ทะเลหวาน
หนึ่งคน... อยู่ในความทรงจำ ที่ฝังลึกอยู่ข้างในใจไม่ห่างหาย
หากอีกหนึ่งคน... มีตัวตน คอยเตือนเธอให้ลืมคนในอดีตอยู่เสมอ

การตัดสินใจอาจไม่ยากเย็น หากหัวใจเธอไม่ถูกปิดไปพร้อมกับอดีตที่ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
Tags: เรื่องยาว ทะเล

ตอน: ตอนที่ 2

ตอนที่สอง ร้อนๆ มาแล้วค่า แฮ่ๆ ช้าไปหน่อย
ขอโทษด้วยนะจ๊ะ ^^

อ่านต่อกันได้เลยแจ้...
================================================

เรือเฟอรารี่รอบเช้าที่สุดของรีสอร์ตเทียบจอดที่ท่าเรียบร้อย ก่อนจะเรียกลูกค้าให้ขึ้นเรือ เพื่อไปยังรีสอร์ตซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเกาะส่วนตัวที่เงียบ สงบ และเป็นส่วนตัวเป็นที่สุด

นฤมลยกกระเป๋าส่งให้คนคุมเรือ แล้วพาตัวเองขึ้นเรืออย่างชำนาญเนื่องจากมาทุกปี อีกทั้งพาหนะที่ใช้ก็ยังคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่านักท่องเที่ยวจะทยอยขึ้นเรือมาเรื่อยๆ บ้างมาเป็นคู่ บ้างก็มาเป็นกลุ่ม แม้ว่าช่วงนี้จะไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่นก็ตาม แต่รีสอร์ตนี้ ยังคงได้รับความนิยมตลอดทั้งปี มือขาวถอดหมวกที่ใส่เอามาพัดแทนพัดลมด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าว

ทุกคนบนเรือยังต้องรออีกคนหนึ่งตามที่คนขับเรือบอก หญิงสาวไม่ใช่คนใจเย็นนักยิ่งอากาศร้อนเช่นนี้ แต่ในเมื่อมาเที่ยวเพื่อพักผ่อนเธอก็จะลองไหลไปตามน้ำดู อยากรู้อยู่เหมือนกันว่าคนสุดท้ายที่ทำให้เรือต้องรอนั้นจะทำหน้าตาอย่างไร

“จะให้รออีกนานมั้ยวะเนี่ย” นฤมลบ่นเบาๆ ในมือก็พัดหมวกให้แรงขึ้นตามอากาศที่ร้อนขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรือหรือเพราะอะไรกันแน่

แล้วในที่สุดเรือก็สามารถแล่นออกจากท่าเรือจนได้ โดยมีชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเดินขึ้นเรือมาพร้อมกันกระเป๋าโน้ตบุ๊คที่สะพายอยู่ด้านหลัง สีหน้าที่ไม่แสดงออกทางอารมณ์นั่นราวกับไม่มีความรู้สึกผิดที่ทำให้คนในเรือทั้งลำรอ หญิงสาวยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยหยันในความถือตัวของผู้มาใหม่ ยิ่งกว่านั้นผู้ชายคนนั้นยังมานั่งข้างเธอเพราะเหลือเป็นที่สุดท้าย

นฤมลอดไม่ได้ที่จะลอบมองชายหนุ่มคนข้างๆ เพราะอย่างน้อยหน้าตานิ่งๆ แต่ค่อนไปทางดีนั้นก็เรียกความสนใจจากเธอได้ไม่น้อย ชายหนุ่มหน้าตาดี หุ่นไม่ผอมจนเกินไป อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ส่วนผิวที่ออกคล้ำเล็กน้อยนั้นเธอพอจะเข้าใจได้ว่าเขาคงเป็นผู้ชายประเภทชอบออกกำลังกายกลางแจ้งมากกว่าจะอยู่ในฟิตเนสเหมือนที่คนในเมืองหลวงมักจะเล่นกันเพราะประหยัดเวลาการออกกำลังได้มากโข

คุณสมบัติทุกอย่างของชายหนุ่มที่นฤมลสามารถเรียงได้หลายข้อนั้น ทำให้ความโกรธที่เคยนึกหายไปจนเกือบหมด ก็แหม... มีของสวยๆ งามๆ ให้มองระหว่างมาเที่ยวบ้างมันก็เหมือนการผ่อนคลายชนิดนึงแหละน้า หญิงสาวยังคงลอบสังเกตชายหนุ่มที่นั่งหน้านิ่งเป็นพักๆ จนกลัวว่าหน้านั้นจะเป็นตะคริวเสียเหลือเกิน แต่อย่างไรเสียการพูดคุยใดๆ ไม่มีเกิดขึ้นระหว่างกันจนเรือเทียบที่หาดทราย ของทางรีสอร์ตที่จัดไว้ต้อนรับพร้อมกับเสิร์ฟน้ำพั้นซ์เย็นๆ ที่เป็นเวลคัมดริ๊งของที่นี่

พนักงานต้อนรับต่างยิ้มแย้มรับแขกราวกับตอนนี้ไม่มีแดดเปรี้ยงที่คอยยิงรังสียูวีเผื่อแผ่มายังทุกคน ชายหนุ่มที่เธอทราบดีว่าเป็นผู้จัดการของที่นี่พูดแนะนำเกาะอย่างทุกที ก่อนที่จะพาลูกค้าไปยังเคาน์เตอร์เช็คอินที่อยู่ด้านใน ในขณะที่เขากวาดตามองไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยว ผู้จัดการหนุ่มถึงกับต้องอุทานออกมาเบาๆ เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่กับกลุ่มด้วย นฤมลจึงหันตามสายตานั้น หญิงสาวเห็นชายหนุ่มร่างสูง คนสุดท้ายที่ขึ้นเรือแล้วทำหน้าเป็นรูปปั้นตลอดการเดินทาง

“คุณซี” ชายหนุ่มเจ้าของชื่อมองหน้าคนเรียกเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างคนรู้จักกันดี “โอ้ย หายไปไหนมาตั้งนานครับ ผมจำแทบไม่ได้” นฤมลมองคนโน้นทีคนนี้ที สรุปในใจว่าทั้งคู่คงรู้จักกันมานาน แต่ถ้าให้ฟันธงจริงๆ ผู้ชายคนนี้คงเป็นอะไรสักอย่างกับเจ้าของรีสอร์ต

“พ่อกับแม่อยู่หรือเปล่าครับอาเทพ”

“อ้อ เป็นลูก” หญิงสาวพูดความคิดตัวเองเบาๆ แต่... คนที่เธอคิดนั้นกลับได้ยินอย่างชัดเจน กรกฏหัวขวับมองเธอนิ่ง นฤมลเลยต้องหันไปหาผู้จัดการหนุ่ม ขอตัวไปเช็คอินที่เคาท์เตอร์แต่ก็ยังไม่หยุดบ่นกับตัวเอง “ฉิบหาย พูดเบาขนาดนี้ยังเสือกได้ยินอีก”

“ผมเป็นคนหูดีน่ะครับ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ได้ยิน” นฤมลหยุดเดินกึก หันหน้าไปยังต้นเสียง

“คุณ!” นฤมลหน้าเหวอและพูดได้แค่นั้นจริงๆ จากนั้นรีบจ้ำอ้าวไปถึงเคาท์เตอร์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ได้ยินทุกอย่างนั้นกำลังยืนยกมุมปากอยู่ด้านหลัง มองเธอจนลับไปในล็อบบี้ที่เอาไว้ต้อนรับลูกค้า

นฤมลรับไหว้พนักงานหน้าตายิ้มแย้ม แสดงความยินดีที่ได้บริการทุกคนบนโลกใบนี้ พร้อมกับรับกุญแจบ้านพักและก้าวขาไปยังทิศทางของที่ตั้งบ้านพักตนเอง ตามที่พนักงานต้อนรับบอก

