มายารักเคียงดาว
...คุณเคยได้ยินไหม
ที่มีคนบอกว่า...ผู้หญิงมาจากดาวอังคาร
ส่วนผู้ชายมาจากศุกร์
แล้วจึงมาพบกันบนโลกใบนี้...

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 3. หรือแค่คำกล่าวอ้าง


หรือแค่คำกล่าวอ้าง



หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นราวกับฝันมาจนถึงทุกวันนี้ก็กินเวลาไปเกือบสองเดือน ฉันแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยได้ใกล้ชิดผู้ชายที่ได้ที่ชื่อว่าเอริคขนาดไหน ถ้าไม่ติดที่ฉันต้องจ่ายค่าเสียหายอยู่ทุกเดือนฉันคงจะลืมมันไปแล้วจริงๆ ทุกวันนี้การดำเนินชีวิตของฉันก็ปกติสุขดี มันเป็นนาฬิกาชีวิตที่เดินไปเรื่อยๆ เอื่อยๆ ตามสภาพของมัน ฉันทำงานหนักเหมือนเดิม ไม่สิ...ทำงานหนักมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อจะได้ปลดหนี้จากผู้ชายหล่อเลิศคนนั้น ...เกือบแสน...ฉันคิดในใจ ถ้าไม่นับรวมกับรถญี่ปุ่นคันที่เกือบกองเป็นเศษเหล็กของฉัน สถิติการเป็นหนี้ของฉันก็นับว่าดีโข เพราะมันเป็นสิ่งเดียวในชีวิตที่ฉันจะต้องรับผิดชอบ ไม่นับรวมรายจ่ายจิปาถะต่างๆ ส่วนคอนโดที่ฉันอยู่นั้นก็เป็นมรดกตกทอดจากพ่อแม่ของฉัน พวกเขาซื้อเอาไว้นานมากแต่ไม่ค่อยจะได้มาอยู่สักเท่าไหร่ เท่าที่ฉันจำได้พ่อเคยบอกฉันเอาไว้ว่า ‘ซื้อเอาไว้ไม่เสียหาย สักวันมันก็เป็นของลูกนั่นแหละ’ ซึ่งพอถึงวันนี้ฉันไม่เถียงสักคำว่ามันจริงแค่ไหน

ฉันไม่คิดว่าฉันจะได้เจอเอริคอีกไม่ว่าจะด้านไหนๆ ดังนั้นการที่ฉันคิดจะเอาคืนเขาแบบเจ็บๆ แสบๆ ก็เริ่มอันตระธานหายไปตามกาลเวลา แต่ถึงกระนั้นฉันก็รับรู้ข่าวคราวของเขาทุกระยะ ไม่แปลกที่ฉันจะรู้เพราะฉันต้องติดตามข่าวสารในวงการแฟชั่น ซึ่งนั่นหมายความว่าฉันจะต้องรู้ตื้นลึกหนาบางในวงการบันเทิงบ้าง ไม่อย่างนั้นฉันคงตกเทรนน่าดู เมื่อเดือนก่อนฉันเห็นภาพเขาในโทรทัศน์ยืนยิ้มสุขุมท่ามกลางนักข่าวรายล้อม ใบหน้าหล่อสมบูรณ์แบบของเขาสว่างสดใสยิ่งกว่าคนไหนๆ เอริคใส่เชิ้ตสีครีมพับแขนเสื้อ แต่กระนั้นก็ยังเน้นอกแข็งแรงให้ดูเย้ายวนอยู่ดี ผมสีน้ำตาลอ่อนสั้นระต้นคอของเขาพริ้วไหวไปมาตามอิริยาบถที่แปรเปลี่ยน ฉันจับความได้คร่าวๆ เกี่ยวกับงานในวงการฮอลีวู้ดที่เขาถูกเรียกตัวกระหันทัน

“จริงรึเปล่าคะเอริคที่ว่าคุณได้รับเลือกให้เล่นเป็นพระเอกคู่กับดาราสาวคนนั้น” นักข่าวหญิงคนนั้นถามขึ้นขณะที่ยื่นไมค์ไปจ่อปากเอริคไว้อย่างตื่นเต้น

เอริคเพียงยิ้มน้อยๆ อย่างสุภาพ ก่อนจะเอ่ยเสียงไพเราะหูอย่างที่ฉันได้ยินที่โรงพยาบาลออกมา “เรื่องนั้นผมยังให้คำตอบไม่ได้ เอาเป็นว่าให้ทุกอย่างลงตัวก่อนแล้วพวกคุณจะได้รู้เอง”

“แล้วเรื่องที่คุณมีข่าวกับนางเอกสาวหน้าใหม่คนนั้นล่ะคะ ว่ายังไง” คราวนี้ใบหน้างามราวรูปปั้นของเอริคเรียบขึง ไม่แย้มยิ้มออกมาเหมือนสักครู่

“ผมเคยพูดไปแล้ว หวังว่าพวกคุณจะเข้าใจ ผมขอตัว” แล้วเอริคก็ทำอย่างนั้นจริงๆ เขาเดินฝ่านักข่าวเข้าไปในงานอะไรสักงานหนึ่ง ก่อนบอดี้การ์ดร่างยักษ์ของงานจะออกมายืนกันทัพนักข่าวเอาไว้ด้านหน้า

