พระพรหมสีชมพู
เรื่องพระพรหมสีชมพู เรื่องล่าสุดที่แต่งขึ้นจากจินตนาการ

จะมีประเทศที่ติ๊ต่างขึ้นมาเองนะคะ ผู้แต่งให้ชื่อว่าประเทศกรีนนา

...เป็นเรื่องของสาวน้อยคนไทยที่ไปตามหาพี่ชายต่างสายเลือดที่เธอรักและหวงแหนมาก พอพี่ชายจะไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่นเธอเลยยอมไม่ได้ ความบังเอิญจากอุบัติเหตุทำให้เธอเจอกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นถึงลูกชายประธานาธิบดีแห่งกรีนนา ที่ถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ซึ่งคู่หมั้นของหล่อนก็คือพี่ชายต่างสายเลือดของแม่สาวน้อยคนไทยนี่เอง

เธอถูกจับมาเป็นตัวประกันชั่วคราวของเขา และอะไรไม่ซวยเท่ากับการที่จู่ ๆ เธอก็เกิดสัมผัสพิเศษสามารถเห็นเหตุการณ์อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ได้ล่วงหน้าเหตุการณ์จริง 1 นาที จากแค่ตัวประกัน เลยกลับกลายเป็นต้องอยู่คอยคุ้มภัยเขาราวผูกตัวติดกันซะอย่างนั้น...

..."เมื่อพี่ชายของคุณเป็นคนทำให้ผมถูกปฏิเสธการขอแต่งงาน คนที่น่าจะรับผิดชอบเรื่องนี้ก็เห็นที่ว่าคงต้องเป็นคุณซะแล้วแหละ แม่หนูน้อยหมวกแดง"

..."ไม่เอา...ปล่อยฉันนะ อีตาเฒ่าทารก"

..."ภายในสองเดือน ถ้าคุณทำให้พี่ชายของคุณถอนหมั้นกับแจนได้ ผมจะปล่อยคุณไป"

Tags: น่ารัก+บู๊เล็ก ๆ

ตอน: ตอนที่ 5 พระพรหมสีชมพู

ตอนที่ 5

เวลาผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมงกับการนั่งรอให้ใครมารับกลับออกไป ยามนี้รอบด้านมีเพียงความเงียบสงัด ไอเย็นชุ่มชื้นจากผืนดิน ต้นไม้และธารน้ำเท่านั้นที่สัมผัสได้ชัดเจน คนตัวเล็กหลับตาพริ้มซบพิงอยู่ไหล่กว้าง โดยมีเสื้อสูทสีเข้มตัวหนาใหญ่คลุมกายให้พ้นจากยุงริ้นไรอีกทางหนึ่ง การิมส่ายตาคมกริบมองรอบ ๆ เขายังไม่กล้าคิดว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่แม้เมื่อก้มมองร่างบอบบาง เสี้ยวหน้าหวานเนียนของแม่หนูน้อยที่หลับลงด้วยความอ่อนล้า แนบชิดอยู่ข้างกายทีไร กลับเรียกความมั่นใจและรู้สึกว่าพวกเขาปลอดภัยขึ้นมาครามครัน นึกขอบใจความบังเอิญที่ได้มาพบเจอเธอ ซึ่งทำให้เขามีลมหายใจได้จนนาทีนี้

เสียงฟ้าที่จู่ ๆ ก็ร้องคำราม ทำคนที่หลับอยู่ผวาตกใจตื่น ปรือตามองเจ้าของผิวกายและอ้อมแขนอุ่นแวบหนึ่ง ก่อนเงยหน้าดูท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี ก้อนเมฆไหลรวมกันก่อตัวมืดดำรวดเร็ว ทำให้บรรยากาศยิ่งอึมครึมน่ากลัว การิมจ้องมองคนที่พึ่งตื่นมาก็ทำหน้าเหลอหลาตกตื่น ทว่าแม้เธอจะอยู่ในอิริยาบถหรืออารมณ์แบบใด ความน่ารักก็คงส่งประกายเจิดจ้า ไม่มีลดน้อยถอยลงเลย เขาตรึงสายตาคมกริบอยู่กับอากัปกิริยาคนตัวเล็กไม่วาง จนกระทั่งเธอหันมาประสานตาจ้องปริบ ๆ

‘เอาละหว่า หัวใจของเขาเต้นแรงพิลึก ตลกแล้วซิ ดูยังไงเธอก็ยังเด็กอยู่น่า’

“ตื่นก็ดีแล้ว ดูท่าฝนจะตกหนักเลยละ ไม่รู้จะตกทำไมทุกวี่ทุกวันซิน่า” เขาบ่น เสมองท้องฟ้าอากาศแทนหน้าสวยใส

เนรัญผละตัวออกห่างช้า ๆ เหลือบมองความอุ่นที่ปกคลุมอยู่ตรงแผ่นหลัง จึงได้รู้ว่าเขาเอาเสื้อสูทมาคลุมไว้ให้ซึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหันมาถามชายหนุ่มเสียงเนิบเนือย

“แล้วคุณมาร์คละคะ ยังไม่มารับพวกเราอีกเหรอ ?”

“น่าจะใกล้ถึงแล้วแหละ แต่ว่าฝนกำลังจะตกด้วยซิ ไม่รู้มาร์คจะมารับเราออกไปทันก่อนค่ำไหม” เขาเงยมองกลุ่มเมฆดำที่จับตัวปกคลุมเกือบเต็มแผ่นฟ้าอีกครา ก่อนก้มมองหญิงสาวซึ่งนั่งหอบมือข้างที่เจ็บไว้แนบอก โอบเอวคอดช่วยประคองเธอให้ลุกยืนช้า ๆ พลางบุ้ยใบ้ปากไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านใบทึบหนา มากพอจะให้เขาสองคนหลบจากสายฝนอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า “ไปนั่งตรงโน้นดีกว่า ตรงนี้ดูแล้วจะหลบไม่พ้นฝน”