ทางเดินถูกวางด้วยหินก้อนใหญ่จัดให้สวยงาม ระหว่างทางยังคงเป็นต้นไม้น้อยใหญ่หลากหลายชนิดพันธุ์เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หญิงสาวเดินมาหยุดตรงหน้าบ้านที่ถึงแม้จะไม่ใช่หลังเดิม แต่ความคล้ายคลึงกัน ในการจัดห้องยังพอมีอยู่บ้าง ที่แปลกไปเห็นจะเป็นวิวนอกหน้าต่างเสียมากกว่า ที่คราวนี้เธอกลับเห็นบ้านของเจ้าของรีสอร์ตชัดเจนกว่าทุกปี

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อซึมซับบรรยากาศของทะเลที่เธอรัก พอเอาของเก็บที่ห้องพักเสร็จเรียบร้อยนฤมลก็รีบเดินมาที่ชายหาดอันเงียบสงบ พร้อมห้อยกล้องถ่ายรูปคู่ใจไว้ที่คอย บนชายหาดมีเพียงนักท่องเที่ยวไม่กี่คนที่นอนอาบแดดอยู่ริมทะเล บ้างก็นอนอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้ผ้าใบริมหาด อีกทั้งเด็กตัวเล็กๆ ที่พยายามจะสร้างปราสาททรายให้สวยที่สุดแต่ก็ต้องพังไม่เป็นท่า เมื่อน้ำทะเลถูกซัดขึ้นมาด้วยแรงลมที่แรงพอสมควร อาจเพราะที่นี่เป็นรีสอร์ตส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยววุ่นวายนัก ต่างคนต่างอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองมากกว่าที่จะรบกวนใครต่อใครรอบข้าง

นฤมลยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ตามมุมต่างๆ ของหาดทรายด้วยความชอบส่วนตัว ทำให้เธออยู่ในวังวนของการถ่ายรูปเสียนาน โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง สิ่งที่หญิงสาวชอบถ่ายมากที่สุดไม่ใช่คน หากแต่เป็นภาพวิวทิวทัศน์ธรรมชาติโดยรอบเสียมากกว่า เพราะเธอคิดว่า สำหรับธรรมชาตินั้นเพียงแค่วางมุมกล้องไม่เหมือนกันก็จะได้ภาพที่สื่อความรู้สึกออกมาไม่เหมือนกันอย่างรู้สึกได้ นิ้วเรียวยังคงกดชัตเตอร์ติดๆ กันไปอย่างไม่มีทีท่าเบื่อ

หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ได้เดินเข้ามาลึกเรื่อยๆ ในส่วนของเกาะที่ยังคงเป็นป่าทึบไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในบริเวณนี้และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะรู้สึกกันเองอยู่แล้วว่าไม่น่าเดินมา... หากไม่ใช่กับนฤมล

เธอยังคงก้าวเดินไปและมองภาพต่างๆ ผ่านเลนส์กล้องอย่างคุ้นเคย ด้วยความที่คิดว่าไม่เป็นไรเพราะอย่างไรเธอก็มาบ่อยกว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ แต่แล้วอยู่ๆ เธอก็รู้สึกได้ถึงมือของใครบางคนที่ดึงแขนเธอไว้ ถึงไม่แรงมากแต่ก็ทำให้เธอเกือบล้มได้เหมือนกัน ดีนะที่กล้องถูกคล้องไว้ที่คอ ไม่อย่างนั้นคงมีลงไปวัดทรายกันบ้างล่ะ นฤมลตวัดสายตาขึ้นมองคนที่ทำเธอตกใจ ก่อนจะพบว่าเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เรือมาถึงฝั่งสายในวันนี้นี่เอง

“คุณ” นฤมลพูดได้เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มก็สวนกลับมาอย่างไร้ความรู้สึกใดๆ

“คุณเดินมาไกลมากแล้ว รู้ตัวหรือเปล่า” กรกฎยังคงจับแขนเล็กแน่นสายตาที่มองมีแววตำหนิอย่างเห็นได้ชัดจนคนเห็นชักสีหน้าสู้

“รู้ มันก็แค่ต้นไม้ไม่มีอะไรไม่ใช่หรือไง หรือคุณจะบอกว่าบนเกาะนี้อันตราย” หญิงสาวยักคิ้วท้าทาย ทำเอาชายหนุ่มเผลอบีบแขนแรงขึ้นอีก เพราะถ้าเขาเผลอหลุดว่ามันอันตราย นั่นคือทำให้เธอย้อนเขาได้อีก มันจะกลายเป็นว่ารีสอร์ตของเขา ‘อันตราย’ ชายหนุ่มออกแรงอีกนิดเพื่อ ‘ลาก’ คนช่างยอกย้อนกลับเข้ามาในบริเวณรีสอร์ต แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย ร่างบางโวยวายมาตลอดทาง จนทั้งคู่กลายเป็นที่สนใจสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งหลาย

“หยุดโวยวายได้หรือยังคุณ” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงแค่สองคนเตือนสติหญิงสาว ที่ตอนนี้กำลังตกเป็นเป้าสายตา “คนมองกันใหญ่แล้ว” นฤมลหุบปากฉับแล้วกวาดสายตาไปยังรอบบริเวณถึงได้รู้ว่าตนเองตกเป็นเป้าสายตาไปแล้วจริงๆ

“คุณก็ปล่อยสิ” หญิงสาวพูดเสียงแข็ง พยายามจะบิดข้อมือตัวเองออกจากมือแข็งราวกับคีมนั่นจนสำเร็จ จากนั้นจึงเดินไปอีกทางที่ตรงข้ามกับทางที่เธอถูกลากมาเมื่อครู่

“นี่คุณ อย่าไปไกลเหมือนเมื่อกี้อีกนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นผมไม่รับผิดชอบด้วย” กรกฎตะโกนตามหลังไปอย่างเสียไม่ได้ ในเมื่อที่นี่คือบ้าน คือรีสอร์ตของเขา เขาจะทำเป็นไม่สนใจคงก็ไม่ได้ เพราะทุกคนที่อยู่บนเกาะนี้เป็นความรับผิดชอบของครอบครัวเขาทั้งสิ้น ฉะนั้นนักท่องเที่ยวทุกคนต้องกลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย นั่นคือหลักปฏิบัติที่ดีที่สุด

หมู่บ้านชาวประมงที่อาจารย์สาวเดินมาถึงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ดูเงียบสงบ มีเด็กเล็กๆ วิ่งอยู่ทั่วไปบ้างแต่ก็ไม่มากและวุ่นวายเท่าที่อื่น เพราะเท่าที่เธอเห็น หมู่บ้านนี้มีเพียงไม่กี่หลังคาเรือนเท่านั้น นฤมลอดไม่ได้ที่จะยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเก็บรอยยิ้มที่มีความสุขของเด็กน้อยหน้าตามอมแมมเอาไว้ ก่อนจะเดินต่อไปราวกับต้องการเก็บทุกรายละเอียด เพราะแม้ว่าเธอจะมาที่เกาะนี้หลายหน แต่หญิงสาวก็ไม่เคยเดินเลยมาถึงบริเวณนี้เลยสักที

ธรรมชาติที่สวยงามยังคงมีอยู่บนเกาะแห่งนี้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้สูงใหญ่หรือน้ำทะเลที่ใสแจ๋ว หญิงสาวคิดว่าถ้าเธอได้ชะโงกหน้ามองในบริเวณที่ลึกกว่านี้สักหน่อย คงได้เห็นปลาว่ายน้ำกันอย่างสนุกสนาน นึกได้อย่างนั้นนฤมลจึงบังคับขาของตัวเองให้เดินลงไปยังทะเลที่ลึกกว่านี้อีกนิด แต่ก็นั่นแหละเธอเดินไป โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้น้ำทะเลรอบตัวได้สูงขึ้นมาจนเกือบจะถึงเอวอยู่รอมร่อ เพราะคิดว่ายังคงอยู่ในระดับที่ขาของตัวเองยืนถึงมือขาวถือกล้องแน่นกะว่าหากเจอบริเวณที่มีปลาอยู่เธอจะได้ถ่ายมันทันที

