ในสวนศิลป์
พี่ต้นกล้า นาวาตรีจิรวัติ สุกปลั่งนั้น ไม่ใช่ปัญหาของกฤษณะอีกต่อไปแล้ว วันนี้เป็นวันวิวาห์ของเขากับพี่แพรวพรรณที่เพาะบ่มความรักดูใจกันตามที่แม่ของพี่แพรวพรรณต้องการมาถึงเกือบสองปี..
ปัญหาของกฤษณะก็คือพี่ต้นกล้วย เดชาพงษ์ ซึ่งจนบัดนี้ก็ดูไม่มีวี่แววว่าจะชอบพอกับผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็มั่นใจว่าด้วยญาณหยั่งรู้ของที่ได้จับมือและได้ทำนายพี่ชายของเธอไปแล้วนั้น เขาจะต้องได้เจอกับเนื้อคู่ของเขาและลงเอยด้วยการแต่งงานกันอย่างแน่นอน..แต่ว่าเธอไม่รู้ว่ามันจะใช้เวลานานแค่ไหน
เพราะคนเฉย ๆ อย่างพี่ต้นกล้วย เมขลาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่า ถึงคราวจะต้องจีบผู้หญิงจะทำอย่างไร..แต่เธอก็มั่นใจว่า พระพรหมท่านก็คงมีวิถีของท่าน..คงมีวิธีการที่ทำให้คนสองคนได้พบกันมีเรื่องทำด้วยกันและผูกพันจนกระทั่งรักกันในที่สุด..เหมือนคู่ของเธอกับกฤษณะ ที่เริ่มต้นจากการเดินชนกันที่สถานีรถไฟและสุดท้ายมันก็กลายเป็นเรื่องจุดไต้ตำตอ..

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 4.1“คนอย่างนั้นคงไม่ได้สนใจใครที่ฐานะหรอก...”

บทที่ 4

“เป็นอะไรเจ้าหญิงทำหน้าให้มันสดชื่นหน่อยสิ” เอกรินทร์ที่ขับรถมารับจรินนาที่หน้าบ้านเอ่ยปากถามเมื่อหญิงสาวขึ้นมานั่งแล้วเขาก็เคลื่อนรถมุ่งไปข้างหน้า...จุดหมายคือสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ตึงเครียดจากการทำงานระหว่างวัน และตามประสามคนหนุ่มคนสาวที่เห็นว่าโลกใบนี้เป็นโลกที่มีแต่ความสุขให้ตักตวง

“ง่วงนอน”

“อ้าว”

“อยากนอน” อันที่จริงจรินนาไม่ได้อยากนอน แต่รู้สึกใจคอหอเหี่ยวขึ้นมาเสียเฉย ๆ ...แต่ว่าหญิงสาวก็ไม่อาจบอกกับเอกรินทร์ได้ว่า ภาพที่สุนันทาแม่ม่ายลูกติดดูสนิทชิดเชื้อกับเดชาพงษ์นั้นทำให้เธอรู้สึกหดหู่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะเธอเอง แม้จะขาวหมวยสวยสดและมีฐานะดีแต่กลับไม่มีใครสักคนเป็นเพื่อนคู่คิด เป็นคนรู้ใจ และไม่มีใครสักคนรักและเอาใจใส่...มันเป็นอารมณ์ของคนว้าเหว่นั่นเอง แต่ว่าอาการเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดกับจรินนา แต่ว่าครั้งนี้จรินนารู้สึกว่ามันเกาะกุมความรู้สึกอยู่นานเกินไปเสียแล้ว...

“เจอ แสง สี เสียงแล้ว เดี๋ยวก็หูตาสว่าง...”

