ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ
ตอน: ไนล์ (๑)
ถึงแฟนๆ นักอ่านที่ติดตามลายลินินอยู่นะครับ
ตอนนี้ลายลินินสำเร็จเป็นรูปเล่มแล้วนะครับ สามารถอุดหนุนได้ที่เว็บสถาพรบุ๊คครับ
http://www.satapornbooks.co.th/Book/BookDetail.aspx?id=1865
หรือสามารถติดตามได้ที่ร้านหนังสือทั่วไปครับผม ส่วนนวนิยายในเว็บไซต์นาถลดายังคงลงต่อให้จนจบครับ
+++++++++++++
การเดินทางจากอาบูซิมเบลสู่อัสวานใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง รถเคลื่อนขบวนออกจากโรงแรมเซติตี ๔ ถึงที่อัสวานก็ ๗ นาฬิกาไม่ขาดไม่เกิน รถที่มาส่งเป็นรถโฟล์ค สวัสดิการจากบริษัทเนบที ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยระหว่างการเดินทาง อันที่จริงเพื่อความสะดวกง่ายดาย ทั้งคณะจะเลือกตีตั๋วขึ้นเครื่องบินมาลงที่สนามบินอัสวานก็ได้ แต่ข้อเสียอย่างหนึ่ง...คือพลาดโอกาสงามในการชื่นชมทิวทัศน์ทะเลทรายริมรายทาง ระหว่างการนั่งรถจากอาบูซิมเบลสู่ที่หมาย
ผู้ร่วมเดินทางมีด้วยกันดังที่วางแผน คือ อารีส อนัตตา วิลเลียม และหลุยส์ นอกนั้นเป็นเหล่าเจ้าหน้าที่ของเนบที ไม่ว่าจะเป็นพลขับ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือตำรวจนอกเครื่องแบบ ซึ่งบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ได้ประสานงานติดต่อ
‘เกือบ’ ทั้งหมด ล้วนคุ้นหน้า เพราะเคยพบเมื่อครั้งรับคณะสำรวจจากสนามบินอัสวานมาส่งที่อาบูซิมเบล ส่วนผู้ที่อยู่ในข่าย ‘เกือบ’ คือพลขับ นอกจากไม่คุ้นชิน หน้าตายังไม่ละม้ายชาวอาหรับอย่างที่อารีสเคยพบเห็น เขาดูเป็นหนุ่มรุ่น หน้าตากระเดียดไปทางยุโรป หากให้เดา...ดูจะคล้ายชาวอิตาเลียน ผิวเนื้อขาวจัดราวกระเบื้อง ผมหยักศกสั้นสีดำสนิท
กิริยาท่าทางไม่ได้บ่งบอกความเป็นพลขับ รูปร่างสันทัดในชุดสูท หากเอาไปอยู่ร่วมคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ นั่นยังพอทำเนา ด้วยบุคลิกวางเฉย หลังตรง หน้าเชิด ดูอย่างไรก็ให้ความรู้สึกถึงคนในเครื่องแบบ
อารีสเฝ้ามองหนุ่มรุ่นนายนั้นอยู่นานเนิ่น ในใจนึกสงสัยบางอย่าง หากไม่อาจหาคำตอบได้
ครั้นคิดถึงเรื่องการ 'จนด้วยคำตอบ' ต่อสิ่งที่พบ กลับทำให้นักโบราณคดีสาวหวนนึกถึงเรื่องราวก่อนขึ้นรถเดินทาง
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง ที่โรงแรมเซติ ระหว่างการรวมพลขึ้นรถโฟล์คซึ่งจัดเตรียมไว้ อนัตตากล่าวกับอารีสขณะเดินเคียงกัน สองมือถือกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมทั้งของหล่อนและของเขา
‘สวัสดิการดีเยี่ยมจนน่าใจหาย...คุณว่าไหม ทั้งคุณเกียนแล้วก็...เนบที’ สีหน้าของชายหนุ่มในเวลานั้น แสดงอารมณ์ที่อารีสยากยิ่งจะแปลความ
เยาะเย้ย...สงสัย...ไม่วางใจ...เกลียดชัง...หรืออะไรบางอย่างซึ่งหล่อนเข้าไม่ถึง
หญิงสาวเห็นพฤติกรรมดังกล่าวหลายครั้งแล้ว สงสัยอยู่ไม่น้อย หากพยายามเก็บงำไว้ลึกๆ ทว่าบ่อยเข้า...ก็...ฉุกคิด
คงมี ‘อะไร’ สักอย่าง
แต่ ‘อะไร’ หล่อนก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน คงต้องรอจังหวะงามๆ ค่อยถามกับชายหนุ่มเอา ทว่าจริงแท้แน่นอน สีหน้าและการตอบสนองของอนัตตาต่อชื่อเนบทีและอีริค เค เกียน อารีสสัมผัสได้ถึงความรู้สึกด้านลบ และนั่นเหมือนจะย้ำเตือนให้หวนคิดถึงเรื่องสร้อยข้อมือของมาดามเซติกับความฝันอันน่าสะพรึงกลัว
เนบที...มีเรื่อง ‘น่ากลัว’ แฝงอยู่
จากความคิดหนึ่ง โยงใยสู่ความคิดหนึ่ง ดังโซ่สายยาวเรียงร้อยไม่มีวันสิ้นสุด วนเวียนในหัวนานเนิ่น กระทั่งวิลเลียมยื่นอาหารเช้าในห่อกระดาษแล้วเปิดออกดู นั่นล่ะ...สิ่งที่เคยลอยวนในความคิดก็มลายหายในพริบตา
“ให้ตายเถอะ” หญิงสาวยกอาหารเช้าขึ้นหรี่ตามอง “มื้อเช้าสำหรับการเดินทางเป็นขนมปัง นายเป็นคนจัดแจงอาหารเช้าเหรอวิล”
วิลเลียมตอบรับพลางส่งยิ้ม จากนั้นจึงหันไปส่งห่อขนมปังให้หลุยส์ที่นั่งข้างๆ ก่อนจะก้มหน้าจัดการอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนอนัตตาที่นั่งใกล้อารีสขมวดคิ้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
อารีสค้อนลมค้อนแล้ง หันไปพูดกับอนัตตาด้วยภาษาไทย ส่วนหนึ่งเพราะไม่ต้องการให้วิลเลียมรู้ว่ากำลังนินทามื้อเช้าของเขาอยู่
“คุณนัตอยู่อียิปต์มาตั้งนานน่าจะรู้นะคะ” หญิงสาวเริ่มประเด็น “มื้อเช้าของคนอียิปต์ส่วนใหญ่เป็นขนมปัง รวมๆ แล้วก็มี ๔ ประเภทได้มั้ง แต่ถึงจะหลากหลายประเภทยังไง ทาเนยจนเยิ้มขนาดไหน ที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง...”