เวลาผ่านไปนฤมลยังคงจดจ่ออยู่กับสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล โดยไม่ได้สนใจเสียงที่ตะโกนจากบนฝั่งเลยสักนิด ส่วนกรกฏที่ยืนตะโกนอยู่ริมฝั่งหน้าดำหน้าแดง รู้สึกขัดใจไม่น้อยที่ดูเหมือนหญิงสาวที่เขาเพิ่งลากออกมาจากทางเข้าป่า เปลี่ยนมาเป็นเดินลงทะเลแทน ซึ่งแน่นอนมันอันตรายกว่าอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มยังคงตะโกนเรียกแต่แทนที่คนที่เขาเรียกจะหันมาสนใจ แต่กลับเป็นคนที่อยู่ในหมู่บ้านเอง ที่เริ่มหันมามองอย่างสงสัยว่าลูกชายคนเดียวของนายหัวแห่งเกาะนี้ทำอะไร เด็กที่วิ่งเล่นกันอยู่เริ่มหยุดวิ่งและหันมามองเขาแทน

อีกแป๊บเดียวเท่านั้นแหละ อีกแป๊บเดียวถ้าเธอยังไม่รู้สึกตัวเขาจะเป็นคนลงไปลากเธอขึ้นมาเอง กรกฎคิดอย่างหมายมาด ผู้หญิงอะไรดื้ออย่างที่เขาไม่เคยพบไม่เคยเห็น

ในที่สุดนฤมลก็ได้ถ่ายรูปปลาที่อยู่ในน้ำสมใจ เธอยิ้มอย่างพอใจในผลงานก่อนจะรู้สึกตัวว่าตัวเองเดินลงมาลึกเหลือเกินแล้ว และกำลังจะหันหลังกลับอยู่แล้วเชียว หากไม่มีมือแข็งมาจับต้นแขนเธอให้เหยียบพื้นทรายในทะเลเสียจังหวะเสียก่อน ร่างบางแทบยืนไม่อยู่แต่ในใจนึกเป็นห่วงกล้องราคาแพงของตนมากกว่าอะไรทั้งหมด มือขาวจึงเปลี่ยนจากจับกล้องมาเป็นคว้าคอของเจ้าของมือนั้นแทน

“คุณ” หญิงสาวเอ่ยแทบจะกลายเป็นตะโกน เมื่อเงยหน้ามองเจ้าของมือ จนรู้แล้วว่าเป็นคนเดียวกับที่ลากเธอออกมาจากทางเข้าป่า “อีกแล้วเหรอเนี่ย”

“เดินลงมาทำอะไรตรงนี้ มันจะถึงกลางทะเลอยู่แล้ว” เสียงทุ้มอดที่จะดุไม่ได้ เพราะหากเธอเดินไปอีกนิดก็จะสิ้นสุดบริเวณที่มีทรายลาดมาถึงและอาจจะไม่ใช่แค่กล้องที่ดูมีราคาที่แพง แต่อาจหมายถึงชีวิตของเธอด้วย ถ้าหากว่ายน้ำไม่เป็น

“ถ่ายรูป คุณนั่นแหละจะอะไรกับฉันอีก ฉันไม่ได้ฝ่าฝืนคำเตือนของคุณแล้วไง” เจ้าของคำเตือนขมวดคิ้วกับคำพูดหญิงสาว อาจใช่ที่เธอไม่ได้เดินเข้าไปในป่าตามคำเตือนของเขา แต่กลับเปลี่ยนมาเดินลงทะเลราวกับคนกำลังจะฆ่าตัวตายแทน

“แต่นี่มันกลางทะเล จะถ่ายรูปทำไมไม่ถ่ายบนบก” หญิงสาวชักเริ่มอารมณ์ไม่ดี เพราะตั้งแต่มายังไม่มีครั้งไหนที่เธอเจอผู้ชายคนนี้แล้วไม่มีเรื่องขัดใจเลยสักหน

“บนบกมีปลาว่ายอยู่ในทรายหรือเปล่าล่ะ ถ้ามีฉันก็จะถ่าย คุณอาจจะลืมไป ปลาน่ะอยู่ในน้ำไม่ใช่บนต้นมะพร้าว” กรกฎกัดฟันนึกอยากโต้ตอบคำยอกย้อนผู้หญิงคนนี้เสียเหลือเกิน

“เอาล่ะ ถ้าเก่งนักก็ปล่อยมือออกจากคอผม แล้วเชิญเดินขึ้นฝั่งได้แล้วนะครับคุณผู้หญิง จะรัดคอผมให้ตายไปเลยหรือยังไง ตัวก็ไม่ใช่เบาๆ” คนถูกหาว่าตัวหนักถลึงตามองคนพูด รีบปล่อยแขนที่ใช้ตัวเขาช่วยพยุงอยู่เมื่อครู่ออก ผู้ชายปากจัดคนนี้มันน่าเอาคืนให้เจ็บ

“หลีกสิ ฉันจะได้เดิน” ร่างสูงขยับหลบให้ ความจริงแล้วมันไม่มีความจำเป็นเสียด้วยซ้ำ ถ้าเพียงแค่เธอจะเดินหลบเขาเล็กน้อยแต่ก็ช่างเถอะ เขาไม่อยากจะพูดมาก ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ เหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่หญิงสาวแสดงออกและกำลังจะหมุนตัวเดินตามเธอไป แต่กลับต้องรู้สึกถึงแรงผลักถึงแม้ไม่มาก แต่ก็ทำให้เขาเสียหลักได้ไม่ยาก ในเมื่อตอนนี้แรงดันน้ำมีอยู่รอบด้าน

ตู้ม!

เสียงวัตถุหนักบางอย่างตกลงไปในน้ำ นฤมลลอบยิ้มอย่างพอใจก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเดินขึ้นฝั่ง ปล่อยให้ลูกเจ้าของรีสอร์ตหาทางขึ้นมาเอง แต่ทว่ายังเดินไม่ถึงฝั่งดี ก็รู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างตรึงขาไว้ พอก้มลงมองจึงต้องเบิกตากว้างขึ้น มือของคนที่เธอผลักลงน้ำเมื่อกี้นี่เองที่ตรึงขาเธอไว้ และเป็นไปได้ว่าเขาว่ายน้ำตามหลังมาด้วยความเร็วพอสมควรถึงจับเธอทัน

“ไม่นะ” เธอร้องขึ้นเบาๆ อย่างคาดการณ์ล่วงหน้าแล้วจับกล้องสุดรักของตัวเองแน่น หากมีเพื่อนรออยู่บนฝั่งเธอจะรีบเรียกพวกมันให้วิ่งมาเอากล้องของเธอไป ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้น หากความจริงแล้วไม่มีใครรอเธออยู่บนฝั่ง และตอนนี้ขาเธอสะบัดมือแข็งนั่นไม่หลุด แม้จะพยายามแค่ไหนก็ตาม

ตู้ม!