ใต้ต้นไม้ยืนต้นสูงแทบไม่เห็นยอดใบ บวกกับบรรยากาศครึ้มฟ้ามัวดิน เวลาบ่ายเลยคล้ายกับย่ำค่ำ มือใหญ่หักกิ่งไม้ที่มีใบไม้ใบใหญ่ ติดมือมาหลายกิ่ง เขาวางลงกับโคนต้นไม้สูงที่เดินมาหยุดถึง เนรัญยืนมองชายหนุ่มปูใบไม้ตาปริบ ๆ คิดว่าคงจะใช้สำหรับนั่ง หากก็ต้องนึกแปลกใจและตำหนิเสียไม่ได้ ที่เห็นว่าเขาคล้ายนกน้อยทำรังแต่พอตัว ที่นั่งที่ปูอย่างดีแค่เขานั่งเพียงคนเดียวก็เต็มหมดแล้ว

การิมกวักมือเรียกคนที่ยืนมองงวยงงให้มาใกล้ พอเธอเดินเข้ามายืนข้าง ๆ เขาก็รั้งเอวคอดทำทีเหมือนจะให้เธอนั่งลงตาม ทว่าหญิงสาวขืนตัวกลับแข็งทื่อ ยืนค้อนคนตัวใหญ่ที่นั่งขัดสมาธิลงเรียบร้อยแล้ว

“นั่งคนเดียวตามสบายเถอะค่ะ ยังกับตัวคุณเล็กมากนักนี่ ถึงจะให้ฉันลงไปนั่งเบียดด้วยได้”

เขายิ้มกริ่ม “ใครบอกให้คุณมานั่งเบียดผมกันละ ผมจะให้คุณนั่งตรงตักนี้ต่างหาก” ตบฝ่ามือลงกับต้นขาตัวเอง

หญิงสาวพวงแก้มร้อนผ่าว สะบัดหน้าพรืดหลบสายตาเจ้าเล่ห์ระคนขันที่จ้องมา พูดปฏิเสธคำเดียวสั้นห้วน “ไม่ !”

คนนั่งขัดสมาธิฉวยมือเล็กข้างที่เจ็บไปกุมไว้ ไม่ต้องใช้การกระทำที่รุนแรง หากสายตาคมเฉียบและคำพูดที่เปล่งออกมามากเล่ห์ ทำคนฟังลอบกลืนน้ำลาย

“บรรยากาศฝนใกล้ตกแบบนี้โรแมนติกเป็นบ้าคุณว่าไหม ? ยิ่งมือคุณเจ็บ ข้าวก็ไม่ได้กิน เชื่อได้เลยว่าตอนนี้มดตัวเล็ก ๆ ยังมีแรงเยอะกว่าคุณอีก” เนรัญตวัดหางตามอง ทว่าดวงตาคู่สีเทากลับทรงพลังอำนาจน่ากลัวกว่า เธอเลยยืนนิ่งค้อนประหลับประเหลือก ฟังเขาพูดต่อ “จะยอมนั่งตักผมง่าย ๆ โดยไม่ต้องเสียพลังงาน หรือว่าจะให้ผมปล้ำ แล้วคุณอาจจะคลานกลับบ้านไม่ไหว”

ปากเล็กอ้าค้างขยายตาโตกับคำขู่ เธอไม่ได้อยากจะเลือกสักข้อที่เขาพูดมาเลยให้ตาย แต่ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ บอกให้รู้ว่าคนเอาแต่ใจอย่างการิม ถ้าทำให้เขาโกรธแล้วละก็ ตัวเธอเองนี่แหละจะไม่รอด

“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมผู้ชายแก่ ๆ อย่างคุณถึงได้ทะลึ่ง โรคจิต ชอบรังแกผู้หญิงแบบนี้นะ” พูดกระฟัดกระเฟียด หากก็ต้องยอมยวบตัวลงนั่งซ้อนบนตักใหญ่อย่างไม่เต็มใจ นึกอยากจะกระแทกตัวลงนั่งแรง ๆ ให้แข้งขาเขาหักไปซะเลย แต่ความตัวเล็กหุ่นบางไม่มีทางทำให้คนตัวใหญ่กว่าสะทกสะท้านหรอก

การิมยิ้มรับคำพ้อ พลางวาดสองแขนมาโอบเอวคอดหมับ ดึงให้หลังบอบบางพิงกับอกแกร่ง ได้ยินเสียงหัวใจคนในอ้อมกอดเต้นแรงไม่ต่างจากเขา แถมเธอยังนั่งตัวเกร็งราวกับหุ่นยนต์ก็ไม่ปาน

เขาสูดกลิ่นเรือนผมหอมตามอำเภอใจ ก่อนกระซิบเสียงเข้ม “ได้นั่งโซฟาชั้นดี ทั้งหล่อทั้งนุ่มอย่างผม ยังจะมาบ่นอีก โซฟายี่ห้อการิมหาซื้อไม่ได้ด้วยเงินหรอกนะครับ” แม้ขณะพูดแขนแกร่งก็พยายามกอดร่างบางให้แน่นขึ้น เพราะไม่อยากให้เธอกระดุกกระดิกกายไปมากกว่านี้ เธอคงไม่รู้หรอกว่าการที่ดิ้นขลุกขลักไปมา มันทำให้ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาตอบรับ “อยู่นิ่ง ๆ ได้ไหม เดี๋ยวผมก็ทนไม่ไหวหรอก”

“ก็คุณกอดฉันทำไมละ ฉันก็นั่งไม่ถนัดนะซิ” เนรัญโต้กลับไว

“แต่ถ้าคุณขืนยังขยับอีกแค่นิดเดียว ผมจะข่มอารมณ์หื่นของตัวเองไว้ไม่ไหวแล้วนะ” เค้นเสียงข่มอารมณ์พลุ่งพล่าน คิดผิดหรือคิดถูกที่อยากจะให้ยายเปี๊ยกมานั่งตัก เพื่อหวังแค่ได้กอด ได้สูดกลิ่นกายหอม ๆ ให้คลายความหิวลงเท่านั้น พอเธอมานั่งจริง ๆ กลายเป็นว่าเธอจะทำให้เขาหิวมากขึ้นกว่าเดิม และอยากจะกินเธอแทนอาหารมื้อกลางวันไปเลยทั้งตัว

คนตัวเล็กบนตัก นั่งเกร็งตัวแข็งในบัดดล กลั้นหายใจชั่วขณะ และด้วยนั่งซ้อนบนกายใหญ่ พอเสียงท้องร้องประท้วงความหิวจากเขาดังเบา ๆ ก็ทำให้เนรัญได้ยินถนัดถนี่ เธอหันมองหน้าพ่อโซฟาคุณภาพดี ที่แสนน่าหมั่นไส้แวบหนึ่ง ก่อนถามย้ำความแน่ใจ

“เสียงท้องคุณร้องเหรอ ?”