“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น”

“วันนี้แผลงฤทธิ์อะไรไปบ้างล่ะ”

“แผลงฤทธิ์” จรินนาหันมาหาคนขับรถพร้อมกับดวงตาวาว ๆ

“อ้าว ก็ไปกินข้าวด้วยกัน ไปวัดด้วยกัน แถมยังแวะดูร้าน ดูโรงเรียน ดูที่อยู่อาศัยเขาเสียอีกด้วย”

“รู้ได้อย่างไร”

“รู้แล้วกัน” ที่รู้ เพราะเอกรินทร์โทรหาผู้เป็นอา ขออนุญาตพาจรินนาออกเที่ยวกลางคืน เพื่อให้คุณอานั้นสบายใจ และเมื่อทางนั้นบอกว่าอนุญาตเอกรินทร์ก็เลยล้วงข้อมูลของวันนี้เสียเลย...

“เห็นจินเป็นคนอย่างไรละเนี่ย”

“เอาแต่ใจตัวเองอย่างร้ายกาจ...”

จรินนาถอนหายใจออกมาเบา ๆ ...ใช่เอกรินทร์พูดถูก เพื่อนหลาย ๆ คนบอกว่าเธอเองสวยแต่ว่าไม่มีเสน่ห์..เธอเอาแต่ใจของตัวเอง เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่มีจริตมารยาหญิง และที่สำคัญบางทีเหมือนเธอจะเอาใจใครไม่เป็นเสียด้วย...
“ถ้ามีใครสักคนคิดจะชอบจิน ก็ต้องชอบในแบบที่จินเป็น”

“อะ จ้า...”

“แล้วนึกอย่างไรมารวนกันเองเสียอย่างนี้” จรินนาขึงตาให้คนขับรถที่ขับไปช้า ๆ อีกรอบ

“พี่เอง ก็ไม่ประสีประสากับเรื่องความรักสักเท่าไหร่หรอกนะ ถ้าจะแนะนำจิน ก็คงจะบอกว่า ก็ความรักน่ะ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ หรอก ที่ผ่านมาจินเองอาจจะยังไม่ได้ตกหลุมรักใครอย่างจริง ๆ จัง ๆ สักที

จินก็เลยคิดว่า อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนเข้ามาหาจิน ปรับตัวเข้าหาจิน จินถูกเอาใจมาตลอด..ใช่หรือเปล่า”

จรินนาครุ่นคิดถึงความรักกับผู้ชายหลาย ๆ คนทั้งตอนที่เรียนหนังสืออยู่เมืองไทย รวมถึงตอนที่ไปเรียนอยู่เมืองนอก...

ใช่..พวกเขาเหล่านั้นพึงพอใจในรูปร่างของเธอหน้าตาของเธอแล้วเข้ามาหาเธอเอง เบื้องต้นที่จะรับไมตรีเขาไว้ก็เพราะหน้าตาของเขาและความพึงพอใจส่วนตัว แต่สุดท้ายเมื่อคบหากันได้สักระยะหนึ่งบ้างครั้งเธอจะรู้สึกได้เองว่า คน ๆ นั้นไม่ใช่ และบางทีเธอก็รู้สึกว่าเขาก็รู้สึกว่าเธอไม่ใช่ สุดท้ายก็ต่างคนต่างเดินไปข้างหน้า...
และครั้งที่จรินนาจำฝังใจนั่นก็คือ ผู้ชายที่เข้ามาหาเธอแบบหวังเอาชนะเพราะคิดว่าเธอคงจะปรับใจให้เหมือนกับคนในประเทศนั้นไปแล้ว เขาพยายามปลุกปล้ำเธอ แต่ว่าครั้งนั้นเธอก็รอดจากเงื้อมมือของผู้ชายใจสกปรกมาได้ นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลาย ๆ คน ที่เห็นผู้หญิงสวยเหมือนดอกไม้ริมทาง เธอเองก็เกือบกลายเป็นดอกไม้ที่ถูกแมลงร้ายจ้องดูดซับความหอมหวาน ดีแต่ว่าเธอเองเป็นแบบที่พอจมูกและมือของผู้ชายพวกนั้นมาถึง ฝ่ามือของเธอก็พร้อมจะสัมผัสใบหน้าเรียกสติเขาแรง ๆและหัวใจของเธอก็พร้อมจะโบยบินออกห่างจากตัวเขาในทันที...