กล้องถ่ายรูปลงสู่น้ำทะเลเป็นที่เรียบร้อยพร้อมกับเจ้าของ นฤมลลงตูมเดียวทั้งตัวรวมไปถึงกล้องของรักของหวงที่เธอห้อยคอเอาไว้ เพราะเจ้าของมือที่จับขาเธอเมื่อครู่ดึงพรืดให้เท้าลอยขึ้นมาจากพื้นทรายในทะเล นฤมลอยากจะกรีดร้องออกมาให้เต็มหูชายหนุ่มที่แม้แต่ชื่อก็ไม่รู้จัก แต่กล้าฆาตรกรรมกล้องของเธออย่างเลือดเย็น

“คุณแกล้งฉัน” หญิงสาวต่อว่าเขาทันทีที่ศีรษะโผล่ขึ้นมาจากน้ำได้ สิ่งที่เธอได้เห็นคือร่างสูงยืนกอดอกอยู่ห่างจากเธอเล็กน้อยราวกับระแวงกลัวว่าเธอจะทำอะไรเขาอีก

“ผมเปล่า” นฤมลอ้างปากค้างกับคำปฏิเสธห้วนๆ ของชายหนุ่มที่หน้าตาไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย

“เห็นอยู่เต็มๆ ว่าคุณดึงขาฉันล้มลงไปในน้ำ แล้วดูกล้องฉันสิ กล้องฉันพังก็เพราะคุณ” หญิงสาวเริ่มโวยวาย แม้ว่าตัวเองอยู่ในน้ำและสถานการณ์ก็ยังคงเสียเปรียบเขาอยู่ไม่น้อย อีกทั้งเสียงของเธอที่ดังขึ้นเรื่อยๆ เรียกสายตาชาวบ้านแถวนั้นได้ไม่ยาก ยิ่งตอนนี้ชาวประมงเริ่มเตรียมตัวกันเพื่อจะออกไปหาปลาคืนนี้แต่มีหรือนฤมลจะสน

“ผมเปล่าแกล้งคุณ ผมเอาคืนต่างหาก” คนแช่อยู่ในน้ำอ้าปากค้างกับคำพูดที่สวนมาของชายหนุ่ม อีกเป็นนาทีกว่าเธอจะรู้สึกตัวว่าโดนเขาย้อนเข้าให้ หญิงสาวกำลังจะหันไปต่อว่าอีกครั้ง แต่พอหันไปอีกทีเธอกลับเห็นร่างสูงเดินไกลลิบอยู่บนทรายเสียแล้วเลยได้แต่เอามือตีน้ำอย่างเจ็บใจ

“ไอ้บ้า ไอ้ผู้ชายเฮงซวย คอยดูนะแม่จะเอาคืนให้เจ็บเลย” เธอว่าอย่างหมายมาดพลางพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นพร้อมกับลูบกล้องที่จากไปอย่างสงบเบาๆ โถ... ลูกแม่ แม่สัญญานะลูกว่าลูกจะไม่ตายฟรี ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันต้องชดใช้คอยดูเถอะ!

นฤมลตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล หญิงสาวประคองกล้องที่สภาพเปียกโชกไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างพยุงตัวเองขึ้นจากทะเลพร้อมกับเสื้อผ้าหนักๆ ที่ชุ่มไปด้วยน้ำ เธอส่งสายตาอาฆาตไปยังทิศทางที่กรกฏเพิ่งเดินไปเมื่อครู่ราวกับต้องการเผาชายหนุ่มให้ไหม้เป็นจุณ พร้อมกับกระทืบเท้าไปบนหาดทรายเพื่อระบายความโกรธแต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น

หญิงสาวยังคงโกรธตัวต้นเหตุที่ทำให้เธอเปียกทั้งตัว แถมยังทำให้กล้องแสนรักของพังได้อย่างไร้ความรับผิดชอบ เท้าข้างขวากำลังจะเตะทรายบนพื้นให้กระจุย เพื่อระบายความแค้นอีกทาง แต่กลับต้องชะงักเมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงเล็กๆ ดังอยู่ใกล้ๆ

“พี่สาวคะ” นฤมลหยุดทำหน้าเคียดแค้นกระชากอารมณ์ตนเองกลับมา แม้ว่าเธอจะยังไม่สามารถยิ้มได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่รอยขมวดคิ้วและสายตาน่ากลัวก็ได้หายไปจากใบหน้าเรียบร้อยแล้ว คนถูกเรียกให้เป็นพี่สาวหันกลับไปเจอเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่เธอจำได้แม่นว่าเป็นคนเดียวกับที่เธอถ่ายรูปรอยยิ้มมีความสุขนั่นไว้ “แม่ให้เอามาให้ค่ะ”

มือเล็กยื่นกองผ้ากองหนึ่งมาตรงหน้าหญิงสาว นฤมลพอจะเดาได้ว่าคงเป็นเสื้อและกระโปรงชุดพื้นบ้านของที่นี่ หญิงสาวเงยหน้าจากเด็กหญิงตัวเล็กๆ นั้น จึงได้เห็นผู้หญิงน่าจะอายุแก่กว่าเธอไม่มากนักยืนมองอยู่ห่างๆ ราวกับต้องการแน่ใจว่าเธอจะรับชุดนั้นหรือไม่

“นั่นแม่ของหนูหรือเปล่าจ๊ะ” หญิงสาวย่อตัวลงเพื่อให้ระดับความสูงพอๆ กับเด็กหญิงจะได้คุยกันสะดวก เด็กหญิงกลับไม่พูดอะไรนอกจากพยักหน้าเป็นการตอบรับแทน เธฮจึงถือวิสาสะจูงมือเล็กนั้นเดินไปหาผู้หญิงที่ยังคงยืนชะเง้อดูลูกอยู่ห่างๆ

“เปลี่ยนชุดหน่อยไหมคะคุณ” แม่ของเด็กหญิงมองนฤมลอย่างลังเล ด้วยไม่รู้ว่าหญิงสาวจะตอบรับไมตรีของเธอแค่ไหน ทีแรกเลยต้องใช้ลูกสาวที่หน้าตาน่ารักน่าชังเป็นคนเจรจาไปก่อน “เปียกขนาดนี้ อากาศเริ่มเย็นแล้วด้วย”

“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะไม่อยากรบกวน เดี๋ยวมลกลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนชุดที่ห้องน่าจะสะดวกกว่า บ้านพี่อยู่ที่นี่หรือคะ”

หญิงสาวชวนคุณแม่หนูน้อยคุยอย่างเป็นมิตร ในเมื่อเธอยื่นน้ำใจมาให้ นฤมลจึงไม่อยากตัดไมตรี มาทราบในภายหลังว่าหญิงชาวบ้านนั้นชื่อดอกแก้ว หลังจากที่คุยกันอยู่นานสองนาน เธอเลยถือโอกาสตีสนิทไว้เสียเลย เผื่อมีอะไรต้องการความช่วยเหลือ ส่วนเด็กหญิงแสนน่ารักนั้น คนเป็นแม่บอกว่าหนูน้อยชื่อชมจันทร์ เพราะเกิดในวันที่พระจันทร์เต็มดวงพอดิบพอดี

ดอกแก้วเอ่ยชวนนฤมลอีกครั้ง หวังให้หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อที่บ้านและกินข้าวเย็นด้วยกันก่อน แล้วค่อยกลับไปยังรีสอร์ต แต่นฤมลกลับปฏิเสธเช่นเดิม ด้วยความเกรงใจคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่นาที แต่เธอก็ได้ให้สัญญากับดอกแก้วว่าวันพรุ่งนี้เธอจะไปเที่ยวที่บ้าน

ก่อนแยกกันดอกแก้วยังมิวายกำชับหญิงสาวอีกครั้งด้วยคุยกันถูกคอจึงอยากคุยด้วยบ่อยๆ ดอกแก้วเล่าให้นฤมลฟังว่าเธอมาอยู่ได้เพียงสองปีหลังจะคลอดชมจันทร์ที่บนฝั่ง แล้วจึงย้ายตามสามีมาอยู่ที่นี่ เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ หายวับไปกับตา เพื่อนบ้านก็มีกันอยู่แค่ไม่กี่หลังถึงไม่มีขโมยแต่คนเป็นแม่ก็อดห่วงอนาคตของลูกไม่ได้

