ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: ไนล์ (๒)


ตอนนี้ลายลินินวางแผงแล้วนะครับ ผมกันที่ร้านหนังสือและในงานหนังสือเด็กที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ครับผม
ที่บูธ C07 และ N01 ครับ
ท่านผู้อ่านสามารถติดตามความเคลื่อนไหวและร่วมพูดคุยเกี่ยวกับผลงานของนาถลดาได้ที่นี่ครับผม
www.facebook.com/jo.nartlada

+++++++++++

หลังจากเที่ยวชมรูปปั้นสลักเคลือบทองคำ มัมมี่แกะ ตลอดจนของมีค่าและเครื่องรางต่างๆ ในพิพิธภัณฑสถานอัสวานเป็นที่เรียบร้อย วิลเลียมพร้อมคณะก็พากันเดินออกสู่ด้านหลังของอาคารอิฐประกอบจั่วเป็นชั้นเชิง บริเวณด้านหลังร่มรื่นด้วยเงาไม้ รอบๆ ถูกจัดแต่งเป็นสวนสวย มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งทอดอารมณ์ บางทีมีน้ำชามาเสิร์ฟแลกกับเศษทิป ไม่ห่างกันเป็นหมู่บ้านเยบูโบราณ ซึ่งเหลือแต่โครงสร้างกำแพงอิฐปนโคลนของห้องนับสิบนับร้อย

“แต่เดิมหมู่บ้านเยบูถูกสร้างเพื่อเป็นศูนย์กลางถวายแด่เทพคนุม เทพผู้ควบคุมแม่น้ำครับ” อนัตตาว่าพลางจับมืออารีสลัดเลาะบริเวณโบราณสถานซึ่งเต็มไปด้วยกำแพงอิฐปนโคลน แสงแดดยามเช้าจัดจ้าอยู่ไม่น้อย หากโชคดีที่เกาะแห่งนี้ตั้งกลางแม่น้ำไนล์ ไอชื้นจากแม่น้ำจึงช่วยบรรเทาร้อนไปได้บ้าง “คนุมมีเศียรเป็นแกะตัวผู้ สวมมงกุฎจานสุริยะ เทพปกรณ์ว่าไว้ว่า เป็นเทพผู้บันดาลความอุดมสมบูรณ์ และให้กำเนิดมนุษย์ด้วยการปั้นขึ้นจากดินเหนียว เยบูโบราณถูกสร้างเพื่อเป็นศูนย์กลางของคนุม แต่โดยมากไม่ค่อยมีหลักฐานอื่นนอกเหนือจากซากกำแพงอิฐปนโคลน จารึกอย่างพวกอักษรเฮียโรกลีฟิกหรือภาพวาดต่างๆ จะพบมากที่วิหารคนุมกับไนโลมิเตอร์”

อารีสพยักพเยิด จับชายกระโปรงลินินขาวบางยกขึ้นขณะก้าวกระโดดข้ามหลุมร่อง หล่อนหันมองหลุยส์กับวิลเลียม ทั้งสองกำลังชี้ชวนกันดูหมู่บ้านเยบูโบราณไม่ต่างกัน

“เดี๋ยวเราแวะไปดูไนโลมิเตอร์กัน” อนัตตาชักชวน จากนั้นจึงหันไปร้องบอกวิลเลียมและหลุยส์ที่เดินตามหลัง พลางชี้ไปทางปลายเกาะเอเลแฟนไทน์ ที่ตั้งของไนโลมิเตอร์สมัยอียิปต์โบราณ

ทั้ง ๔ เดินทางไปที่ไนโลมิเตอร์ เป็นนวัตกรรมสมัยโบราณที่แสนอัจฉริยะ ต้องเป็นวิศวกรที่มีความสามารถและสติปัญญาอย่างยิ่ง จึงนำหินต่อเป็นโครงสร้างจนกลายเป็นขั้นบันไดทอดยาวสู่อุโมงค์แคบๆ ลงแม่น้ำ แต่ละขั้นมีการสกัดเป็นเส้นมาตรวัดอย่างละเอียดถี่ถ้วนบนผนังหิน เสมือนไม้บรรทัดเถนตรง สำหรับการบอกระดับของน้ำในแม่น้ำไนล์