ฉันเดาเอาว่าเขาคงจะไม่ชอบให้ใครมายุ่มย่ามวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวของเขา แต่ก็นะ...ยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะไม่มีความลับมากขึ้นเท่านั้น แค่คิดเท่านี้ฉันก็รู้สึกดีอย่างประหลาด เพราะถ้าเปลี่ยนกันได้ เป็นฉันเองที่กลายเป็นคนดังเปรี้ยงปร้างเหมือนกับเขา ฉันคงจะรู้สึกอึดอัดเจียนบ้ายิ่งกว่าเขาในตอนนี้ก็เป็นได้

อาทิตย์ที่แล้วฉันเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ขึ้นตัวหนังสือหนาเต็มหน้ากระดาษ ฉันคิดว่าคงมีแต่ตาบอดกับคนที่อ่านหนังสือไม่ออกเท่านั้นแหละที่จะไม่เห็นข่าวนี้ ในข่าวมีหน้าเอริคขึ้นหลาพร้อมกับคำอธิบายใต้ภาพ ‘ดาราหนุ่ม เอริค กวินทรา ดิ้นไม่หลุด หลักฐานคาตากับแฟนสาวนอกวงการ’ ฉันรีบกางหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นออกในทันใดเพื่ออ่านข้อความในหัวข้อข่าวด้วยความอยากรู้ ในเนื้อข่าวแทรกภาพของเอริคที่เดินคู่กับสาวสวยผมแดงเพลิง ฉันพยายามจับผิดรูปภาพพวกนั้น แต่ก็ไม่ได้อะไรนอกจากเห็นความสัมพันธ์ปกติของคนสองคนที่ไม่มีแม้แต่การจับมือถือแขน ฉันจึงสรุปเอาว่าข้อมูลที่เพิ่งผ่านสายตาของฉัน อย่างน้อยๆ ก็ต้องผสมไข่สักโหลนึงในการตีให้เข้ากัน

และวันนี้ขณะที่ฉันกำลังนั่งประชุมกับพี่ส้มและคนอื่นๆ อีกสองสามคนในร้าน จู่ๆ พี่ส้มก็ยกมือขึ้นมาปรามพวกเราเอาไว้ พร้อมกับหันไปยังทีวีจอยักษ์ที่ติดตั้งอยู่ภายในร้าน พวกเราทั้งหมดจึงหันไปทางที่พี่ส้มสนใจ ภาพคมชัดในทีวีจอสี่สิบสองนิ้วฉายภาพมนุษย์ชายหุ่นล่ำกำลังเดินแบบในชุดลำลองดูดีเชียวล่ะ และสิ่งที่สะดุดตาฉันหรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือทุกคนที่นั่งมองตาเป็นมัน ก็คงหนีไม่พ้นใครบางคนที่มีใบหน้าคมสัน เส้นผมสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาคมกล้าที่สามารถหลอมละลายทุกคนที่ได้จ้องมอง จมูกโด่ง และริมฝีปากหยักสีเรื่อดูเย้ายวน เอริคมาในชุดเสื้อสูทสีครีมเล่นสีตรงกระเป๋าให้ดูเข้ม เข้าชุดกับกางเกงผ้าที่เกือบจะเป็นเดฟสีน้ำตาลไหม้ รองเท้าหนังสีขาวดูดีมีระดับ แต่ติดอยู่ตรง...เอ่อ...แผงอกกำยำอันเปล่าเปลือยที่ล่อสายตาของทุกคนให้จับจ้องด้วยความหลงใหล

“เขาหล่อชะมัดเนอะ” พี่ส้มพูดออกมาราวกับละเมอ เธอหลับตาพริ้มประสามมือกันไว้ใต้คางก่อนจะฉีกยิ้มกว้างออกมา ฉันอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทางของพี่ส้ม ก็ฉันรู้นี่ว่าพี่ส้มกำลังคิดอะไรอยู่...

“ช่าย เป็นผู้ชายประเภทที่มีอยู่ในความฝันเท่านั้นแหละ แต่ไม่สามารถจับต้องได้ ตื่นๆๆๆ” ทับทิมพูดออกมา พลางกรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ เมื่อเห็นอาการของพี่สาวประเภทสอง

“ถ้าเขามาเดินแบบให้เรา ต่อให้ตายตอนนี้พี่ก็ยอม พ่อยอดขมองอิ่มของพี่” เออนะ...พี่ส้มท่าจะเป็นเอามาก นี่ถ้าฉันเล่าให้ฟังว่าอุบัติเหตุคราวนั้นทำให้ฉันพบกับใคร มีหวังฉันจะต้องถูกซักฟอกซะขาวสะอาด หรือไม่ต้องแก้วหูทะลุเพราะเสียงกรี๊ดของพี่ส้มแน่ๆ

“เลิกเหอะพี่ส้ม ทิมว่าไม่เวิร์คว่ะสงสารก็แต่ฝั่งผู้ชายเขา ปล่อยให้เอริคได้ไปเจอกับคนดีๆ ดีกว่ามั้ง” สาวผมสั้นพูดขำๆ ก่อนจะหันไปสนใจกับงานที่กำลังทำอยู่

“ทับทิมที่รักจ๊ะ ถ้าคิดว่าการเปล่งเสียงออกจากลำคอนี่มันลำบากมาก ก็หุบปากได้นะจ๊ะ ไม่มีใครว่า เพราะพี่กำลังจะจิ้นถึงตอบจูบกับสามีในอนาคตพี่อยู่แล้วเชียว” พี่ส้มยังไม่วายต่อจินตนาการเธอไปให้ไกลที่สุด