ดอกแก้วเคยเอ่ยชวนสามีย้ายกลับเข้าฝั่งหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็เป็นต้องได้ทะเลาะกันทุกที เพราะสามีเธอเกิดที่นี่และไม่ยอมไปไหน จนบางครั้งเธอเกือบจะแอบพาลูกกลับไปอยู่กับพ่อแม่เธอที่บนฝั่งให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ก็อีกนั่นแหละสามียังคงเอ่ยปากขอร้องไว้และยื่นข้อเสนอโดยการที่รอให้ลูกสาวของทั้งคู่โตอีกสักหน่อยแล้วค่อยพูดกันเรื่องนี้อีกครั้ง

นฤมลเดินกลับมาถึงที่พักตัวเองด้วยเสื้อผ้าที่เหลือเพียงหมาดเล็กน้อยเพราะโดนลมทะเลพัดเสียนาน หญิงสาวยกกล้องที่คล้องอยู่ที่คอออกก่อนจะนั่งสำรวจสภาพของลูกสุดที่รักอย่างเบามือ หันกล้องไปทางซ้ายก็ถอนหายใจที พอหันกลับไปทางขวาก็ถอนหายใจอีกที ดูอย่างไรกล้องของเธอก็ไม่น่าจะซ่อมได้ในเมื่อโดนน้ำเต็มๆ ขนาดนั้น

นึกแล้วแค้น... นฤมลวางกล้องลงบนโต๊ะไม้หน้าบ้านแล้วกำหมัดหลวม เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่บอกเธอว่า ‘เอาคืน’ ด้วยเสียงเรียบเฉยไม่มีอะไรผิดแปลก นึกมาถึงตรงนี้นฤมลขัดใจอยู่ลึกๆ ว่าไม่น่าแอบหลงไปกับหน้าตาที่ ‘ค่อนข้างดี’ ของชายหนุ่มเลยสักนิด เหตุการณ์ที่เธอแกล้งเขานั้น เขา ‘เอาคืน’ เธอได้เจ็บแสบและราคาแพงมาก ตัวเธอเปียกน่ะไม่เท่าไหร่แต่กล้องเธอพังด้วยนี่สิ เขาต้องรับผิดชอบ!

นฤมลนั่งนิ่งมองกล้องอย่างที่ต้องรวบรวมสมาธิอย่างมาก เพื่อหาวิธีแก้เผ็ดชายหนุ่ม แล้วพลันเธอก็นึกได้ว่านักศึกษาที่น่ารักของเธออย่างธนิตาเคยบอกไว้ว่าพี่ชายเธอเคยเล่นกล้องอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะไม่มีเวลาได้เอาออกมาใช้ เพราะงานยุ่งไม่มีเวลาออกไปเที่ยวที่ไหน จะมีผ่อนคลายบ้างก็หามุมถ่ายรูปตามสวยสาธารณะแถวหมู่บ้านของตัวเองในกรุงเทพฯ เท่านั้น

หึ... หญิงสาวคิดอย่างหมายมาด กล้องตัวนั้นต้องเป็นของเธอตลอดอาทิตย์นี้ เธอต้องเอามันมาให้ได้!


ร่างสูงกว่ามาตรฐานหญิงไทยเล็กน้อยยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าบ้านหลังใหญ่ มีต้นไม้ปลูกอยู่รอบบ้านและแบ่งเป็นสัดส่วน แยกออกจากตัวรีสอร์ตอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะดูอย่างไรมุมไหนก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นบ้านของเจ้าของรีสอร์ต ความร่มรื่นของตัวบ้าน ทำให้นฤมลยิ้มออกมา ทั้งต้นไม้ใหญ่และดอกไม้ที่ปลูกอยู่รอบบ้านราวกับไม่ใช่บ้านริมทะเล

เธอชอบต้นไม้... หญิงสาวเดินลัดสนามหญ้าเข้ามาอย่างลืมตัวว่าตนเองยังไม่ได้เรียกเจ้าของบ้านด้วยซ้ำ ดอกไม้ที่เป็นชนิดกลิ่นหอม ส่งกลิ่นเย้ายวนเรียกให้เธอต้องก้มลงไปดมมันอย่างช่วยไม่ได้

“เข้ามาได้ยังไงน่ะคุณ” เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหลังทำให้เธอชะงักกึก อารมณ์ดีอยู่เมื่อครู่หายวับ เมื่อหันไปแล้วเจอคนที่ยืนอยู่หน้าตาเหมือนกันคนที่ทำกล้องเธอจมน้ำไม่มีผิด นฤมลยืดตัวขึ้นจากดอกไม้ก่อนจะปรายตามองคนที่ยืนอยู่

“เดินเข้ามาสิถามได้ บ้านคุณนี่คงไม่ต้องถึงกับบินเข้ามาหรอกมั้ง” หญิงสาวแอบยิ้มมุมปาก เมื่อเห็นเขาถอนหายใจเบาๆ กับคำตอบของเธอ ความจริงเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะตอบแบบนั้นออกไป เพียงแต่เห็นชายหนุ่มมักจะขมวดคิ้วเสมอเวลามองเธอราวกับจะตำหนิเสียทุกครั้ง เลยอดไม่ได้ที่จะกวนโทสะอีกฝ่ายให้อีกฝ่ายได้เปลี่ยนสีหน้าดูบ้าง แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เธอไม่มีเสียงหัวเราะจากกรกฎสักแอะ

“ตกลงมาทำไม” เสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างตัดรำคาญ กรกฎหรี่ตามองไปยังผู้บุกรุกกลางวันแสกๆ ชายหนุ่มพยายามจะมองหาอาวุธที่เธอพกมาด้วย แต่กลับไม่พบอะไรที่บ่งบอกว่าเธอคิดร้ายกับบ้านของเขา นฤมลขยับตัวอย่างอึดอัด แม้ว่ากรกฎจะไม่ได้มองแบบจาบจ้วงหรือหยาบคายอะไร เพราะเธอมั่นใจได้ว่าเสื้อยืดกับกางเกงเลของเธอคงไม่ทำให้ชายหนุ่มเกิดอารมณ์ใดๆ ขึ้นมาตอนนี้ แต่เขาก็มองมาราวกับจะจับผิดว่าเธอเป็นผู้ก่อการร้ายหรือไม่

“ฉัน... ฉันจะมาสวัสดีคุณลุงคุณป้า”

“คุณลุงคุณป้า?” ชายหนุ่มทวนคำคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างสงสัย เขาจำไม่ได้ว่าเขาเคยมีญาติหน้าตาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผู้หญิงที่มีความสูงเกินมาตรฐานหญิงไทยมาหน่อยเดียว แถมผิวสองสีค่อนไปทางขาวด้วยแล้ว กรกฎนิ่งคิดอีกนิดก่อนจะสรุปได้ด้วยตัวเอง ว่าอย่างไรเสียผู้หญิงหน้าตาแปลกๆ คนนี้ไม่ใช่ญาติเขาอย่างแน่นอน “ผมไม่เคยมีญาติหน้าตาแปลกแบบคุณหรอกนะ”

นฤมลอ้าปากค้างกับคำพูดของชายหนุ่มที่หลุดออกมาด้วยเสียงเรียบๆ อย่างที่ไม่ใช่เรื่องตลก หรือมุกอะไรที่พยายามจะทำให้เธอขำ แต่เธอสัมผัสได้อย่างแรงกล้า ว่าตานี่พูดจริง อย่างที่ออกมาจากใจจริงๆ เลยด้วยซ้ำ หญิงสาวกำมือเล็กน้อย เพื่อฉุดรั้งความอดทนให้ยังอยู่กับเธอ

“แหม ฉันไม่ใช่ญาติคุณหรอกค่ะ อย่าเข้าใจผิดนะคะ เพราะอย่างน้อยหน้าฉันก็ไม่แปลกเท่าหน้าคุณ”