“ไนโลมิเตอร์ที่นี่ต่างจากไนโลมิเตอร์บนเกาะรอว์ดะห์ที่กรุงไคโรครับ” อนัตตากลายเป็นมัคคุเทศก์ไปโดยปริยาย ทุกคนตั้งใจฟัง ไม่ได้ขัดจังหวะ มีบางครั้งที่หลุยส์หรือวิลเลียมเสริมขึ้นมาบ้าง ตามความสันทัดในเรื่องนั้นๆ ของแต่ละคน

“ไนโลมิเตอร์บนเกาะรอว์ดะห์ที่ไคโรเป็นสถาปัตยกรรมของมุสลิม จากยุคอับบาสิด เป็นยุคที่มีสถาปัตยกรรมในรูปแบบเสาหินตั้งสูงขึ้นจากหลุมพร้อมบันไดวน ข้างในเขาจะกรุด้วยกระเบื้องจากตุรกี” อนัตตายังคงอธิบายต่อ ขณะที่อารีสลอบมองเพื่อนหนุ่มจูงมือหลุยส์เดินนำหน้าลงอุโมงค์แคบซึ่งทอดตัวสู่แม่น้ำ “แต่ที่นี่เป็นของอียิปต์แท้ๆ มีแต่งานหินสกัด ตั้งแต่ราชอาณาจักรเก่า เชื่อไหมครับ...ชาวอียิปต์มีการจับตาดูการขึ้นลงของแม่น้ำไนล์จริงๆ จังๆ มาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว เป็นหน้าที่สำคัญของผู้ว่าการเมืองเอเลแฟนไทน์เลยล่ะ”

อารีสพยักพเยิด เดินตามวิลเลียมและหลุยส์โดยมีอนัตตาคอยจูงมือประคอง ครั้นมาถึงระดับน้ำด้านล่าง สิ่งที่หญิงสาวได้เห็นคือความสะอาด แผ่นน้ำสะท้อนแสงแดดเป็นริ้วสีทองระยับ ใสจนมองเห็นตะไคร่เขียวครึ้มที่จับอยู่บนหินวัดระดับใต้น้ำ

“เขาจะมีการอ่านค่าเป็นกิจวัตร แล้วส่งข้อมูลไปยังส่วนต่างๆ ที่เหลือของประเทศ” วิลเลียมต่อให้ “ทำให้คนที่รับผิดชอบเรื่องการเพาะปลูกและดูแลแม่น้ำลำคลองรู้ล่วงหน้าถึงที่สิ่งที่ต้องเผชิญ ส่วนผู้บริหารก็สามารถประเมินภาษีได้”

“คนสมัยก่อนฉลาดจัง” อารีสออกความเห็น “มีนวัตกรรมมากมายที่แม้แต่คนสมัยนี้ก็คิดไม่ถึงในบางเรื่อง”

“แต่อารยธรรมมีเกิดก็ต้องมีดับไม่ใช่หรือครับ” อนัตตาที่ยืนข้างๆ พูดขึ้น วิลเลียมกับหลุยส์หันมอง คิ้วขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย หากหญิงสาวกลับถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มบางๆ ให้ชายหนุ่ม

“นั่นซีคะ” หล่อนตอบรับ รับรู้ถึงสิ่งที่อนัตตากำลังพูดถึง “เหมือนแม่น้ำไนล์ มีขึ้น...ย่อมมีลง”

