ทะเลหวาน
หนึ่งคน... อยู่ในความทรงจำ ที่ฝังลึกอยู่ข้างในใจไม่ห่างหาย
หากอีกหนึ่งคน... มีตัวตน คอยเตือนเธอให้ลืมคนในอดีตอยู่เสมอ

การตัดสินใจอาจไม่ยากเย็น หากหัวใจเธอไม่ถูกปิดไปพร้อมกับอดีตที่ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
Tags: เรื่องยาว ทะเล

ตอน: ตอนที่ 1

คิ_คิ วันเดียวเรามาถึงสองตอน ฮี่ๆๆ (ทำได้ครั้งแรกครั้งเดียวนี่แหละค่ะ)

ต้องบอกก่อนว่าก่อนอ่านตอนนี้ รบกวนท่านผู้มีอุปการะคุณทั้งหลายที่ยังไม่ได้อ่านบทนำ กลับไปอ่านบทนำก่อนนะคะ พอดีไม่ได้ลงต่อกัน แหะๆ

เอาล่ะ มิณทิมาแพล่มอะไรเยอะแยะก็ไม่รู้ เอาเป็นว่า เชิญบันเทิงกันตามอัธยาศัยจ้า

===========================================

ร้านอาหารที่ไม่ได้ใหญ่โตหรูหราอะไร เมื่อเทียบกับร้านอาหารราคาแพงร้านอื่น ตั้งอยู่ริมถนนที่มีรถขับผ่านไปผ่านมาตลอดจนกระทั่งดึก เพราะเป็นถนนสายเชื่อมต่อระหว่างกรุเทพฯ กับต่างจังหวัดและนักเดินทางทั้งหลายสามารถเลี้ยวรถเข้ามาหาที่จอดรถได้ไม่ยาก เนื่องจากเจ้าของร้านเตรียมพื้นที่ไว้ให้สำหรับลูกค้าที่มาทานอาหารโดยเฉพาะ แม้จะไม่มากอะไรแต่อย่างน้อยพื้นที่ที่เตรียมไว้ก็ไม่ทำให้ลูกค้าวุ่นวายกับการหาที่จอดมากนัก

นฤมลเดินลงจากรถเพื่อนด้วยใบหน้าฉ่ำไปด้วยน้ำตา แม้ว่าเธอจะหยุดร้องตั้งแต่ออกจากสุสานมาเกินครึ่งทางแล้วก็ตาม แต่คราบน้ำตายังคงติดอยู่บนใบหน้า เพราะเจ้าตัวไม่คิดจะเช็ดมันออก จนเพื่อนชายที่ไปด้วยกันแทบจะยื่นทิชชู่เช็ดให้แล้วเอ่ยเตือนสติไปว่าหน้าตามันดูไม่ได้มากแค่ไหน ถ้าไม่ติดว่ากลัวมันจะยกเท้าขึ้นถีบเสียก่อน

หญิงสาวและกลุ่มเพื่อนเดินเข้าไปในร้านของนพดลอย่างคุ้นเคย มีพนักงานยืนไหว้ต้อนรับกันอย่างนอบน้อม เธอมองรอบๆ ร้านแต่กลับไม่เจอร่างของพี่ชายเลยแม้แต่น้อย จนต้องหันไปถามพนักงานที่อยู่ใกล้ๆ ได้ความว่าพี่ชายเธอไปแวะซื้อขนมหวานที่ร้านขนมเค้กซอยถัดไป คนได้รับคำตอบแปลกใจเล็กน้อย เพราะหนึ่งคือนพดลไม่กินของหวาน สองคือถ้าหากร้านนี้มีเมนูขนมหวานก็ไม่น่าจะเป็นพวกเค้กหรือเบเกอรี่ มันควรเป็นขนมหวานของไทยที่เอนไปทางมันเชื่อม กล้วยเชื่อมเสียมากกว่า

ความแคลงใจที่มีหญิงสาวไม่ได้ปัดทิ้งไปเสียทั้งหมดแต่ถูกเก็บมันไว้ รอเวลาเธอซักฟอกกับพี่ชายทีหลัง ก่อนจะหันไปสั่งอาหารกับลูกน้องพี่ชายให้จัดมาชุดใหญ่ เพราะตอนนี้เพื่อนเธอทั้งสามหิวกันจนแทบจะกินช้างเข้าไปได้ทั้งตัว

“ฮ้า กับข้าวร้านพี่แกนี่มาเมื่อไหร่ รสชาติก็ไม่เคยเปลี่ยนอร่อยฉิบหาย” คนพูดตักต้มยำรวมมิตรที่กำลังเดือดปุดๆ ขึ้นมาใส่ชามเล็กของตนเองอย่างมีความสุขและอิ่มเอมไปกับการกินอาหารที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า

“อ้าวเฮ้ย ตกลงมันอร่อยหรือไม่อร่อย คนอื่นได้ยินไม่กล้าเข้าร้านพี่ฉันกันพอดี” นฤมลท้วงเพื่อนชายในกลุ่มทันควัน รู้ล่ะว่ามันแค่พูดกวนประสาท แต่ก็อดไม่ได้ที่จะโต้ตอบกลับ ไม่รู้เหมือนกันว่าทนคบกันมาได้ยังไง ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง

“มล แกอย่าไปว่าไอ้ณัฐมันเลย นั่นน่ะจานที่สามแล้วนะโว้ย มันยังไม่มีท่าจะอิ่มเล้ย” มือที่ถือช้อนอยู่ชะงักแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสาวที่กำลังนับสถิติการกินข้าวเย็นของเขาอย่างไม่มีบกพร่อง

“น้อยๆ หน่อย ไอ้เม แกก็ไม่ได้กินแค่จานเดียวแหละว้า” สามคนที่ไม่ใช่เจ้าของชื่อหัวเราะกันครืน แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีว่าสงครามย่อมๆ กำลังก่อตัวขึ้นในเวลานี้

เพื่อนของเธอเป็นอย่างนี้กันเสมอ หากมีใครเปิดหัวเรื่องขึ้นมาจิกกัดใครสักคนในกลุ่มแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี อย่าให้มีโอกาสเชียว ไอ้ที่นั่งฟังกันอยู่พร้อมทับถมกันได้เสมอและทันที อย่างไม่ต้องขอร้อง

“ฉันว่ามันก็ทั้งคู่ล่ะวะ อร่อยก็กินกันเยอะๆ รู้ว่าเงินเดือนแต่ละเดือนมันน้อย” นฤมลเอ่ยเรียกเสียงโห่ของเพื่อนๆ ได้ทันควัน ทุกคนรู้ดีว่าคนที่เงินเดือนน้อยที่สุดในกลุ่มนั้นเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่คนที่กำลังพูดทับถมเพื่อนที่เหลืออยู่

