พระพรหมสีชมพู
เรื่องพระพรหมสีชมพู เรื่องล่าสุดที่แต่งขึ้นจากจินตนาการ

จะมีประเทศที่ติ๊ต่างขึ้นมาเองนะคะ ผู้แต่งให้ชื่อว่าประเทศกรีนนา

...เป็นเรื่องของสาวน้อยคนไทยที่ไปตามหาพี่ชายต่างสายเลือดที่เธอรักและหวงแหนมาก พอพี่ชายจะไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่นเธอเลยยอมไม่ได้ ความบังเอิญจากอุบัติเหตุทำให้เธอเจอกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นถึงลูกชายประธานาธิบดีแห่งกรีนนา ที่ถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งคู่หมั้นของหล่อนก็คือพี่ชายต่างสายเลือดของแม่สาวน้อยคนไทยนี่เอง

เธอถูกจับมาเป็นตัวประกันชั่วคราวของเขา และอะไรไม่ซวยเท่ากับการที่จู่ ๆ เธอก็เกิดสัมผัสพิเศษสามารถเห็นเหตุการณ์อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ได้ล่วงหน้าเหตุการณ์จริง 1 นาที จากแค่ตัวประกัน เลยกลับกลายเป็นต้องอยู่คอยคุ้มภัยเขาราวผูกตัวติดกันซะอย่างนั้น...

..."เมื่อพี่ชายของคุณเป็นคนทำให้ผมถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน คนที่น่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ก็เห็นที่ว่าคงต้องเป็นคุณซะแล้วแหละ แม่หนูน้อยหมวกแดง"

..."ไม่เอา...ปล่อยฉันนะ อีตาเฒ่าทารก"

..."ภายในสองเดือน ถ้าคุณทำให้พี่ชายของคุณถอนหมั้นกับแจนได้ ผมจะปล่อยคุณไป"

Tags: น่ารัก+บู๊เล็ก ๆ

ตอน: ตอนที่ 4 พระพรหมสีชมพู

ตอนที่ 4

สามวันเห็นจะได้แล้วที่เนรัญต้องตามติดเจ้านายหน้ายาวไปที่ทำงานของเขา การที่ไม่มีสิทธิ์ออกไปเดินเล่นตามลำพังทำให้เวลาแต่ละวันมันช่างน่าเบื่อ และเหนือสิ่งอื่นใดหัวใจเธอรบเร้าทุกคืนค่ำว่าอยากจะพบหน้ากันกริชเหลือเกิน ไม่รู้ว่าป่านนี้พี่ชายต่างสายเลือดจะเป็นยังไง แค่คิดว่าเขาอาจจะตกหลุมหลักแม่คู่หมั้นตาคม เธอก็แทบคลั่งอยากกรีดร้องดัง ๆ ประชดคนแถวนี้ซะให้เข็ด และ...ทั้งที่คนสมควรจะร้อนใจน่าจะเป็นการิมมากกว่า เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองเดือนเขาก็ต้องแต่งงานแล้ว ทว่าตอนนี้ยังไม่มีแม้แต่เจ้าสาวด้วยซ้ำ หากชายหนุ่มกลับนั่งทำงานใจเย็นไม่ทุกร้อนแต่อย่างใด

เนรัญหันมองคนที่นั่งก้ม ๆ เงย ๆ อยู่กับกองเอกสาร หน้าตาเขาเป็นระเบียบสะอาดสะอ้านกว่าเมื่อหลายวันก่อนเยอะ เพราะใบหน้าขาวเหลือทิ้งไว้ให้เห็นแค่ไรหนวดเคราจาง ๆ เท่านั้น หญิงสาวระบายลมหายใจออกทางจมูกแหลมยาวเหยียด เบื่อระอากับการนั่งอ่านหนังสือ เล่นเกมในโทรศัพท์มือถือเต็มแก่ หันมองรอบห้องทำงานกว้างพลางคิดหาอะไรทำเรื่อยเปื่อย แต่พอฉุกนึกขึ้นได้ว่าเคยอ่านเจอจากหนังสือท่องเที่ยวฉบับหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อนบอกว่าประเทศนี้มีโรงแรมสวยหรูและแพงขั้นเทพ ห้องละหลายแสน แล้วถ้าหากจำไม่ผิดเธอเชื่อว่าน่าจะเป็นโรงแรมของการิมแห่งนี้

“คุณฉันขอออกไปเดินเล่นหน่อยได้ไหม ไปไม่ไกลหรอก”

“ไม่ได้เดี๋ยวก็จะเที่ยงแล้ว คุณต้องออกไปกินข้าวกับผม” คนถือสิทธิ์เป็นนายจ้างเงยหน้าขึ้นตอบเสียงไร้น้ำใจ ตากลมดำขลับตวัดมองหน้าคมคร้ามอย่างหัวเสีย ก่อนกระชากเสียงใส่เพราะเก็บกดเกินทน

“แต่คุณให้ฉันมานั่งเฝ้าคุณแบบนี้สามวันแล้วนะ ฉันเบื่ออึดอัดจะตายอยู่แล้ว” ร่างบางลุกจากโซฟาตัวยาวเดินไปเคาะโต๊ะทำงานให้คนที่ทำหูทวนลมเงยสบตา “ได้ยินที่ฉันพูดบ้างหรือเปล่า ไหนคุณอยากจะได้ยายจา...ยายแจนแฟนคุณคืนนักไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังนั่งทำงานหน้าตาเฉยได้อีก แล้วจะจ้างฉันมาเพื่ออะไร มาเป็นยามนั่งเฝ้าคุณแค่นี้นะเหรอ”

“อย่ามาทำเสียงน่ารำคาญแถวนี้ได้ไหม” เขาเข่นเขี้ยว ก่อนจะยอมตามใจคนหน้าเง้าอย่างเสียมิได้ “โอเค จะไปเดินเล่นก็ไป แล้วกลับมาก่อนเที่ยงละ ถ้ากลับมาช้านาทีเดียว ผมจะหัก...” ลากเสียงยาวก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ตากลม “คอคุณซะ !”