“แข็ง” อนัตตาต่อให้พลางกลั้นหัวเราะ อารีสมองแล้วก็ได้แต่ยักไหล่
“ก็นั่นซีคะ” สายตาที่จับจ้องก้อนขนมปังในมือไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์รักใคร่ หากด้วยสายตาที่ห่างเหินราวสิ่งที่หล่อนไม่อยากทำความรู้จัก “ถ้าฉันไม่หิวจริงๆ คงไม่กิน”
พูดจบอารีสก็กัดเข้าคำหนึ่ง เคี้ยวตุ้ยพลางบ่นภาษาไทยไปตลอดการเดินทาง
“แข็งจนฉันคิดว่ากำลังกินก้อนหิน” หล่อนพูดพลางเคี้ยวพลาง “นี่ต้องถือคติกินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกินกันเลยนะคะ ฉันมันคนสมถะ กินอะไรก็ได้ แต่ถ้ามันไม่อร่อยก็ไม่ค่อยอยากกิน แต่นั่นล่ะค่ะ...อย่างเดียวที่ฉันกลัวคือ...อด”
หญิงสาวดูจะเมามันกับการกินแล้วบ่น อนัตตามองพลางพยายามอดกลั้นอาการขบขัน ครั้นอารีสชำเลืองมองแล้วถามเข้า ชายหนุ่มก็ตอบจนหล่อนแทบสำลักขนมปังที่พยายามกลืนลงคอ
“ก็คุณบ่นตลอดว่าไม่อร่อยบ้างล่ะ แข็งบ้างล่ะ ไม่อยากกินบ้างล่ะ แต่ดูคุณเถอะ...กินไปบ่นไป มองคุณกินทีไรคิดว่ากำลังอร่อยกับมันทู้กที” อนัตตาขึ้นเสียงสูงล้อเลียน ทำเอาอารีสนิ่วหน้าส่งค้อน หากอึดใจก็หันกลับไปจัดการขนมปังคำสุดท้าย ก่อนจะจบบทสนทนาได้อย่างเฉียบคม
“ฉันบอกแล้ว” อารีสวางปึ่ง “คนอย่างฉัน...อยู่เพื่อกิน ไม่ได้กินเพื่ออยู่”
พูดจบ อนัตตาก็หัวเราะดังลั่น มือทั้งสองกุมท้องแน่น น้ำตาเล็ดน้ำตาไหล หญิงสาวได้แต่ขมวดคิ้วมองอย่างนึกสงสัย เหตุใดเขาจึงหัวเราะมากมายนัก ทั้งที่หล่อนอุตส่าห์ทิ้งคำคมตบท้าย กระทั่งเขาเฉลยนั่นล่ะจึงถึงบางอ้อ ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงจัด รีบหลบหน้าห่อไหล่ด้วยความอับอาย
“ตกลงคุณจะ 'อยู่เพื่อกิน' ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะพลาง คนทั้งรถหันมอง นัยน์ตาหลายคู่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ทว่าอนัตตาไม่ได้ให้คำตอบ นอกเสียจากหัวเราะต่อจนหน้าแดงราวมะเขือเทศสุกคาต้น
++++++++++++++++
การเดินทางท่องเที่ยวคราวนี้จัดเป็นหนึ่งในสวัสดิการที่เนบทีมีให้คณะสำรวจ ทันทีที่ถึงอัสวาน วิลเลียมก็พาทุกคนไปที่โรงแรมซึ่งถูกจองไว้ภายใต้ชื่อของเนบที หรูหรา...ยิ่งใหญ่...มีระดับ ตามชื่อเสียงผู้จับจอง แม้อารีสจะเห็นใบหน้าครุ่นคิดของอนัตตาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อได้ยินชื่อบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ หากหล่อนก็อดประทับใจไม่ได้กับการมาเยือน ‘โอลด์คาตาแร็ก’ เป็นครั้งแรก
แม้ที่อัสวานจะมีโรงแรมหรูหรามากมายผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาใช้เวลาในช่วงฤดูหนาว หรือวางแผนบุกเบิกอียิปต์และซูดานในอนาคต หากปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘โอลด์คาตาแร็ก’ อาคารสูงใหญ่สีชอกโกแลต เจือปนกลิ่นอายวิคตอเรียน ริมแม่น้ำไนล์ซึ่งทอดตัวยาวหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต ที่นี่นับว่าเป็นโรงแรมมีระดับและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งหนึ่ง
อารีสพบสมาชิกคนอื่นในคณะสำรวจที่โรงแรมแห่งนี้ คาดเดาว่าเหล่านั้นคงมาก่อนหน้าหล่อน ในช่วงที่หล่อนนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล แม้แต่ไอซิสกับอีริค อารีสก็ยังเห็นทั้งสองนั่งจิบน้ำชา ละเลียดอาหารว่างกันที่ระเบียงโรงแรม ทอดสายตามองแม่น้ำไนล์ กระแสลมและการล่องเรือใบอย่างรื่นรมย์
โดยเฉพาะ ‘ฝ่ายหญิง’ เมื่อเห็นหล่อนเข้า มุมปากสีเชอร์รี่สุกอันเป็นสีประจำริมฝีปากก็กระตุกยิ้มจนชวนให้โดนตบ นี่หากไม่อยู่กับอนัตตาแล้วไซร้ อารีสคงขอตัวไปจัดการสะสางปัญหาระหว่างหล่อนกับนางหน้าคอสเมติกให้รู้แล้วรู้รอด
‘คอยดูเถอะ...’ อารีสตั้งคำมั่นไว้ในใจ ‘ได้ทีเมื่อไร จะเอาคืนให้หนัก’
อารีสเชิดหน้าแล้วเลิกใยดี หันไปพินิจพิจารณาความงดงามของโรงแรมที่ให้อารมณ์ย้อนยุคสู่อดีต แม้อดีตที่โอล์ดคาตาแร็กไม่ได้ยาวนานเทียบเท่าตำนานแห่งลุ่มน้ำที่ไหลผ่าน ทว่ากลิ่นอายเก่าๆ กลับทำให้หล่อนรำลึกได้ถึงเรื่องราวของแดนไอยคุปต์ในสมัยของพระนางเนเฟอร์ตารี เรื่องราวความฝันที่ดูคล้ายความเป็นจริง ผ่านผ้าลินินโบราณ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ
คิดถึงก็ชำเลืองมองประเป๋าเดินทางใบย่อมของตนในมืออนัตตา แม้ขึ้นมาเที่ยวที่อัสวาน หล่อนก็นำมันติดมาด้วย
“จะว่าไปก็สวยไม่น้อย” อนัตตาออกความเห็น ขณะบริกรนำทางไปส่งยังห้องพัก “ติดแม่น้ำไนล์ บรรยากาศหรูหรา เนบทีนี่ลงทุนจริงๆ คุณว่าไหม”
ก็เหมือนทุกครั้งที่ชายหนุ่มมักจะพูดถึงบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ คำพูดและน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ จนอารีสแน่ใจว่าต้องมี ‘อะไร’ ระหว่างอนัตตาและเนบที
ทว่าอย่างหนึ่งที่หล่อนเห็นพ้องกับชายหนุ่มคนรัก นอกจากความเก่าแก่และทรงคุณค่าของโอลด์คาตาแร็ก ที่นี่ยังมีทิวทัศน์ที่สวยงาม มองจากห้องพักซึ่งได้มุมเหมาะเจาะ จะได้ชมความงดงามยามอาทิตย์อัสดง ผ่านหมู่แมกไม้เขียวหนาตา ขับกับสีเข้มของลำน้ำใหญ่ ทอดสายตาเลยไปจะพบเกาะแก่งโขดหินอันเกิดจากการรวมตัวของหินอัคนีที่มีอยู่ทั่วลำน้ำ
โดดเด่นเป็นสำคัญ...เกาะเอเลแฟนไทน์...จุดเริ่มต้นแห่งการท่องเที่ยวของอารีส
หลังจากจัดการเรื่องเข้าพักเป็นที่เรียบร้อย วิลเลียมก็นำขบวนคนในกลุ่มออกท่องเที่ยวโดยเริ่มจากการล่องเรือใบเฟลุกกะ พาหนะซึ่งใช้ผ้าสามเหลี่ยมผูกกับเสากระโดงเรือ อาศัยแรงลมในการขับเคลื่อนไปตามลำน้ำ ซึมซับบรรยากาศโดยรอบ ก่อนจะขึ้นไปเยี่ยมชมเกาะเอเลแฟนไทน์
“ใครจะนึกครับ วันหนึ่ง...ผมจะได้ล่องเรือใบเฟลุกกะกับคนที่ผมรัก” เป็นเสียงของอนัตตาที่ดังขึ้นข้างๆหญิงสาว ส่วนหลุยส์กับวิลเลียมที่นั่งเคียงข้างกันถัดไปไม่ได้ใส่ใจมากนัก ทั้งสองยังคงทอดมองทิวทัศน์ สายน้ำ เกาะแก่งหินพร้อมรูปสลักจารึก