“เฮ้อ...พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง เอาเป็นว่าเรามาคุยกันเรื่องคอนเซปต์งานแฟชั่นโชว์ครั้งหน้าดีกว่า ได้ข่าวมาว่างานนี้คนดังมาเพียบ” ฉันเห็นทอฟ้ากลั้นหัวเราะทันทีเมื่อสายตาของพี่ส้มมองมายังทับทิมขวางๆ อันที่จริงสองคนนี้เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่เริ่มเปิดร้านใหม่ๆ แต่ก็แค่ทะเลาะกันจุกจิกเล็กน้อย เพราะรู้กันดีว่าทับทิมทั้งรักทั้งห่วงพี่ส้มยังกับอะไรดี สองคนนี้คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียน เมื่อพี่ส้มคิดจะเปิดร้านเสื้อผ้า ทับทิมจึงอาสามาช่วยในฐานะผู้จัดการร้านและหุ้นส่วนคนหนึ่ง ทั้งสองล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกันอยู่นาน จนกระทั่งร้านเสื้อผ้าเริ่มมีชื่อเสียง และฉันก็เป็นคนสุดท้ายที่ได้เข้าร่วมกับก๊วนนี้

แน่นอนที่สุดเมื่อภาพในทีวีไม่มีอะไรให้สนใจ พี่ส้มก็เริ่มคืนสติกลับมาคนเอางานเอาการอีกครั้ง ส่วนฉันก็พยายามไม่นึกถึงเรื่องราวที่โรงพยาบาลให้กวนใจในระหว่างประชุมอีกเลย



และแล้วเราก็ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับคอลเลคชั่นที่ฉันจะเป็นคนออกแบบในงานครั้งหน้า งานนี้เราจะเปิดตัวด้วยอารมณ์สดใสให้เข้ากับบรรยากาศซัมเมอร์ ดังนั้นสีที่พวกเราเลือกมาใช้ถึงเป็นสีสันฉูดฉาดบาดตา เน้นหนักที่ผ้าชีฟองพริ้วไหว และผ้าฝ้ายบางๆ เพื่อไม่หนักจนเกินไป เสื้อผ้าของผู้หญิงจะต้องไม่ดูเป็นทางการจนเกินไป แต่ก็สามารถเข้าได้กับทุกสถานการณ์ ส่วนของผู้ชายจะออกแนวเหมือนกับผู้หญิง คือสบายๆดูแล้วไม่อึดอัด แต่ก็ต้องไม่สบายจนกลายเป็นชุดอยู่บ้าน

ฉันจดทุกรายละเอียดใส่สมุดโน้ตเล็กๆ เอาไว้ เพราะมันคือการบ้านที่ฉันจะต้องไปทำ ออกแบบให้ตรงกับคอนเซปต์ และต้องให้โดดเด่นกว่าห้องเสื้อห้องไหนๆ ซึ่งฉันคิดว่าฉันพอจะทำได้ มันไม่ยากเกินไปสำหรับฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะมีงานเพิ่มขึ้นมาอย่างสองอย่าง เช่น การช่วยวิจารณ์แฟชั่นลงนิตยสารรายปักษ์ที่ถือได้ว่าเป็นงานประจำอย่างหนึ่ง หรือการที่ฉันจะรับจ๊อบสอนพิเศษตามสถาบันออกแบบเสื้อผ้าที่มีอยู่หลายแห่งทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งฉันรู้ว่ามันจะไม่กระทบกับงานที่ฉันกำลังทำอยู่แน่นอน

“พี่ส้มว่างานนี้เอริคจะมาร่วมเดินแบบรึเปล่าคะ” ทอฟ้าถามขึ้นขณะที่ยังจดๆ จ้องๆ อยู่กับตัวเลขในบัญชีของร้าน

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ได้ข่าวแว่วๆ มาว่าเขาสนใจ” เพียงแค่นี้ฉันก็หูผึ่งทันทีกับข้อมูลที่ได้รับ ใบหน้าเรียบเฉยของฉันชะงักเล็กน้อยก่อนจะพยายามกลับมาสนใจกับงานที่ได้รับต่อ แต่ถึงกระนั้นหูของฉันก็ยังได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันชัดเจนในทุกถ้อยทุกคำ

“ว้า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเอริคแย่แน่ น่าสงสารเขาเนอะที่ต้องถูกพี่หื่นของเราจับปล้ำ” ทับทิมพูดข้ามเคาน์เตอร์ด้านในออกมายังโซฟาที่ฉันและพี่ส้มใช้นั่งคุยกันต่อหน้าร้าน

“ตายแล้ว...นานๆ จะมีอะไรเข้าหูฉันสักที อย่างนี้สิมันถึงสมเป็นน้องที่รู้ใจพี่” สิ้นเสียงดัดหวานๆ ของพี่ส้มฉันก็หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อคิดภาพเอริคถูกพี่ส้มจับปล้ำ ไม่รู้เขายังจะทำหน้าเก๊กหล่อได้อยู่รึเปล่า