เธอย่นจมูก สะบัดหน้าพรืด แล้วเดินจ้ำออกมาจากห้องทำงานท่านประธานใหญ่โดยไว พอลงมาจากตึกส่วนออฟฟิศได้ ก็หันซ้ายหันขวาเนื่องจากความกว้างขวางหลายสิบไร่บวกกับความหรูหราโอ่อ่าของแต่ละตึกภายในโรงแรม ทำให้ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกไปทางไหนก่อนหลังดี และเหมือนว่าความบังเอิญมักจะไม่เข้าใครออกใคร เพราะในระหว่างที่ร่างบางเดินสอดส่ายตากลมขลับเป็นมันระยับชื่นชมกับความงามแปลกของตึกหนึ่งตรงหน้า ที่เลือกเดินมาดูใกล้ ๆ สายตาก็ต้องสะดุดให้กับหุ่นสูงใหญ่ของชายหน้าเข้มผิวสีแทน แทบไม่ต้องใช้เวลาพิจารณา คนที่เชื่อมั่นในสายตาของตนเองเหลือเกินจึงเดินแกมวิ่งตรงเข้าไปหา หากเท้าเล็กกลับต้องชะงักกึกเร็วไวจนแทบล้ม กระบอกตาร้อนผ่าวขึ้นในบัดดล ยามเห็นหุ่นสะโอดสะองของหญิงนางหนึ่ง ปกปิดดวงตาไว้ใต้แว่นกันแดดสีชาและหมวกปีกกว้าง เดินมาเกี่ยวแขนใหญ่ดึงเข้าไปกอดแน่น ราวกับสนิทกันมาเป็นชาติ ก่อนควงกันหายเข้าไปในตึกสูงตระหง่านสีเหลือบทอง

“พี่ตั้งพายายแจนเข้าโรงแรม” แม้จะไม่เห็นหน้าคร่าตาหญิงคนนั้นชัดเจน แต่เมื่อกันกริชมาที่ประเทศนี้เพราะเรื่องคู่หมั้นสาว แล้วเขาจะควงใครอื่นมาได้ถ้าไม่ใช่หล่อน

เนรัญยืนน้ำตาซึม มือสั่นอกสั่นไปหมด ความเสียใจระคนเกรี้ยวโกรธคุกรุ่น เกลียดผู้หญิงที่มาแย่งชายที่เธอรักที่สุดไปครอบครอง หนำซ้ำหล่อนยังช่วงชิงรอยยิ้มนุ่มนวลของเขาไปด้วย รอยยิ้มแบบนั้นตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยมอบให้หญิงใด มีเพียงเธอคนเดียวมาโดยตลอดที่ได้รับ แต่วันนี้พี่ชายของเธอกำลังมีความรัก เขารักผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ

ขอบตารื้นน้ำจับจ้องคนที่จะกลับลงมาอยู่ด้านหน้าตึก เธอไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะขยับเขยื้อนกายไปไหนได้ไกล หัวใจกระสับกระส่ายร้อนรุ่มเฝ้ารอ ทว่าผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมงก็ไม่เห็นเงาชายหญิงคู่นั้นลงมาสักที เนรัญปาดน้ำตาที่ร่วงเผาะ ๆ อาบแก้มใส หากมือใหญ่อุ่นที่ตบลงกับไหล่เล็กจากด้านหลังทำคนนัยน์ตาหม่นเศร้าเบิกกว้างสะดุ้งสุดตัว

“มายืนทำอะไรตรงนี้ ปล่อยผมรอตั้งนาน” เสียงห้าวต่ำในลำคอที่คุ้นเคยตลอดหลายวันมานี้ ส่งให้หญิงสาวต้องรีบซับน้ำตาโดยเร็ว แต่ท่าทางลุกลนมีพิรุธไม่รอดพ้นตาคมกริบ การิมเชยคางเรียวให้หันมาหา ขมวดคิ้วฉงน “บอกว่าขอมาเดินเล่น แต่กลับมายืนหน้าแดงตาแดง” มองผ่านเข้าไปในตึกโรงแรมแวบหนึ่ง ก่อนสบตาคาดคั้นคนตัวเล็กต่อ “มายืนร้องไห้รอใคร อย่าบอกนะว่าคุณหลงทาง ลมแรงฝุ่นกระแทกเข้าตาข้อนี้คงไม่ต้องเอามาอ้าง”

ปากบางเม้มแน่นข่มความสั่น มีเพียงสายตาหวาดหวั่นที่หลบความผิดสังเกตไม่ได้ เวลานั้นเนรัญคิดว่าควรจะบอกการิมดีไหม ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่โรงแรมม่านรูดก็เถอะ แต่ชายหญิงหายเข้าไปด้วยกันเป็นนานสองนาน ถ้าไม่เพราะเรื่องแบบนั้นแล้วจะคิดว่าพวกเขาไปทำอะไรกันได้อีก อีกอย่างจารินรัตน์ก็เป็นผู้หญิงที่เขาหมายมั่นปั้นมืออยากจะแต่งงานด้วย ถ้ารู้ว่าหล่อนเสื่อมเสียให้กับพี่ชายของเธอไปเรียบร้อย เขาคงต้องโกรธมากจนระเบิดประตูทุกบานทุกห้องของโรงแรมเลยก็เป็นได้