แต่ทั้งนี้ทั้งหมด จรินนาก็ยอมรับกับตัวเองว่า เธอยังไม่เคยรู้สึกรักใครอย่างมากมายจนต้องยอมพลีกายเหมือนที่เพื่อนหญิงบางคนรักผู้ชายคนหนึ่งแล้วก็ทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจให้ไป...หญิงสาวก็ถามตอบตัวเองไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร ทั้งที่ผู้ชายเหล่านั้น จะว่าไป มันก็คือสเป็คของเธอนั่นเอง...

“วิเคราะห์ต่อสิ...” จรินนาเปรยออกมาเบา ๆ

“ที่ถามไปยังไม่ได้ตอบเลยนะ”

“ก็ใช่...จินถูกเอาใจมาตลอด ไม่เคยเอาใจใคร”

“ความรักคือการให้ ความรักคือการเสียสละ และความรักก็คือการยอม”

“อย่าให้ต้องแปล”

“ตอนเรายังไม่เข้าใกล้คานทอง เราก็อาจจะคิดอย่างนั้น ได้ว่า ตอนนี้ เลยยี่สิบห้ามาแล้ว จินต้องเปลี่ยนความคิดของตัวเองบ้าง” เอกรินทร์เปรย ๆ อ้อมค้อมอย่างคนที่รู้จักนิสัยของจรินนาเป็นอย่างดี

“โง่เพื่อใครสักคนอย่างนั้นเหรอ”

“เปล่า”
“แค่อยากจะบอกว่า ถ้ารู้สึกดี ๆ กับใครสักคน ก็ไม่ควรจะเสียเวลา ปล่อยเวลาให้ผ่านไป ก็แค่นั้น”

“หมายความว่าอย่างไร”

“ถามใจตัวเองซิ”

“วกวน ปวดหัว...” ตัดบทแล้วจรินนาก็ผินหน้าออกไปมองด้านนอก...เธอเข้าใจที่เอกรินทร์พูดแต่จะให้ยอมรับว่าเธอเกิดรู้สึกดี ๆ กับอีตาอาจารย์กล้วยน่ะ ไม่มีทางเสียหรอก...


เมื่อเข้ามานั่งอยู่ในร้านท่ามกลาง แสง สี และเสียงเพลงอันอึกทึกครึกโครมท่ามกลางผู้คนร้อยพ่อพันแม่แล้ว ใจของจรินนาก็หาสดชื่นผ่อนคลายอารมณ์หดหู่อย่างที่มันควรจะเป็น...

ใจของเธอคิดไปถึงเขา นายเดชาพงษ์ สุกปลั่ง เสียขึ้นมาอย่างนั้น คนอย่างเขาจะมาในสถานที่อย่างนี้เป็นไหม คนอย่างนั้นจะยักย้ายส่ายสะโพกดื่มกินหาความสุขในสถานที่แบบนี้ได้ไหม...

และเมื่อนึกได้ว่าเขากล้าที่จะร้องเพลงคลอวิทยุไม่รู้จักกี่เพลงในระหว่างที่ขับรถ...เขาก็คงจะเคยเฮ้วอยู่ไม่น้อยทีเดียว แต่ว่า ในเวลานี้ เขาคืออาจารย์..มีลูกศิษย์มีคนนับน่าถือตา เขาคงระมัดระวังตัวเองมากขึ้น แต่ว่าเขาก็ยังดูไม่แก่กว่าเธอไปสักเท่าไหร่ และที่สำคัญเขามีแฟนหรือเปล่า ว่าไปแล้วเหมือนเขาจะครึแต่รอบ ๆ ตัวเขาก็มีผู้หญิงตั้งหลายคน คนที่โทรมาตามเขาให้ไปที่ร้านนั่นอีก..ตอนที่เดินกลับออกมา เธอมองเห็นแล้วว่าหน้าตาดีทีเดียว...