“แหม อาจารย์เงินดีนักนี่ เค้าให้แกถึงหมื่นรึยังล่ะ” ศตวรรษเพื่อนที่นั่งอีกฝั่งเอ่ยแทรก เล่นเอาคนหาว่าได้เงินเดือนไม่ถึงหมื่นหุบยิ้มฉับพลางเหล่ตามองคนพูด

“ปริญญาตรีมันหมื่นห้า ฉันปริญญาโทนะโว้ย”

“เหรอครับคุณครู ถ้างั้นคุณครูบอกผมหน่อยซิเงินเดือนทุกวันนี้เท่าไหร่ ไม่นับที่เป็นวิทยากรพิเศษนะโว้ย แค่เงินเดือนเฉยๆ น่ะ”

ที่สุดแล้วผลคือเธอแพ้ นฤมลทำเสียง ‘ชิ’ เบาๆ แล้วหันไปจิ้มทอดมันชิ้นใหญ่ในจาน ส่งเข้าปากเคี้ยวอย่างโกรธแค้น จะว่าไปแล้วเงินเดือนของเธอก็ได้ไม่เยอะเท่าไหร่ หากไม่นับงานพิเศษ อย่างเช่นถูกเชิญให้ไปเป็นวิทยากรพิเศษ หรือแม้กระทั่งร้านเช่าหนังสือเล็กๆ ที่เปิดอยู่หน้ามหาวิทยาลัยแล้วล่ะก็ รับรองว่าทั้งชีวิตเธอไม่มีทางรู้จักคำว่าเงินเก็บอย่างแน่นอน

แม้ว่าเธอจะอาศัยอยู่บ้านของบุพการี แต่ค่าใช้จ่ายส่วนตัวต่างๆ ยังไงเธอก็ต้องเป็นคนออกเองเพราะไม่อยากรบกวนบุพการีทั้งสองที่เลี้ยงเธอมาจนโต หญิงสาวนึกขำเมื่อย้อนเวลากลับไปตอนเลือกที่จะเรียนในระดับปริญญาตรีนั้นไม่เคยมีคำว่าอาจารย์อยู่ในหัว แต่พอทำงานไปเรื่อยๆ ชักเบื่อ เลยอยากหางานสบายๆ ทำบ้าง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เธอเลือกเรียนต่อปริญญาโทและกลายมาเป็นอาจารย์สอนที่นั่นอย่างเช่นทุกวันนี้

“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าให้ไปหางานที่ไม่ใช่เป็นอาจารย์ทำ เป็นครูน่ะเงินน้อยจะตายห่- แล้วแกก็ไม่ฟัง” เพื่อนอีกสองคนในโต๊ะเริ่มหันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก เมื่อศตวรรษเริ่มเข้าสู่บทเทศนาการทำงานและการใช้ชีวิตอย่างที่เคยทำสมัยเรียน และมันดันกลายเป็นนิสัยติดตัวเพื่อนคนนี้ไปเสียแล้ว

“เอาน่าวัต มลมันเลือกแล้วปล่อยมันเหอะน่า กินกันต่อดีกว่าว่ะ ปลากระพงทอดน้ำปลาร้านพี่แกอร่อยมากเลยนะเว้ยมล สงสัยฉันต้องเติมข้าวอีกแล้ว” เมทินีพยายามจะเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น

“นั่นไงยัยตะกละเอ๊ย กระเพาะแกก็เท่าๆ ฉันแหละว้า” คนโดนหาว่ากินจุคนแรกตะครุบประเด็นทันที ไม่ปล่อยให้ผ่านไปสักคำ จนน้องสาวเจ้าของร้านกับนักเทศนาชักอยากวางช้อนลงมันตรงนี้ เพื่อตัดบทสนทนาทั้งหมด เพราะดูเหมือนสงครามย่อมๆ มันจะกลับมาอีกหนเสียแล้ว

“อย่าเอาฉันไปเทียบกับแกไอ้ณัฐ เพราะฉันตักข้าวน้อยกว่าแกเยอะ” เมทินีแลบลิ้นใส่เพื่อนอย่างไม่ยอม ก่อนจะเลิกสนใจแล้วหันไปเอื้อมมือตักกับข้าวที่อยู่ใกล้ณัฐ แต่ชายหนุ่มดันไวกว่า เขาดึงจานนั้นออกห่างจากระยะมือของเมทินีจะเอื้อมถึง แล้ววกเข้าเรื่องที่เถียงกันอยู่เมื่อครู่อีกครั้ง

“ชะๆๆ แกอย่ามาเอาปริมาณข้าวมาอ้าง กินเยอะก็คือกินเยอะยอมรับมาเถ้ออ แกจะกลัวอะไร” ชายหนุ่มเพิ่มระดับเสียงเป็นดังขึ้น เพื่อต่อปากต่อคำกับเพื่อนสาว ไม่ได้สนใจเลยว่าใบหน้าของเมทีนีที่เริ่มบูดบึ้งมากกว่าเก่าก่อนที่เขาจะชักจานกับข้าวออกเป็นเท่าตัว

จะว่าไปณัฐชักเริ่มรู้สึกตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเขาดูเหมือนโรคจิตเข้าไปทุกวันเพราะเมื่อใดที่ได้ทะเลาะได้เถียงกับเมทินี ชายหนุ่มจะรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่หากเป็นมานานพอสมควรแล้วตั้งแต่ก่อนเรียนจบจากมหาวิทยาลัย

“เออ ก็มันอร่อย ฉันเลยกินเยอะ ฉันผิดตรงไหน แกเอาจานไก่ผัดเม็ดมะม่วงคืนมาเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะกิน” เมทีนีตอบโต้พร้อมโบกช้อนในมือไปมา ให้เพื่อนวางจานอาหารลงบนโต๊ะเช่นเดิม แต่นานเข้าณัฐยังคงถือจานนั้นลอยหน้าลอยตาอยู่เช่นเดิม

เมื่อเห็นว่าเพื่อนอีกสองคนไม่ช่วยอะไรนอกจากนั่งหัวเราะและคอยดูท่าทีว่าเรื่องจะจบเช่นไร ช้อนที่จับอยู่จึงถูกวางลงบนจาน ก่อนจะยกแขนสองข้างขึ้นมากอดอกแทน ท่าทีไม่พอใจนั้นทำให้ณัฐแอบยกมุมปากเล็กๆ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอีกนิดที่เห็นเพื่อนสาวทำตัวราวกับตัวเองเป็นเด็กน้อยเวลาโดนขัดใจ

“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรนี่หว่า ไอ้อ้วนเอ๊ย” นั่นคือลูกระเบิดลูกสุดท้ายที่ณัฐได้หย่อนลงไปโดยที่ไม่ปรึกษาใคร แล้ววางจานอาหารเจ้าปัญหาตามไป นฤมลได้แต่นั่งมองตาเหลือกคอยลุ้นอีกนิดว่ าคู่กรณีจะเดือดดาลมากแค่ไหน เพราะไม่มีทางที่เพื่อนสาวของเธอจะเงียบสงบได้อีก เมื่อโดนจี้ใจดำขนาดนี้