“คุณรอใครอยู่ใช่ไหม ถามก็ตอบมาซิยายเปี๊ยก” คนถามชักฉุน ที่คู่สนทนากลับเป็นบ้าใบ้ ยืนก้มหน้าข่มเสียงกระซิกในลำคอ “ดี ถ้าไม่ตอบก็ไปกินข้าว คุณยังไม่เคยเจอเวลาผมโมโหหิว รับรองเลยว่าถ้าเคยเจอสักครั้ง คุณจะไม่กล้าให้ผมรอนานอีกแน่”

“มะ...ไม่ไป ฉัน...คือฉันรอ” พูดตะกุกตะกัก ไม่อยากจะไปจากตรงนี้ แต่ถ้าไม่บอกเหตุผลเขาก็ต้องว่าเธอเล่นแง่ เนรัญตัดสินใจนิ่งอีกอึดใจก่อนจะเปิดปาก “ฉันเห็นพี่ตั้ง เออ...พี่ชายของฉันเข้าไปกับ...ผู้หญิงของคุณในตึกนี้”

“ใคร คุณหมายถึงใคร !” เขาถามหน้าตื่น “แจนเหรอ แจนหายเข้าไปกับไอ้ล่ำนั่นเหรอ”

เธอพยักหน้างึกงัก ตอบเสียงสั่นพร้อมน้ำตา “ใช่...นานแล้วด้วย”

“ไม่จริงหรอก ผู้หญิงอย่างแจนไว้เนื้อไว้ตัวจะตายไป แค่ผมชวนไปกินข้าวด้วยเธอยังบ่ายเบี่ยง แล้วมีเหรอจะมาโรงแรมกับผู้ชายสองต่อสอง”

“แต่เขาเป็นคู่หมั้นกัน อีกไม่นานก็แต่ง จะยังไงก็ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว” น้ำตาพรั่งพรูเป็นสาย การิมบดกรามกำหมัดแน่น เสียงสะอื้นจากคนตัวเล็กช่างน่ารำคาญแล้วก็ทำให้งวยงงในเวลาเดียวกัน จึงตวาดเสียงถามกร้าว

“แล้วเป็นบ้าอะไรของคุณ ! พี่ชายขึ้นห้องกับผู้หญิงร้องไห้จะเป็นจะตาย คนที่สมควรร้องไห้คือผมนี่” เขาตบหน้าอกตัวเองแรง ๆ อารมณ์เดือดดาลพลุ่งพล่าน “ไอ้พี่ชายของคุณมันหยามผมมากเกินไปละ อยากรู้นักว่าถ้าผมพาคุณเข้าโรงแรมบ้างมันจะรู้สึกยังไง”

คนฟูมฟายน้ำหูน้ำตาอ้าปากค้างกลั้นเสียงสะอื้นกลืนหายลงลำคอ “คุณพูดเรื่องบ้าอะไร ไม่นะ”

“ไหน ๆ ผมก็ไม่มีทางได้แจนคืนมาแล้ว ที่เหลือก็สะสางความเจ็บใจไงเล่า” เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วฉุดกระชากร่างบางปลิวติดมือไปด้วยแรงเร็ว

มาร์คที่ยืนมองไกล ๆ รีบวิ่งเข้ามาหวังห้ามศึกแต่แค่เพียงขยับริมฝีปากก็หมดสิทธิ์ เจ้านายยื่นมือมาขวางไว้ตรงหน้า ขณะที่อีกข้างรวบสองแขนเล็กบีบแน่น

“เอารีโมตรถมาเราจะขับเอง”

“คุณฌานจะไปไหนครับ” คนสนิทถามรัวเร็ว เหลือบมองสายตาละห้อยวิงวอนขอความช่วยเหลือจากหญิงสาวด้วยความสงสาร

“นายไม่ต้องรู้ เราจะไปกับยายเด็กนี่สองคน” คำสั่งขึงเข้ม ไม่มีคนเป็นลูกน้องคนไหนกล้าจะขวางทาง พอคว้ารีโมตจากมาร์คมาได้ก็ลากคนตัวเล็กตาม โดยไม่แม้จะสนใจอาการขัดขืนดิ้นรนของเธอแต่น้อย

“คุณ...คุณปล่อยฉัน ปล่อยฉันก่อน...” เธอตะโกนกระหืดกระหอบ เหนื่อยสาวเท้าเร็วตามเขาแทบไม่ทัน “ฟังฉันก่อน...บางที่ฉันอาจจะตาฝาด ตาฝาดแน่ ๆ” ละล่ำละลักบอกเอาตัวรอด ทั้งที่เธอมั่นใจว่าจำกันกริชได้ดี แต่เวลานี้เธอจะน่าทำเสียว่าไม่รู้ไม่เห็น ถ้าไม่อย่างนั้นอาจต้องตกไปเป็นผู้หญิงของเขาโดยไม่สมยอมแน่

เท้าใหญ่ชะงักอึ้ง หันขวับมามองหน้าซีดขาวของตัวประกัน ตวาดเสียงดังลั่น “คุณร้องไห้จะเป็นจะตาย แถมยังทำให้ผมฉุนขาด สุดท้ายกลับบอกว่าตาฝาดอย่างนั้นเหรอ”

“ฉะ...ฉัน จะไปถามพี่ตั้งให้เอง พรุ่งนี้...พรุ่งนี้คุณพาไปพบพี่ชายฉันเลยซิ ฉันจะถามกับปากเอง แล้วจะพูดเรื่องของคุณกับยายแจนด้วย”