การสนทนาภาษาอังกฤษด้วยปรัชญาทางตะวันออก อาจเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเข้าใจได้ยากสำหรับหลายๆ คน โดยเฉพาะวิลเลียมและหลุยส์ หากอารีสไม่ได้ขยายความสิ่งใดต่อ นอกเสียจากทอดสายตามองริ้วน้ำสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับนั้น...อย่างสงบ

++++++++++++++

หลังจากเดินชมไนโลมิเตอร์พร้อมถ่ายภาพจนเป็นที่พอใจ เหล่านักโบราณคดีก็เดินทางไปสู่วิหารคนุม สักการสถานของเทพแห่งสายน้ำและความอุดมสมบูรณ์

การเข้าชมวิหารคนุมค่อนข้างทุลักทุเล เนื่องจากวิหารดังกล่าวเป็นวิหารที่อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดิน เมื่อถูกขุดค้นพบ คณะสำรวจต้องขุดดินลึกลงไปอีก กลายเป็นวิหารในแอ่งหลุม มีการสร้างบันไดทางลงสู่พื้นที่วิหารเพื่อเข้าชมอย่างเป็นมาตรฐาน หากก็ชันในระดับหนึ่ง

ทว่าในความลำบาก...ยังมีข้อดีอยู่

การมาเที่ยววิหารคนุมแห่งนี้ ทั้ง ๔ สามารถใช้ตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งอัสวาน นำมายื่นเพื่อเข้าชมวิหารแห่งเทพคนุมได้อีกต่อ

อนัตตาและวิลเลียมดูจะคล่องแคล่วว่องไวเมื่อต้องเดินลงบันไดลาดชันสู่วิหารหิน ผิดกับอารีสและหลุยส์ที่ดูเก้งก้างเกะกะ จะล้มไม่ล้มอยู่กับบันไดขั้นถัดไปขณะก้าว ตัวหลุยส์เสียที่ฝุ่นดินเริ่มจับแว่นสายตา จนชายหนุ่มต้องเช็ดแว่นบ่อยขึ้น เวลาเดินก็ต้องขยับแว่นเป็นระยะเพื่อโฟกัสภาพ

ส่วนความลำบากของอารีส...เกิดจากเสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนๆ

เสื้อลินินกรุยกรายกับชายกระโปรงเป็นริ้วมักไหวพะเยิบไปมาระขั้นบันไดด้านหลัง ครั้นนักท่องเที่ยวอื่นเดินตามติดก็พลอยเหยียบเข้าจนหล่อนหวิดล้มคว่ำ กระนั้นหญิงสาวก็ไม่สู้จะยอมรับความผิด ยังคงค้อนลมค้อนแล้ง มีบางครั้งลอบชำเลืองพลางตวัดสายตาไม่พอใจให้ผู้บังอาจมาเหยียบชายกระโปรงลินินจนเปรอะเปื้อน

“อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิคุณ” อนัตตาว่าพลางยื่นมือให้หล่อนจับ ขณะหญิงสาวยกชายกระโปรงแล้วก้าวลงบันได “ผมตามอารมณ์คุณไม่ทันจริงๆ รู้ไหม ตอนออกเดินทางยังบ่นไปกินไป พอเช้าหน่อยก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ นี่จะสายแล้วอารมณ์จะเปลี่ยนอีกเหรอ”

อารีสฟังแล้วก็ส่งค้อนกระเง้ากระงอด หากลึกลงในใจ...กลับรู้สึกอย่างที่อนัตตาพูดไม่ผิด บางครั้งหล่อนก็มานั่งเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หล่อนปรารถนาความนิ่งสงบเหมือนอนัตตา ใจเย็นได้อย่างที่หลุยส์เป็น แต่อารีสก็คืออารีส หญิงสาวที่มีอารมณ์ขึ้นลงเหมือนแม่น้ำ....ทะเล...มหาสมุทร