“อืม...ก็ผมหิว คุณละหิวไหม ?” ชายหนุ่มมองเรือนผมสลวยขยับขึ้นลงช้า ๆ เป็นการตอบรับ คนเจ้าเล่ห์เลยนึกอยากจะแกล้ง ปากหนาที่อยู่ไม่ห่างแก้มใสกระซิบกระซาบเสียงกระเส่าว่า “งั้นเรามาหาอะไรทำแก้หิวไหม รับรองวิธีที่ผมจะเสนอ ทำให้เราสองคนอิ่มแทนข้าวจนพุงกางเลยแหละ เอาไหม ?”

“วิธีอะไรของคุณ”

เขายิ้มพราว “ก็มีเซ็กส์ไง มีเซ็กส์ทำให้อิ่มท้องไม่รู้รึไงแม่หนูน้อย ถ้ายังไม่เคยก็ลองกับผมสักมื้อไหมละ บางทีอาจจะอร่อยจนคุณติดใจเลยก็ได้นะ” เขาว่าพลางระดมจูบซอกคอระหง คนที่สต๊าฟตัวแข็งทื่อเมื่อครู่เกิดความซ่านสยิวขนลุกเกรียว เลยจำต้องดิ้นเอี้ยวตัวหลบ ปากก็ต่อว่าเสียงสั่นระรัว

“หยุด...หยุดเดี๋ยวนี้นะ....คนโรคจิต คุณนี่เป็นพวกบ้ากามหรือไง เวลาอย่างนี้ยังคิดมีอารมณ์อย่างว่าได้อีก” เธอหลับหูหลับตาฟาดมือข้างซ้ายที่ใช้งานไม่ค่อยถนัดนักไปทั่วกายแกร่ง “ถ้าผู้ร้ายคนนั้นกลับมาอีก คราวนี้ฉันจะให้เขายิงสมองคุณกระจุยเลยค่อยดูซิ จะได้เลิกทำตัวบ้ากามกับฉันสักที” เสียงแวด ๆ ของเธอทำให้การิมปล่อยเสียงหัวเราะคึกคัก ก่อนที่เขาจะทิ้งตัวลงนอนยาวหลบฝ่ามือเล็กที่พุ่งเข้าหาสะเปะสะปะ พร้อมกันนั้นก็ดึงร่างคนโกรธฮึดฮัดให้ล้มลงตาม

ร่างบางนุ่มนิ่มนอนทาบทับอยู่เหนือกายเขา ปลายจมูกแหลมที่ชนกันรดรินลมหายใจร้อนจนรู้สึกได้ ตาคมกริบเต้นเป็นมันระยับตรึงนิ่งกับดวงตาวาววับคู่สวย หัวใจชายหนุ่มเต้นร้องโครมครามครั้งใหญ่อีกระลอก ยายเปี๊ยกหน้าใสกำลังจะทำให้เขาคลั่ง

การิมสอดมือใหญ่เข้ากับท้ายทอยทุยสวย รั้งลงมาหากลีบปากหนาหยักลึกซึ่งร้อนระอุไปด้วยไฟในกายชาย เขาขบเม้มเรียวปากบางอย่างซ่านรัญจวนใจ เรียกให้อีกฝ่ายเคลิบเคลิ้มหวามไหวไปพร้อมกัน แทบไม่อยากถอนจูบให้ปากนิ่ม ๆ ได้เป็นอิสระเลย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมทอดถอนออกอย่างอ้อยอิ่ง นัยน์ตาหวานฉ่ำมองเรียวปากแดงซ้ำอย่างแสนเสียดาย เห็นดวงหน้าแม่สาวน้อยมีรอยเขินอายฝาดสีระเรื่อ

เขากระซิบเสียงพร่าแทบเรียวปากเล็ก “คุณจะทนเห็นผมตายต่อหน้าต่อตาได้จริง ๆ เหรอ ผู้ชายที่มอบจุมพิตแรกให้แก่คุณ แน่ใจเหรอว่าจะไม่เสียดายถ้าผมตาย”

เนรัญหลุบตาหลบจากสายตาหยาดเยิ้มของคนตัวใหญ่ใต้ร่าง ลมหายใจร้อนของเขายังเป่ารดพวงแก้มใกล้ ๆ “อย่ามาหลงตัวเองหน่อยเลย คุณไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่เคยจูบฉันสักหน่อย”

“คุณนั่นแหละอย่ามาโกหกให้ยากเลย ตัวเย็นปากเย็นขนาดนี้ แถมใช้ลิ้นก็ไม่เป็น มีเรอะผมจะเชื่อว่าคุณเคยจูบกับคนอื่นมาก่อน” แก้มใสสุกปลั่งจนแทบจะแตก อายมากอยากจะลุกวิ่งหนีไปไกล ๆ แต่แขนแกร่งยังไม่ยอมปลดปล่อยอ้อมกอดสักที สองร่างนอนทาบทับกันนิ่งเงียบไปอึดใจ ก่อนเนรัญจะหันมาประสานสายตาสุกสกาว ยามได้ยินเสียงนุ่มแปร่งปร่าริมใบหู “ผมกลัวจังเลย...กลัวว่าถ้าอยู่ใกล้กันทุกวันแบบนี้ ผมจะอดทนกับความน่ารักของคุณไม่ไหว”


หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอที่ร้อนผ่าว รู้แล้วว่าทำไมจารินรัตน์ถึงเลือกพี่ชายของเธอ แทนที่จะเลือกไอ้ลุงหน้าหล่อ คุณปู่รวยคนนี้ เพราะนิสัยที่อยู่ใกล้หญิงใดไม่ได้ เป็นต้องเผลอใจง่ายไม่ทั่วเช่นนี้กระมัง ทำให้หล่อนไม่อยากจะฝากชีวิตไว้ด้วย

“พูดอะไรของคุณ ฉันไม่ใช่ยายแจนนะ”

วินาทีนั้นหน้าคมคายชาวาบ ราวกับถูกลมเย็นจากที่ไหนกระทบเต็มแรง เหมือนเสียงเล็ก ๆ ของเนรัญเรียกให้เขาตื่นจากฝัน ก่อนจะรู้สึกถึงสายลมจริง ๆ พัดกรูเกรียวผ่านกายระลอกใหญ่ พร้อม ๆ กับสายฝนโปรยปราย