“งั้นก็ดี ถือโอกาสฝากของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปกับตัวคุณด้วยเลย บางทีถ้าเห็นน้องสาวมีร่องรอยแปลก ๆ เต็มตัว ไอ้พี่ชายของคุณอาจจะยอมถอนหมั้นง่าย ๆ หน่อย” เขาพูดเสียงขู่เครียด พาร่างบางยัดเข้าไปนั่งช่วงหน้าและเอื้อมมือคาดเข็มขัดให้ปิดประตู ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยรวดเร็ว เขาเหยียบคันเร่งรถหรูให้วิ่งออกสู่ถนนใหญ่ และเลือกขับเลี่ยงออกนอกตัวเมือง

ความเร็วของรถที่วิ่งทะยานตามแรงอารมณ์โทสะเริ่มช้าลง ถนนเส้นนอกตึกรางบ้านช่องบางตาพบเจอกับต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวเพิ่มขึ้น ตาวาววาบด้วยแรงโกรธกรุ่นยังไม่หาย เขาชำเลืองมองคนนั่งสะอื้นตัวสั่นอยากจะเห็นใจ แต่ก็เบนสายตามองเส้นทางข้างหน้าข่มความใจอ่อนเสีย

เนรัญก้มหน้าร้องไห้กระซิก น่ารำคาญทำชายหนุ่มหันมากระชากเสียงกร้าวดุ “เอ้า ! ร้องเข้าไป ร้องเข้าไป ถามทีเถอะไอ้ที่ร้องไห้เนี้ยเพราะกลัวจะโดนผมปล้ำ หรือเสียใจที่ไอ้ล่ำมันมีเมีย อย่าบอกนะว่าหลงรักพี่ชายตัวเอง” ครั้นเหลือบมองคนแสดงบทเจ้าน้ำตา ก็เห็นดวงตาสวยแดงก่ำฉ่ำน้ำลุกวาว ตวัดมองหน้าเขาราวกับลูกเสือสาว หากเธอไม่ตอบอะไร เขาจึงพูดต่อเยาะหยัน “เจริญละ สายเลือดเดียวกัน ขืนลูกออกมาก็เป็นเอ๋อซิคุณ”

“ฉันกลับพี่ตั้งเราไม่ใช่พี่น้องกันจริง ๆ สักหน่อย เราไม่มีสายเลือดเดียวกันแม้แต่หยดเดียว” คราวนี้คนที่กักเสียงอยู่ในลำคอเป็นพักโต้กลับไว ปาดน้ำตาลวก ๆ จ้องเสี้ยวหน้าคมคร้ามเขม็ง “เพราะฉะนั้นฉันจะรักพี่ตั้งมากกว่าพี่ชายมันก็ไม่ผิด”

เขาหัวเราะขบขัน แสยะยิ้มหากนัยน์ตาไม่ยิ้มตาม “อ้อ...มิน่า ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณก็กำลังอกหัก แล้วต่อให้ผมทำอะไรคุณ ไอ้ล่ำนั่นก็อาจจะไม่ได้ยินดียินร้ายเลยสักนิดก็ได้”

“ไม่จริง ! พี่ตั้งรักฉัน รักมากด้วย ถ้าคุณแตะต้องฉันแม้แต่ปลายก้อย เขาต้องฆ่าคุณแน่” เธอตอบกลับอย่างไม่ยอมความ

“ยอมรับความจริงเถอะคุณ ไอ้หมอนั่นป่านนี้ถึงสวรรค์ชั้นไหนแล้ว ไม่มีเวลามาสนใจเด็กน้อยอย่างคุณหรอก”

“คุณนะซิต้องยอมรับความจริง ว่าที่เจ้าสาวของคุณผ่านมือพี่ชายฉันเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ฉันช่วยเอายายแจนมาคืนคุณได้ ยายนั่นก็ไม่สด...”

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลยนะ !” เขาตะคอกเสียงแข็ง กัดฟันแน่นโมโหจนนัยน์ตาวาวโรจน์ ที่เขาชอบจารินรัตน์เพราะหล่อนแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น แตกต่างจากคู่ควงคนเก่า ๆ ของเขาซึ่งส่วนมากเป็นคนในประเทศเดียวกัน แต่จารินรัตน์ไม่ใช่เธอเป็นผู้หญิงไทยจิตใจดีโอบอ้อมอารีและรักนวลสงวนตัว

“ทำไมรับไม่ได้นะซิ โกรธใช่ไหมที่ตัวเองไร้น้ำยา สู้พี่ชายของฉันไม่ได้” วาจาที่หลุดลอดจากเรียวปากบาง ราวกับมีใครเอาหมัดมาซัดเต็มหน้า การิมเหยียบเบรกรถพรวด ทำให้ตัวเองและคนข้างกายตัวเอนไปด้านหน้าหัวแทบคะมำ ปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออกเร็ว ๆ โน้มตัวไปจับไหล่บางดันจนชิดติดประตูรถอย่างไม่กลัวเธอเจ็บ ตาคมกริบราวใบมีดโกนฉายประกายกรุ่นโกรธ คล้ายจะบาดลงให้ลึกกับผิวบอบาง ตามทางที่กวาดมอง ก่อนจะตรึงหน้าเรียวไว้ด้วยมือใหญ่นิ่งแน่น

“ไม่เคยมีใครบอกคุณหรือไงว่าห้ามดูถูกผู้ชาย” เค้นเสียงลอดไรฟัน เห็นดวงตาดำของคนปากดีสั่นระริกหวาดหวั่น เนรัญพึ่งรู้ตัวว่าเธอทำพลาดไป ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีใครบอกหรือไม่รู้แต่โทสะทำให้เธอพลั้งปากหลุดพูดอย่างไม่ตั้งใจ และคล้ายว่าการิมก็คงจะไม่ยอมถูกลบเหลี่ยมฟรี ๆ เหมือนกัน