“ไอ้ณัฐ!” นฤมลทำหน้าตาส่งไปให้ทางศตวรรษเป็นเชิงว่านึกแล้วไม่มีผิด ทันทีที่ได้ยินเมทินีตะโกนเสียงดัง เรียกสายตาพนักงานที่เดินไปเดินมาได้อย่างไม่ยาก จนนฤมลต้องหันไปบอกลูกน้องของพี่ชายว่าไม่มีอะไรเหตุการณ์ปกติ

“เม แกใจเย็นสิวะ ไปเต้นตามมันทำไม”

“ก็แกดูมันดิ แกดูไอ้เตี้ยมันพูด”

“อ้าวเฮ้ย แกอย่าลืมนะว่าฉันสูงกว่าแก นั่นหมายความว่าถ้าฉันเตี้ย งั้นแกก็โคตรเตี้ยเลยว่ะ” อีกสองคนที่ฟังสงครามน้ำลายอยู่แอบกลั้นหัวเราะ ปล่อยเสียงหัวเราะดังมากก็ไม่ได้ กลัวคนโดนว่าจะเสียใจไปมากกว่านี้ที่เถียงสู้ผู้ชายไม่ได้ ส่วนเมทินีเจ้าของคำสบประมาทนั้น ยังคงพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้เดือดไปมากกว่านี้

“ไอ้ณัฐ” เสียงที่เคยสูงกลับถูกกดให้ต่ำลงราวกับจะทำแทนการกดอารมณ์ตัวเองเอาไว้ “แก... แกตายแน่” หญิงสาวลุกขึ้นพรึ่บ ก้าวไปยังตำแหน่งที่ณัฐนั่งอยู่อย่างรวดเร็ว แต่หากไม่ทันได้ทำอะไร เพราะศตวรรษกลับเข้ามาดึงเอาไว้ก่อนและนฤมลตามมายืนขนาบข้างไว้อีกที

“มล แกดูมันสิ มันหาว่าฉันทั้งอ้วนทั้งเตี้ย แกปล่อยฉันเดียวนี้นะ ฉันจะฆ่ามัน” ร่างอวบที่ความจริงแล้วไม่ถึงกับอ้วนดิ้นปัดๆ พยายามจะหลุดจากพันธนาการของเพื่อน เพื่อเข้าไปขย้ำคอคนที่วิจารณ์รูปร่างเธอเมื่อครู่ แต่หากทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายกมือชี้หน้าโวยวายอยู่อย่างนั้น จนนฤมลได้แต่ถอนหายใจ นึกโชคดีที่วันนี้ยังไม่ค่อยมีลูกค้าแวะเวียนเข้ามารับประทานอาหารในร้านของพี่ชาย

แม้จะโดนเมทินีโวยวายตะโกนว่าเท่าไหร่ หากแต่ณัฐยังคงมีใบหน้ายิ้มระรื่นที่ทำให้เมทินีเดือดขึ้นอีกหลายองศา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากดิ้นให้แรงขึ้น เผื่อว่าเธอจะหลุดจากที่ศตวรรษจับไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ หญิงสาวจึงทำได้เพียงตะโกนกลับไปอย่างเดือดดาล แม้จะไม่ใช่ชุดใหญ่อะไรแต่มันก็ทำให้พนักงานเสริฟที่ยังคงเดินอยู่แถวนั้น นิ่วหน้าเจ็บแทนคนโดนว่ากันเป็นแถว

เมื่อศตวรรษเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะต้านแรงของคนที่ดูตัวเล็กกว่านี้ไม่ไหว ชายหนุ่มจึงหันไปบอกเพื่อนที่เป็นเสมือนเจ้าของร้านว่าขอตัวกลับและจะพาเมทินีกลับไปด้วย เพราะถ้าปล่อยตอนนี้คงไม่ใครก็ใครจะต้องเจ็บตัว คนโชคร้ายนั้นคงหนีไม่พ้นณัฐอีกตามเคย เพราะอย่างไรเสียชายหนุ่มก็ไม่เคยทำร้ายร่างกายผู้หญิง ถึงแม้ว่าเพื่อนพวกเขามันจะน่าทำร้ายมากแค่ไหนก็ตาม ส่วนนฤมลพยักหน้ารับ เห็นดีเห็นงามไปกับความคิดของศตวรรษ รีบเปิดทางให้ชายหนุ่มที่พยายาม ‘หิ้ว’ เมทินีออกไปนอกร้านแล้วหันมาเล่นงานคนที่ยังกินไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว

“จะไปแหย่มันทำไมฮึณัฐ แกก็รู้ว่ามันไม่ชอบให้ใครบอกว่ามันอ้วนแล้วไหนจะเตี้ยอีก นี่เสือกเล่นทั้งเซ็ทเป็นชุดแฮปปี้มีล มันก็เดือดสิวะ” แทนที่คนโดนต่อว่าจะรู้สึก ชายหนุ่มกลับแค่หัวเราะชอบใจคำว่า ‘ชุดแฮปปี้มีล’ ของเพื่อนที่คอยแต่จะหาสารพัดคำมานิยามการกระทำต่างๆ ของคนในกลุ่ม “ไม่ขำเว้ยปกติแกก็ไม่ได้ปากขนาดนี้นี่หว่า วันนี้เป็นอะไร”

เสียงหัวเราะเงียบลงทันควันแล้วตามด้วยถอนหายใจเฮือก ณัฐเอนพิงพนักเก้าอี้สุดแรงราวกับหาที่ลงไม่ได้มากไปกว่าเก้าอี้เพราะมันไม่มีทางเจ็บ

“ฉันเลิกกับน้องเขาแล้วนะ” นฤมลเลิกคิ้ว น้อง... น้องไหน หญิงสาวเริ่มนับญาติของเพื่อนชายตรงหน้าไม่ถูก เพราะไปที่ไหนมันก็ไปมีน้องสาวทิ้งไว้เสียหมด จนเธอชักไม่แน่ใจแล้วว่าน้องของมันนี่อยู่ครบทั่วประเทศหรือยัง

“น้องท้องติดกันคนไหนของแกอีกวะ เยอะจัดฉันจำไม่ได้”

“ไอ้มล” ณัฐปรามเสียงต่ำเอ่ยเตือนกริยาเพื่อนที่แสดงออกมา เกินกว่าที่เขาที่เป็นผู้ชายจะทนได้ “เป็นผู้หญิงพูดจาให้มันดีๆ หน่อย”

“อ้าวหรือแกจะเถียงว่า แกไม่เคยท้องติดกับน้องนั่นของแก” นฤมลยังคงไม่หยุด จนเพื่อนอ่อนใจกับความผ่าซากของคนตรงหน้า หากก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า การมองหน้ามันด้วยสายตาเอือมระอา แล้วอธิบายเหตุผลไปอย่างใจเย็นว่าเรื่องแบบนี้ผู้ชายดีๆ เขาไม่เอาผู้หญิงมานินทาลับหลัง