ครืน ครืน ! คนที่กลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผวากอดคนตัวใหญ่ใต้ร่างแน่น ซุกหน้าหลบสายฟ้าที่เปล่งประกายแปลบปลาบ อยู่กับช่วงซอกคอและไหล่กว้าง

“มะ...เมื่อไหร่ เมื่อไหร่คุณมาร์คจะมารับพวกเราสักที” เนรัญถามเสียงเบาหวิว ทั้งยังนอนตัวสั่นงันงกทาบอยู่ด้านบน ให้แขนแข็งแรงกระชับกอดไม่ขยับเขยื้อน

“ทำไม ? คุณกลัวเสียงฟ้าร้องมากเหรอ”

“อืม...กลัว กลัวฟ้าผ่าด้วย”

“ผมมีวิธีแก้” เขายิ้มเย็น ยามนี้อยากจะปัดเรื่องอื่นรวมถึงผู้หญิงคนอื่นไม่เว้นแม้แต่จารินรัตน์ทิ้งไปให้หมด เพราะเขารู้สึกมีความสุขพิกลที่ได้แกล้งเนรัญ ชายหนุ่มพลิกกายขึ้นเร็ว ๆ หมุนคร่อมให้ร่างบางไปอยู่ด้านล่างแทน ส่งประกายตาวาบวาวราวสัตว์ป่า กระซิบเบาหวิวประโยคคล้าย ๆ เดิมที่ทำคนฟังหัวใจหวามหวิว “เซ็กส์ช่วยคุณได้ ลองสักหน่อยเถอะน่าแม่หนูน้อยหมวกแดง...”

“ว้า...ว้าย ! ไม่...อีลุงลามก ไอ้โรคจิต...ผิดสัญญาคิดจะล่วงเกินฉันมากกว่าจูบเหรอ” คำที่หลุดจากปากเล็กออกไปรัวเร็ว ทำการิมชะงักกึก

“สัญญา !” คิ้วหนาเลิกสูง ก่อนคลี่ยิ้มพราย “สัญญาที่ว่าคือ...กอด จับ จูบคุณได้ทุกวันนะเหรอ คุณเรียกมันว่าสัญญาเองนะ ถ้าอย่างนั้นอย่าลืมทำตามสัญญาซะละ”

เนรัญเผยอปากค้าง อยากจะกัดลิ้นตัวเองตาย ทำไมพูดออกไปให้เขาคิดเป็นแบบนั้นได้นะ บ้าจริง !

และระหว่างที่หญิงสาวหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ ก็ปรากฏกลุ่มแสงไฟสีส้มสว่างจ้า ที่พร้อมใจกันสาดส่องมาทางสองร่างที่คร่อมกันอยู่ ทั้งคู่หรี่ตาหันมองไปตามแสงไฟนั้นก็พบว่ามาร์คพาบอดี้การ์ดและตำรวจมาตามหา ซึ่งมีมากหลายคนอยู่ เนรัญแก้มแดงอับอายกับสายตาหลายคู่ที่จ้องตะลึงมาทางเธอกับการิม ในขณะที่ชายหนุ่มส่งยิ้มหน้าตาเฉย พูดทักทายน้ำเสียงแสนธรรมดา

“มาร์ค...นั่นนายเองเหรอ มาขัดจังหวะชะมัด”

++++++++++++++++++++

เช้าวันถัดมาบนโต๊ะอาหารชั้นสามของการิม

“ไม่พบรอยนิ้วมือ ยิ่งคราบเลือดไม่ถามถึงเลยครับเพราะเมื่อคืนฝนตกหนักมาก ตำรวจเจอแต่ปลอกกับลูกกระสุนในที่เกิดเหตุครับ รู้สึกจะเป็นจุดสามแปดซุปเปอร์” คนสนิทรายงาน จากที่เมื่อวานทางตำรวจและคนของเขาได้ไปช่วยกันเก็บหลักฐานซึ่งหวังว่าคนร้ายจะทิ้งอะไรไว้ให้สาวถึงตัวมากกว่านี้ แต่เหมือนว่าทางคนร้ายจะละเอียดรอบคอบวางแผนการยิงครั้งนี้ไว้หมดแล้ว ถ้าไม่ติดว่าถูกการิมยิงจนได้รับบาดเจ็บ บางทีคนร้ายคนนั้นอาจจะไม่คิดปล่อยให้การิมรอดไปง่าย ๆ แน่

“ลูกกระสุน...แต่ก็ไม่รู้ว่ามันถูกยิงมาจากกระบอกไหนของใครใช่ไหม” เจ้านายถามเสียงฉุนหงุดหงิด “หลักฐานแค่นี้จะมีประโยชน์อะไร ลูกกระสุนชนิดนี้ใคร ๆ ก็ซื้อใช้ได้กันทั้งนั้น ประชากรกรีนนามีกี่แสนคน ป่านนี้ไอ้มือปืนรับจ้างนั่นก็คงจะหัวเราะเยาะเราสะใจไปแล้ว”

“ครับ ที่คุณฌานพูดก็ถูก แต่ว่าคุณฌานคงไม่ได้คิดถึงคนไกลตัวหรอกใช่ไหมละครับ” มาร์คถามกลับน้ำเสียงปกติดังเดิม หน้าตาการิมบอกบุญไม่รับหัวคิ้วชนกันขมวดแน่นใช่ว่าคนสนิทจะดูไม่รู้ เจ้านายของเขาไม่ได้แค่โกรธแต่กำลังใช้ความคิด และเขาก็รู้อีกว่าเจ้านายเพ่งเล็งตัวบงการฆ่าไปยังใครเป็นสำคัญ

“ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าฝีมือใคร แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย แถมตอนนี้ยายแม่เลี้ยงตัวร้ายยังไปช้อปปิ้งที่ฝรั่งเศสกับพ่อเราหน้าตาเฉย คงนึกว่าเราตายห่าไปแล้วละมั้ง” การิมกัดกรามแน่นตาวาวโรจน์ คิดถึงโรสลีนาผู้เป็นมารดาเลี้ยงยิ่งโทสะพุ่งพรวด มือใหญ่ปัดถ้วยกาแฟบนโต๊ะแรงเร็วตามอารมณ์โกรธา ตกแตกกระจัดกระจายเต็มพื้นห้อง