“ทำท่าเหมือนจะง่วงนอนจริง ๆ” ด้วยเพลงดังมากเอกรินทร์ที่ยักย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงพลางเหล่ดูหนุ่ม ๆ หน้าตาดีไปด้วยก้มลงมากระซิบถาม...แต่จรินนานั้นแสร้งยกแก้วสีอำพันขึ้นดื่ม..แทนคำตอบว่าง่วงหรือเปล่า

“คิดเรื่องถูกตัดเงินเหรอ” เอกรินทร์ถามหาเหตุอีกรอบ

“เปล่า...เพลงมันไม่สนุกน่ะ บอกไม่ถูก”

“หรือคิดถึงอีตาจารย์กล้วย”..

“นี่..” เมื่อถูกจี้ใจดำ ตาของจรินนาลุกวาวขึ้นมาทันที

“หรือจะกลับบ้านนอน”

“ยัง ไหน ๆ ก็มาแล้ว...เดี๋ยวอาจจะดีขึ้น”

การสนทนากันเป็นไปอย่างยากลำบาก แล้วในที่สุดเอกรินทร์ก็หันกลับไปสนใจนักร้องกับเสียงเพลงและคนรอบ ๆ ตัว กระทั่งสายตาของเขาเหลือบไปเห็นคนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งพากันเข้ามาในร้าน และเมื่อแน่ใจแล้วว่า หนึ่งในชายหญิงกลุ่มนั้นมีวิษณุจักร เขาก็สะกิดจรินนา พอหญิงสาวมองหน้าเขา เขาก็เหลือบตาไปยังทิศทางนั้น...
และวิษณุจักรก็เหมือนจะมีเรด้าจับว่ามีใครสนใจตัวเองอยู่ เขาหันมาเห็นทั้งจรินนาและเอกรินทร์เหมือนกัน...



“ป้าสำเนียง ป๊าไปไหนคะ” เช้านี้จรินนาตื่นแต่เช้าเพราะกะจะรายงานให้บิดาให้ได้รับรู้ว่าช่วงนี้เธอจะออกไปเรียนรู้งานกับคุณดิเรกที่โรงแรมอัมรินทร์ซึ่งเป็นโรงแรมเก่าแก่ของตระกูลก่อนจะเริ่มรับงานใหญ่งานแรกในชีวิต แตว่าเมื่ออาบน้ำแต่งตัวลงมาจากชั้นบน ที่โรงจอดรถก็ไม่มีรถของพ่อเสียแล้ว

“ไปวัด...ไปทำบุญ”

พอได้ฟังคำตอบให้กับคนที่กำลังจัดเตรียมอาหารให้ตัวเองอยู่ในครัวจรินนาก็ชักสีหน้าแปลกใจ

“ทำไมป๊าถึงเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้คะป้า เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

“ได้กัลยาณมิตรดีมั้ง...”

“ใคร”

“อาจารย์กล้วย” ชื่อเล่นของเขาทำให้จรินนารู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด...และเวลานี้จรินนาก็อยากรู้อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับตัวเขาให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น

“เขาเจอกันได้อย่างไร...จินเคยถามแล้วนะแต่ป้ายังไม่ได้ตอบจินใช่ไหม”

“เจอกันที่วัดมั้ง งานทอดกฐินวัดป่าอะไรนี่แหละ รายนั้นเป็นเจ้ภาพวาดภาพตอนพระพุทธเจ้าชนะมารที่ด้านหลังพระประธาน แล้ววันนั้นเพื่อนของป๊าก็ชวนป๊าไปทอดกฐิน เห็นว่าคุยกันถูกคอ ตั้งแต่นั้นมาก็ไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ”

“แล้วป๊าก็เปลี่ยนแปลงตัวเองยกใหญ่เลยอย่างนั้นเหรอ”

“ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ...แล้วหิวหรือยัง ป้าจะได้ผัดคะน้าหมูกรอบให้”