“ให้มันได้ซะอย่างนี้สิ เฮ้อ” ทับทิมถอนหายใจอย่างหมั่นไส้

“แล้วพี่ส้มว่าเขาจะมาจริงๆ รึเปล่าคะ” แล้วฉันก็เผลอถามออกไปอย่างลืมตัว ตายแล้ว...นี่ฉันคงหมกมุ่นเรื่องนี้จริงๆ

“อะไร น้องไอร์สนใจเอริคด้วยเหรอ” พี่ส้มหรี่ตามองฉันด้วยความสงสัย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ฉันเห็นแล้วต้องรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ

“ไม่ใช่หรอกค่ะ” ฉันรีบสั่นหัว “ไอร์ก็แค่สงสัยเท่านั้นว่าคนดังอย่างเขาจะหาเวลามาเดินแบบได้จริงรึเปล่า” คิ้วเรียวของพี่ส้มขมวดขึ้นอย่างไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ทว่าก็ยอมปริปากพูดอยู่ดี

“ไม่รู้สิ แต่พี่ได้ยินข่าวมาว่าเขาไม่เคยผิดคำพูดกับใครนะ รับปากแล้วต้องมา ดูท่าทางเงียบๆ ขรึมๆ นั่นร้ายไม่เบาเลยล่ะ”

“ยังไงคะ”

“ก็มีคนบอกว่า เขาน่ะใจแข็ง ไม่เคยแยแส ไม่เคยห่วงใยใครหน้าไหนทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีคนทำดีกับเขาสักเท่าไหร่ เขาก็ไม่เคยให้ใจ แบบว่าคบกันเฉพาะผลประโยชน์อะไรทำนองนั้น” ฉันพยักหน้ารับกับข่าวใหม่ที่ได้ยิน

“แต่ก็เพราะอย่างนี้แหละ ที่ทำให้เขาทรงเสน่ห์ที่สุด เป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทุกคนอยากค้นหา เขาเป็นเหมือนสิ่งลึกลับที่รอการพิสูจน์ว่าจะเป็นเท็จจริงแค่ไหน หรือนั่นเป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้าง” ฉันออกจะทึ่งๆ กับคำบอกเล่าของพี่ส้มที่มีต่อ เอริค กวินทรา โรเซ็นเบิร์ค เพราะเท่าที่ฉันสัมผัสมาเขาอยู่ตรงกันข้ามกับทุกอย่างที่พี่ส้มพูดถึง เขาเป็นผู้ชายที่สุภาพที่สุด อ่อนโยนที่สุด และ...หล่อที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบ หรือว่านั่นจะเป็นเพียงหน้าฉากให้ฉันตายใจ ตอนนี้ฉันชักจะเริ่มสับสนเสียแล้วว่าอย่างไหนจริงอย่างไหนเท็จ แต่ที่แน่ใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ

เขาเข้ามาอยู่ท่ามกลางความสนใจของฉันในทุกๆ ด้านเสียแล้ว



ฉันกลับมาที่ห้องโดยหอบเอางานที่ได้รับมอบหมายมาด้วย ฉันพยายามตัดสิ่งล่อทุกอย่างออกไปจากหัวขณะเริ่มวาดโครงร่าง แต่มันก็ทำได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเพราะทันใดที่ฉันเหม่อ ฉันจะเห็นหน้าของเอริคลอยเข้ามาในหัวทุกครั้งไป ฉันตบหน้าผากตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติที่ไม่เคยวอกแวกให้กลับมาทำงานเต็มที่ แต่สงสัยว่าวันนี้ฉันจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับเอริคมาเยอะไปหน่อย เลยทำให้ต่อมความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขาฟุ้งกระจายได้ขนาดนี้ ฉันยังจำรอยยิ้มทรมานใจ จำกลิ่นหอมสะอาดเหมือนกับดอกไม้ตอนหน้าฝน และหนี้ที่เขายัดเยียดให้ฉันเกือบแสน แน่นอน...ฉันจำได้ดีทีเดียว

แต่ข้อมูลที่รับมาวันนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกสับสนหน่อยๆ เอ่อ อันที่จริงมากจนถึงขึ้นไม่เป็นอันทำงานเลยล่ะ ฉันไม่แน่ใจว่าบุคลิกไหนของเขาคือตัวจริงกันแน่ จะเป็นผู้ชายเย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างที่พี่ส้มบอก หรือว่าจะเป็นชายหนุ่มแสนสุภาพที่ฉันพบในโรงพยาบาล หรือบางทีเขาอาจะเป็นคนสองบุคลิก ฉันคิดเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งได้ข้อสรุปขึ้นมาในใจว่า ถึงแม้เขาจะเป็นยังไง ฉันกับเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันจนจะต้องเก็บมาคิดมากในปวดสมอง ความสัมพันธ์ของเราเป็นเพียงเจ้าหนี้และลูกหนี้ห่างๆ ก็เท่านั้น



และแล้วงานออกแบบฉันก็เสร็จภายในอีกอาทิตย์ต่อมา ซึ่งมันถูกใจพี่ส้มเป็นอย่างมาก ฉันรู้ว่าพี่ส้มจะต้องชอบ เพราะพี่ส้มเป็นคนไม่ยึดติดกับสิ่งเดิมๆ พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นใหม่ๆ เสมอ นั่นเป็นข้อดีของคนที่ทำงานด้านนี้โดยเฉพาะ