เหล่านี้อยู่เหนือเหตุผลวันยังค่ำ

ผ่านบันไดลาดชันลงมา สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าก็คือวิหารบูชาเทพแห่งสายน้ำ ศาสนสถานดังกล่าวเป็นวิหารหินแกรนิตทรงสี่เหลี่ยม มีเสาไพลอนต้นใหญ่ค้ำหลังคาหิน แต่ละต้นเรียงรายเป็นระเบียบ ด้านหน้ามีเทวรูปเทวีเซคเมต สิงหเทวีประทับยืนเป็นสง่า บริเวณลานรอบนอกปรากฏเศษซากความทรงจำของโบถส์แบบโรมันหลงเหลืออยู่

๔ นักโบราณคดีสลับหมุนเวียนกันถ่ายภาพ ทั้งยังพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับสถานที่ดังกล่าวอย่างสนุกสนาน ขณะที่นักท่องเที่ยวรอบข้างสวนทางขวักไขว่ ส่วนหนึ่งถ่ายภาพภายนอก บางส่วนแยกตัวเข้าไปชื่นชมความงามภายใน

กระทั่งโพสท่าข้างเทวีเซคเมตกับอนัตตาแล้ว อารีสพร้อมกลุ่มเพื่อนก็ลัดเลาะเหล่านักเดินทางคนอื่นเข้าไปสู่สักการสถานชั้นใน แม้จะเคยพบเจอมาบ้าง หากความตื่นเต้นตระกานตายังคงแทรกอยู่ทุกอณูเนื้อวิหารแห่งคนุม

ตามผนังหินแกรนิตมีอักษรเฮียโรกลีฟิกเรียงราย สลับกับภาพกษัตริย์ถวายบรรณาการต่อเทพคนุม หลุยส์รับอาสาแปลความให้เพื่อนในกลุ่มฟังอย่างช่ำชอง น้ำเสียงและจังหวะจะโคนการอ่านเป็นไปอย่างราบรื่น แม้วิลเลียมที่ยืนข้างๆ ยังชมไม่ขาดปาก จนอารีสต้องยกมือห้าม เพราะต้องการฟังคำอธิบายจากหลุยส์มากกว่าคำเยินยอของเพื่อนหนุ่มที่มีต่อคู่รัก

“ภาพที่ทุกคนเห็นเป็นภาพของฟาโรห์ทุตโมซิสที่ ๓” หลุยส์ชี้บริเวณภาพสลักของฟาโรห์และเทพคนุม ลากนิ้วเป็นวงรีตามกรอบล้อมอักษรภาพซึ่งอยู่เหนือภาพสลักนูนสูงของกษัตริย์ “ในคาร์ทูช เครื่องหมายวงรีล้อมชื่อของฟาโรห์เอาไว้ ทุตโมซิสที่ ๓ กำลังทำการถวายบรรณาการแด่เทพคนุม ส่วนภาพถัดไปเป็นภาพคนุมมอบความอุดมสมบูรณ์และอังค์...แก่กษัตริย์”

หลุยส์ยังคงอธิบายต่อ มีวิลเลียมซึ่งยืนอยู่ข้างๆ คอยให้กำลังใจไม่ขาดสาย และเพราะความรำคาญเพื่อนหนุ่ม หญิงสาวจึงตัดสินใจแยกตัวออกไปชมส่วนอื่นๆ ในวิหารแทน

อารีสแยกตัวมาอยู่ท่ามกลางกระแสชนภายในวิหาร ทอดสายตามองเสาไพลอนสลักเสลาอักษรเฮียโรกลีฟิกและภาพงดงาม เบื้องล่างคือกกปาปิรุส...สัญลักษณ์แห่งอียิปต์ล่าง ยอดเสาสลักเป็นดอกบัว...สัญลักษณ์แห่งอียิปต์บน ผสมผสานกลมเกลียวค้ำยันวิหารเทพอันมั่นคง ครั้นแหงนมองเพดาน บนนั้นเต็มไปด้วยรูปภาพแห่งจักราศี ตามความเชื่อของกรีกโบราณ