วิลเลียมคอยชี้ชวนให้หนุ่มแว่นดู ส่วนหลุยส์ก็ทำหน้าที่แปลอักษรภาพบนโขดหินยักษ์ มีบางครั้งที่แสงแดดจัดจ้า แผ่นหินเหล่านั้นสะท้อนแสงจนยากจะจับความอักษร หลุยส์ต้องโน้มตัวขยับแว่นเพื่อโฟกัสภาพ ทำให้ใกล้ชิดวิลเลียมไปในตัว ด้านหลังมีกัปตันเรือผิวเข้มคอยบังคับพังงาควบคุมหางเสือ ให้เรือแล่นไปตามพื้นน้ำสีน้ำเงินเข้ม
กลิ่นของแม่น้ำไนล์ทำให้อารีสสดชื่น ชุ่มชื้น หากลึกลงไปในจิตใจ หญิงสาวกลับรู้สึก...กลัว
กลิ่นลำน้ำทำให้อารีสหวนนึกถึงเรื่องของพญางูยักษ์ในความฝัน แม้ว่ามันจะตายไปแล้ว ด้วยอำนาจของเทวีบาสต์ หากทุกครั้งที่มองลงน้ำ อารีสกลับไม่สามารถเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน สีของแม่น้ำไนล์เข้มจัด ใครจะล่วงรู้ว่าใต้น้ำนั้น ‘พญางูอโบพิส’ จะมีตัวตนจริงๆ หรือไม่ หรือหล่อนกำลัง ‘กลัว’ สิ่งใดนอกเหนือจากอำนาจแห่งเทพเจ้า
หญิงสาวขยับใกล้อนัตตา ทอดสายตามองสายน้ำนิ่งสงบด้วยความหวาดหวั่น รู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่ออนัตตาโอบกระชับหล่อนเข้าแนบชิด
“กลัวเหรอครับ”
อารีสหันมอง อยากจะพูด หากก็จนด้วยคำอธิบาย
“ไม่ต้องกลัวครับ” อ้อมกอดของชายหนุ่มอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ให้ความรู้สึกปลอดภัยเหมือนคนในครอบครัว หากแตกต่างจากกอดของพ่อแม่หรือพี่น้อง ด้วยกอดของอนัตตาทำให้อารีสใจเต้นแรง “ผมอยู่ข้างๆ คุณเสมอ”
“ไม่กลัวหรอกค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าพลางยิ้มมั่นใจ หากวูบหนึ่งกลับสลดลงอย่างเห็นได้ชัด “ต่อให้เราต้องเลิกกัน ฉันก็ไม่กลัว การคบกับนัตดูเหมือนจะเป็นความทรงจำที่แสนดี ดีจนฉันไม่กลัวที่จะต้องจดจำ...ถ้าเราต้องเลิกร้างกันไป”
“อารีส!” สีหน้าของอนัตตาซีดเผือด อ้อมกอดค่อยๆ คลายลง คงเหลือเพียงการหันมารวบมือหล่อนกระชับแน่น
แน่ล่ะ...เขาคงตกใจ ตกใจกับสิ่งที่หล่อนพูด ทว่าหล่อนกำลังพูดถึงความเป็นจริง สิ่งที่ทุกคนจะต้องเผชิญ
ความไม่แน่นอน...
อารีสมองลำน้ำสายใหญ่ ทอดตัวยาวไปไกลลิบ กี่ครั้งแล้วที่ไนล์เคยรับเสด็จเทพเจ้า ขบวนแห่แหนแห่งองค์กษัตริย์ ร่วมเป็นสักขีพยานแห่งการครองอำนาจอันเกิดดับ แม้กระทั่งเป็นผู้เข้าร่วมในสนามรบ ไนล์ที่หลากไหล หลายครั้งเคยท่วมขึ้นสูง จนผู้คนต้องอพยพย้ายหนี หากก็นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์อย่างมหาศาล และบางคราวก็เคยจืดจาง เหือดแห้ง เหมือนดังจารึกบนเกาะแก่งเหนือแม่น้ำซึ่งเรือกำลังเลียบผ่าน
“โชคร้ายอันใหญ่หลวงที่แม่น้ำไนล์ไม่หลั่งไหลมาเป็นเวลาเจ็ดปี ทำให้พืชผลขาดแคลน ไม่มีผักหรืออะไรอย่างอื่นให้ประชาชนกินกันเลย” เป็นเสียงหลุยส์ที่อ่านจารึกนั้นให้วิลเลียมฟัง หากดังพอที่จะทำให้อารีสทอดหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
หญิงสาวทอดมองไนล์ ค่อยๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม หล่อนไม่แม้จะหันไปมองสายตาฉงนฉงายของอีกฝ่ายซึ่งแกมไว้ด้วยความหวาดกลัว
เวลานี้อารีสกำลังพิจารณาแม่น้ำ...ความไม่แน่นอน แม้ไนล์จะยิ่งใหญ่ เป็นดังแม่น้ำสายตำนานที่ยืนยงคู่อียิปต์มานานปี หากก็มีจุดขึ้น...จุดลง...ไม่ผิดจากหล่อน
ไนล์ยังเหือดแห้ง ท่วมท้น
พีรามิดแห่งจอมคน ผุกร่อน
ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ ไร้ชีวิต
แล้วรักใดในดวงจิต จะจีรัง
ครั้งหนึ่งอารีสเคยรัก หากต้องพบกับความล้มเหลว มาคราวนี้มีโอกาสพบกับความรักอีกครั้ง หากก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว ง่ายดาย คนว่ากันว่าสิ่งที่ได้มาโดยง่ายมักจะต้องทิ้งไปโดยง่ายไม่ต่างกัน ไม่ใช่หล่อนหมดรัก หากหล่อนมองลำน้ำสายใหญ่และสะท้อนในอก
ใช่...ความหวาดกลัว แม่น้ำคือสัญลักษณ์แห่งความไม่แน่นอน...ทุกสิ่ง...อนิจจัง
*****
กัปตันโยกพังงา บังคับเรือเทียบท่าขึ้นสู่เกาะเอเลแฟนไทน์ วิลเลียมพูดคุยตกลงอะไรบางอย่าง สักพักจึงเดินทางขึ้นไปเที่ยวชมศาสนสถาน วิหารและพิพิธภัณฑ์สถานบนเกาะตามโปรแกรมที่จัดเอาไว้ ระหว่างการเดินชม วิลเลียมกับหลุยส์นำหน้าอารีสและอนัตตาไปก่อน ทั้งสองพูดคุยโต้เถียงกันไปเรื่อยๆ ตามประสานักโบราณคดี เมื่อเห็นอักษรภาพหรือหลักฐานเกี่ยวกับอดีตกาลของอียิปต์ หากอารีสกลับนิ่งสงบ แม้เท้าจะก้าวตามขบวน หากสายตากลับทอดมองลำน้ำสายยาว กระทั่งอนัตตาที่เดินข้างๆ อดรนทนไม่ไหว จึงหยุดฝีเท้า คว้าตัวหล่อนมาโอบกอด
วิลเลียมกับหลุยส์หันกลับมามอง หากอนัตตาส่งยิ้มพลางโบกมือให้เดินนำไปก่อน ทั้งสองจึงพยักพเยิดว่าง่าย ระหว่างเดินไปก็มีหัวร่อต่อกระซิก วิพากษ์วิจารณ์เรื่องชายหนุ่มกับหญิงสาวกับบรรยากาศโรแมนติกบนเกาะเอเลแฟนไทน์
ลับแผ่นหลังเพื่อนร่วมเดินทาง อนัตตาก็ถอนหายใจ ชายหนุ่มไม่ทราบว่าอารีสเป็นอะไร...และเหตุใดเขาจึงรู้สึกเหมือนถูกปล่อยคว้างให้ลอยคอกลางแม่น้ำไนล์ รอบข้างมีเพียงกอสวะเท่านั้นที่เคลื่อนผ่าน
อารีส...เป็น...อะไร
ในอ้อมกอด หญิงสาวไม่แม้แต่จะดิ้นรนขัดขืน ทั้งไม่ตอบรับกอดนั้น มือทั้งสองทิ้งลงข้างลำตัว ประหนึ่งหุ่นไม้ไร้ชีวิต
นี่คงจะนานแล้ว ที่เขาไม่ได้ใช้คำนี้กับหล่อน
อารีส...อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
อารมณ์ยามนี้คงเสมือนแม่น้ำไนล์ย่ำค่ำ สวยงาม...หาก...น่าหดหู่ หรืออาจเป็นทะเลในยามน้ำนิ่งสงบ ไร้คลื่นทั้งใต้น้ำและผิวน้ำ สงบเสียจนไม่อาจนำพาเรือไปสู่ฝั่งได้ด้วยแรงลม
“คุณโกรธผมเหรอ” อนัตตาถามขณะที่ยังกอดหล่อน ฉากหลังเป็นแม่น้ำสายยาวทอดตัวไกลลิบ ริ้วน้ำสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าเป็นสีทองระยิบระยับ แมกไม้ริมน้ำเขียวชอุ่มพุ่มหนา ฝูงนกบินร่อนไปมาท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์
“ไม่เคยโกรธ” เสียงหล่อนเครือเหลือเกิน “มีแต่รักมากขึ้น”
“แล้วเพราะอะไร?”