คนสนิทแม้จะตกใจอยู่บ้างแต่ก็พอเข้าใจอารมณ์ของเจ้านายในเวลานี้ดี หากแต่คนตัวเล็กอย่างเนรัญที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเช้าด้วยนะซิกลัวจนตัวลีบ เธอกุมสองมือสั่น ๆ เหงื่อแตกพลักของตัวเองไว้แน่น เพราะตั้งแต่เมื่อคืนแล้วที่เธอเห็นคนโกรธอารมณ์ร้ายออกฤทธิ์ออกเดชลั่นบ้าน อะไรขวางหูขวางตาปาทิ้งได้เป็นปา เตะได้เป็นเตะไปหมด เมื่อคืนตอนการิมกลับมาถึงตึกขาว ก็เรียกทุกคนในบ้านมาตะคอกถามหาโรสลีนา แต่คำตอบที่ได้คือหล่อนไปฝรั่งเศสกับบิดาของเขาตั้งแต่สายของวันแล้ว ทำให้เขายิ่งโมโหจัด คิดว่ามารดาเลี้ยงเป็นคนวางแผนฆ่าแล้วทำเนียน เสมือนหล่อนไม่รู้ไม่เห็นแถมยังมีสักขีพยานเป็นถึงประธานาธิบดี ที่ทำตัวติดกันยี่สิบสี่ชั่วโมง และยิ่งบิดาของเขารู้เรื่องนี้ คนที่ห่วงหน้าตาและศักดิ์ศรีอย่างท่านไม่มีทางให้เรื่องเลวร้ายกระทบกระเทือนต่อตำแหน่งหน้าที่ทางการเมืองเป็นแน่

“เออ...คุณมาร์คครับ เมื่อเช้ามืดท่านประธานาธิบดีโทร.มาบอกให้เก็บเรื่องนี้เงียบครับ มีอะไรให้คนของเราสืบกันเอง”

“แล้วพ่อเรารู้ได้ยังไง ว่าเกิดอะไรขึ้น”

“สงสัยว่าผู้ช่วยเลขาของท่านจะได้รับแจ้งจากตำรวจ แล้วคงโทร.ไปรายงานความเคลื่อนไหวให้ท่านทราบ”

“รู้ว่าเรากับยายแม่เลี้ยงนั่นมีเรื่องกัน ก็เลยกลัวว่าถ้าเรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ออกไปจะไม่มีใครนับหน้าถือตาพ่อนะซิ ใคร ๆ คงได้เอาไปลือกันทั้งประเทศว่าขนาดครอบครัวเล็ก ๆ ยังปกครองไม่ได้ นับประสาอะไรจะปกครองบ้านเมือง” เขาเค้นเสียงแข็งกร้าว มองอะไรก็ขัดลูกหูลูกตาไปหมด จะมีก็เพียงหนึ่งเดียวที่พอทำให้ยับยั้งชั่งใจไม่ปาข้าวของระเนระนาดอย่างเมื่อคืนลงได้บ้าง ก็คือแม่หนูน้อยที่นั่งงุดหน้าสั่นซีดตรงกันข้าม การิมเหลือบมองเธอแวบหนึ่งก่อนตัดพ้อบิดาอย่างนึกน้อยใจ “พ่อห่วงหน้าตา รักศักดิ์ศรี รักเมียใหม่มากกว่าลูกตัวเอง แล้วทำไมเราต้องเอาชีวิตทั้งชีวิตไปปกป้องแค่หน้าตาในสังคมของพ่อเราด้วย”

มาร์คนั่งฟังอย่างเห็นใจ แม้การิมจะพูดเช่นนั้นแต่เขารู้ดีว่าการิมไม่มีทางจะทำให้บิดาเดือดร้อนในหน้าที่การงานที่ท่านรักมากเป็นแน่ เพราะการิมรักและเคารพในบุพการีมากเช่นกัน

“ช่วงนี้คุณฌานจะไปไหนมาไหนคงต้องใช้บอดี้การ์ดหลายคนหน่อยนะครับ”

“ไม่จำเป็น มีแค่นายกับยายเปี๊ยกสองคนก็พอแล้ว” เขาจ้องหน้าเนรัญเขม็ง หากปากยังพูดต่อเน้นชัดว่า “เธอชี้เป็นชี้ตายชีวิตเราได้ และเราก็มั่นใจว่าเธอคงไม่ทิ้งให้เราตายหรอก”



และ...ก็เป็นตามนั้นเพราะตลอดหลายวันต่อมาเนรัญต้องใช้ชีวิตตามติดการิมเป็นเงา อันที่จริงเธอไม่ได้อยากจะมาเสี่ยงชีวิตติดตามเขาต้อย ๆ ไม่ได้อยากจะรับเงินก้อนโตจากเขา ซึ่งให้สำหรับเป็นค่าจ้างแม้แต่บาทเดียวด้วยซ้ำ ครอบครัวของเธอถึงแม้ไม่ร่ำรวยเทียบชั้นได้กับครอบครัวนักธุรกิจดังอันดับต้น ๆ ของประเทศอย่างครอบครัวการิม แต่ใช่ว่าชีวิตเธอจะลำบากถึงขั้นต้องมารับจ้างทำงานที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพันเสียเมื่อไหร่ แต่ที่เธอยอมเพราะมีเหตุผลสองข้อนั่นก็คือ หนึ่งต้องการพบหน้าพี่ชายต่างสายเลือด และการิมก็เป็นบุคคลที่สามารถช่วยพาเธอไปพบเขาได้ และข้อสองซึ่งน่ากลัวที่สุด คือการิมชอบข่มขู่อยู่เสมอว่าถ้าเธอคิดหนีหรือไม่รับทำงานให้เขา เขาจะประกาศจับพี่ชายของเธอในฐานะผู้ก่อการร้ายข้ามประเทศ

“คุณแผลฉันหายแล้ว คุณจะพาฉันไปพบพี่ชายได้หรือยัง” ถามขึ้นขณะที่เดินตามร่างโปร่งในชุดสูททำงานเรียบกริบ ลงมาจากชั้นสามของตึกขาว ก่อนหน้านี้การิมบอกว่ารอให้แผลที่ถูกกระสุนถากตรงหลังมือของเธอหายดีเสียก่อน แล้วจะพาไปพบกันกริชและจารินรัตน์ แต่เพราะความวุ่นวายเรื่องงานรวมถึงชีวิตที่ยุ่งเหยิงของชายหนุ่มทำให้เขาดูเหมือนจะลืมเลือนไป