“เธอ..” กรกฎพูดได้แค่นั้น นึกได้ว่าไม่อยากมีเรื่องกับคนแปลกหน้า ในเขตบริเวณบ้านตัวเอง อย่างน้อยพ่อกับแม่เขาก็กำลังนั่งพักผ่อนกันอยู่ในนั้น หากเขาทำเสียงเอะอะโวยวายออกไป มันอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ชายหนุ่มเลยเปลี่ยนเรื่องกลับมาเป็นผู้สอบสวนเช่นเดิม “แล้วคุณลุงคุณป้าที่คุณกำลังเรียก คุณหมายถึงใคร”

“ฉันเป็นอาจารย์ของยัยทราย ธนิตาน่ะค่ะ เธอว่ารีสอร์ตนี้เป็นบ้านของเธอ ฉันเลยจะขอมาสวัสดีคุณลุงคุณป้า พ่อแม่ของยัยทรายเสียหน่อยได้ไหมคะ” กรกฎขมวดคิ้วมองคนตรงหน้าอีกครั้งกับตำแหน่งงานที่เธอเพิ่งบอกเมื่อครู่
อาจารย์มหาวิทยาลัย... ยัยบ้าเนี่ยนะอาจารย์ ยัยทรายมันนับถือเข้าไปได้ยังไง

“กำลังด่าฉันอยู่ล่ะสิ” เสียงที่ดังขึ้นของนฤมลทำเอาคนที่แอบด่าอยู่ในใจสะดุ้งเฮือก นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวจะรู้ความคิดเขา

“เปล่าผมไม่ได้คิดอะไร แล้วตอนนี้พ่อกับแม่ผมก็ไม่อยู่ด้วยไว้คุณมาวันหลังแล้วกัน”

หญิงสาวเงยหน้ามองคนตรงหน้าพยายามจะหาว่าเขาโกหกให้เธอกลับไปหรือไม่ แต่ก็ไม่เจอความผิดปกติอะไรในสายตา หากเขาโกหกจริงน่าจะมีพิรุธแสดงออกมาบ้าง ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่ได้คิดอะไรต่อเธอกำลังจะเอ่ยลาเจ้าของบ้านหนุ่มอยู่แล้วเชียว หากไม่ได้ยินเสียงที่ดังออกมาจากตัวบ้านเสียก่อน

“ซี คุยกับใครน่ะลูก” นฤมลหันไปทางต้นเสียงช้าๆ ก่อนจะหันกลับมายังคนที่บัดนี้เปลี่ยนตำแหน่งมายืนข้างเธอเสียเฉยๆ เธอกำลังจะอ้าปากต่อว่าชายหนุ่มที่โกหกเธอแต่ไม่ทัน... เขาก้าวเดินไปหาหญิงสูงอายุที่ยื่นหน้าออกมาเสียก่อน

“เอ่อ เธอเป็นอาจารย์ของยัยทรายที่มหาวิทยาลัยน่ะแม่ เห็นว่าจะมาพักรีสอร์ตเรา เลยอยากจะแวะมาสวัสดีพ่อกับแม่” นฤมลถลึงตากับแผ่นหลังของชายหนุ่มทันควัน นึกชื่นชมอยู่ไม่น้อยที่เขาสามารถพลิกลิ้นพูดกับแม่ตัวเองได้อย่างไม่อายปาก ราวกับลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้ทำอะไรกับเธอไว้บ้าง

“อ้าวหรือจ๊ะเห็นยัยทรายเค้าเปรยๆ ถึงอยู่เหมือนกัน แล้วทำไมซีไม่ชวนคุณเขาเข้ามาข้างในล่ะลูก ทำไมไปยืนคุยกันอยู่หน้าบ้าน” ผู้เป็นทั้งเจ้าของบ้านและมารดาของชายหนุ่มยิ้มเชิญชวนเธออย่างเอื้อเอ็นดู พอเธอกำลังจะก้าวไปข้างหน้าตามคำชวนของเธอแล้วเชียว หากไม่มีเสียงทุ้มขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกแม่ อาจารย์เขากำลังจะกลับพอดี เห็นว่าจะไปเดินเล่นริมหาด” นฤมลต้องอ้าปากค้างอีกครั้งกับคำพูดเองเออเองของชายหนุ่มตรงหน้า ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเห็นใครมารยาทแย่ได้ขนาดนี้ หญิงสาวประมวลผลภายในสมองอย่างเร็วจี๋ เพื่อหาคำแก้ไขสถานการณ์ ไม่ให้เธอถูกไล่ทางอ้อม กลับไปแบบยังไม่ได้กล้องของผู้ชายคนนี้กลับไปด้วย

“เอ้อ... แต่หนูเดินเล่นเบื่อแล้วล่ะค่ะ หนูขออยู่นั่งคุยกับคุณป้าได้ไหมคะ” คุณอรทัยยิ้มเยื้อนอย่างยินดี เอ่ยชวนนฤมลเดินเข้ามานั่งในบ้าน พร้อมกับบอกเด็กรับใช้ ให้ไปหาขนมและน้ำหวานมาต้อนรับแขก แต่หญิงสาวกลับยังเดินเข้าไปในตัวบ้านไม่ได้ในเมื่อลูกเจ้าของบ้านยังคงรั้งเธอไว้ด้วยคำถาม

“คุณต้องการอะไรกันแน่” กรกฎกัดฟันพูดให้เสียงเบาที่สุด เพื่อไม่ให้แม่ตัวเองได้ยินแล้วหาว่าเขาหาเรื่องเธออีก แต่ท่าทีที่เธอทำ กลับทำให้เขาแทบหมดความอดทนที่ข่มอารมณ์อยู่ นฤมลยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ยี่หระต่อคนถาม แล้วเดินตามเจ้าของบ้านไปทันทีโดยไม่ตอบอะไรออกไป

คุณอรทัยนั่งคุยกันนฤมลอย่างถูกคอ สังเกตได้จากเสียงหัวเราะที่ดังอยู่เป็นระยะของเจ้าของบ้าน ยังมีคุณเวศน์เจ้าของบ้านอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีสถานะเป็นสามีของคุณอรทัยคอยเสริมอยู่ข้างๆ หญิงสาวสามารถเข้ากับผู้ใหญ่ทั้งสองได้เป็นอย่างดี เพราะคุยกันได้ตั้งแต่เรื่องธนิตาหรือทราย ซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็กของเจ้าของบ้าน ทั้งอาหารการกินและขนมที่ชอบ แล้วยังเรื่องส่วนตัวอื่นๆ หญิงสาวตอบได้อย่างไม่ได้ปิดบังอะไร

“ทะเลที่นี่สวยนะคะ มลเลยชอบมา” หญิงสาวยิ้มกว้างตาดูมีประกาย จนคนมองรู้สึกได้ว่าเธอชอบทะเลจริงๆ หากแต่ไม่ใช่กับกรกฎ ชายหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ไกลๆ ทำเสียงฮึขึ้นจมูก เมื่อได้ยินประโยคนั้น นึกถึงผู้หญิงที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือทั้งพยายามจะเข้าไปในป่าลึก และลงไปเดินท่อมๆ ในน้ำทะเล ผู้หญิงอะไร นึกจะทำอะไรก็ทำไม่สนสิ่งรอบตัวอะไรทั้งนั้น “เสียดายนะคะที่คราวนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ กล้องหนูดันมาพังเสียก่อน”

หญิงสาวตีหน้าเศร้าแสนเสียดายอย่างที่สุด ในคราวที่พูดถึงเรื่องกล้อง ใบหน้าของนฤมลที่แสดงออกมานั้น หากเพื่อนของเธอมาอยู่ตรงนี้ด้วย คงมีการเบ้ปากเบือนหน้าหนีกันบ้างล่ะ เพราะเธอแสดงได้สมบทบาทเสียเหลือเกิน ไม่เสียแรงที่เคยเล่นละครของคณะมา