“เพราะ...” ดูเหมือนในอ้อมกอด หญิงสาวพยายามกลืนสะอื้น “...ไม่มีอะไรที่แน่นอน แม่น้ำไนล์ไหลผ่านแล้วเลยไป เคยเหือดแห้งแล้วท่วมขึ้นใหม่ ฉันกลัวค่ะนัต...กลัวว่ามันจะเปลี่ยนแปลง”
“โถ...เด็กน้อย” อนัตตาผ่อนลมหายใจพลางคลี่ยิ้ม ค่อยๆ บรรจงลูบเรือนผมดำขลับหยักศกทะนุถนอม เวลานี้...ภูเขาลูกใหญ่ถูกยกออกจากอกเสียที
“อย่าร้องไห้เลยครับ” สิ่งที่หล่อนกลัวไม่ต่างจากเขา อนัตตาเองก็คิดอยู่เสมอ การไม่เคยพบคนถูกใจ กับได้พบคนที่ ‘ใช่’ เพียงไม่กี่วัน ชายหนุ่มหวาดหวั่นไม่ต่างไป ทว่าชื่อของตนย้ำเตือนเสมอถึงสิ่งไม่แน่นอน “แฟนคุณชื่ออนัตตา เพราะฉะนั้นอย่าได้กลัวอนิจจัง มีโอกาสจงรักกัน แต่ขอให้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีวันมั่นคงถาวร...ไม่เคยมีเสียด้วยซ้ำ ผมไม่อาจบอกว่าไม่ให้ยึดติด เพราะแม้ผมเองจะเป็น ‘ความไม่เคยมี’ หากก็เพียงชื่อที่ถูกตั้ง แต่ขอให้เริ่มจากรู้ว่ารักของเราคือไม่มีอะไร แล้วต่อไป...คุณอาจรับรู้...สิ่งที่ผมกำลังจะบอกกับคุณ”
อารีสผละจากอ้อมกอด แหงนหน้าสบตาชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาฉ่ำน้ำ อนัตตาจ้องตอบนัยน์ตากลมใส ถ่ายทอดความรู้สึกอันแสนประทับใจนับแต่แรกที่ได้พบเจอจวบจนวันนี้ และหล่อนคงอ่านออกได้ไม่ยาก ในที่สุดหญิงสาวก็โผตัวเข้ากอด เสียงสะอื้นดังขึ้นไม่ขาดสาย นักโบราณคดีหนุ่มทำได้เพียงกระชับกอด พลางทอดสายตามองแม่น้ำไนล์สายยาว กับการบรรจบกันระหว่างเขาและหล่อน
การพบกันระหว่าง ‘อารมณ์’ และ ‘ความไม่มี’ เกิดขึ้นที่ใด...ไม่มีใครตอบได้ ไม่ใช่สิ่งชัดเจนเหมือนการบรรจบกันระหว่างแม่น้ำไนล์สองสายสู่แม่น้ำไนล์สายใหญ่
ไนล์สีขาวจากแอฟริกาตะวันออก...ไนล์สีน้ำเงินจากเอธิโอเปีย
พบกันที่ซูดาน แล้วหลอมรวมเป็นลำน้ำสายหลักผ่านอียิปต์ เป็นสักขีพยานต่อเหล่ากษัตริย์...ราชินี...และราชบัลลังก์ ก่อนจะสิ้นสุดลงที่ทะเล
และคงเป็นเช่นที่อารีสพูดเอาไว้ ชายหนุ่มจดจำได้ดี
“ต่อให้เราต้องเลิกกัน ผมก็ไม่กลัว การคบกับคุณดูเหมือนจะเป็นความทรงจำที่แสนดี ดีจนผมไม่กลัวที่จะต้องจดจำ...ถ้าเราต้องเลิกร้างกันไป”
เขานำคำพูดของหล่อนมากล่าวซ้ำ ในแบบฉบับของตนเอง ครั้นพูดจบอารีสก็ผละออกจากอ้อมกอด ส่งยิ้มพลางปาดน้ำหูน้ำตา
“คุณทำให้ฉันหัวเราะได้ตลอด” หล่อนว่าพลางยิ้ม
“ก็เหมือนคุณ” อนัตตาตอบ ส่งสายตาอ่อนหวานให้อีกฝ่าย “ทำให้ผมอ่อนใจและใจอ่อนได้เสมอ”
“ลิเก๊ ลิเก!”