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะเอาชุดตัวอย่างของไอร์ไปให้ร้านตัดเขาดูก่อนนะ ว่าแต่ไอร์ทำไมไม่ย้ายมาทำงานที่สตูของพี่ล่ะ พี่ว่ามันกว้างเหมาะแก่การทำงานดีออก” พี่ส้มพูดขึ้นขณะที่ชูชุดพริ้วสยายของฉันไปมา

“เอาไว้ถ้าห้องของไอร์รกจนไม่มีที่เดินแล้ว ไอร์จะรบกวนพี่ส้มแน่ๆค่ะ” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ส้มเสนอสตูดิโอส่วนตัวให้ฉันไว้เป็นห้องทำงานและถูกฉันปฏิเสธแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ที่ฉันไม่อยากใช้สตูดิโอของพี่ส้มก็เพราะว่า ฉันกลัวมันจะกลายเป็นบ้านของฉันอีกหลัง เวลาที่ฉันได้ทำงานฉันจะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น กินนอนอยู่กับมันตรงนั้นจนงานเสร็จ และคงไม่ดีนักหากฉันได้ครอบครองสตูดิโอของพี่ส้มเอาไว้ ดังนั้นการทำงานที่บ้านของตัวเองก็คือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับฉัน ถึงแม้ว่ามันจะรกไปด้วยเศษผ้าจากการตัดเย็บก็ตาม

“เฮ้อ ก็ตามใจ อุตส่าห์หาห้องทำงานประจำตำแหน่งให้ แต่ถ้าเกิดวันไหนเปลี่ยนใจ ก็บอกพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะจ๊ะ พี่ยินดี”

“ขอบคุณค่ะพี่ส้ม” ฉันส่งยิ้มให้กับเธอด้วยความจริงใจ

“ว่าแต่วันนี้ไอร์มีนัดที่ไหนกับใครรึเปล่าจ๊ะ” ฉันทำท่าครุ่นคิดสักพัก พยายามนึกถึงหมายกำหนดการในแต่ละวัน ก็พบว่านอกจากนัดส่งงานกับพี่ส้มแล้ว วันนี้ฉันก็ฟรีทั้งวัน

“ไม่ค่ะ พี่ส้มมีอะไรรึเปล่าคะ”

“พี่จะชวนไอร์ไปดินเนอร์ใต้แสงเทียนกับเราเฉพาะสาวๆ สี่คน สนใจรึเปล่า” พี่ส้มยิ้มให้ฉัน พร้อมกับจ้องมองเพื่อรอคำตอบ อันที่จริงวันนี้ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วจะไปสนุกกันตามประสาสาวโสดก็คงจะดีไม่น้อย

“จะเหลือเหรอคะพี่” ว่าแล้วฉันก็หลิ่วตาให้พี่ส้มที่ดูเหมือนจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว



“ว้าว ร้านนี้เจ๋ง” เสียงทับทิมดังขึ้นขณะที่เราเดินผ่านประตูร้านอาหารอิตาเลี่ยนเข้าไป มันเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบอาหารสไตล์นี้ ฉันมองไปรอบๆ ก็เห็นด้วยกับความคิดของแม่สาวผมสั้นอย่างหมดใจ ภายในร้านมีแสงสลัวๆ จากโคมไฟระย้าบนเพดานยกสูง เสียงจ๊อกแจ๊กเบาๆ ของลูกค้าในร้าน คลอไปกับเสียงเพลงคลาสสิกจากนักดนตรีบนเวทียกระดับ จากการกะประมาณคร่าวๆ ทางสายตา ฉันว่าร้านนี้น่าจะมีไม่เกินยี่สิบโต๊ะ แต่ทว่าแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่แต่งตัวดูดีมีชาติตระกูล ฉันแอบสงสัยในใจว่าราคาของอาหารที่นี่มันจะแพงตามความไฮโซของลูกค้าขนาดไหน

ไม่นานเกินรอชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสวมทับด้วยกั๊กดำ แถมยังหน้าตาดีก็ตรงมาหาเราด้วยรอยยิ้ม พร้อมเอ่ยถามพี่ส้มด้วยความสุภาพ “จองไว้รึยังครับ”

“อยู่แล้วค่ะ” พี่ส้มพูดพลางส่งสายตาหวานให้พ่อหนุ่มผู้นั้นอย่างเปิดเผย ฉันเห็นทับทิมกับทอฟ้าต่างพากันกลั้นหัวเราะจนแก้มปริ ที่เห็นพี่ส้มล่าเหยื่อตั้งแต่หน้าร้าน

หนุ่มหล่อผู้นี้พาเราเดินมายังโต๊ะที่ยึดพื้นที่ตรงบริเวณข้างเวทีแต่ถัดออกไปอีกสองโต๊ะ ทันทีที่พวกเราทรุดตัวนั่งเขาก็รีบยื่นเมนูมาให้โดยยืนรอจดอยู่ข้างๆ

“แล้วมันกินยังไงกันล่ะเนี่ย เกิดมายังไม่เคยเห็นเลย” ทอฟ้าเปรยขึ้นมา ขณะขยับแว่นกรอบใสเพื่อจ้องเมนูอาหารหน้าตาแปลกๆ ด้วยความหนักใจ