“กล้องหนูมลเป็นอะไรล่ะจ๊ะทำไมอยู่ๆ มันถึงพัง”

“มันตกน้ำน่ะค่ะ น้ำทะเลหน้าหาดนี่เอง” คุณอรทัยยกมือขึ้นทาบอกแล้วอุทานเบาๆ ก่อนจะสืบสาวราวเรื่องจากเจ้าของกล้องต่อ “ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะคุณป้า พอดีหนูเดินถ่ายรูปอยู่น่ะค่ะ เดินไปเดินมาทีนี้ มันเลยเถิดลงน้ำไปแต่ก็ยังไม่ลึกนะคะ แค่เข่า”

ถึงตรงนี้นฤมลได้ยินเสียกระแอมเบาดังลอยมาขัดจังหวะ ราวกับรู้ว่าเธอกำลังตั้งใจเล่าไม่ครบแต่ก็นั่นแหละใครจะสน เธอเพียงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเล่าต่ออย่างใจเย็น “อยู่ๆ ก็มีเด็กที่ไหนไม่รู้ค่ะคุณป้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้ามาชนหนูเข้าแล้วพอดีตรงนั้นทรายมันเกิดยุบ หนูยืนไม่ถนัดน่ะค่ะเลยล้มลงน้ำดังตูม”

นฤมลส่งยิ้มแหยให้คนตรงหน้า ก่อนจะเหลือบมองอาการของคนที่เธอรู้ว่ากำลังนั่งมองเธออยู่อย่างไม่ให้คลาดสายตา แล้วหันกลับมาหัวเราะแหะๆ กับคุณอรทัยอีกครั้ง ภารกิจแย่งกล้องมาจากคนที่ทำกล้องของเธอพังนั้นได้ดำเนินมาเรื่อยๆ เธอต้องได้กล้องของอิตาขี้เก็กนั่นมาใช้โดยชอบธรรม

“เป็นอย่างนี้แล้วหนูจะทำอย่างไรล่ะจ๊ะ กล้องใช้ไม่ได้แล้วด้วยสิ เอ” คุณอรทัยชักสีหน้ากังวลแทนเจ้าของกล้องเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวนึกขอโทษท่านในใจอย่างรู้สึกผิด ที่ดึงท่านเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้ว่าท่านจะไม่รู้ตัวก็ตาม คุณอรทัยคงจะยังช่วยเธอหาทางออกเรื่องกล้อง หากคุณเวศน์ผู้เป็นสามีไม่พูดสะกิดขึ้นมาเสียก่อน

“ซีมันเคยมีกล้องไม่ใช่หรือคุณ ไอ้ตัวสีดำนั่นไงที่มันเห่อได้พักนึง” คุณอรทัยนึกถึงกล้องของลูกชาย ตัวที่กรกฎซื้อมาด้วยเงินของตัวเอง แต่หลังจากเอามาจับๆ ได้พักนึง เธอก็ไม่เห็นลูกชายเธอเอาออกมาใช้งานอีกเลย ส่วนที่บ้านก็มีกล้องดิจิตอลตัวเก่งที่ใช้กันอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว เลยไม่ได้เอาออกมาใช้เช่นกัน

“นั่นสิคะคุณ ฉันก็ลืมไปเลยว่าตาซีเคยมีกล้องเก็บไว้ ซีลูก” ท้ายประโยคของคนเป็นแม่หันมาหาลูกชาย ทำเอาเขานึกถึงประโยคที่แม่เขาจะพูดต่อไปได้ในทันที ซึ่งมันคงหนีไม่พ้นให้เขาเข้าไปหากล้องให้แม่นักแสดงเอก

แล้วก็จริงดังคาดไว้คุณอรทัยคะยั้นคะยอให้กรกฎ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเข้ามาหากล้องตัวเก่าที่เคยใช้ กรกฎถอนหายใจเฮือกใหญ่ พอเข้ามาถึงในห้องตัวเองชายหนุ่มมองหากล่องใบใหญ่ที่ตัวเองเก็บความทรงจำทั้งหมดเอาไว้ในนั้น
ความทรงจำที่ทั้งดีและเลวร้าย...

มือใหญ่หยิบกล่องจากข้างบนตู้ ด้วยระยะเวลานานทำให้ฝุ่นที่เกาะอยู่เต็มกล่อง ชายหนุ่มเป่าอยู่สองสามครั้งเพื่อให้ฝุ่นหลุดออกไปบ้าง ก่อนจะลงมือแกะสิ่งที่อยู่ข้างในออกมารวมไปถึงกล้อง DSLR ที่เขาเคยโปรดนักโปรดหนา ชายหนุ่มหยิบกล้องออกมาสำรวจดูความเรียบร้อย สภาพของกล้องยังคงเหมือนใหม่

อีกทั้งแบตเตอรี่และที่ชาร์ตยังคงอยู่ครบ กรกฎตรวจสอบและรวบรวมเอาอุปกรณ์ทั้งหมดที่มีอยู่ ใส่กลับเข้าไปในกล่องเหมือนก่อนหน้า แต่หากเขาเอะใจสักนิดเขาคงเปิดดูที่ช่องใส่เมมโมรี่การ์ดดูก่อนเป็นแน่ ว่าเขายังไม่ได้เอาความทรงจำสำคัญไปทิ้งไว้ที่ไหน... ความทรงจำของหัวใจ

นฤมลเอ่ยขอบคุณเบาๆ พร้อมกับสายตาเป็นประกาย เมื่อลูกชายของบ้านนำกล่องใส่กล้องมายื่นให้เธอด้วยท่าทีที่ไม่ได้เต็มใจจะยื่นให้นัก กรกฎกลอกตาขึ้นมองเพดาน ก่อนจะหลุบลงมองหน้ายิ้มระรื่นของหญิงสาว คนที่สามารถทำให้พ่อแม่เขาบังคับให้เขาไปขุดสมบัติที่อยากจะเก็บไว้ให้ลึกที่สุดออกมาจนสำเร็จ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขาเขม่นหญิงสาวมากขึ้น

แต่ถ้าถามถึงเหตุผลกันจริงๆ แล้ว ชายหนุ่มก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมจะต้องรู้สึกหมั่นไส้ผู้หญิงคนนี้นักหนา อาจจะเป็นท่าทีที่ไม่เคยกลัวเขา ทั้งที่เขาทั้งขู่สารพัดแล้วยังเดินเข้ามาในเขตส่วนตัวของเขาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง หรือสอบถามข้อมูลจากพนักงานรีสอร์ตเสียก่อน ว่าสามารถเดินเข้ามาได้หรือไม่ แต่นี่แม่คุณดันคิดว่าทุกที่ของรีสอร์ตลูกค้าสามารถเดินได้และเดินดุ่มเข้ามาอย่างไม่กลัวเจ้าของบ้านไล่ตะเพิด

“ยังไงก็รักษามันให้ดีหน่อยนะ อย่าทำให้มันตกน้ำเหมือนของคุณล่ะ” นฤมลเงยหน้าถลึงตามองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม นึกอยากจะตะโกนใส่หน้าคนพูดว่า เพราะใครกันล่ะกล้องเธอถึงพังแบบนี้ แต่ก็ได้แค่คิดเธอไม่ได้ทำออกไปจริงๆ ด้วยเกรงใจผู้ใหญ่อีกสองท่านที่นั่งดูเธอกับลูกชายอยู่ จึงทำได้เพียงฉีกยิ้มส่งให้แทนคำตอบใดๆ ทั้งหมด