ประโยคท้ายนี้หญิงสาวว่าพลางส่งค้อน กระนั้นพวงแก้มหล่อนก็แดงจัด ครั้นชายหนุ่มทัก อารีสก็ลอยหน้าลอยตาตอบได้อย่างภาคภูมิ ‘เพราะไอแดด’ แล้วทำประหนึ่งเลิกแยแส นวยนาดตามรอยหลุยส์กับวิลเลียม ซึ่งเข้าไปในพิพิธภัณฑ์สถานอัสวานก่อนหน้า
อนัตตาได้แต่ส่ายหัว ก็หล่อนเองไม่ใช่หรือที่พูดจาภาษาโรแมนติกกับเขาก่อน เปรียบโน่นเปรยนี่ พอเขาทำบ้างเพราะคาดว่าหล่อนจะชื่นชอบ หญิงสาวก็ดันมายอกย้อนจนเขาไม่รู้จะเอาใจอย่างไร
ให้ตายเถอะ! อารีส...อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล...จริงๆ
+++++++++++++++++++
ตอนนี้ลายลินินสำเร็จเป็นรูปเล่มแล้วนะครับ สามารถอุดหนุนได้ที่เว็บสถาพรบุ๊คครับ
http://www.satapornbooks.co.th/Book/BookDetail.aspx?id=1865
หรือสามารถติดตามได้ที่ร้านหนังสือทั่วไปครับผม ส่วนนวนิยายในเว็บไซต์นาถลดายังคงลงต่อให้จนจบครับ
+++++++++++++
การเดินทางจากอาบูซิมเบลสู่อัสวานใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง รถเคลื่อนขบวนออกจากโรงแรมเซติตี ๔ ถึงที่อัสวานก็ ๗ นาฬิกาไม่ขาดไม่เกิน รถที่มาส่งเป็นรถโฟล์ค สวัสดิการจากบริษัทเนบที ทั้งยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยระหว่างการเดินทาง อันที่จริงเพื่อความสะดวกง่ายดาย ทั้งคณะจะเลือกตีตั๋วขึ้นเครื่องบินมาลงที่สนามบินอัสวานก็ได้ แต่ข้อเสียอย่างหนึ่ง...คือพลาดโอกาสงามในการชื่นชมทิวทัศน์ทะเลทรายริมรายทาง ระหว่างการนั่งรถจากอาบูซิมเบลสู่ที่หมาย
ผู้ร่วมเดินทางมีด้วยกันดังที่วางแผน คือ อารีส อนัตตา วิลเลียม และหลุยส์ นอกนั้นเป็นเหล่าเจ้าหน้าที่ของเนบที ไม่ว่าจะเป็นพลขับ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือตำรวจนอกเครื่องแบบ ซึ่งบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ได้ประสานงานติดต่อ
‘เกือบ’ ทั้งหมด ล้วนคุ้นหน้า เพราะเคยพบเมื่อครั้งรับคณะสำรวจจากสนามบินอัสวานมาส่งที่อาบูซิมเบล ส่วนผู้ที่อยู่ในข่าย ‘เกือบ’ คือพลขับ นอกจากไม่คุ้นชิน หน้าตายังไม่ละม้ายชาวอาหรับอย่างที่อารีสเคยพบเห็น เขาดูเป็นหนุ่มรุ่น หน้าตากระเดียดไปทางยุโรป หากให้เดา...ดูจะคล้ายชาวอิตาเลียน ผิวเนื้อขาวจัดราวกระเบื้อง ผมหยักศกสั้นสีดำสนิท
กิริยาท่าทางไม่ได้บ่งบอกความเป็นพลขับ รูปร่างสันทัดในชุดสูท หากเอาไปอยู่ร่วมคณะเจ้าหน้าที่ตำรวจ นั่นยังพอทำเนา ด้วยบุคลิกวางเฉย หลังตรง หน้าเชิด ดูอย่างไรก็ให้ความรู้สึกถึงคนในเครื่องแบบ
อารีสเฝ้ามองหนุ่มรุ่นนายนั้นอยู่นานเนิ่น ในใจนึกสงสัยบางอย่าง หากไม่อาจหาคำตอบได้
ครั้นคิดถึงเรื่องการ 'จนด้วยคำตอบ' ต่อสิ่งที่พบ กลับทำให้นักโบราณคดีสาวหวนนึกถึงเรื่องราวก่อนขึ้นรถเดินทาง
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง ที่โรงแรมเซติ ระหว่างการรวมพลขึ้นรถโฟล์คซึ่งจัดเตรียมไว้ อนัตตากล่าวกับอารีสขณะเดินเคียงกัน สองมือถือกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมทั้งของหล่อนและของเขา
‘สวัสดิการดีเยี่ยมจนน่าใจหาย...คุณว่าไหม ทั้งคุณเกียนแล้วก็...เนบที’ สีหน้าของชายหนุ่มในเวลานั้น แสดงอารมณ์ที่อารีสยากยิ่งจะแปลความ
เยาะเย้ย...สงสัย...ไม่วางใจ...เกลียดชัง...หรืออะไรบางอย่างซึ่งหล่อนเข้าไม่ถึง
หญิงสาวเห็นพฤติกรรมดังกล่าวหลายครั้งแล้ว สงสัยอยู่ไม่น้อย หากพยายามเก็บงำไว้ลึกๆ ทว่าบ่อยเข้า...ก็...ฉุกคิด
คงมี ‘อะไร’ สักอย่าง
แต่ ‘อะไร’ หล่อนก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน คงต้องรอจังหวะงามๆ ค่อยถามกับชายหนุ่มเอา ทว่าจริงแท้แน่นอน สีหน้าและการตอบสนองของอนัตตาต่อชื่อเนบทีและอีริค เค เกียน อารีสสัมผัสได้ถึงความรู้สึกด้านลบ และนั่นเหมือนจะย้ำเตือนให้หวนคิดถึงเรื่องสร้อยข้อมือของมาดามเซติกับความฝันอันน่าสะพรึงกลัว
เนบที...มีเรื่อง ‘น่ากลัว’ แฝงอยู่
จากความคิดหนึ่ง โยงใยสู่ความคิดหนึ่ง ดังโซ่สายยาวเรียงร้อยไม่มีวันสิ้นสุด วนเวียนในหัวนานเนิ่น กระทั่งวิลเลียมยื่นอาหารเช้าในห่อกระดาษแล้วเปิดออกดู นั่นล่ะ...สิ่งที่เคยลอยวนในความคิดก็มลายหายในพริบตา
“ให้ตายเถอะ” หญิงสาวยกอาหารเช้าขึ้นหรี่ตามอง “มื้อเช้าสำหรับการเดินทางเป็นขนมปัง นายเป็นคนจัดแจงอาหารเช้าเหรอวิล”
วิลเลียมตอบรับพลางส่งยิ้ม จากนั้นจึงหันไปส่งห่อขนมปังให้หลุยส์ที่นั่งข้างๆ ก่อนจะก้มหน้าจัดการอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนอนัตตาที่นั่งใกล้อารีสขมวดคิ้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
อารีสค้อนลมค้อนแล้ง หันไปพูดกับอนัตตาด้วยภาษาไทย ส่วนหนึ่งเพราะไม่ต้องการให้วิลเลียมรู้ว่ากำลังนินทามื้อเช้าของเขาอยู่
“คุณนัตอยู่อียิปต์มาตั้งนานน่าจะรู้นะคะ” หญิงสาวเริ่มประเด็น “มื้อเช้าของคนอียิปต์ส่วนใหญ่เป็นขนมปัง รวมๆ แล้วก็มี ๔ ประเภทได้มั้ง แต่ถึงจะหลากหลายประเภทยังไง ทาเนยจนเยิ้มขนาดไหน ที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง...”