หญิงสาวเลยสรุปเอาเสียดื้อๆ ว่าเพื่อนเธอมีอะไรกับน้องสาวคนนั้นไปแล้วเรียบร้อย ก่อนจะเอนพิงพนักเก้าอี้บ้าง ทำท่ากอดอกราวกับตนเองได้รับชัยชนะ ที่ทำให้เพื่อนหลุดปากออกมา ส่วนทางอีกฝ่ายก็กลายเป็นใบ้หาลิ้นตัวเองไม่เจอไปเกือบห้าวินาทีที่เพื่อนแปลคำพูดตัวเองได้ โดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะสื่อออกแบบนั้น

“ยังไม่ได้โว้ย” ณัฐเอ่ยแย้งราวกับจะตะโกนให้ได้ยินกันทั่วทั้งร้าน หลังจากนั้นก็นึกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ลำพังกับเพื่อนเพียงสองคน หากแต่พนักงานในร้านอยู่กันครบ ยืนรอรับลูกค้าอยู่ในร้านบ้าง ยืนบริการตามโต๊ะอาหารบ้าง สายตาทุกสายตาจึงหันมามองที่ณัฐอีกครั้ง หลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที จนชายหนุ่มต้องหันไปขอโทษรอบๆ ตัว

ส่วนนฤมลก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วบอกลูกน้องของพี่ชายว่า ถ้ามีเสียงอะไรดังขึ้นมาอีกก็ไม่ต้องสนใจ จากนั้นจึงหันมาเล่นงานเพื่อนต่อ

“อาฮะ... ตกลงว่าที่ทำหน้าเหมือนจะตายนี่ เพราะโดนทิ้งก่อนที่จะได้ใช่ไหม ลงทุนไปเยอะล่ะสิ“ ณัฐขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ อย่างไม่รู้จะไปลงกับอะไรจนผมที่เซ็ตไว้ยุ่งเหยิง จากคำสันนิฐานของเพื่อนทำให้เขาเดินเรื่องต่อไม่ถูก ไม่รู้จะเล่าให้มันฟังยังไงเพราะมันลากเขาเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้หมดทุกประโยค

“มล ตกลงมึงเป็นเพื่อนกูไหมวะ เอามีดมาแทงกูเลยดีกว่ามา ถ้าเห็นกูเป็นขยะสังคมขนาดนั้นแล้วล่ะก็” นฤมลหัวเราะก๊ากกับคำประชดของเพื่อน ดูเหมือนมันจะไม่ไหวกับเธอแล้วจริงๆ ก่อนจะชะงักเสียงหัวเราะไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินประโยคต่อมา “คนนี้กูจริงจังนะโว้ยมล ไม่เคยทำอะไรเกินเลย ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม”

“แล้วไปทำยังไง ทำไมถึงโดนทิ้งเป็นหมาวัด” ณัฐส่งสายตาอาฆาตให้เพื่อนหนึ่งที ที่รักและเคารพเขามาก ด้วยการทำไปเทียบสุนัขที่เจ้าของไม่ต้องการและมักจะเอาไปทิ้งไว้ที่วัด ที่จริงแล้วจะว่าเขาโดนทิ้งมันก็ไม่จริงเสียทีเดียว เพราะเขาจับได้ว่าแฟนสาวคบคนอื่นนอกจากเขาต่างหากที่ทำให้เขาเจ็บและเสียหน้า

ผู้หญิงที่เขาคิดว่าใช่แต่เธอกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น เงินเดือนวิศวะมันสู้กับใครเขาไม่ได้เลยถ้าเทียบกับนักธุรกิจ เขาจึงกลายเป็นวิศวะจนๆ ที่ไม่สามารถพาเธอไปทานข้าวร้านหรูๆ ได้อาทิตย์ละเจ็ดวันหรือแม้แต่พาเธอไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆ โดยที่เธอไม่ต้องเปิดกระเป๋าสตางค์ตัวเองเลยสักบาท เขาทำไม่ได้แต่ถึงยังไงเงินทุกบาทที่เขาพยายามเก็บก็เพื่ออนาคตทั้งนั้น

ภาพที่เขาบังเอิญเดินไปเจอเข้ากับหญิงสาวตัวเล็กน่าทะนุถนอมที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี หากคราวนี้เขาไม่ได้เจอว่าเธอเดินเล่นอยู่กับเพื่อนอย่างที่เคยบอกไว้ แต่กลับกลายเป็นผู้ชายใส่สูทดูภูมิฐานคนหนึ่ง เมื่อเขามองไล่ต่ำลงมาถึงเจอมือที่ทั้งสองจับกันอยู่อย่างแนบแน่นราวกับไม่มีใครสามารถแกะสองมือนั้นออกจากกันได้

‘พี่ณัฐ’ เสียงเล็กเรียกชื่อเขาเบาๆ ดวงตานั้นเบิกกว้างบ่งบอกได้ถึงความรู้สึกตกใจอย่างเห็นได้ชัด หญิงสาวแนะนำเขากับผู้ชายอีกคน เพียงแค่ว่าเป็นพี่ชายของเพื่อน

ซึ่งอันที่จริงแล้ว... เขาเป็นลูกคนเดียวที่ไม่มีพี่น้องใดๆ เกี่ยวข้องกับเธอเลยสักนิด ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากอย่างอดทนอดกลั้นที่สุด เขาไม่ได้พูดอะไร นอกจากส่งสายตาตัดพ้อให้หญิงสาว แล้วเดินจากมาอย่างเงียบๆ ส่วนผู้ชายอีกคนคงงงไม่น้อยที่เห็นเขาทำท่าทางเช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกมา

“...ณัฐ ไอ้ณัฐ ไอ้...ณัฐ” ชายหนุ่มสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ได้ เมื่อได้ยินเพื่อนสาวเรียกเขาครั้งสุดท้าย อีกทั้งยังเติมยศนำหน้าให้เขาอย่างไม่ปรึกษาเลยสักคำ ไม่บ่อยนักหรอกที่นฤมลจะเรียกเขาอย่างนี้ ถ้าหากไม่หนักหนาจริงๆ

“อะไรของแกวะเรียกเสียดัง” ณัฐตอบกลับคนเรียกราวกับเธอเป็นคนผิดเสียเต็มประดา นฤมลกอดอกแน่นเข้า หรี่ตามองเพื่อนอีกครั้งให้ชายหนุ่มได้รู้ว่าความจริงแล้วคนผิดคือใคร แต่ณัฐทำเป็นไม่เห็นมันเสีย เพราะถ้าไปต่อความยาวในเรื่องที่อยู่ๆ เขาเกิดนั่งใจลอยขึ้นมาเรียกอย่างไรก็ไม่ตอบ จนนฤมลเกือบจะประเคนเท้าถีบไปที่เก้าอี้เข้าให้ เพื่อเรียกสติเขา ระหว่างเขากับเธอเถียงกันวันนี้อย่างไรคงไม่จบ “ถ้าเป็นวิศวะมันจนนัก หลังจากนี้กูจะไปขายยาเอาให้รวยเป็นมหาเศรษฐีไปเลย แล้วดูซิแม่งจะทำยังไง”