ตกเย็นวันนั้น นฤมลได้ถูกดึงตัวเอาไว้เพื่อทานข้าวเย็นด้วยกัน สมาชิกที่เคยมีแค่สามคนบนโต๊ะอาหารวันนี้กับดูแปลกตา ด้วยมีผู้หญิงอีกหนึ่งคนเพิ่มมา อย่างที่กรกฎนึกสงสัยว่าหญิงสาวทำอะไรกับพ่อแม่เขากันแน่ พวกท่านถึงได้ถูกใจเป็นนักหนา

อย่างบนโต๊ะรับประทานอาหารในวันนี้ก็เช่นกัน คุณอรทัยมารดาของเขาและหญิงสาวยังคงมีเรื่องคุยกันได้ไม่หยุดหย่อน แม้ว่าปกติแล้วมารดาจะเป็นคนช่างพูดอยู่แล้วก็ตาม แต่เขาพอจะดูออกว่าหญิงสาวอีกคนไม่ได้ช่างพูดขนาดนั้น โดยเฉพาะกับคนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่ชั่วโมง แต่เธอกลับพูดกับแม่ของเขาได้เป็นนานสองนาน

“ซี เดี๋ยวเดินไปส่งน้องด้วยนะ ข้างนอกมืดแล้ว” คนเป็นลูกเงยหน้าจากจานข้าวทันควัน ก่อนจะหันไปมองคนที่อยู่ๆ กลายเป็น ‘น้อง’ ไปเสียแล้ว

“เขามาเองก็ให้เขากลับเองสิแม่” กรกฎพูดออกมาอย่างไม่แยแส มือที่กำลังเอื้อมจะตักกับข้าวชะงักลงอีกครั้ง เมื่อเจอมารดาเอ่ยปรามเสียงเข้ม
“ตาซี พูดอะไรล่ะลูก น่าเกลียด น้องเค้าเป็นผู้หญิงมืดๆ ค่ำๆ จะให้เดินคนเดียวได้ยังไง”

“แต่แม่...” ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากเถียงอีกครั้ง เพราะไม่อยากเดินออกไปส่ง แต่กลับต้องหยุดเพียงเท่านั้น เมื่อหันไปเห็นสายตาขู่แกมบังคับของคนเป็นแม่ จนต้องถอนหายใจออกมายอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก


แสงจันทร์ส่องสว่างกระทบกับน้ำทะเลที่ตอนนี้กลายเป็นสีดำมืดน่ากลัว แทนที่จะเป็นสีครามดูสวยงามเหมือนตอนกลางวัน แต่ใช่ว่าทะเลตอนกลางคืนจะมีเพียงความน่ากลัว สายลมที่พัดแผ่วเบาโอบล้อมอยู่รอบกายราวกับจะอยู่เป็นเพื่อนนั้น ทำให้ความน่ากลัวลดลงกลายเป็นความอบอุ่น และโรแมนติกเข้ามาแทนที่ กรกฎพาเธอเดินลัดเลาะมาทางริมทะเล แทนที่จะพาเธอเดินออกทางที่เธอแอบเข้าไปในบ้านชายหนุ่ม ทำให้ได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้ชัดเจน

นฤมลคิดเล่นๆ ว่าหากได้เดินกับคนรักตรงบริเวณนี้คงมีความสุขมากทีเดียว เธอเป็นคนชอบทะเล โดยเฉพาะทะเลตอนกลางคืน เธอชอบมากกว่าตอนกลางวันเสียด้วยซ้ำ เพราะมันทั้งเงียบ สงบ และอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าตอนกลางวัน สามอย่างนี้ทำให้เธอเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว หญิงสาวพยายามนึกภาพให้ออกว่า ถ้าเป็นเธอ คนที่จะเดินข้างเธอนั้นเป็นใครแต่กลับไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่า

กรกฎนิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อหันมาหาหญิงสาวเดินอยู่ด้วยกัน ในสมองคิดว่าจะพูดอะไรซักอย่างแต่มันกลับจางหายไป เมื่อหันไปเจอรอยยิ้มที่เรียกว่ายิ้มจริงๆ ประดับอยู่บนใบหน้าของนฤมล


...อาจจะเป็นพระแสงจันทร์ กรกฎสบัดศีรษะตัวเองแรงครั้งหนึ่ง ก่อนจะลองจ้องมองหญิงสาวอีกครั้ง คราวนี้ภาพเป็นปกติกลับมาเหมือนเดิม ชายหนุ่มเห็นเป็นผู้หญิงหน้าตากวนโมโหคนนึงเดินอยู่เช่นเดิม


“เป็นอะไรคุณ” นฤมลหันมาถามด้วยสายตาสงสัยเมื่อเห็นถึงความไม่ปกติของคนข้างกาย เดินอยู่ดีๆ นึกอยากจะสะบัดผมก็สะบัดขึ้นมาเสียเฉยๆ

“เปล่า” เขาตอบนิ่งๆ อย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ภาพที่เห็นเมื่อครู่มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจเหมือนกัน ว่าตนเองผิดปกติตรงไหนหรือไม่ “รีบเดินเถอะน่าคุณ มามัวสงสัยอะไรอยู่ได้”

นฤมลอ้าปากค้าง อยากพูดก็พูดไม่ออก เมื่อได้ยินเขาพูดโยนความผิดมาให้เธออีกแล้ว ตั้งแต่เจอหน้ากันมา เธอยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้รับผิดด้วยตัวเขาเองเลยสักครั้ง ทำตัวราวกับว่าตนเองคิดอะไรพูดอะไรก็ถูกไปเสียหมด แต่ก็อีกนั่นแหละเธอขี้เกียจจะมาต่อล้อต่อเถียงกับคนประเภทนี้ ตอนนี้หญิงสาวอยากกลับถึงห้องพักให้เร็วที่สุด พรุ่งนี้เธอต้องเตรียมตัวออกไปดำน้ำกับทริปที่จองไว้แต่เช้า
นฤมลจึงไม่ได้พูดแย้งอะไรออกไป ตลอดระยะทางจากชายหาดจนถึงบ้านพักของหญิงสาวจึงมีแต่เพียงความเงียบเกิดขึ้นระหว่างทั้งคู่เท่านั้น

“ขอบคุณค่ะที่ ‘อุตส่าห์’ เดินมาส่ง” นฤมลเอ่ยทำลายความเงียบกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้สนใจนึกอยากจะสนทนากับเธอมากมายนัก

“ไม่เป็นไร ไม่ได้เต็มใจ”

นั่นป่ะไร หญิงสาวนึกอยากหาคำพูดอะไรแสบๆ ตอกกลับไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำ ด้วยนึกได้ว่าจะต้องอยู่อีกหลายวันเธอจึงไม่อยากจะเป็นศัตรูอะไรกับเขามากนัก...
โอเค มันอาจจะมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย แต่ถ้าตานี่ไม่หาเรื่องเธอก่อน เธอก็ไม่ทำมารยาทแย่แบบที่แอบเดินเข้าบ้านคนอื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตหรอกนะ

“ก็พอจะรู้” เธอตอบแล้วกระแทกเท้าเดินเข้าบ้านพักไป โดยไม่ได้หันกลับไปดูอีกเลย หากหันกลับไปเธอจะเห็นกรกฎกำลังส่ายหน้าระอาเธออยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รอจนไฟในห้องเปิดเสียก่อนแล้วค่อยเดินหันหลังกลับ

เอาน่า แค่จะได้กลับไปรายงานคุณนายอรทัยว่าเธอปลอดภัยจริงๆ แค่นั้นแหละ

========================================
To be continue jaa....



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ค. 2555, 19:46:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ค. 2555, 19:46:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1542





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
Edelweiss 10 ก.ค. 2555, 22:19:18 น.
คำพูดจริงใจกันทั้งคู่ ชอบค่ะ


pattisa 11 ก.ค. 2555, 13:01:11 น.
น่าจะเรียกว่าเรือเฟอร์รี่หรือเปล่าคะ?


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account