“แข็ง” อนัตตาต่อให้พลางกลั้นหัวเราะ อารีสมองแล้วก็ได้แต่ยักไหล่
“ก็นั่นซีคะ” สายตาที่จับจ้องก้อนขนมปังในมือไม่ได้บ่งบอกถึงอารมณ์รักใคร่ หากด้วยสายตาที่ห่างเหินราวสิ่งที่หล่อนไม่อยากทำความรู้จัก “ถ้าฉันไม่หิวจริงๆ คงไม่กิน”
พูดจบอารีสก็กัดเข้าคำหนึ่ง เคี้ยวตุ้ยพลางบ่นภาษาไทยไปตลอดการเดินทาง
“แข็งจนฉันคิดว่ากำลังกินก้อนหิน” หล่อนพูดพลางเคี้ยวพลาง “นี่ต้องถือคติกินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกินกันเลยนะคะ ฉันมันคนสมถะ กินอะไรก็ได้ แต่ถ้ามันไม่อร่อยก็ไม่ค่อยอยากกิน แต่นั่นล่ะค่ะ...อย่างเดียวที่ฉันกลัวคือ...อด”
หญิงสาวดูจะเมามันกับการกินแล้วบ่น อนัตตามองพลางพยายามอดกลั้นอาการขบขัน ครั้นอารีสชำเลืองมองแล้วถามเข้า ชายหนุ่มก็ตอบจนหล่อนแทบสำลักขนมปังที่พยายามกลืนลงคอ
“ก็คุณบ่นตลอดว่าไม่อร่อยบ้างล่ะ แข็งบ้างล่ะ ไม่อยากกินบ้างล่ะ แต่ดูคุณเถอะ...กินไปบ่นไป มองคุณกินทีไรคิดว่ากำลังอร่อยกับมันทู้กที” อนัตตาขึ้นเสียงสูงล้อเลียน ทำเอาอารีสนิ่วหน้าส่งค้อน หากอึดใจก็หันกลับไปจัดการขนมปังคำสุดท้าย ก่อนจะจบบทสนทนาได้อย่างเฉียบคม
“ฉันบอกแล้ว” อารีสวางปึ่ง “คนอย่างฉัน...อยู่เพื่อกิน ไม่ได้กินเพื่ออยู่”
พูดจบ อนัตตาก็หัวเราะดังลั่น มือทั้งสองกุมท้องแน่น น้ำตาเล็ดน้ำตาไหล หญิงสาวได้แต่ขมวดคิ้วมองอย่างนึกสงสัย เหตุใดเขาจึงหัวเราะมากมายนัก ทั้งที่หล่อนอุตส่าห์ทิ้งคำคมตบท้าย กระทั่งเขาเฉลยนั่นล่ะจึงถึงบางอ้อ ทำเอาหญิงสาวหน้าแดงจัด รีบหลบหน้าห่อไหล่ด้วยความอับอาย
“ตกลงคุณจะ 'อยู่เพื่อกิน' ใช่ไหม” ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะพลาง คนทั้งรถหันมอง นัยน์ตาหลายคู่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ทว่าอนัตตาไม่ได้ให้คำตอบ นอกเสียจากหัวเราะต่อจนหน้าแดงราวมะเขือเทศสุกคาต้น
++++++++++++++++
การเดินทางท่องเที่ยวคราวนี้จัดเป็นหนึ่งในสวัสดิการที่เนบทีมีให้คณะสำรวจ ทันทีที่ถึงอัสวาน วิลเลียมก็พาทุกคนไปที่โรงแรมซึ่งถูกจองไว้ภายใต้ชื่อของเนบที หรูหรา...ยิ่งใหญ่...มีระดับ ตามชื่อเสียงผู้จับจอง แม้อารีสจะเห็นใบหน้าครุ่นคิดของอนัตตาอยู่บ่อยครั้ง เมื่อได้ยินชื่อบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ หากหล่อนก็อดประทับใจไม่ได้กับการมาเยือน ‘โอลด์คาตาแร็ก’ เป็นครั้งแรก
แม้ที่อัสวานจะมีโรงแรมหรูหรามากมายผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาใช้เวลาในช่วงฤดูหนาว หรือวางแผนบุกเบิกอียิปต์และซูดานในอนาคต หากปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘โอลด์คาตาแร็ก’ อาคารสูงใหญ่สีชอกโกแลต เจือปนกลิ่นอายวิคตอเรียน ริมแม่น้ำไนล์ซึ่งทอดตัวยาวหล่อเลี้ยงสรรพชีวิต ที่นี่นับว่าเป็นโรงแรมมีระดับและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งหนึ่ง
อารีสพบสมาชิกคนอื่นในคณะสำรวจที่โรงแรมแห่งนี้ คาดเดาว่าเหล่านั้นคงมาก่อนหน้าหล่อน ในช่วงที่หล่อนนอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล แม้แต่ไอซิสกับอีริค อารีสก็ยังเห็นทั้งสองนั่งจิบน้ำชา ละเลียดอาหารว่างกันที่ระเบียงโรงแรม ทอดสายตามองแม่น้ำไนล์ กระแสลมและการล่องเรือใบอย่างรื่นรมย์
โดยเฉพาะ ‘ฝ่ายหญิง’ เมื่อเห็นหล่อนเข้า มุมปากสีเชอร์รี่สุกอันเป็นสีประจำริมฝีปากก็กระตุกยิ้มจนชวนให้โดนตบ นี่หากไม่อยู่กับอนัตตาแล้วไซร้ อารีสคงขอตัวไปจัดการสะสางปัญหาระหว่างหล่อนกับนางหน้าคอสเมติกให้รู้แล้วรู้รอด
‘คอยดูเถอะ...’ อารีสตั้งคำมั่นไว้ในใจ ‘ได้ทีเมื่อไร จะเอาคืนให้หนัก’
อารีสเชิดหน้าแล้วเลิกใยดี หันไปพินิจพิจารณาความงดงามของโรงแรมที่ให้อารมณ์ย้อนยุคสู่อดีต แม้อดีตที่โอล์ดคาตาแร็กไม่ได้ยาวนานเทียบเท่าตำนานแห่งลุ่มน้ำที่ไหลผ่าน ทว่ากลิ่นอายเก่าๆ กลับทำให้หล่อนรำลึกได้ถึงเรื่องราวของแดนไอยคุปต์ในสมัยของพระนางเนเฟอร์ตารี เรื่องราวความฝันที่ดูคล้ายความเป็นจริง ผ่านผ้าลินินโบราณ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ
คิดถึงก็ชำเลืองมองประเป๋าเดินทางใบย่อมของตนในมืออนัตตา แม้ขึ้นมาเที่ยวที่อัสวาน หล่อนก็นำมันติดมาด้วย
“จะว่าไปก็สวยไม่น้อย” อนัตตาออกความเห็น ขณะบริกรนำทางไปส่งยังห้องพัก “ติดแม่น้ำไนล์ บรรยากาศหรูหรา เนบทีนี่ลงทุนจริงๆ คุณว่าไหม”
ก็เหมือนทุกครั้งที่ชายหนุ่มมักจะพูดถึงบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ คำพูดและน้ำเสียงเป็นเอกลักษณ์ จนอารีสแน่ใจว่าต้องมี ‘อะไร’ ระหว่างอนัตตาและเนบที
ทว่าอย่างหนึ่งที่หล่อนเห็นพ้องกับชายหนุ่มคนรัก นอกจากความเก่าแก่และทรงคุณค่าของโอลด์คาตาแร็ก ที่นี่ยังมีทิวทัศน์ที่สวยงาม มองจากห้องพักซึ่งได้มุมเหมาะเจาะ จะได้ชมความงดงามยามอาทิตย์อัสดง ผ่านหมู่แมกไม้เขียวหนาตา ขับกับสีเข้มของลำน้ำใหญ่ ทอดสายตาเลยไปจะพบเกาะแก่งโขดหินอันเกิดจากการรวมตัวของหินอัคนีที่มีอยู่ทั่วลำน้ำ
โดดเด่นเป็นสำคัญ...เกาะเอเลแฟนไทน์...จุดเริ่มต้นแห่งการท่องเที่ยวของอารีส
หลังจากจัดการเรื่องเข้าพักเป็นที่เรียบร้อย วิลเลียมก็นำขบวนคนในกลุ่มออกท่องเที่ยวโดยเริ่มจากการล่องเรือใบเฟลุกกะ พาหนะซึ่งใช้ผ้าสามเหลี่ยมผูกกับเสากระโดงเรือ อาศัยแรงลมในการขับเคลื่อนไปตามลำน้ำ ซึมซับบรรยากาศโดยรอบ ก่อนจะขึ้นไปเยี่ยมชมเกาะเอเลแฟนไทน์
“ใครจะนึกครับ วันหนึ่ง...ผมจะได้ล่องเรือใบเฟลุกกะกับคนที่ผมรัก” เป็นเสียงของอนัตตาที่ดังขึ้นข้างๆหญิงสาว ส่วนหลุยส์กับวิลเลียมที่นั่งเคียงข้างกันถัดไปไม่ได้ใส่ใจมากนัก ทั้งสองยังคงทอดมองทิวทัศน์ สายน้ำ เกาะแก่งหินพร้อมรูปสลักจารึก