“แล้วคุณมีวิธีถามพี่ชายคุณแล้วเหรอ เรื่องเข้าโรงแรม” ร่างโปร่งหยุดเดิน หันมามองคนตัวเล็กในชุดเดรสสีหวานที่ชะงักฝีเท้าหยุดตามเกือบไม่ทัน ตาคมกริบคู่สีเทากวาดมองคนที่อยู่ร่วมบ้านด้วยอย่างชื่นชมและพอใจ หลายวันมานี้ที่ได้อยู่ใกล้กันความสวยน่ารักของเธอก็เฉิดฉายเปล่งประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ายิ่งพิศยิ่งมองก็ยิ่งน่าลุ่มหลง บางวันเขาต้องรีบเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะไม่อยากเจอหน้าสวยใสกับรูปร่างอรชรอของแม่หนูน้อย เพราะมันจะทำให้เขาเพ้อฝันและใจเต้นแรง

“มีซิวิธีง่าย ๆ และถ้าฉันได้ความมาว่าพี่ตั้งไม่ได้มีอะไรกับยายแจนของคุณ แล้วฉันทำให้พวกเขาเลิกกันได้ คุณจะปล่อยฉันไปใช่ไหม”

“ผมไม่ได้ต้องการแค่นั้น คุณก็น่าจะรู้ดีนี่หนา เดือนหน้าผมต้องแต่งงานแล้ว ถ้าคุณพาแจนมาแต่งงานกับผมไม่ได้ ก็ถือว่างานของคุณยังไม่สำเร็จ”

“มันธุระกงการอะไรของฉันนะเนี้ย” เนรัญก้มหน้าบ่นพึมพำ ก่อนเชิดหน้าพูดฉาดฉาน “ถ้าฉันทำให้ยายแจนมาแต่งกับคุณไม่ได้ตามวันและเวลาที่กำหนด ฉันจะจ้างผู้หญิงสวย ๆ คนอื่นมาแต่งงานแก้หน้าแทนให้คุณเอง”

การิมหัวเราะเยาะเบา ๆ “พูดง่ายดี แต่ว่าผมไม่ต้องการคนอื่น อ้อ...ถ้าเป็นคุณก็พอได้นะ ผมอนุโลม”

‘ใครเขาจะแต่งกับผู้ชายบ้ากามอย่างนายกันเล่า อีลุงหน้ายาวเอ้ย !’ ย่นจมูกก่นด่าตามหลังคนที่สาวเท้านำไปยังรถยนต์คันใหม่สีแดงสด รถคันนี้เปลี่ยนเป็นคันที่สามแล้วตั้งแต่เธอมาอยู่กับเขา ไม่แน่ใจว่าเปลี่ยนหนีผู้ปองร้ายหรือว่าเปลี่ยนเพราะอยากจะอวดความร่ำรวยโชว์หญิงกันแน่

“แต่ฉันแน่ใจว่าจะลากว่าที่เจ้าสาวมาส่งให้คุณทันวันแต่งแน่นอน แล้วถ้าฉันทำได้สำเร็จคุณก็ต้องปล่อยฉันไปให้เป็นอิสระ และก็เลิกเอาพี่ชายฉันมาข่มขู่ด้วย”

ชายหนุ่มยอมรับว่าคำพูดของคนตัวเล็กทำให้สับสน เขาจะยอมปล่อยให้เธอไปจากชีวิตง่าย ๆ ได้อย่างไรกัน ในเมื่อเธอเป็นคนเดียวที่จะช่วยชีวิตของเขาให้รอดพ้นจากการตามฆ่า และตราบใดที่ยังจับคนร้ายตัวจริงไม่ได้ เขาจำเป็นต้องมีเธออยู่...

“ถ้าเรื่องแต่งงานสำเร็จคุณได้เป็นอิสระจากคำว่าตัวประกันแน่นอน แต่ว่าผมจะจ้างคุณต่อ...”

“งานเสี่ยงชีวิตนะเหรอฉันไม่เอาหรอก ฉันจะกลับเมืองไทยไปพร้อมพี่ชาย” รีบพูดแทรกปฏิเสธเร็วไว การิมฮึดฮัดโต้กลับเสียงฉุนอย่างไม่รู้ตัว

“ทำไมจะกลับไปแต่งงานกับไอ้ล่ำ ว่างั้นเถอะ” เขาจ้องหน้าฉงนฉงายของแม่สาวเขม็ง ก่อนก้มหน้าลงมาเค้นเสียงแข็งเข้ม “แต่งที่โบสถ์ไหนบอกด้วย จะไปเผางานให้ราบเลย”

++++++++++++++++++++

รถคันสีแดงสดมันวับป้ายทะเบียนบอกฐานะของเจ้าของรถด้วยเลขสวย เลี้ยวเข้าซอยตัดแยกจากถนนหลัก ซึ่งเป็นทางสูงชัน ขับเคลื่อนขึ้นไปสุดปลายซอยถนนเส้นนี้เป็นทางตันและคือที่ตั้งบ้านพักของเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศกรีนนา รถยนต์ที่มีมาร์คลูกน้องคนสนิทเป็นผู้ขับ จอดนิ่งตรงทางก่อนเลี้ยวเข้าไปถึงประตูรั้วบ้านประมาณยี่สิบเมตร เพื่อซ่อนจากสายตาของคนในรั้วบ้านหลังนั้น

เนรัญที่มีท่าทีแปลกใจในตอนแรก เปลี่ยนเป็นตาลุกวาวดีใจกับคำอธิบายของการิมว่าบ้านหลังตรงหน้าคือบ้านใคร และด้วยตากลมสะดุดกับร่างสูงใหญ่ซึ่งกำลังเดินออกมาจากประตูรั้ว ยิ่งทำให้แม่สาวน้อยดีใจลิงโลด

“พี่ตั้งนี่หนา” เธอหันมายิ้มหวานให้คนข้างกายที่นั่งไขว่ห้างกอดอกตีสีหน้าตึงเครียดนิดหนึ่ง ก่อนจะรีบเปิดประตูรถก้าวลงเร็ว ๆ เดินแกมวิ่งไปหาพี่ชายต่างสายเลือด