“ที่นี่จะเริ่มด้วยการเสิร์ฟอันติปาสโตก่อนจ้ะ แล้วต่อด้วยโซคอนโด ปิแอตโต” พี่ส้มพูดยิ้มๆ ก่อนจะบุ้ยปากให้ฉันเป็นคนขยายความต่อ ด้วยความที่ฉันเคยอยู่ฝรั่งเศสมาก่อนเรื่องอาหารอิตาเลี่ยนจึงไม่ยากจนเกินไป ฉันจึงหันไปอธิบายให้คนทอฟ้าเข้าใจถึงวิถีชีวิตการทานอาหารสไตล์อิตาเลี่ยน “อันติปาสโต คืออาหารจานเรียกน้ำย่อยจ้ะฟ้า ก็จะเป็นประเภทไส้กรอกเค็มซาลามีหรือพวกแฮมดิบทานกับเมลอน แต่บางทีก็อาจจะเปลี่ยนผักชุบแป้งทอดกับซอส แต่ไม่รู้ที่นี่จะเสิร์ฟอะไรนะเพราะไอร์ก็ยังไม่เคยมาเหมือนกัน”

“ที่นี่เสิร์ฟครอสตินี่จ้ะ” พี่ส้มต่อให้

“ครอสตินี่ก็เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยอีกประเภทนึง มันเป็นขนมปังแผ่นกลมๆ ที่ทาหน้าด้วยปลาแองโชวี่ ตับบด มะกอกบด ก็แล้วแต่สูตรของแต่ละร้านล่ะนะ”

“เฮ้อ...ทำไมถึงกินอะไรยากจัง สู้ของเราไม่ได้เนอะทับทิม สั่งอะไรก็ได้กินเลยไม่ต้องเรียกน้ำย่อย” ทอฟ้าพูดพลางส่ายหน้าก่อนจะไล่สายตาบนเมนูอาหารอีกครั้ง

“เห็นด้วยอย่างแรง แล้วไอ้โซคอนโด ปิแอตโตมันคืออะไรอีกอ่ะ ชื่อก็ยาก แถมกินก็ยาก เลิกเถอะพี่ไปกินลาบ น้ำตกเหมือนเดิมดีกว่ามั้ง” ทับทิมโอดครวญ

“ก็อาหารจานหลักไง พี่ส้มแกล้งพูดเวอร์ๆ ไปอย่างนั้นแหละ” ฉันพูดพลางหัวเราะร่วน เพราะรู้ตั้งแต่ที่พี่สาวคนสวยพูดแต่ภาษายากๆ ในตอนแรกแล้ว

“โห...พูดซะเวอร์เชียวนะคุณพี่ คราวหน้าถ้าพาไปร้านอาหารฝรั่งเศสไม่ต้องบองชูว์กันเลยรึไง” สาวผมสั้นคนเดียวในกลุ่มพูดขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้พี่สาวคนสนิท

“ก็แหม...อุตส่าห์พามาทั้งที ก็ขอโชว์ภูมิหน่อยไม่ได้เหรอไงจ๊ะ”

“อ่ะๆ พอเหอะ ตอนนี้ทิมหัวจะแย่ละ ขอสั่งโซคอนโด พิแอตโตก่อนก็แล้วกัน” ทับทิมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเรียกเด็กเสิร์ฟหนุ่มมารับออร์เดอร์อาหารที่หมายตาไว้ตั้งแต่แรกอย่างกระตือรือร้น



หลังจากที่สั่งอาหารกันจนครบถ้วนหมดแล้ว พวกเราก็เริ่มสนใจกับบรรยากาศและผู้คนรอบข้างมากขึ้น ขณะรออาหารที่สั่ง ซึ่งทางร้านก็เสิร์ฟครอสตินี่มาก่อนเป็นอันดับแรก ทอฟ้าและทับทิมลองชิมด้วยความสนใจก่อนจะลงมติว่ารสชาติผ่านแบบไม่ถูกหักสักแต้ม

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันเรื่องส่วนผสมในซุปผักที่เสิร์ฟมาพร้อมกับครอสตินี่อยู่นั้น จู่ๆ ฉันก็ถูกสะกิดจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับเสียงกระซิบกระซาบน่าตกใจ



“ไอร์ๆ เก้านาฬิกา เชิ้ตน้ำตาลนะ” ฉันเหลียวมองไปยังทิศทางที่ได้รับ พยายามจะไม่เสียมารยาทโดยการจ้องตรงๆ แต่แอบมองเป็นระยะๆ ผ่านทางทอฟ้าที่นั่งขวางไว้โดยไม่ให้เหยื่อรู้ตัว

“ฉันไม่เห็น” ฉันกระซิบบอก พลางเหลือบมองอีกครั้ง แต่ฉันก็เห็นเพียงผู้ชายร่างท้วมที่กำลังยืนบดบังรัศมีสายตาอยู่

“ดูดีๆ สิ เดี๋ยวพอนายนั่นเดินออกไป เธอจะได้เห็นว่าใคร งานนี้รับรองต้องมีใครสักคนได้รับบาดเจ็บแน่” คำพูดของทอฟ้าช่างกระตุ้นต่อมอยากรู้ฉันเหลือเกิน ใครกันนะที่จะได้รับบาดเจ็บ หรือว่าพวกเราจะเจอกับโจทก์เก่าเข้าเสียแล้ว พอร่างท้วมๆ พอชายคนนั้นเดินจากไป ความจริงก็ปรากฏสู่สายฉันจนรู้สึกอะดรีนาลีนสูบฉีดไปทั่วร่าง ใช่แล้ว...งานนี้ต้องมีใครสักคนได้รับบาดเจ็บแน่