อียิปต์...กรีก...มีความเหมือนแม้แตกต่าง

เทพคือผู้สร้าง...บางองค์...หนึ่งเดียวกัน

แม้แรกเริ่มอาจไม่ใช่ หากเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ความเปลี่ยนแปลงเข้ามาเยือน ผู้ริเริ่มคือทุตโมซิสที่ ๓ หากต่อเติมอีกหลายครั้งหลายคราด้วยฟาโรห์อีกหลายพระองค์ จบลงที่ฝีมือจักรพรรดิโรมัน

อเลกซานเดอร์ที่ ๔ โอรสแห่งพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราช...จักรพรรดิออกุสตุส ซีซาร์ หรือ ออคตาเวียน...และจักรพรรดิทราจัน

แสดงให้เห็นถึงความชัดเจน ‘โรมัน’ ไม่ต้องการทำลายความมีอยู่เดิมแห่งอียิปต์ หากพยายามแทรกซึมความเป็นตัวตนสู่อียิปต์

อารีสยังคงเดินไปเรื่อยๆ ทอดสายตามองศาสนสถานรอบตัว กระทั่งเหลือบไปพบใครบางคนข้างเสาไพลอนต้นหนึ่ง

ใครคนนั้นอาจไม่สำคัญจนหล่อนต้องหยุดขมวดคิ้วแล้วหรี่ตามอง อาจไม่จำเป็นจะต้องพรั่นพรึงในอก หากไม่ได้จดจ้องหล่อนเขม็ง...ไม่วางตา ทว่าแวบเดียวเท่านั้น เพราะจากนั้น ‘ใคร’ ก็ค่อยเคลื่อนหลบไปข้างหลังเสาไพลอน

อารีสหันกลับไปมองกลุ่มเพื่อน ทั้งสามหนุ่มยังคงเดินทอดน่องชมวิหารแห่งเทพคนุมอย่างใจเย็น ไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าหล่อนปลีกตัวออกมาตอนไหน ส่วนตัวหญิงสาวยังคงข้องใจ ลึกๆ หวาดกลัว หากอีกใจกลับกล้าบ้าบิ่น

‘คนตั้งมากภายในวิหาร คงไม่มีใครกล้าทำอะไร’ อารีสคิดพลางสูดลมหายใจเรียกความกล้า จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปดูหลังเสาไพลอนต้นดังกล่าว

ทว่า...ไร้วี่แวว

เมื่อครู่หล่อนเห็น หน้าตาคล้ายคลาจะรู้จัก ครั้นหันหลังกลับก็พบอีกครั้ง

เขาอยู่ห่างออกไปที่หน้าทางเข้าวิหาร ใครคนนั้นยืนนิ่งท่ามกลางผู้คน สวมแว่นกันแดดบดบังสายตา ทว่าอารีสรับรู้ เขามองมาที่หล่อน บุคลิกท่าทางดูคุ้นชินนัก เป็นชายหนุ่มรุ่น ผิวขาวราวกระเบื้อง ผมหยักศกสั้นดำสนิท รูปร่างสันทัดในชุดคลุม

แล้วทันทีที่แว่นดำถูกปลด หัวใจนักโบราณสาวก็หล่นวูบลงแทบพื้นวิหาร

นัยน์ตาสีแดงจดจ้อง หญิงสาวนิ่งงัน แม้อยากขยับก็ทำไม่ได้ ดวงนัยน์คู่นั้นให้ความรู้สึกถึงการคุกคาม...เลือดเย็น...และเปลวไฟ แม้เป็นหนุ่มรุ่น คาดเดาจากใบหน้า อายุคงน้อยกว่าหล่อน แต่เพราะอะไร...อารีสจึงรู้สึกว่า ‘ยิ่งใหญ่’ กว่าที่คิด