วิลเลียมคอยชี้ชวนให้หนุ่มแว่นดู ส่วนหลุยส์ก็ทำหน้าที่แปลอักษรภาพบนโขดหินยักษ์ มีบางครั้งที่แสงแดดจัดจ้า แผ่นหินเหล่านั้นสะท้อนแสงจนยากจะจับความอักษร หลุยส์ต้องโน้มตัวขยับแว่นเพื่อโฟกัสภาพ ทำให้ใกล้ชิดวิลเลียมไปในตัว ด้านหลังมีกัปตันเรือผิวเข้มคอยบังคับพังงาควบคุมหางเสือ ให้เรือแล่นไปตามพื้นน้ำสีน้ำเงินเข้ม
กลิ่นของแม่น้ำไนล์ทำให้อารีสสดชื่น ชุ่มชื้น หากลึกลงไปในจิตใจ หญิงสาวกลับรู้สึก...กลัว
กลิ่นลำน้ำทำให้อารีสหวนนึกถึงเรื่องของพญางูยักษ์ในความฝัน แม้ว่ามันจะตายไปแล้ว ด้วยอำนาจของเทวีบาสต์ หากทุกครั้งที่มองลงน้ำ อารีสกลับไม่สามารถเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน สีของแม่น้ำไนล์เข้มจัด ใครจะล่วงรู้ว่าใต้น้ำนั้น ‘พญางูอโบพิส’ จะมีตัวตนจริงๆ หรือไม่ หรือหล่อนกำลัง ‘กลัว’ สิ่งใดนอกเหนือจากอำนาจแห่งเทพเจ้า
หญิงสาวขยับใกล้อนัตตา ทอดสายตามองสายน้ำนิ่งสงบด้วยความหวาดหวั่น รู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่ออนัตตาโอบกระชับหล่อนเข้าแนบชิด
“กลัวเหรอครับ”
อารีสหันมอง อยากจะพูด หากก็จนด้วยคำอธิบาย
“ไม่ต้องกลัวครับ” อ้อมกอดของชายหนุ่มอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ให้ความรู้สึกปลอดภัยเหมือนคนในครอบครัว หากแตกต่างจากกอดของพ่อแม่หรือพี่น้อง ด้วยกอดของอนัตตาทำให้อารีสใจเต้นแรง “ผมอยู่ข้างๆ คุณเสมอ”
“ไม่กลัวหรอกค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าพลางยิ้มมั่นใจ หากวูบหนึ่งกลับสลดลงอย่างเห็นได้ชัด “ต่อให้เราต้องเลิกกัน ฉันก็ไม่กลัว การคบกับนัตดูเหมือนจะเป็นความทรงจำที่แสนดี ดีจนฉันไม่กลัวที่จะต้องจดจำ...ถ้าเราต้องเลิกร้างกันไป”
“อารีส!” สีหน้าของอนัตตาซีดเผือด อ้อมกอดค่อยๆ คลายลง คงเหลือเพียงการหันมารวบมือหล่อนกระชับแน่น
แน่ล่ะ...เขาคงตกใจ ตกใจกับสิ่งที่หล่อนพูด ทว่าหล่อนกำลังพูดถึงความเป็นจริง สิ่งที่ทุกคนจะต้องเผชิญ
ความไม่แน่นอน...
อารีสมองลำน้ำสายใหญ่ ทอดตัวยาวไปไกลลิบ กี่ครั้งแล้วที่ไนล์เคยรับเสด็จเทพเจ้า ขบวนแห่แหนแห่งองค์กษัตริย์ ร่วมเป็นสักขีพยานแห่งการครองอำนาจอันเกิดดับ แม้กระทั่งเป็นผู้เข้าร่วมในสนามรบ ไนล์ที่หลากไหล หลายครั้งเคยท่วมขึ้นสูง จนผู้คนต้องอพยพย้ายหนี หากก็นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์อย่างมหาศาล และบางคราวก็เคยจืดจาง เหือดแห้ง เหมือนดังจารึกบนเกาะแก่งเหนือแม่น้ำซึ่งเรือกำลังเลียบผ่าน
“โชคร้ายอันใหญ่หลวงที่แม่น้ำไนล์ไม่หลั่งไหลมาเป็นเวลาเจ็ดปี ทำให้พืชผลขาดแคลน ไม่มีผักหรืออะไรอย่างอื่นให้ประชาชนกินกันเลย” เป็นเสียงหลุยส์ที่อ่านจารึกนั้นให้วิลเลียมฟัง หากดังพอที่จะทำให้อารีสทอดหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
หญิงสาวทอดมองไนล์ ค่อยๆ ดึงมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม หล่อนไม่แม้จะหันไปมองสายตาฉงนฉงายของอีกฝ่ายซึ่งแกมไว้ด้วยความหวาดกลัว
เวลานี้อารีสกำลังพิจารณาแม่น้ำ...ความไม่แน่นอน แม้ไนล์จะยิ่งใหญ่ เป็นดังแม่น้ำสายตำนานที่ยืนยงคู่อียิปต์มานานปี หากก็มีจุดขึ้น...จุดลง...ไม่ผิดจากหล่อน
ไนล์ยังเหือดแห้ง ท่วมท้น
พีรามิดแห่งจอมคน ผุกร่อน
ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ ไร้ชีวิต
แล้วรักใดในดวงจิต จะจีรัง
ครั้งหนึ่งอารีสเคยรัก หากต้องพบกับความล้มเหลว มาคราวนี้มีโอกาสพบกับความรักอีกครั้ง หากก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว ง่ายดาย คนว่ากันว่าสิ่งที่ได้มาโดยง่ายมักจะต้องทิ้งไปโดยง่ายไม่ต่างกัน ไม่ใช่หล่อนหมดรัก หากหล่อนมองลำน้ำสายใหญ่และสะท้อนในอก
ใช่...ความหวาดกลัว แม่น้ำคือสัญลักษณ์แห่งความไม่แน่นอน...ทุกสิ่ง...อนิจจัง
*****
กัปตันโยกพังงา บังคับเรือเทียบท่าขึ้นสู่เกาะเอเลแฟนไทน์ วิลเลียมพูดคุยตกลงอะไรบางอย่าง สักพักจึงเดินทางขึ้นไปเที่ยวชมศาสนสถาน วิหารและพิพิธภัณฑ์สถานบนเกาะตามโปรแกรมที่จัดเอาไว้ ระหว่างการเดินชม วิลเลียมกับหลุยส์นำหน้าอารีสและอนัตตาไปก่อน ทั้งสองพูดคุยโต้เถียงกันไปเรื่อยๆ ตามประสานักโบราณคดี เมื่อเห็นอักษรภาพหรือหลักฐานเกี่ยวกับอดีตกาลของอียิปต์ หากอารีสกลับนิ่งสงบ แม้เท้าจะก้าวตามขบวน หากสายตากลับทอดมองลำน้ำสายยาว กระทั่งอนัตตาที่เดินข้างๆ อดรนทนไม่ไหว จึงหยุดฝีเท้า คว้าตัวหล่อนมาโอบกอด
วิลเลียมกับหลุยส์หันกลับมามอง หากอนัตตาส่งยิ้มพลางโบกมือให้เดินนำไปก่อน ทั้งสองจึงพยักพเยิดว่าง่าย ระหว่างเดินไปก็มีหัวร่อต่อกระซิก วิพากษ์วิจารณ์เรื่องชายหนุ่มกับหญิงสาวกับบรรยากาศโรแมนติกบนเกาะเอเลแฟนไทน์
ลับแผ่นหลังเพื่อนร่วมเดินทาง อนัตตาก็ถอนหายใจ ชายหนุ่มไม่ทราบว่าอารีสเป็นอะไร...และเหตุใดเขาจึงรู้สึกเหมือนถูกปล่อยคว้างให้ลอยคอกลางแม่น้ำไนล์ รอบข้างมีเพียงกอสวะเท่านั้นที่เคลื่อนผ่าน
อารีส...เป็น...อะไร
ในอ้อมกอด หญิงสาวไม่แม้แต่จะดิ้นรนขัดขืน ทั้งไม่ตอบรับกอดนั้น มือทั้งสองทิ้งลงข้างลำตัว ประหนึ่งหุ่นไม้ไร้ชีวิต
นี่คงจะนานแล้ว ที่เขาไม่ได้ใช้คำนี้กับหล่อน
อารีส...อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
อารมณ์ยามนี้คงเสมือนแม่น้ำไนล์ย่ำค่ำ สวยงาม...หาก...น่าหดหู่ หรืออาจเป็นทะเลในยามน้ำนิ่งสงบ ไร้คลื่นทั้งใต้น้ำและผิวน้ำ สงบเสียจนไม่อาจนำพาเรือไปสู่ฝั่งได้ด้วยแรงลม
“คุณโกรธผมเหรอ” อนัตตาถามขณะที่ยังกอดหล่อน ฉากหลังเป็นแม่น้ำสายยาวทอดตัวไกลลิบ ริ้วน้ำสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าเป็นสีทองระยิบระยับ แมกไม้ริมน้ำเขียวชอุ่มพุ่มหนา ฝูงนกบินร่อนไปมาท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์
“ไม่เคยโกรธ” เสียงหล่อนเครือเหลือเกิน “มีแต่รักมากขึ้น”
“แล้วเพราะอะไร?”
