหมู่ ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกาญจนาภิเษก (วิทยาลัยในวัง) จ.นครสวรรค์’ และเมื่อมองผ่านช่องสี่เหลี่ยมรอดป้ายและตัวร้านค้าเข้าไป หญิงสาวก็พบว่าด้านในนั้นเป็นดงต้นไม้เขียวครึ้ม จรินนาชักสีหน้าสงสัยแต่ว่าผู้เป็นพ่อก็เอ่ยขึ้นว่า

“เข้าไปข้างในกัน..”

“ข้างในมีอะไรคะ”

“ก็ที่ทำงานของอาจารย์เดชาพงษ์เค้า...โรงเรียนน่ะ”

“มีแต่ต้นไม้”

“โรงเรียนเล็ก ๆ แบบพอเพียง...ไป เข้าไป จะได้เห็นว่าทำไม พ่อ ถึงอยากให้มีภาพวาดจิตรกรรมไทยในโรงแรมของเรา..”


และเมื่อสาวเท้าเคียงคู่กับผู้เป็นพ่อผ่านเข้าไปด้านในแล้ว ทางด้านซ้ายมือ จรินนาก็เห็นศาลาทรงไทยแสดงผลงานของนักเรียนติดตามผนัง และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ จึงได้เห็นพระสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีในกรอบไม้สีทองแขวนอยู่กึ่งกลางผนังด้านใน..ใต้ภาพนั้นมีข้อความเขียนด้วยตัวบรรจงว่า

‘งานศิลปะไทยโบราณสืบสานแล้ว เพราะทูลกระหม่อมแก้วเอาพระทัยใส่”

นายบรรจงยกมือทำความเคารพ จรินนาจึงต้องยกมือทำความเคารพตามบิดาไปด้วย...

“เป็นโครงการในพระราชดำริของสมเด็จพระเทพฯ ...ท่านต้องการอนุรักษ์ศิลปะไทยทั้งสิบแขนงไว้ ช่างสิบหมู่ มีอะไรบ้าง พ่อก็จำไม่ได้ ที่นี่เป็นโรงเรียนสาขา เปิดสอนแค่ช่างเขียน มีอาจารย์เดชาพงษ์ที่ผ่านการเรียนและอบรมจากวิทยาลัยในวังจากส่วนกลางมาเป็นครูสอน...เงินเดือนไม่ได้เยอะแยะหรอก ดูสถานที่เถอะ...ธรรมดามาก ถ้าไม่ได้เจ้าของปั้มน้ำมันอนุเคราะห์สถานที่กับสิ่งปลูกสร้าง กระบวนการเรียนก็เกิดขึ้นไม่ได้...นักเรียนไม่ได้เยอะหรอก แต่ว่าดีกว่าปล่อยให้สิ่งดี ๆ เหล่านี้หายสาบสูญ”

“ค่ะ” ใจที่มีอคติกับคนที่อยู่ด้านนอกเมื่อก่อนหน้านั้นค่อย ๆ จางหาย..และเมื่อพินิจพิจารณาภาพเขียนแต่ละภาพที่ติดอยู่รอบ ๆ จรินนาก็เห็นถึงเส้นสายอันวิจิตรบรรจง ซึ่งถ้าให้เธอเป็นผู้วาดก็ไม่รู้จะทำได้สักเศษเสี้ยวหรือเปล่า....

“ที่เรียนอยู่ตรงโน้น ไปดูก่อน”...เมื่อเห็นว่าลูกสาวซึมซับในสิ่งที่ต้องการให้ประจักษ์แก่สายตาแล้วนายบรรจงก็ชี้ไปยังเรือนหลังคาทรงไทยซึ่งใหญ่กว่าหลังนี้และมีต้นไม้ขึ้นรอบ ๆ เขาพาจรินนาเดินยังทิศทางนั้น พอไปถึง จรินนาก็พบโต๊ะตัวใหญ่ยาว เก้าอี้ กระดานดำ กับภาพผลงานของนักเขียน บอร์ดนิทัศน์ทำเนียบนักเรียนรุ่นก่อน ๆ ด้านหลังเป็นห้องเล็ก พอเห็นถึงความอัตคัดขัดสนที่จะเรียกว่าพอเพียงอีกอย่างหนึ่งก็ได้..แล้วจรินนาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“คนที่มาเรียน สวนใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ มีงานมีการทำกันแล้ว มีความฝัน มีความชอบแต่ว่าขาดโอกาส...”