เรียวปากหนาร้อนฉกวูบลงบนกลีบปากนิ่มบาง บดเคล้าดุเดือดไม่มีความปราณี เขาจะสอนให้ผู้หญิงปากดีไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ที่ริอ่านมาดูถูกได้รับรู้รสซะบ้าง ว่าการกล้าหยามเขามันจะทำให้เธอเจ็บปวดทั้งกายใจมากกว่าเป็นสิบเท่า มือเรียวปัดป้องผลักกายแกร่งพัลวัน หากไม่นำพาให้ร่างหนักหนาของเขาออกห่าง ปากร้อนยิ่งร้อนจัดขึ้นทุกขณะ รุกเร้าดูดดึงกลีบปากบนล่างราวกับจะทำให้เธอสำลักจุมพิตหน่วงหนักให้ได้

สมองร่างกายและหัวใจที่พยายามจะต่อต้านสุดกำลัง หากมีอันต้องอ่อนยวบสิ้นเรี่ยวแรงยามลิ้นสากรุกรานควานหาความหวานดูดดื่มเอาแต่ใจ และเพียงเสี้ยวนาทีต่อมาร่างบางก็ถึงกับกระตุกเฮือก สะท้านเยือกขนบางใสลุกเกรียวกราว ยามรับรู้ว่ามือใหญ่เริ่มล่วงล้ำแทรกผ่านอาภรณ์ เขาลูบคลำสัมผัสเนื้อแท้รุนแรงเร้าร้อน พาดผ่านหน้าท้องแบนสู่ฐานอก ก่อนจะสอดมือร้อนระอุราวไฟเข้าไปในบราเซียตัวน้อยเคล้าคลึงทรวงอกนุ่มหยุ่น

ชายหนุ่มถอนจูบ ยิ้มมุมปากสะใจใส่ตาหวาดผวาชื้นน้ำคลอคลอง ขณะที่มือก็ยังกอบกุมทรงอกเคล้าเล่นไม่ยอมปล่อย ราวกับถูกอกถูกใจเสียเต็มประดา

“ซ่อนรูปน่าดูยายหนูน้อย” กระซิบผะแผ่วข้างใบหูคนที่อยู่เกือบใต้ร่าง แล้วโน้มประพรมจูบแตะแต้มลงตามต้นคอขาวระหง ร่างบางสะท้านเกร็งยะเยือก

“อย่า...อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉะ...ฉันขอโทษ”

“แต่ผมไม่ให้อภัย” เค้นเสียงกระซิบกับปากแดงเจ่อที่สั่นระริก ยกยิ้มมุมปากอีกครา พลางไล่สายตาชื่นชมผิวผุดผ่องอมชมพูระเรื่อ ซึ่งโผล่พ้นจากเสื้อผ้าด้วยฝีมือของเขาเอง

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายายเด็กน้อยคนนี้ จะสร้างความตื่นตัวแห่งบุรุษเพศได้มากเช่นนี้ แถมรสจูบหวานล้ำนัก ราวกับเธอมีแรงดึงดูดให้พิสมัย มันทำให้เขาพึงพอใจกว่าใครเป็นไหน ๆ

“คุณนี่เก่งนะ ทำให้ผู้ชายย่างวัยสามสิบ กระปรี้กระเปร่าเหมือนกับเด็กสิบแปดที่เริ่มริรัก ผมชอบจูบของคุณ” ประโยคท้ายเบาหวิว นัยน์ตาแข็งกร้าวเปลี่ยนเป็นโหยไห้ลุ่มหลง การิมยื่นหน้าประชิดใกล้หวังประกบลิ้มลองรสจูบดูดดื่มอีกครั้ง แต่มือเรียวกับปิดกั้นลงคั่นกลาง

เขาจูบหนัก ๆ กับหลังมือหอม ๆ ของเธอ ก่อนดึงแขนเล็กทั้งสองขึ้นตรึงไว้ชิดประตูรถ อย่างที่หญิงสาวไม่สามารถดิ้นหลุด ประพรมจูบทั่วหน้าใสที่เริ่มแดงปลั่งลามเลียลงถึงลำคอ

“มะ...ไม่...ขอร้องละอย่าทำแบบนี้เลยนะคะ” เนรัญเอี้ยวหน้าหลบ ริมฝีปากหยักลึกที่แต้มกดหนักลงกับผิวเนียน ยอมรับว่าทำให้เธอสยิวซ่าน และระทวยอ่อนจนไม่เหลือเรี่ยวแรงจะหลีกหลบไหวอีกแล้ว “คุณอยากจะให้ฉันทำอะไรฉันยอมหมด แต่ขอร้องอย่ารังแกกันแบบนี้เลยนะ”

“แน่ใจ ?” ชายหนุ่มถามเสียงพร่า พยายามข่มความต้องการของร่างกาย เห็นคนใต้ร่างพยักหน้าสั่นกลัวจริงจัง “ถ้าผมบอกว่าชอบจูบของคุณ แล้วก็ชอบ...” เว้นช่วงพูด เหลือบมองต่ำตรงหน้าอกเต่งตูมที่โผล่โชว์เนินขาววับแวม เนื่องจากเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย การิมปล่อยแขนเล็กให้เป็นอิสระ ยกฝ่ามือของตัวเองข้างที่ได้สัมผัสความนุ่มนิ่มใต้เสื้อผ้าเมื่อครู่ขึ้นดอมดม ก่อนก้มพูดต่อเสียงวาบหวิว “ผมชอบไข่ดาวซ่อนรูปของคุณ จะยอมให้ผมได้จับได้จูบทุกวันไหมละ”

‘ไอ้ลุงลามกเอ้ย !’ คนถูกต่อรองก่นด่าในใจ ขยับตัวหนีทั้งที่จนมุมแทบไม่มีช่องว่างให้เขยื้อนตัวหลบด้วยซ้ำ ดึงเสื้อผ้าที่เปิดโป๊ะโชว์ความเนียนขาวน่าอายให้เข้าที่ กอดตัวเองนั่งก้มหน้าแดงตัวสั่นใจสั่น

“เออ...คะ...คุณ...จะจูบเฉย ๆ ใช่ไหม ?”