หุ่นสูงใหญ่กำยำ มีดวงหน้าเข้มคมอย่างชายไทยแท้ ผิวสีแทนกับเคราเขียวครึ้มดูน่าคร้ามเกรง และด้วยนัยน์ตาสีนิลที่เต็มไปด้วยความเย็นชาเรียบเฉยในเวลาปกติเช่นนี้ทำให้กันกริชเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ลึกล้ำน่าค้นหา

“พี่ตั้ง” คนที่กำลังก้มเก็บของบางอย่างไว้กระโปรงท้ายรถยนต์ หันมามองช้า ๆ ตามเสียงแหลมคุ้นหู รูปร่างเล็กบอบบางที่วิ่งกระโจนเข้ามาสวมกอดเขาไว้แน่น ทำให้เขาแปลกใจอยู่ไม่น้อย แต่คนตัวใหญ่ก็ยังคงยืนนิ่งมองเฉย

“เน่ย์ ! มาได้ยังไง” ตารีเรียวขยายกว้างขึ้นยามเห็นหน้าใสคุ้นชิน เงยจากอกกำยำขึ้นมาสบตา “หนีคุณน้ามาใช่ไหม แล้วรู้ได้ยังไงว่าพี่พักอยู่ที่นี่”

“ก็พี่ตั้งหนีเน่ย์มาทำไมละคะ เน่ย์ก็ต้องมาตามหาพี่ตั้งซิ” พูดเสียงหวานออดอ้อนในที “พี่ตั้งกลับเมืองไทยกับเน่ย์นะ นะคะ”

“แต่พี่มาทำธุระนะเด็กดื้อ” เขาพูดเสียงเรียบลง วางมือหนาลงกลางศีรษะกลมอย่างเอ็นดู “ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาหนีออกจากบ้านแบบนี้คุณน้าก็พากันเป็นห่วงแย่นะซิเรา”

“คนที่บ้านรู้กันหมดแล้ว ว่าเน่ย์มาตามหาพี่ตั้ง” ช้อนสายตางอน ๆ มองคนหน้าเข้ม แววตาของเขาดูหม่นหมองเยียบเย็นกว่าที่เธอเคยรู้จัก พานทำให้คนตัวเล็กน้อยใจไปใหญ่ คิดว่าพี่ชายคงรำคาญและไม่อยากเห็นหน้าเธอ “ธุระสำคัญมากด้วยซินะคะ มาอยู่กับคู่หมั้นมันก็ต้องสำคัญกว่าอยู่กับเด็กดื้อน่าเบื่ออย่างเน่ย์อยู่แล้วใช่ไหม”

“ทำไมพูดแบบนี้ละ เน่ย์เป็นน้องสาวของพี่นะ โลกนี้จะมีใครสำคัญไปกว่าเน่ย์ได้อีก แต่ที่พี่มาอยู่ที่นี่ก็เพราะมีเรื่องสำคัญต้องทำจริง ๆ” หางตารีคมมองประตูรั้วบ้านแวบหนึ่ง ก่อนก้มมากระซิบกับน้องสาว “เอาไว้เสร็จธุระแล้วพี่จะรีบกลับทันที แต่ว่าเน่ย์ต้องกลับไปรอพี่ที่เมืองไทยก่อนนะ เน่ย์มาตามพี่แบบนี้คนที่บ้านจะเป็นห่วง”

“ไม่ค่ะ” สะบัดเสียงหน้างอง้ำ “จะหลอกให้เน่ย์กลับ เพราะจะได้ไม่มีใครมาขวางทางรัก เวลาพาคู่หมั้นไปเข้าโรงแรมใช่ไหม”

คราวนี้คนหน้าเข้มเบิกตาตะลึง ตั้งแต่มาอยู่ประเทศนี้ เขาจำได้ว่ามีโอกาสไปทำธุระที่โรงแรมแค่ครั้งเดียว และไม่คิดว่าน้องสาวจะตาดีไปเจอ “เน่ย์เห็นเหรอ ? เน่ย์พักที่โรงแรมนั้นอย่างงั้นเหรอ”

“เออ...คือ ค่ะพักที่นั่นแหละ” เธอรีบรับสมอ้าง และเบนประเด็นกลับไปเรื่องเดิมโดยเร็ว “เน่ย์เห็นนะคะ ว่าพี่ตั้งกับยาย...เออคู่หมั้นของพี่กอดกันกลมเข้าโรงแรม คงมีความสุขกันมากซินะคะ” เธอยื่นปากยาวประชด

กันกริชยิ้มบาง ขยี้เรือนผมนุ่มเบา ๆ น้ำเสียงเปล่งออกมาปกติยิ่งนัก “เข้าใจผิดแล้วเรา ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คุณจา แต่เป็นภรรยาท่านทูตต่างหาก ท่านทูตให้พี่ขับรถพาภรรยาของท่านไปส่งที่โรงแรม แล้วที่ว่าเห็นกอดกันกลม สงสัยเน่ย์จะตาฝาดไปเองแล้วแหละ” สบตาเธอนิ่งไม่มีร่องรอยพิรุธว่าโกหกแต่อย่างใด “ตั้งแต่เป็นพี่เป็นน้องกันมา พี่เคยโกหกเน่ย์สักครั้งไหม”

“ไม่ค่ะ” น้องสาวส่ายหน้าช้า ๆ หลบสายตาวูบ ด้วยรู้สึกสำนึกผิด แต่ในใจยามนี้ดีใจยิ้มร่ากับคำตอบที่ได้ยิน

“ถ้าอย่างนั้นก็เชื่อพี่ได้แล้วใช่ไหม” เขาเหลือบตามองประตูรั้วอีกปราดหนึ่ง และกลับมาพูดกับน้องสาวที่พยักหน้างึกงักเสียงเบากว่าเดิม “ถ้าอย่างนั้นฟังพี่นะ พี่อยากจะให้เน่ย์ช่วยปิดเรื่องที่พี่เป็นคู่หมั้นกับคุณจาไว้ก่อน เพราะพี่มาอยู่ที่นี่เพื่อจะมาศึกษานิสัยใจคอของว่าที่ภรรยาในอนาคต พี่เลยปลอมตัวมาสมัครเป็นคนขับรถ เน่ย์เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม”