“นี่น้องๆ จ๊ะเป็นอะไรกัน ทำหน้าอย่างกับเห็นผี” พอเสียงพี่ส้มดังขึ้น ฉันก็รีบหันกลับมาสนใจใบหน้างามหยดของพี่ส้มอีกครั้ง พร้อมกับหันไปยิ้มๆ กับทอฟ้าอย่างมีนัย

“สัญญากับเราก่อนสิคะ ว่าถ้าเราบอกพี่ส้ม พี่จะต้องให้โบนัสพวกเราอย่างงาม” ฉันพูดยั่วเย้า ขนาดทับทิมยังอดสนใจสิ่งที่ฉันพูดไม่ได้ นับประสาอะไรกับพี่ส้ม

“อะไรกันน่ะไอร์ ทำไมเราถึงไม่รู้เรื่อง” สาวผมสั้นส่งเสียงประท้วง

“ใช่ๆ มันเรื่องอะไรกัน นี่อย่าทำให้พี่ตื่นเต้นขนาดนั้นสิ” แล้วฉันกับทอฟ้าก็พยักหน้าให้กัน ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้าเป็นลักษณะที่พวกเราจะใช้นินทาใครสักคน และแน่ล่ะ...ว่าสองคนนั้นต้องไม่พลาดเรื่องอย่างนี้อยู่แล้ว

“พี่ส้มสัญญานะว่าถ้าไอร์บอกแล้วต้องไม่กระโตกกระตาก หรือร้องวี้ดขึ้นมากลางร้าน” พี่ส้มพยักหน้ารวดเร็ว เม้มปากเป็นเส้นตรง พร้อมกับทำท่ารูดซิบแล้วโยนออกไปด้านข้าง

“โอเคๆ คราวนี้จะบอกได้รึยังล่ะ พี่ตื่นเต้นจนจะแย่อยู่แล้วนะ” พี่ส้มเร่งเร้าด้วยความอยากรู้

“สามนาฬิกา เชิ้ตน้ำตาล ได้โปรดว่าอย่ากรี๊ด” สิ้นเสียงของฉันพี่ส้มกับทับทิมก็หันไปตามทิศนั้นอย่างตื่นเต้น ทันทีที่สายตาของพี่ส้มเห็นแล้วว่าสิ่งมีชีวิตที่พูดถึงนั้นคืออะไร ใบหน้าของเธอก็ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นสามวินาทีก่อนจะโพล่งออกมาดังๆ

“เอ...!” พูดได้แค่นั้นก็ถูกมือเล็กๆ ของทับทิมปิดเอาไว้

“อย่ากรี๊ดๆ” ทอฟ้าทวนคำพูดของฉันอีกครั้ง คราวนี้พี่ส้มพยักหน้ารับ ก่อนจะตวัดสายตาไปมองทับทิมที่ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากใบหน้าสวยด้วยความโล่งใจอย่างสุดๆ ที่สามารถทำให้พี่สาวผ่อนความตื่นเต้นได้

“กรี๊ด! เขาหล่อจริงๆ หล่อระเบิดระเบ้อไปเลยให้ตาย!” พี่ส้มพูดเบาๆ ด้วยความตื่นเต้นจนถึงขีดสุด จนฉันกลัวว่างานนี้เอริคต้องกลายเป็นผู้บาดเจ็บจากการจู่โจมของพี่ส้มเป็นแน่ อันที่จริงฉันก็ตื่นเต้นไม่แพ้กับพี่ส้มเหมือนกันที่ได้มาเจอกับเขาอีกครั้งเพราะไม่รู้ว่าเขายังจะจำฉันได้อยู่รึเปล่า

“ก็ถ้าไม่หล่อคงไม่ได้เป็นดาราอย่างนี้หรอกมั้ง” ทับทิมพูดลอยๆ ขณะจัดการกับครอสตินี่ที่พร่องไปมาก

“ใช่ ถ้าไม่หล่อจริง สวย รวย เก่ง อย่างพี่ก็คงไม่แลซะให้ยากหรอก” คำพูดของพี่ส้มทำเอาคนทั้งโต๊ะต้องอมยิ้ม ขณะเหลือบไปมองเอริคจนคอแทบเคล็ด

“แล้วเอริคมากับใครน่ะ พวกเธอรู้จักรึเปล่า หรือว่าจะเป็นยัยดาราที่เป็นข่าวด้วยตอนนั้น” พี่ส้มถามต่อ เพราะเธอยังคงจ้องโต๊ะดาราดังตาเขม็ง

“ไม่รู้สิคะ แต่ไอร์ว่าคงไม่ใช่ดาราหรอกมั้ง หน้าไม่คุ้นเลย” ฉันพูดพลางเหลือบไปมองดูหนุ่มลูกครึ่งที่นั่งรับประทานอาหารอย่างเป็นกันเองกับชายหนุ่มดูดีสูสีและสาวสวยอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ถัดไปไม่ไกลจากโต๊ะของพวกเรา

“มองขนาดนั้นเดี๋ยวเอริคก็จืดหมดหรอกคุณพี่” ทับทิมอดแซวไม่ได้ เมื่อเห็นพี่สาวสุดที่รักไม่ยอมปล่อยให้เอริคพ้นจากสายตาไปแม้แต่วินาทีเดียว