“ไม่ใช่ จับด้วย”

เนรัญค้อนประหลับประเหลือกกึ่งกล้ากึ่งกลัว “ตะ...แต่ว่าตอนนั้นที่เราเจอกันครั้งแรก คุณเคยบอกเอง ว่าคุณไม่ชอบ...ไม่ชอบไข่ดาว”

“แต่ตอนนี้ผมชอบแล้ว” คิ้วหนาเลิกสูง “จะเอาไงให้ผมกอดจูบเฉย ๆ ทุกวัน หรือจะให้ผมปล้ำคุณในรถตอนนี้เลย ถ้าผมลงมือคุณก็น่าจะรู้ดี ว่าเอาตัวไม่รอดหรอก”

เธอไม่รู้ว่าอีตาลุงหน้ายาวไปตายอดตายอยากมาจากไหน หรือบางทีอาจแค่อยากจะแกล้งเธอเพื่อความสะใจเท่านั้น หากเวลานี้ก็ต้องยอมตามน้ำพยักหน้าเนือย ๆ เอาตัวรอดไปก่อน และระหว่างที่กำลังจะตกปากรับคำแบบขอไปที ความเย็นวาบก็แล่นริ้วจากปลายเท้าพุ่งสู่ดวงหน้าและขนหัวลุกชูชัน ภาพขาวดำบังเกิดขึ้นภายใต้สมอง บอกว่าเธอและเขากำลังตกอยู่ในอันตราย มีรถยนต์คันสีดำจะขับมาจอดใกล้ ๆ และคนในรถที่เธอมองไม่เห็นหน้าคร่าตาว่าคือใคร จ่อปลายกระบอกปืนมาทางด้านคนขับ

“คุณลงจากรถเร็วเถอะ !” หญิงสาวบอกหน้าตื่นตาตื่น กระชากแขนใหญ่ให้ลงมาทางฝั่งที่เธอนั่ง หากการิมที่ไม่ได้รับรู้ถึงความตื่นตระหนกกับเจ้าหล่อน ยังตีสีหน้าทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

“อย่ามาตลก คิดจะใช้มุขนี้แล้วผมจะยอมปล่อยคุณง่าย ๆ รึไง”

หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู จากที่เธอสัมผัสได้เมื่อสักครู่นี้ บวกกับการเสียเวลาไปกับเขาอีก คาดว่าเหลือเวลาอยู่อีกแค่ประมาณห้าสิบวินาทีเท่านั้น

“อยากจะโดนเป่าหัวก็เชิญนั่งอยู่ในรถไปคนเดียวเถอะ ฉันจะลง ปลดล็อกรถซิคุณ !” มือเรียวสั่นซีดเขย่าประตูรถแรง ๆ อาการประหวั่นพรั่นพรึงมากมาย ทำให้การิมต้องเชื่อ เขาเปิดลิ้นชักตรงคอนโซลหน้ารถควานหาปืนพกคู่ใจ ระหว่างนั้นตาคมกริบที่มองไปยังถนน ก็ถึงกับวาววาบ ยามเห็นรถเก๋งสีดำติดฟิล์มกรองแสงมืดทึบ ไม่ต่างจากรถของเขามาจอดนิ่งเยื้องอยู่ด้านหลัง

และก่อนที่ประตูรถคันดังกล่าวจะเปิดออก การิมก็ควานเจอปืนกำมั่นไว้ในมือ พลางรีบปลดล็อกประตู ดันเนรัญให้ก้าวขาลงจากรถเร็ว ๆ และพาตัวเองก้าวข้ามตามออกมาทางประตูเดียวกัน

เปรี้ยง ! เสียงลั่นไกปืนดังขึ้นนัดแรก ลูกกระสุนพุ่งหากระจกด้านฝั่งคนขับแตกร้าวเป็นรอยวงกลม ก่อนจะตามติดซ้ำเป้าหมายเดิมอีกครั้ง การิมกลืนน้ำลายเอือกโชคดีที่กระจกรถเขากันกระสุน แต่ถ้าหากถูกกระหน่ำยิ่งติดกันหลายนัดจริง ๆ กระจกกันกระสุนก็ไม่แน่ว่าจะเอาอยู่

เขาหันไปสบตาคนตัวเล็กที่นั่งตัวสั่นงันงกหมอบหลบอยู่ข้างรถ เสียงปืนที่ดังอีกหลายครั้งทำคนขวัญผวาตกใจอ้าปากจะกรีดร้อง หากมือใหญ่รวบปิดไว้ได้ก่อนที่เธอจะปล่อยเสียงลอดเล็ดออกมา

“ห้ามร้อง !” เสียงเข้มเครียดกระซิบ เนรัญพยักหน้างึกงัก นัยน์ตาแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงเร็วประดุจจะหลุดออกจากอกให้ได้ เธอขยับตัวลุกยืนตามแรงฉุด “วิ่งไวแค่ไหน ?”