ดูเหมือนเสียงผู้คนรอบข้างจะเริ่มแปร่งพร่า ราวการพูดผ่านห้วงน้ำ อื้ออึงไม่ได้ศัพท์ ความเย็นเยียบบาดลึกเข้าข้างใน กระทั่งความอบอุ่นแผ่ซ่านจากฝ่ามือ ทุกอย่างที่เคยมีก็มลายหายในฉับพลัน

“อารีส!” เสียงนั้นปลุกหญิงสาวจากภวังค์ความคิด ครั้นหันไปมอง ก็พบอนัตตายืนอยู่ข้างๆ กำลังจับมือหล่อนเอาไว้แน่น วิลเลียมและหลุยส์ยืนอีกข้าง สีหน้าแสดงความสงสัย

“เธอเป็นอะไรไปอารีส” เพื่อนหนุ่มถาม หากหญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่นัยน์ตายังคอยชำเลืองหา ‘ใคร’ บางคน

“ไม่มี”

คำว่า ‘ไม่มี’ ของอารีสหมายถึงหนุ่มรุ่นคนนั้น ไม่มีแล้ว...เขาหายไป...พร้อมนัยน์ตาสีแดงที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึง อันตรธานราวไม่เคยมีตัวตน

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว” วิลเลียมพูดต่อพลางโอบไหล่หลุยส์ ขณะที่หลุยส์ได้แต่ปรายหางตามองอีกฝ่ายอย่างนึกหมั่นไส้ “เดี๋ยวเราจะได้ลงเรือแล้วไปเที่ยวเกาะคิตเชอเนอร์กัน ที่นั่นมีสวนพฤกษศาสตร์ ถ่ายรูปน่าจะสวยทีเดียว”

อารีสพยักพเยิดพลางคลี่ยิ้ม หากลึกๆ หล่อนยังคงครุ่นคิด

‘ใคร’ ติดตาม...และ...ต้องการ ‘อะไร’

อารีสหันซ้ายแลขวามองหาบุคคลที่พบเมื่อครู่อีกหน ทว่าก็เหมือนเช่นเคย...ไม่มี แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจแน่ใจตัวเองว่าเป็นความจริง หรือเพียงภาพลวงจากไอแดดอันร้อนระอุ

วิลเลียมนำขบวนออกจากวิหารคนุม เตรียมเดินทางไปขึ้นเรือใบเฟลุกกะล่องแม่น้ำไนล์สู่เกาะคิตเชอเนอร์ สถานที่ลือชื่อเรื่องของสวนสวยกับการเดินเล่มยามบ่าย ท่ามกลางทางเดินอันหนาแน่นด้วยหมู่แมกไม้และกลิ่นหอมในอุทยานพฤกษศาสตร์

ระหว่างวิลเลียมนำทางพาคณะขึ้นบันได อารีสถอนหายใจหนักหน่วง ตัดสินใจเลิกคิดเรื่องฟุ้งซ่าน พยายามเข้าข้างตนเองว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงจากไอร้อนของแดดจ้ากลางเมืองอัสวาน ทว่าในความเป็นจริง บุรุษหนุ่มในชุดดำยังคงอยู่ ยืนนิ่งท่ามกลางฝูงชน จับจ้องหญิงสาวในกลุ่มนักโบราณคดีขึ้นบันได นัยน์ตาของเขาเป็นสีดำ หากยามเมื่อต้องแสงอาทิตย์ กลับแดงจัด วาววับราวสีเลือด

+++++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ค. 2555, 10:25:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2555, 10:25:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1354





<< ไนล์ (๑)   ไนล์ (๓) >>
evelover 11 ก.ค. 2555, 12:25:45 น.
หายไปนานเลยนะคะ รอทุกวันเลย


นาถลดา 11 ก.ค. 2555, 21:12:37 น.
ขอโทษด้วยนะคร้าบ แหะๆ ช่วงนี้เร่งรีไรท์งานจนนิยายไม่ได้อัพเดตเลยครับ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account