“สำหรับพี่ไม่มีคำว่าจืด ผู้ชายคนนี้โซฮ๊อตได้แม้กระทั่งตอนหลับ เชื่อเถอะ”

“สงสัยพี่ส้มจะเป็นเอามากนะเนี่ย” ฉันพูดผสมโรงขึ้น แต่สายตาก็ยังไปแอบชำเลืองมองเขาเป็นระยะ

“ถ้าอย่างนั้นเรามาเล่นเกมกันดีมั้ยคะ ว่าเอริคจะหันมามองพวกเราภายในห้านาทีนี้รึเปล่า” ทอฟ้าพูดขึ้นมาอย่างกระตือรือร้น พลางกวาดสายตาไปมองทุกคนในโต๊ะ

“ก็เอาสิ อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะชายตามองพี่สาวเรารึเปล่า” ทับทิมรีบพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะถูกพี่ส้มค้อนขวับอย่างงามให้หนึ่งที

“ถ้าอย่างนั้นมาคอยดูกันนะจ๊ะว่างานนี้ ใครกันแน่ที่เอริคจะชายตามอง” พูดพลางหันไปจ้องหนุ่มหล่อเขม็ง จนแทบจะเรียกได้ว่าพากันจ้องไปยังเขาทั้งโต๊ะ ทันใดนั้นเขาก็หันมาทางพวกเราด้วยอาการสงสัย สายตาของเราสอดประสานกันพอดีเปะ ฉันรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาที่ใบหน้า รีบก้มหน้าหลบสายตาเขาเป็นการด่วน

ฉันรู้ดีที่เขาหันมามองไม่ใช่เพราะเกมบ้าอะไรของของพี่ส้มกับทอฟ้าหรอก คงเป็นเพราะอาการแปลกๆ เข้าขั้นโรคจิตของสองคนนี้มากกว่าที่เป็นเป้าสนใจให้คนทั้งร้าน แต่ถึงแม้ว่าฉันจะหลบสายตาของเขามาแล้ว ฉันก็ยังรู้สึกได้ถึงรังสีที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา จนฉันต้องเหลือบไปมองอีกครั้งด้วยความกล้าๆ กลัวๆ

แล้วฉันก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริศเมื่อเขายังจ้องมาทางฉันพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากเป็นสัญญาณว่าเขาจำฉันได้แน่นอน...






+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีวันพุธค่ะ

เรื่องนี้เขียนเมื่อตอนปี 52 มั้งคะถ้าจำไม่ผิด เมื่อก่อนเรื่องนี้ชื่อ "รักนี้มีเพียงเธอ" ค่ะ เป็นนิยายเรื่องแรกและคงจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขียนหวานๆ อย่างนี้ได้ เอิ๊กๆๆ พอดีพัฒนาการด้านความเกรียนมันเพิ่มเลเวลน่ะค่ะ หลังๆ เลยชอบเขียนนิยายฮาๆ ซะส่วนใหญ่ ^^"

ถ้าใครชอบแนวหวานๆ ไม่ซับซ้อนอะไรก็เรื่องนี้แหละค่ะ เป็นเรื่องเดียวของคนเขียน (ในขณะนี้) 5555

ขอบคุณ
คุณหมูบูลิน : ขอบคุณค่ะ แต่ตอนเขียนเครียดเลย ไม่รู้จะเขียนยังไงให้หวานเกิดมาไม่เคยเขียนค่ะ 555

คุณโซดา : มาแล้วค่ะ มาทุกวันจนกว่าจะจบเลย เพราะเรื่องนี้มียี่สิบกว่าตอนเอง ต้นฉบับสั้นค่ะ อิอิ

คุณเทียนจันทร์ : ขอบคุณที่ชอบนะคะ ตอนนั้นที่เขียนก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะมีคนเลี่ยนไปก่อนรึเปล่า 55

คุณpattisa : คนเขียนก็ชอบค่ะ เอริคเป็นพระเอกนิยายของตัวเองที่ชอบที่สุดคนนึงเหมือนกัน อิอิ

คุณwane : ขอบคุณที่ชอบนะคะ คนเขียนปลื้มมมมมค่ะ ><


และขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ^^
( นิลปานัน )
www.facebook.com/daranilday

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ดารานิล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มิ.ย. 2555, 11:10:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มิ.ย. 2555, 11:10:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 2064





<< 2. ค่าเสียหาย   4. หายกัน >>
pattisa 27 มิ.ย. 2555, 18:14:52 น.
อ๊ายยย เขินเเทนไอร์อ่ะ จะละลายเเทน 55 นายเอริคจะเข้ามาทักไอร์หรือเปล่าน้า?


หมูบูลิน 27 มิ.ย. 2555, 22:41:36 น.
นายเอริคเดินเข้ามาทักเลย สาวๆจะได้กรี๊ซกันสนั้นโต๊ะ


wane 27 มิ.ย. 2555, 23:44:56 น.
กรี๊ดดดด ...ร่วมกรี๊ดผสมโรงกับพี่ส้มด้วยคน 555+


Zephyr 4 ก.ค. 2555, 19:10:55 น.
ขอกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ด้วย
เจอยังงี้ ลงไปนอนกระแด่วๆ บนพื้นแน่ๆค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account