“ฉะ...ฉันเคยเป็นนักวิ่งของโรงเรียนตอนมัธยม...” บอกเสียงสั่นขาดห้วง

“ถ้างั้นก็วิ่งให้เร็วที่สุดในชีวิตคุณเลย พร้อมนะ” เขาพยักหน้าส่งสัญญา มือใหญ่จับมือเล็กกระชับแน่น ขณะที่อีกข้างก็มือปืนสั้นเล็งไปยังร่างสูงชะลูดของชายคนร้าย ซึ่งปกปิดใบหน้าไว้ใต้หน้ากากสีดำ พร้อมหมวกแก๊ปและชุดเสื้อผ้าสีเดียวกันเดินดุ่ม ๆ ตรงมาหยุดยืนอีกฝั่งของตัวรถ

ชายคนร้ายจ้องมองรอยกระสุนตรงกระจก ที่เจาะทะลุเข้าไปไม่สำเร็จอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าเดินอ้อมมาอีกฝั่งซึ่งก่อนหน้านี้การิมและเนรัญหลบอยู่ หากเพราะเสียงฝีเท้าวิ่ง เหยียบกิ่งไม้ใบหญ้าดังหายเข้าไปข้างทาง ซึ่งทึบหนาไปด้วยต้นไม้ ชายคนร้ายจึงยิ่งปืนไล่หลังตามไปอีกสองนัดติด

การิมดึงเนรัญให้เข้ามาหลบตรงต้นไม้ที่คิดว่าใหญ่มากพอจะเป็นกำบังให้พวกเขาได้ แกมผลักร่างบางให้ไปอยู่ด้านหลังตัวเอง ก่อนจะเหนี่ยวไกปืนยิงสวนกลับ ชายคนร้ายรีบหลบอยู่หลังต้นไม้อีกต้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว ทั้งสองฝ่ายกราดยิ่งรัวไม่ยั้ง กระสุนวิ่งสวนทางกันไปมาฉิวเฉียดข้างกายเย็นวาบไปหมด การิมฟังจากเสียงลูกกระสุนที่กระทบต้นไม้เสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้คนที่ชอบการยิงปืนเป็นกีฬาและงานอดิเรก รับรู้ได้ดีว่าชายคนร้ายถ้าเทียบขั้นยิ่งปืนกับเขายังอ่อนอยู่ คราวนี้ชายหนุ่มเล็งปืนแน่วแน่หวังให้เจาะหน้าผากที่ผงกโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ให้ดับคาที่

เนรัญยืนเบียดตัวชิดอยู่ด้านหลังกว้างซึ่งยามนี้เป็นสิ่งเดียวที่เปรียบดังกำแพงป้องกันความปลอดภัยที่ดีที่สุด ทว่าความรู้สึกจากลมเย็นที่วิ่งฉิวอยู่เหนือศีรษะ หญิงสาวจึงต้องยกมือป้องไว้

“โอ้ย !” เนรัญอุทานลั่น เจ็บแปลบและแสบตรงหลังมือข้างขวา การิมหันมองตามเสียงโอดครวญของคนตัวเล็กทันควัน กระสุนปืนของคนร้ายถากหนังกำพร้าหลังมือเรียวเลือดกระเสน แม้แผลถูกยิงไม่ได้น่ากลัวและไกลหัวใจ แต่เลือดแดงฉานทั้งยังใบหน้าสวยซีดเซียวราวจะล้มทรุด สร้างความรู้สึกผิดในใจให้เกิดขึ้นกับชายหนุ่มมากยิ่ง

และแปลกที่อีกฝ่ายเมื่อได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดของหญิงสาว เขาก็หยุดยิงโต้ตอบลงทันทีเหมือนกัน เนรัญมองผ่านไหล่กว้างของการิม แวบหนึ่งแววตาจากชายใต้หน้ากากดำประสานแน่นิ่งกับดวงตากลมสั่นระริกราวอย่างจะหยั่งลึก แม้เธอไม่อาจเห็นอารมณ์ที่ซุกซ่อนใต้หน้ากากได้ท่องแท้ แต่รับรู้ถึงความเคียดแค้นในแววตาคู่นั้นว่ากำลังอ่อนลง คล้ายกำลังเสียใจและกล่าวคำว่า ‘ขอโทษ’ ให้แก่เธอ

ระหว่างนั้นเองที่กระสุนนัดสุดท้ายของการิมพุ่งไปเจาะเข้ากับต้นแขนอีกฝ่าย เสียงครางต่ำในลำคอบอกความเจ็บปวดที่พยายามข่ม แล้วร่างสูงของชายคนร้ายก็ล่าถอยหลบฉากตามสุมทุมพุ่มไม้หายไป ชายหญิงหันมองสบตากัน ก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังไกล ๆ อีกสี่นัดบริเวณใกล้กับที่รถของพวกเขาจอดอยู่

ชายหนุ่มถอนหายใจหากยังไม่โล่งอก เสียงปืนที่ดังขึ้นเมื่อสักครู่เดาว่าคนปองร้ายคงจะยิงยางรถเพื่อไม่ให้ขับหนี หรือขับตามไปลากคอมันได้ทัน การิมก้มมองร่างบางที่ทรุดนั่งตัวงอกุมมือข้างที่ถูกยิงอยู่ตรงพุ่มกลุ่มหญ้า เขาย่อกายสูงลงนั่งข้าง หากสายตาคอยระแวดระวังรอบกายอย่างไม่ไว้วางใจ

“เจ็บมากไหม ? ผมขอโทษ” คำกล่าวของเขากลั่นออกมาจากก้นบึ้งความรู้สึก ไม่ได้มีวี่แววความเสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด เธอต้องมาเสี่ยงชีวิตและเจ็บตัวก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุ “เรายังออกไปตอนนี้ไม่ได้ ผมกลัวว่ามันจะไม่ได้มีแค่คนเดียว ผมว่าเราสองคนคงต้องหาที่หลบก่อน แล้วผมจะติดต่อมาร์คให้มารับพวกเราออกไปจะปลอดภัยกว่า”