“ทะลึ่ง คิดอะไรตื้นๆ ก่อนรวยโดนจับติดคุกก่อนมั้ยล่ะไอ้ไม่รู้จักคิด”

โอย เจ็บจี๊ด... ณัฐหรี่ตามองผู้หญิงตรงหน้าอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี ด่าอะไรก็ไม่เท่าด่าว่าไม่รู้จักคิด มันทำให้เขารู้สึกว่าที่ผ่านมาความคิดเขาไม่เคยเข้าท่าเลยสักอย่าง

ณัฐถอนใจเบาๆ แล้วยืดตัวขึ้นอย่างคนบิดขี้เกียจ “วันนี้ฉันกลับก่อนดีกว่า ความจริงแกก็พูดถูกนะเพราะถ้าฉันรู้จักคิดฉันคงไม่คบกับแกตอนปีหนึ่งแน่นอน”

ไอ้เวร... นฤมลสวนกลับทันควัน โดยเพียงแค่ขยับปากเท่านั้นไม่ได้ออกเสียง เป็นผลให้คนไม่รู้จักคิดหัวเราะหึๆ ในลำคอแล้วจึงขอตัวกลับอย่างเป็นทางการ และเนื่องจากทั้งหมดไปที่สุสานของเพื่อนด้วยรถของศตวรรษ วันนี้ณัฐจึงต้องนั่งรถเมล์กลับบ้านเองอย่างที่ไม่ได้นั่งมานาน ชายหนุ่มหันบอกเพื่อนว่าไม่ต้องลำบากเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์ เขาเดินไปเอาได้ ซึ่งเขาก็ได้คำตอบที่ตอบกลับมาเผ็ดร้อนไม่แพ้กัน

“กูไม่ไปส่งมึงอยู่แล้ว มีขามึงก็เดินไปเองดิ”

ไม่ควรจะคบกับมันเป็นเพื่อนตั้งแต่แรกเลยจริงๆ ให้ตายสิ ณัฐคิดอย่างหัวเสียชี้หน้าอีกฝ่ายเพื่อคาดโทษและบอกเป็นนัยๆ ว่าเขามาเอาคืนวันหลังอย่างแน่นอน


นฤมลเดินพาร่างตัวเองมานั่งยังชิงช้าหลังร้าน ในส่วนที่ลูกค้าไม่สามารถเข้ามาได้ อีกทั้งพนักงานก็ไม่กล้าเข้ามากวนเธอเช่นกัน มันเป็นข้อตกลงกันระหว่างทางพี่ชายเธอและพนักงานทุกคน ที่ถือว่าตรงนี้เป็นสถานที่ส่วนตัวของครอบครัว

หญิงสาวนั่งคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เคยผ่านมาระหว่างเธอกับเพื่อน ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยดูเหมือนจะเป็นอะไรที่สนุกและมีความสุขที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อนทุกคนต่างมีความคิดคล้ายกัน ทำให้รวมตัวกันได้ไม่ยาก

อีกทั้งกิจกรรมที่ทางคณะมียิ่งทำให้เธอและเพื่อนสนิทกันมากยิ่งขึ้น สี่ปีที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเพื่อนมักจะมีคนๆ นึงรวมอยู่ในนั้นด้วยเสมอ คนที่เธอไม่สามารถลบเลือนออกไปได้ ไม่ว่าจะในความคิดหรือใน... หัวใจ

มือบางแตะลงตำแหน่งอกข้างซ้าย ก่อนที่น้ำตาที่คิดว่าหมดไปแล้วกลับไหลลงมาอีกตามแรงโน้มถ่วงของโลก

ความอ่อนแอที่ไม่ค่อยปรากฎให้ใครเห็น แต่มันมักจะเกิดขึ้นเสมอหากเป็นเรื่องของผู้ชายคนนี้... ปีเตอร์ ผู้ชายที่ไม่ได้ดีมากแต่เธอก็รักเขาอย่างสุดหัวใจ ไม่ว่าชายหนุ่มจะทำร้ายจิตใจเธอมากแค่ไหน ทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้เพื่อนจะคอยเตือนสติเธอแค่ไหน หญิงสาวก็เพียงแค่รับฟัง... ฟังแต่ไม่เคยทำสักครั้งจนเพื่อนเอือมระอา พอนานๆ เข้าเพื่อนทั้งหลายก็เลิกพูดกันไปเอง เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียเธอก็ไม่ยอมฟัง พูดไปก็เท่านั้น

นฤมลกับปีเตอร์รู้จักกัน ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ชายหนุ่มตัวสูงและมีผิวพรรณตามเชื้อชาติที่มีอยู่ครึ่งหนึ่งนอกเหนือจากไทย ลักษณะแบบนั้นทำให้สะดุดตาและใจของนฤมลได้ไม่ยาก หญิงสาวจึงพยายามเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม เพื่อสร้างมิตรไมตรี

จากกิจกรรมการรวมกลุ่มของทางคณะ จนเธอกับเขากลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน ไปไหนด้วยกันค่อนข้างบ่อย โดยที่ปีเตอร์ไม่เคยรู้เลยว่าเธอไม่ได้รู้สึกแค่เพียงเพื่อนกัน แต่ความรู้สึกมันมากกว่านั้นและยังคงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะความรู้สึกเป็นห่วง ยิ่งเมื่อไหร่ที่รู้ว่าชายหนุ่มต้องขับรถไปไหนไกลๆ เธอจะยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิมสองเท่า

นับตั้งแต่ที่รู้จักกัน ปีเตอร์เป็นคนๆ หนึ่งที่เหยียบเบรกไม่เป็น ราวกับไม่รู้ว่ารถยนต์ที่ตัวเองขับนั้นมีเบรกวางอยู่ข้างคันเร่ง ชายหนุ่มมักจะขับรถเร็วเสมอ ยิ่งถ้าถนนข้างหน้าว่างด้วยแล้ว เขาไม่เคยสนใจอะไรนอกจากความเร็วที่คอยเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เขาเหยียบคันเร่งลงไป และนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอนึกเสียใจจนถึงทุกวันนี้ เมื่ออุบัติเหตุคือ สิ่งที่พรากเขาให้จากเธอไป... ตลอดกาล