“เพราะ...” ดูเหมือนในอ้อมกอด หญิงสาวพยายามกลืนสะอื้น “...ไม่มีอะไรที่แน่นอน แม่น้ำไนล์ไหลผ่านแล้วเลยไป เคยเหือดแห้งแล้วท่วมขึ้นใหม่ ฉันกลัวค่ะนัต...กลัวว่ามันจะเปลี่ยนแปลง”
“โถ...เด็กน้อย” อนัตตาผ่อนลมหายใจพลางคลี่ยิ้ม ค่อยๆ บรรจงลูบเรือนผมดำขลับหยักศกทะนุถนอม เวลานี้...ภูเขาลูกใหญ่ถูกยกออกจากอกเสียที
“อย่าร้องไห้เลยครับ” สิ่งที่หล่อนกลัวไม่ต่างจากเขา อนัตตาเองก็คิดอยู่เสมอ การไม่เคยพบคนถูกใจ กับได้พบคนที่ ‘ใช่’ เพียงไม่กี่วัน ชายหนุ่มหวาดหวั่นไม่ต่างไป ทว่าชื่อของตนย้ำเตือนเสมอถึงสิ่งไม่แน่นอน “แฟนคุณชื่ออนัตตา เพราะฉะนั้นอย่าได้กลัวอนิจจัง มีโอกาสจงรักกัน แต่ขอให้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มีวันมั่นคงถาวร...ไม่เคยมีเสียด้วยซ้ำ ผมไม่อาจบอกว่าไม่ให้ยึดติด เพราะแม้ผมเองจะเป็น ‘ความไม่เคยมี’ หากก็เพียงชื่อที่ถูกตั้ง แต่ขอให้เริ่มจากรู้ว่ารักของเราคือไม่มีอะไร แล้วต่อไป...คุณอาจรับรู้...สิ่งที่ผมกำลังจะบอกกับคุณ”
อารีสผละจากอ้อมกอด แหงนหน้าสบตาชายหนุ่มด้วยนัยน์ตาฉ่ำน้ำ อนัตตาจ้องตอบนัยน์ตากลมใส ถ่ายทอดความรู้สึกอันแสนประทับใจนับแต่แรกที่ได้พบเจอจวบจนวันนี้ และหล่อนคงอ่านออกได้ไม่ยาก ในที่สุดหญิงสาวก็โผตัวเข้ากอด เสียงสะอื้นดังขึ้นไม่ขาดสาย นักโบราณคดีหนุ่มทำได้เพียงกระชับกอด พลางทอดสายตามองแม่น้ำไนล์สายยาว กับการบรรจบกันระหว่างเขาและหล่อน
การพบกันระหว่าง ‘อารมณ์’ และ ‘ความไม่มี’ เกิดขึ้นที่ใด...ไม่มีใครตอบได้ ไม่ใช่สิ่งชัดเจนเหมือนการบรรจบกันระหว่างแม่น้ำไนล์สองสายสู่แม่น้ำไนล์สายใหญ่
ไนล์สีขาวจากแอฟริกาตะวันออก...ไนล์สีน้ำเงินจากเอธิโอเปีย
พบกันที่ซูดาน แล้วหลอมรวมเป็นลำน้ำสายหลักผ่านอียิปต์ เป็นสักขีพยานต่อเหล่ากษัตริย์...ราชินี...และราชบัลลังก์ ก่อนจะสิ้นสุดลงที่ทะเล
และคงเป็นเช่นที่อารีสพูดเอาไว้ ชายหนุ่มจดจำได้ดี
“ต่อให้เราต้องเลิกกัน ผมก็ไม่กลัว การคบกับคุณดูเหมือนจะเป็นความทรงจำที่แสนดี ดีจนผมไม่กลัวที่จะต้องจดจำ...ถ้าเราต้องเลิกร้างกันไป”
เขานำคำพูดของหล่อนมากล่าวซ้ำ ในแบบฉบับของตนเอง ครั้นพูดจบอารีสก็ผละออกจากอ้อมกอด ส่งยิ้มพลางปาดน้ำหูน้ำตา
“คุณทำให้ฉันหัวเราะได้ตลอด” หล่อนว่าพลางยิ้ม
“ก็เหมือนคุณ” อนัตตาตอบ ส่งสายตาอ่อนหวานให้อีกฝ่าย “ทำให้ผมอ่อนใจและใจอ่อนได้เสมอ”
“ลิเก๊ ลิเก!”
ประโยคท้ายนี้หญิงสาวว่าพลางส่งค้อน กระนั้นพวงแก้มหล่อนก็แดงจัด ครั้นชายหนุ่มทัก อารีสก็ลอยหน้าลอยตาตอบได้อย่างภาคภูมิ ‘เพราะไอแดด’ แล้วทำประหนึ่งเลิกแยแส นวยนาดตามรอยหลุยส์กับวิลเลียม ซึ่งเข้าไปในพิพิธภัณฑ์สถานอัสวานก่อนหน้า
อนัตตาได้แต่ส่ายหัว ก็หล่อนเองไม่ใช่หรือที่พูดจาภาษาโรแมนติกกับเขาก่อน เปรียบโน่นเปรยนี่ พอเขาทำบ้างเพราะคาดว่าหล่อนจะชื่นชอบ หญิงสาวก็ดันมายอกย้อนจนเขาไม่รู้จะเอาใจอย่างไร
ให้ตายเถอะ! อารีส...อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล...จริงๆ
+++++++++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.ค. 2555, 08:46:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ค. 2555, 08:46:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1345
<< เนเบท | ไนล์ (๒) >> |