เรียวหน้าไร้สีเลือดพยักรับเนือย ๆ ลุกขึ้นยืนช้า ๆ ตามอ้อมประคองของคนสูงโปร่ง ทั้งสองพากันเดินเข้าไปด้านในป่าลึกอีกนิด เพื่อหาที่ปลอดภัยกว่านี้ ระหว่างนั้นการิมก็คลำหาโทรศัพท์มือถือของตัวเองตามกระเป๋ากางเกงและเสื้อสูทราคาแพง ถือว่าโชคยังเข้าข้างอยู่บ้างที่โทรศัพท์มือถือของเขาเก็บไว้ในกระเป๋าด้านในเสื้อสูท และไม่ล่วงตกหายไประหว่างทางวิ่งหนี ใช้เวลาอยู่เป็นพักใหญ่กว่าจะพอมีสัญญาณให้ติดต่อคนสนิทได้ การิมขอให้มาร์คพาบอดี้การ์ดมารับเขาและเนรัญ พร้อมทั้งแจ้งความกับตำรวจช่วยมาเก็บหลักฐานเพื่อดำเนินคดีในที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด จะต้องรู้ให้ได้ว่าใครกันที่อยากจะได้ชีวิตเขามากมายขนาดนี้ และรับรองถ้ารู้ความจริงกระจ่างเมื่อไหร่ บุคคลผู้นั้นจะต้องลงนรกไปก่อนเขาแน่

“มาร์คกำลังพาคนมารับเรา ตอนนี้ผมจะพาคุณไปล้างแผลก่อนนะ” ชายหนุ่มบอกเสียงอ่อนโยน รวมทั้งแววตาของเขายามนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับคนทะลึ่งกรุ้มกริ่มอย่างที่เนรัญเคยเห็น

ในป่าลึกเข้ามาอีกนิด มีลำธารเล็ก ๆ ที่ไหลลงมาจากภูเขาสูง การิมพาร่างบางที่เดินแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงไปยวบตัวลงนั่งตรงโขดหิน ถอดเสื้อสูทโยนทิ้งไว้ข้างกายเธอ แล้วพับแขนเสื้อเชิ้ตสีครีมทั้งสองข้างขึ้นลวก ๆ เดินลงไปยืนในน้ำลำธาร ลองน้ำใส่มือใหญ่มาล้างคราบเลือดที่เหนียวเหนอะเปื้อนเปรอะหลังมือหญิงสาวออก

“อุ้ย ! แสบ” คนเจ็บนิ่วหน้ารั้งมือกลับ แต่การิมก็ยังกุมไว้ไม่ปล่อย นัยน์ตาสีเทาเริ่มผ่อนคลายและมีรอยยิ้ม

“มือสวย ๆ ของคุณต้องเป็นรอยแผลเป็นแน่เลย” น้ำเสียงฟังอาทรห่วงใย คงเป็นเพราะเหตุจากเขากระมัง ถึงได้รู้สึกผิดกับแผลเป็นที่จะต้องติดตัวไปกับเธอตลอดชีวิต เขาปลดเนคไทออกจากต้นคอ นำมาพันรอบมือเรียวที่ยังมีเลือดซึม ผูกหลวม ๆ อย่างเบาและทะนุถนอมสุดความสามารถ

“ขอบคุณค่ะ” ดวงหน้าแดงก่ำกับร่องรอยในแววตาหวาดกลัวยังไม่จางหาย ช้อนมองหน้าคมคายหล่อเหลา ถ้าเขาจะเป็นสุภาพบุรุษอ่อนโยนแบบนี้ไปตลอด เธอก็ยอมรับว่ามันดูดีเข้ากับหน้าตาและฐานะของเขามากมาย และ...ถ้าเขาไม่คิดทะลึ่งกับเธอด้วยแล้วละก็ ความหล่อดูดีจะเพิ่มพูนอีกมากโข

ร่างโปร่งสูงหย่อนตัวลงนั่งข้างหญิงสาว วาดมือมาโอบไหล่บางดึงเข้าหาตัว เนรัญขืนตัวกลับ หากการิมคนเดิมเข้าสิงสุภาพบุรุษก่อนหน้านี้เสียแล้ว ถึงแม้ว่าเสียงที่เขากล่าวออกมาจะไม่เข้มห้วน แต่ทว่าก็ยังฟังเป็นเชิงคำข่มขู่อยู่ดี

“อย่าหนีไปไหนละ ผมก็แค่จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น อยู่ในอ้อมกอดผมปลอดภัยจากลูกกระสุนปืนนะรู้ไหม”

“ปลอดภัยบ้าอะไรละ ฉันเกือบตายก็เพราะได้มารู้จักกับคุณนี่แหละ” เธอพยายามจะตวาดหากเสียงยังคงสั่นเครือ

ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ กระชับร่างบางกอดแน่นขึ้นอีก ก้มหน้าถามกับเสี้ยวแก้มเนียน “แต่ตรงกันข้ามกับผม ที่ผมปลอดภัยไม่ตายก็เพราะได้มารู้จักกับคนมีสัมผัสพิเศษอย่างคุณ ว่าแต่คุณมีสัมผัสพิเศษแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเหรอ”

คนถูกถามเม้มปากแน่น เงียบไปพักกว่าจะตอบเสียงเบาอุบอิบ “ไม่หรอก ฉันพึ่งเป็นก็ตอนที่เจอกับคุณครั้งแรก”

การิมฉีกยิ้มกว้าง รู้สึกอิ่มใจกับคำตอบอย่างบอกไม่ถูก “งั้นก็พรหมลิขิตซินะ เข้าท่าดี”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++




กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2555, 20:08:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2555, 20:08:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 1417





<< ตอนที่ 2 พระพรหมสีชมพู   ตอนที่ 5 พระพรหมสีชมพู >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account