คิ้วเรียวขมวดงุนงง เข้าใจที่พี่ชายบอกอยู่หรอก แต่ว่าเรื่องที่ไม่เข้าใจคือ “แต่ว่าวันนั้นเน่ย์เจอพี่ตั้งไปกับคุณจาที่ร้านอาหารในฐานะคู่หมั้นของเธอไม่ใช่เหรอ เน่ย์วิ่งตามเรียกพี่ตั้งแทบตายแต่พี่ตั้งก็ไม่ได้ยิน”

กันกริชลอบระบายลมหายใจให้กับความบังเอิญ ที่น้องสาวไปพบเจอครั้งแล้วครั้งเล่า จึงจำต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังโดยละเอียด ในวันนั้นที่ร้านอาหารเขาไปในนามคู่หมั้นของจารินรัตน์จริง ๆ แต่ทว่าหล่อนขอร้องให้เล่นละครตบตาการิมเท่านั้น โดยที่หล่อนไม่รู้ความจริงเลยแต่น้อย ว่าคนขับรถที่เล่นละครให้เป็นคนเดียวกับคู่หมั้นตัวจริง

“พี่อยากจะรู้ว่าคุณจาเธอเป็นคนดีแค่ไหนกัน ทำไมพ่อแม่แล้วก็คุณน้าถึงอยากจะให้พี่แต่งงานกับเธอนัก”

“อืม...เข้าใจแล้วค่ะ อย่างนั้นถ้าพี่ตั้งสืบรู้ว่าเธอนิสัยไม่ดี พี่ตั้งจะถอนหมั้นกับเธอใช่ไหม” คำถามของน้องสาวเต็มไปด้วยความหวัง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ก็คงดี เธอจะได้ไม่เหนื่อยในการหาทางแยกชายหญิงออกจากกัน

หากกันกริชไม่ตอบ เขาเลือกจะเปลี่ยนเรื่อง “มีเบอร์มือถือไหม พี่ขอหน่อย” หญิงสาวพยักหน้าก่อนบอกเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองให้พี่ชายบันทึกเก็บไว้ในเครื่องของเขา “พักโรงแรมนั้นใช่ไหม พี่จะได้แวะไปหา”

เนรัญกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ ส่ายหน้าเร็ว ๆ ปฏิเสธ “มะ...ไม่ต้องค่ะ เน่ย์จะมาหาพี่ตั้งเอง”

“แต่เน่ย์มาที่นี่บ่อย ๆ ไม่ได้หรอกนะ”

“ทำไมละคะ เน่ย์รับปากจะไม่บอกเรื่องพี่ตั้งเป็นคู่หมั้นคุณจากหรอก” ความน้อยใจประเดประดังเข้ามาอีกรอบ หญิงสาวหน้างอ พูดประชดประชันเสียงเครือ “เป็นน้องสาวมาหาพี่ชายไม่ได้เหรอ พี่ตั้งกลัวคู่หมั้นเข้าใจผิดใช่ไหม แล้วมาบอกว่าเน่ย์สำคัญกว่าใครที่แท้ก็โกหก”

พี่ชายส่ายหน้าน้อย ๆ ระอากับความแสนงอน แต่การจะทำให้แม่น้องสาวตัวดีหายงอนก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา มือใหญ่ดึงร่างบางเข้ามากอด พร้อมกับจรดจุมพิตหนัก ๆ ลงกับหน้าผากมน

“หายงอนหรือยัง หรือต้องหอมแก้มด้วย” ยิ้มมุมปากอบอุ่นบาง ๆ รู้ว่าเนรัญรักและติดเขามากแค่ไหน และวิธีนี้ใช้ได้ผลชะงัดนักแลในการปราบคนขี้งอน เขากดจมูกโด่งเป็นสันลงกับพวงแก้มสองข้างของน้องสาวเร็ว ๆ กว่าจะรู้ตัวว่าลืมโกนหนวดเคราก็สายไปแล้ว

“พี่ตั้งแก้มเน่ย์เป็นผื่นแน่เลย” ยกมือขึ้นลูบแก้มป้อย ๆ หากก็อิ่มใจจนเก็บรอยยิ้มไว้ไม่ไหว แล้วก็เผลอฟาดมือลงบนไหล่หนาด้วยความเขินอาย หากก็ต้องตกใจที่เห็นพี่ชายหน้าตาเหยเก

“โอ้ย !” กันกริชอุทาน ยกมือจับไหล่ข้างขวาราวกับเจ็บปวดมาก

“พี่ตั้งเน่ย์ขอโทษ ไม่นึกว่าเน่ย์จะมือหนักขนาดนี้” หน้าสวยซีดเผือดลงพลัน

ชายหนุ่มกัดฟันข่มความเจ็บพลางฝืนยิ้ม “ไม่ใช่เน่ย์มือหนักหรอก แต่ไหล่พี่เจ็บอยู่แล้ว เออ...คือว่าเมื่อหลายวันก่อนซุ่มซ่ามเดินชนประตู” เห็นหน้าสำนึกผิดราวกับจะร้องไห้จึงรีบยกมือยีผมหญิงสาวปลอบใจ “ไม่เอาน่า ไม่ใช่ความผิดของเน่ย์สักหน่อย เน่ย์กลับไปรอพี่ที่โรงแรมก่อนนะ เดี๋ยวพี่ขับรถไปส่งท่านทูตกับครอบครัวเรียบร้อยแล้ว พี่จะแวะไปหา”

หญิงสาวทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ แต่ก็ตกปากรับคำไป ถึงเธอจะไม่ได้พักที่นั่น แต่ยังไงซะการิมก็ต้องพาเธอติดสอยห้อยตามไปที่ทำงานของเขาอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นพี่ชายต่างสายเลือดของเธอโทร.มาหา ก็ค่อยวิ่งออกไปพบเขาก็ยังได้ แถมดูจะแนบเนียนด้วย




กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.ค. 2555, 21:13:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.ค. 2555, 21:13:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1457





<< ตอนที่ 4 พระพรหมสีชมพู   ตอนที่ 6 พระพรหมสีชมพู >>
Pat 1 ก.ค. 2555, 23:11:25 น.
พี่ตั้งเป็นมือปืนคนนั้นหรือเปล่าล่ะนี่ น่าสงสัยๆ


กันเหงา 9 ก.ค. 2555, 20:14:26 น.
คุณ Pat ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ขอโทษที่ลงนิยายเฉื่อยไปหน่อย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account