จากที่แค่นั่งน้ำตาไหลจนตอนนี้กลายเป็นเสียงสะอื้น ความรู้สึกผิดถูกดึงขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าหากวันนั้นเธอไม่ทำแบบนั้นเรื่องคงไม่เป็นเช่นนี้ วันนี้เธอคงยังมีปีเตอร์อยู่ข้างๆ คอยให้คำปรึกษา พูดคุย แบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ให้อีกฝ่ายได้รับรู้และร่วมกันหัวเราะ ชิงช้าที่แกว่งอยู่เมื่อครู่หยุดนิ่ง มือขาวทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาปิดหน้าพร้อมกับนฤมลที่สะอื้นออกมาตัวโยน โดยไม่รู้เลยว่านพดลผู้เป็นพี่ชายกลับจากไปธุระและยืนมองเธออยู่สักพักหนึ่งแล้ว


“เพื่อนกลับกันหมดแล้วหรือ” นฤมลเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ตาแดงๆ เป็นหลักฐานมัดตัวเองได้อย่างแน่นหนาว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก หญิงสาวทำเพียงแค่ส่งเสียงรับคำเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะรู้สึกถึงมือใหญ่ที่วางแหมะลงบนหัวอย่างที่คนเป็นพี่ชายมักทำบ่อยๆ แล้วโยกกล่อมน้องสาว “ยังไม่ลืมอีกเหรอเรื่องนั้นน่ะ ฉันบอกแกแล้วว่าให้มองคนอื่นบ้างแกจะได้ไม่ฟุ้งซ่านอยู่แบบนี้”

“ก็มันยังไม่เจอ” น้องสาวเถียงทันควันตวัดสายตาขึ้นมองพี่ชายที่ยืนอยู่ ก่อนจะกระเถิบให้เหลือที่พอให้นพดลสามารถนั่งได้บนชิงช้าตัวเดียวกัน

“ยังไม่เจอหรือแกไม่เปิดใจ หืม” นพดลแย้งเข้าให้ ตามด้วยยกเรื่องราวตามหลักความเป็นจริงของคนผ่านโลกมาก่อนหลายปีขึ้นมาสอนน้อง “มล พี่ไม่ได้บอกให้แกลืมอดีตนะ แต่พี่ไม่อยากให้แกหยุดอยู่กับที่แบบนี้ โลกมันหมุนไปข้างหน้าเรื่อยๆ แต่ทำไมแกยังต้องมาอาลัยอาวรณ์กับคนที่ตายไปแล้ววะ”

“พี่ดล!” หญิงสาวตะโกนสุดเสียง จนพนักงานที่ทำงานอยู่ในครัวรีบวิ่งออกมาดูนึกว่ามีเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น นพดลจึงทำได้แต่บอกลูกน้องไปว่าเหตุการณ์ทุกอย่างปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น แล้วไล่ทั้งหมดให้กลับไปทำงานต่อ ทิ้งท้ายด้วยการส่งสายตาคาดโทษน้องสาว “อยู่กันแค่นี้จะตะโกนหาอะไรหือ ไอ้มล”

“ก็พี่ดลพูดแบบนั้นก่อนทำไมล่ะ” นพดลถอนหายใจเฮือกใหญ่กับการไม่ยอมรับความจริงของน้องสาว เพราะถ้าหากยังเป็นอย่างนี้ต่อไป คนที่ทุกข์มากที่สุดคงจะเป็นพ่อกับแม่ของเขานั่นเอง

“ที่พูด พี่พูดให้แกได้คิด เตือนสติให้แกรู้ว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ เวลามันผ่านมานานแล้วนะมล ถ้าแกจะคิดถึงพีทมันก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่แกอย่าทำเหมือนมันไปแค่ต่างประเทศเดี๋ยวมันก็กลับแบบนี้ได้มั้ยวะ แกจะรอให้มันได้อะไรขึ้นมา”

“วันนี้มลไปนอนคอนโดฯ นะ” คนเป็นน้องเปลี่ยนเรื่อง จนคนที่พยายามงัดเอาคำสอนขึ้นมาถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ น้องสาวเขาดื้อทีไรหาเรื่องเปลี่ยนประเด็นได้ทุกครั้งไป ตั้งแต่มันตัวเท่าลูกหมาจนถึงตอนนี้นิสัยเดิมๆ แบบนี้แก้อย่างไรก็แก้ไม่หาย “อ้อ พรุ่งนี้มลไปที่เดิมด้วยนะ คราวนี้ไปหลายวันหน่อยไม่ต้องห่วงและไม่ต้องโทรตามด้วย”

คนเป็นพี่หน้ามุ่ยลง เมื่อน้องสาวบังเกิดเกล้าพูดราวกับออกคำสั่ง “พ่อกับแม่รู้หรือเปล่า”

“รู้ดิ”

“รู้น่ะเค้ารู้ว่าแกมา แต่รู้หรือเปล่าว่าแกจะมาอยู่เป็นอาทิตย์ขนาดนี้” นพดลเริ่มยกมือขึ้นกอดอกหรี่ตามองน้องสาวราวกับสอบสวนคนร้าย

“สองอาทิตย์” นฤมลแก้คำพูดพี่ชายนิ่งๆ แล้วก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นลูกตาของพี่ชายแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า

“แกว่าอะไรนะ! สองอาทิตย์อย่างนั้นเหรอ แล้วงานการไม่ต้องทำหรือไงหรือเค้าไล่แกออกแล้ว” ไม่เพียงเท่านั้นนพดลยังคงสันนิฐานต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จักเหนื่อย จนคนที่ได้รับโอกาสหยุดสองอาทิตย์ต้องกรอกตามองเพดาน ระอาในความช่างซักของพี่ชายตัวเอง

“พี่ดลจะซักอะไรนักหนา ตกลงพี่เป็นผู้$ชายจริงป่ะเนี่ย” เท่านั้นแหละ นพดลถึงหยุดพูดแล้วผลักศีรษะคนถามแทบคะมำชนเข้ากับที่จับชิงช้า หากแต่นฤมลไม่ได้ทำอะไรโต้ตอบทำเพียงมองพี่ชายตาขวางแล้วลูบหัวตัวเองป้อยๆ ตอบโต้อะไรไม่ได้เพราะรู้ดี หากมีการเอาคืนกลับไปด้วยพละกำลัง วันนี้ทั้งวันพี่ชายเธอไม่หยุดแกล้งเธอแน่นอน จึงได้แต่ทำปากขมุบขมิบภาวนาอยู่ในใจ... ขอให้มันหาเมียไม่ได้แถมขึ้นคานอยู่คนเดียวไปจนแก่


หลังจากคุยเรื่องของน้องสาวและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของพ่อแม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว นพดลจึงปล่อยน้องกลับไปยังคอนโดฯ ที่เธอเคยซื้อไว้ตอนทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ จนตอนนี้หญิงสาวย้ายกลับไปทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยใกล้บ้านเรียบร้อยแล้ว