และยังไม่ทันที่คุณบรรจงจะบอกเล่าอะไรให้ลูกสาวฟังต่อ ที่ด้านหน้าอาคารก็มีรถเก๋งคันกลางเก่ากลางใหม่เข้ามาจอด ทั้งสองหันไปหา และเมื่อคนบนปรากฏตัว คุณบรรจงก็ต้องยกมือรับไหว้ เช่นเดียวกับ จรินนาที่ต้องยิ้มและทักทายเจ้าหล่อนเช่นกัน

“แวะเอากับข้าวมาให้อาจารย์กล้วยค่ะ” น้ำเสียงของสุนันทาแสดงความสนิทสนมกับเขา จนจรินนารู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น...



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 มิ.ย. 2555, 12:00:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2555, 13:24:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 2573





<< 2.วิษณุจักร   4.1“คนอย่างนั้นคงไม่ได้สนใจใครที่ฐานะหรอก...” >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 28 มิ.ย. 2555, 12:03:00 น.
เขียนได้สามตอนแล้วครับ ไม่รู้ว่าถูกใจเพื่อนนักอ่านมากน้อยแค่ไหน...แต่สำหรับผมแล้ว เรื่องนี้ตั้งใจไว้สูงทีเดียว..อยากสอดแทรกให้เห็นพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเทพฯ ครับ // ผิดพลาดประการใดช่วยท้วงติงด้วยนะครับ ถ้าชอบรสนิยายก็ ไลน์บ้าง เม้นท์บ้างให้กำลังใจกันบ้างนะครับ...จุ๊บ ๆ


imsoul 28 มิ.ย. 2555, 12:30:37 น.
คะ แทรกสาระไว้ อ่านแล้วก็ได้อารมร์ไปอีกแบบ รอติดตามต่อนะคะ ... อย่าไปให้คนอ่านลงแดงก่อนหล่ะ


แว่นใส 28 มิ.ย. 2555, 12:45:03 น.
อคติบังตาอยู่ไง


zilvermoon 28 มิ.ย. 2555, 14:04:53 น.
ถูกใจค่ะ และถูกใจที่สุดคือเรื่องแทรกของวิชาช่าง และความตั้งใจของพระองค์ท่านนี่ละค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ


nutcha 28 มิ.ย. 2555, 15:55:45 น.
มากด like ให้กำลังใจจ้า


คิมหันตุ์ 28 มิ.ย. 2555, 17:12:01 น.
แอบหลงรักจารย์กล้วยนะเนี่ย


หนอนฮับ 28 มิ.ย. 2555, 18:55:13 น.
ขนลุก..รักพระองค์ท่านมากกกก อิอิ


anOO 28 มิ.ย. 2555, 19:41:03 น.
ได้เห็นงานศิลปะแล้ว อคติคงค่อยๆ ลดลง


Orathai 28 มิ.ย. 2555, 20:55:15 น.
อ่านแล้วรู้สึกดีกับอาจารย์กล้วยมากพลอยทำให้รู้สึกดีๆกับอาจารย์ต้นแบบของวิทยาลัยในวังนี้ด้วยค่ะ...มีน้อยคนที่จะอดทนในความยากลำบากเพราะคำว่าใจรัก


loveleklek 28 มิ.ย. 2555, 22:45:44 น.
ไลท์ไปแล้ว


Zephyr 3 ก.ค. 2555, 19:15:40 น.
ว้าว มีแทรกเกร็ดด้วย ดีจัง
จรินนาเธอจะอคติไปไหนเนี่ย หวังว่ามาเห็นแล้วจะตาสว่างขึ้นบ้างนะ


lookAme 20 ก.ค. 2555, 17:59:13 น.
ว้าว ดีค่ะๆ แทรกเรื่องไว้ให้คิดด้วย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account