คะน้าที่เมื่อวานนี้พ่อของเธอลงมือตัดจากแปลงผักที่สวนด้านหลังบ้านพักของเขาเอง พ่อตัดมาไม่เยอะหรอก เพราะเกรงใจเจ้าของสวนที่พ่อบอกกับเธอว่าเป็นผักปลอดสารพิษใช้น้ำหมักชีวภาพไล่แมลงและเป็นปุ๋ย แต่พอเขาเดินกลับมาพร้อมกับสุนันทา เขาก็ตัดเสียอีกยกใหญ่เพราะต้องแบ่งให้สุนันทากลับไปกินที่บ้านเสียด้วย และเมื่อนึกถึงคนทั้งคู่ขึ้นมา จรินนาก็ตัดสินใจที่ไม่เก็บความสงสัยไว้

“จารย์กล้วยกับสุนันทา เค้าเอ่อ...มีอะไรพิเศษกันหรือเปล่าป้า”

ป้าสำเนียงหันมามองหน้าคนถาม...ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่ป้ารู้สึกได้ คนของเราชอบอาจารย์กล้วยอยู่ไม่น้อย”

“แล้วผู้ชายล่ะ”

“ไม่รู้ซิ แม่ม่ายเรือพ่วง หนุ่มทั้งแท่งที่ไหนจะมาคิดจริงจังด้วย”

“แต่สุนันทาเขาก็ทั้งสวยและก็จะว่าไปตอนนี้เขาก็จัดว่ามีฐานะ”

“คนอย่างนั้นคงไม่ได้สนใจใครที่ฐานะหรอก...”

“แล้วเขาน่าจะสนใจใครสักคนที่อะไร” จรินนารองหยั่งความรู้สึกของป้าสำเนียงดู

“พวกศิลปิน ก็คงจะเป็นอารมณ์ตัวเองแหละมั้ง...ป้าก็ไม่รู้อะไรหรอก เรื่องพวกนี้มันสุดแต่ว่าทำบุญทำกรรมด้วยกันมาหรือเปล่าด้วย...ป้าคิดอย่างนั้นนะ”

(เขียนได้คืบก็จะเอามาฝาก คืบ ครับ เดี๋ยวลืมกัน ขอบคุณสำหรับกำลังใจจนะครับ...))



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ค. 2555, 09:56:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ค. 2555, 09:56:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 2387





<< 3. ‘งานศิลปะไทยโบราณสืบสานแล้ว เพราะทูลกระหม่อมแก้วเอาพระทัยใส่”   4.2 “ก็บอกแล้วว่า ตาอาจารย์กล้วยเนี่ย มีเสน่ห์ซ่อนเร้น” >>
nateetip 3 ก.ค. 2555, 11:27:35 น.
ชอบเรื่องนี้นะคะ..


imsoul 3 ก.ค. 2555, 11:45:31 น.
รอนะคะ อย่าลืมเอามาฝาก 555


หนอนฮับ 3 ก.ค. 2555, 12:34:04 น.
มาให้กำลังใจพี่กล้วย...อิอิ


anOO 3 ก.ค. 2555, 13:18:20 น.
เริ่มรู้สึกดีๆ กับอาจารย์กล้วยแล้วซิ หาข้อมูลใหญ่เลย


คิมหันตุ์ 3 ก.ค. 2555, 16:37:59 น.
ชอบเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ.... รออ่านอยู่นะจ๊ะ


Zephyr 3 ก.ค. 2555, 19:21:48 น.
แหม ทำมาเป็นล้วงความลับ แล้วไปเชิดใส่เค้าทำไมล่ะจิน
เกิดพี่กล้วยเล่นตัวขึ้นมาล่ะก้อ สนุกล่ะ


loveleklek 3 ก.ค. 2555, 22:19:34 น.
สั้นจัง


แว่นใส 4 ก.ค. 2555, 08:01:48 น.
น่าคิดนะ


nutcha 4 ก.ค. 2555, 12:07:01 น.
มาให้กำลังใจกันค่ะ


Orathai 4 ก.ค. 2555, 19:48:52 น.
มาเชียร์อาจารย์กล้วย


lookAme 20 ก.ค. 2555, 18:00:23 น.
สืบข่าวๆ 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account