ที่นี่ยังคงได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากเขาซึ่งเป็นพี่ชายของเธอ เพราะนพดลตั้งใจจะทำธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่นี่ อีกทั้งตอนนี้กำลังไปได้สวยเลยทีเดียว นฤมลจึงไม่เคยมีความกังวลกับที่อยู่อาศัยและอาหารการกิน หากต้องลงมาอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นเวลานานสักพัก

บรรยากาศรอบตัวยังคงเป็นเช่นเดิม ของที่เธอเคยวางไว้ตรงไหนมันยังคงอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน ซึ่งนั่นเป็นข้อดีข้อนึงของนพดล พี่ชายเธอไม่เคยยุ่งกับข้าวของของเธอมาแต่ไหนแต่ไร ทำเพียงแค่คอยรักษาไม่ให้ฝุ่นหรืออะไรมาทำให้สภาพมันแย่ลงเท่านั้น นฤมลเดินช้าๆ ไปยังตู้ที่วางกรอบรูปอยู่เรียงรายแล้วหยิบรูปที่เธอมักจะหยิบขึ้นมามองเป็นประจำหากได้แวะมาที่นี่...

รูปที่ถ่ายกับกลุ่มเพื่อนๆ ก่อนจะเรียนจบมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 4 รูปที่มีคนที่เธอแวะไปเยี่ยมมาวันนี้พร้อมกับรอยยิ้มสดใส แต่คนที่จับกรอบรูปขึ้นมากลับน้ำตาไหลออกมาเสียดื้อๆ มือขาวยกปาดน้ำตาอย่างที่เคยทำเป็นประจำแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพดานราวกับว่าหากทำเช่นนี้น้ำตาจะไม่มีทางหล่นลงมาตามแรงดึงดูดของพื้นโลกอีก


นักศึกษาทั้งชายและหญิงเกือบยี่สิบคนต่างยืนกันกระจายตัวอยู่เต็มบริเวณลานหน้าตึกสวยที่ทั้งเด็กในคณะและนอกคณะมักจะมาตั้งกล้องใช้เป็นฉากหลัง การรวมตัวถ่ายรูปครั้งนี้เป็นสิ่งที่ต้องทำกันทุกปีก่อนที่พี่ปีสี่จะจบออกไปเผชิญกับโลกกว้างที่รออยู่หลังจากสอบเสร็จวันสุดท้าย

โดยที่รุ่นน้องอีกสามชั้นปีต่างจัดการและเตรียมการต่างๆ ไว้ ไม่ว่าจะเป็นตากล้องหรือสถานที่ พี่ปีสี่มีหน้าที่เพียงยืนถ่ายรูปในชุดนักศึกษาเก็บไว้สะสมเป็นคอลเล็คชั่น เผื่อใครอยากจะหยิบขึ้นมาดูเวลาคิดถึงกัน

เมื่อแดดร่มลมตกสายลมพัดพอให้คลายร้อนได้บ้าง หลังจากที่ถ่ายกันกลางแดดมาเกือบหนึ่งชั่วโมง รุ่นน้องที่มีธุระต่อจากการถ่ายรูป เริ่มขอตัวกันกลับบ้าง แต่ยังคงมีบางส่วนที่อยู่รอพี่ๆ ที่ยังคงถ่ายรูปกันอยู่อย่างสนุกสนาน

ฝ่ายที่ถือว่าตัวเองโตที่สุดในมหาวิทยาลัยยังคงกดชัตเตอร์กันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อาจเป็นเพราะอีกเพียงไม่กี่อาทิตย์ หากจบจากการสอบวันสุดท้าย ทุกคนก็ต้องเริ่มแยกย้ายกันไปตามทางของอนาคตที่วางไว้ และนฤมลก็ยังคงเป็นหนึ่งในนั้น หญิงสาวยังคงยืนเปลี่ยนท่าทางไปเรื่อยๆ เพื่อให้ตากล้องได้กดชัตเตอร์เดี่ยวบ้าง เป็นกลุ่มบ้าง ตากล้องก็แสนใจดีไม่มีบ่นสักคำ

‘ไหนๆ คู่นี่ถ่ายคู่กันหน่อยสิ’ พอถ่ายไปได้สักพักเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มก็เริ่มตะโกน เรียกความสนใจจากเพื่อนทั้งกลุ่มได้เป็นอย่างดี ศตวรรษยกมือขึ้นผลักนฤมลให้เดินไปยืนอยู่ตามจุดที่ต้องการจนหญิงสาวหน้าแทบคว่ำ เธอเกือบจะหันไปด่าอยู่แล้วเชียว หากไม่รู้สึกว่าที่ๆ ตนอยู่นั้นคือจุดที่ปีเตอร์ยืนอยู่ก่อนแล้ว

โลกได้ทำการหยุดหมุนตัวเองไปพักใหญ่ ก่อนหญิงสาวจะได้สติอีกครั้งเมื่อมีเสียงของเพื่อนดังอยู่รอบๆ ตัว

‘เนี่ยๆ ถ่ายรูปคู่หน่อยซิ คนอื่นเขาถ่ายกันเป็นคู่กันหมดแล้ว’

นฤมลเงยหน้าขึ้นมองคู่ของตนก่อนจะส่งสายตาไปขอคำปรึกษาว่าเอาอย่างไรดี แต่ดูเหมือนปีเตอร์จะไม่ได้สนใจในสัญญาณลำบากใจของเธอสักนิด ชายหนุ่มยกแขนขึ้นเกี่ยวคอเธอเอาไว้แล้วยืนจนชิดกันถ่ายรูปตามที่เพื่อนต้องการ และดูเหมือนมันจะไม่ได้สนใจสายตาของเพื่อนทุกคนที่ต่างรู้เรื่องระหว่างเขากับเธอกันเป็นอย่างดี

มีแต่เธอเสียอีกที่ดูตกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อชายหนุ่มตัดสินใจทำอย่างนั้น ก่อนที่เธอจะได้ทันตั้งตัว เธอไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในขณะที่เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นนั้นหน้าของเธอแดงและออกอาการชัดแค่ไหน

‘ฉันว่าแกกับมันก็เหมาะกันดีนะ’ เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะเดินรวมตัวกันไปทานข้าวเย็นที่ร้านประจำ นฤมลหันมองหน้าคนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับเจอประโยคนี้มาหลายครั้ง

‘มันไม่ได้อยู่ที่เหมาะหรือเปล่า แต่ระหว่างฉันกับไอ้พีท มันเป็นไปไม่ได้ต่างหาก’ คนเปิดเรื่องขึ้นมาตีหน้างงเล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจเมื่อเหลือบไปเห็นชายหนุ่มที่กำลังเอ่ยถึง ปีเตอร์เป็นคนที่ถือว่ามีเสน่ห์กับเพศตรงข้ามอย่างร้ายกาจด้วยรูปร่าง หน้าตาที่ไม่ได้แย่ ค่อนไปทางดีด้วยซ้ำและการแสดงออกต่างๆ ทำให้ผู้หญิงที่ได้พูดคุยด้วยรู้สึกดีได้ไม่ยาก

ทั้งหมดนั้นเป็นคุณสมบัติของผู้ชายเจ้าชู้ทั้งสิ้น และชายหนุ่มไม่เคยหยุดอยู่กับใครเพียงคนเดียวนานๆ แม้กระทั่งตอนมีแฟนคบเป็นตัวเป็นตนก็ตาม เขายังคงหว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงราวกับมีมนต์ดำที่สามารถทำให้ผู้หญิงตกหลุมรักได้ภายในสามนาที แล้วหลังจากนั้นเธอเหล่านั้นจะภักดีกับเขาตลอดกาล

นฤมลเคยนั่งคุยกับปีเตอร์ในเรื่องความรู้สึกของเธอและความรู้สึกของเขาที่มันเป็นไปไม่ได้อยู่หลายครั้ง ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกกับเธอเช่นนั้น เขารู้สึกเพียงแค่หญิงสาวเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด และสนิทที่สุดในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย

เมื่อเป็นเช่นนั้นนฤมลจึงทำอะไรไม่ได้ นอกจากคอยเป็นห่วงและให้คำปรึกษาด้วยใจที่ร้าวทุกครั้ง เมื่อเขาพูดถึงผู้หญิงคนอื่น ทั้งที่อยู่ใกล้ที่สุดแต่พยายามมากแค่ไหน อย่างไร... ก็เอื้อมไม่ถึง

แม้รู้ทั้งรู้ว่ามันเจ็บแค่ไหน แต่เธอก็ยังเต็มใจที่จะทำมัน ขอแค่ให้ได้อยู่ใกล้คนที่เธอรักเท่านั้น


ลมพัดเบาๆ เข้ามาจากทางหน้าต่างที่เธอเปิดทิ้งไว้เพื่อระบายอากาศปลุกนฤมลจากความคิด มือขาวยกขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง แล้วหันมาเริ่มลงมือจัดของที่ตนเองแพ็คกระเป๋าลงมาจากเชียงราย ทั้งเสื้อผ้าและของบำรุงผิวต่างๆ ที่ผู้หญิงจะขาดไม่ได้เช่นครีมกันแดด หญิงสาวจับกระปุกครีมกันแดดขึ้นมาแล้วนิ่งไปชั่วครู่ ในใจนึกไปถึงคำพูดของลูกศิษย์แสนน่ารักของตนที่คุยกันไปคุยกันมา ได้ความว่าทะเลที่เธอชอบไปทุกปี เมื่อลงมาที่กรุงเทพฯ คือบ้านของนักศึกษาในชั้นเรียนของเธอเอง

นฤมลยิ้มกับกระเป๋าเสื้อผ้า เมื่อนึกถึงใบหน้าน่าเอ็นดูนั้น ธนิตาลูกศิษย์ของเธอบอกกับเธอว่าปีนี้หญิงสาวต้องไปให้ได้ เพราะเธอบอกที่บ้านไว้แล้วว่าอาจารย์สาวคนสนิทจะลงไปเที่ยวที่เกาะ ฉะนั้นหากเธออยากได้ส่วนลดที่พัก นฤมลต้องไปแนะนำตัวกับพวกท่านว่าเป็นอาจารย์ของเธอ คนเป็นอาจารย์หัวเราะเบาๆ กับเสื้อผ้ากองโตก่อนจะหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองมากดเบอร์ที่จำได้ขึ้นใจ

“อาทิตย์นี้ว่างป่าววะ ไปทะเลกัน” ไม่มีแม้แต่คำทักทาย นฤมลรีบเข้าเรื่องอย่างรวดเร็วหากแต่ปลายสายที่ตอบกลับมาดูงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ยังพอเข้าใจได้ ด้วยระยะเวลาที่คบกันมานาน พอจะรู้ได้ว่านฤมลเป็นคนคิดอะไรปุบปับเป็นประจำ หลังจากเมทินีตั้งสติได้ คนชวนก็ถึงกับต้องนิ่วหน้าและยกโทรศัพท์ให้ห่างจากหูเมื่อปลายสายตะโกนต่อว่ามาชุดใหญ่

“แกจะบ้าเหรอชวนไปทั้งอาทิตย์ พอดีกลับมาเค้าไล่ออก ถ้าไปเสาร์อาทิตย์ก็ยังพอเข้าใจได้”

“เออๆๆ งั้นวันศุกร์แกตามฉันไปนะเม ฝากถามไอ้พวกนั้นด้วย ฉันไปรอที่นู่นก่อนก็แล้วกัน” นฤมลตัดปัญหา ไม่อยากให้เพื่อนบ่นเธอไปมากกว่านี้ เข้าใจในส่วนหนึ่งว่าเพื่อนเป็นห่วง แต่พวกมันน่าจะชินได้แล้วกับนิสัยของเธอที่เป็นคนปุบปับและโลกส่วนตัวสูงแบบนี้

“เฮ้ย แต่แกไปคนเดียว จะไม่เป็นอะไรหรือวะ”

แม้ปลายสายจะท้วงเบาด้วยรู้สึกเป็นห่วงเพื่อน แต่นฤมลก็ทำเพียงแค่หัวเราะแล้วบอกปัดว่าไม่เป็นไร นั่นคือข้อดีของหญิงสาวที่ทำให้เพื่อนทุกคนค่อนข้างเบาใจในความเป็นนฤมล เพราะหญิงสาวเป็นคนไม่เรื่องมากและมีเหตุผลอย่างที่สุด ยิ่งถ้าเรื่องมันจำเป็นจริงๆ เธอก็ไม่อยากบังคับเพื่อนให้เสียงานเสียการ คนทำงานเหมือนกันเธอเข้าใจดี หากไปเที่ยวแต่ยังคงมีห่วงเรื่องงานหรืออะไรก็ตาม การเที่ยวคงจะไม่สนุกเท่าที่อยากให้เป็น

ดังนั้นอาจารย์สาวจึงยืนยันไปคำเดิม ให้เพื่อนตามไปคืนวันศุกร์ แม้ว่าจะโหวงๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังอุ่นใจว่าอย่างไรเสียคืนวันศุกร์เธอก็ยังได้เจอเพื่อนอยู่ดี เมื่อบอกลาเมทินีที่อยู่อีกฝั่งสายเรียบร้อยหญิงสาวก็วางโทรศัพท์ไว้ข้างตัว แล้วหันมาจัดของในกระเป๋าต่อ พร้อมกับฮัมเพลงในลำคอเบาๆ ลืมเรื่องที่ฝังอยู่ในใจไปชั่วขณะ

==========================================

ตอนที่ 2 รออาทิตย์หน้านะจ๊ะ :))



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มิ.ย. 2555, 16:45:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มิ.ย. 2555, 16:45:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1770





<< บทนำ   ตอนที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account