วังวนริษยา
แรงรัก แรงริษยา เกาะเกี่ยวเวียนวนจากอดีตสู่ปัจจุบัน
วังวนแห่งพิษรัก ยังคงโอบรัดสิ่งเหล่านี้ให้คงอยู่ และ รอคอยอยู่ที่...เรือน เจ้านาง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๓ วรรค ๑

ตอนที่ ๓

เช้าแล้ว...ปรียากลับมายังบ้านของบิดาอีกครั้งเพื่อจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตามปกติ หลังการมาถึงวันแรก หญิงสาวได้ตั้งโปรแกรมเอาไว้ว่าจะออกไปเยี่ยมเยือนหาเหล่าเพื่อนๆ ที่จากกันไปนานกว่าห้าปี

ปานนี้ไม่รู้ว่าพวกนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง เธอเหล่านั้นจะยังจำเธอได้อีกหรือเปล่านะ...

โดยเฉพาะจันทร์เจ้า จักจั่น ตาลแก้ว และแวววรรณ ที่เมื่อก่อนสมัยเรียนมัธยมของโรงเรียนเดิม กลุ่มของเธอมีทั้งหมดห้าคนด้วยกัน ซึ่งคบกันมาตั้งแต่เด็กๆ ความสนิทแนบแน่นจึงมีมาก แต่เมื่อเธอมีปัญหากับครอบครัว และเลือกจะเดินทางลงไปเรียนต่อยังกรุงเทพฯ การติดต่อกับเหล่าเพื่อนๆ จึงขาดหายไปด้วย

ไม่รู้ว่าเวลานี้เหล่าเพื่อนๆ ของเธอจะยังอยู่กันจนครบเซตอย่างเมื่อก่อนอีกหรือเปล่า

เดินเข้ามาในบ้าน ปรียาก็พบกับบิดา ซึ่งเป็นคนที่ตื่นเช้าจนเป็นปกติ

พอเห็นบุตรสาวเดินเข้าบ้านมา คุณปรีชาจึงเข้าไปถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วงในทันที “เมื่อคืนลูกไม่ได้เข้ามานอนในบ้านหรือ แล้วไปนอนที่ไหนน่ะ”

“แป้งไปนอนที่เรือนคุณยายค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม หากก็พยายามคลี่ยิ้มส่งให้บิดา

“เรือนเจ้านาง...ยังไม่ได้เก็บกวาดนี่ แล้วลูกจะนอนได้ยังไงกัน”

“แป้งเก็บกวาดในส่วนที่เป็นห้องนอนเท่านั้นค่ะ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แค่เก็บกวาดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แป้งไม่ใช่คนเรื่องมากคุณพ่อก็รู้นี่คะ ที่ไหนที่พอจะนอนได้แป้งก็นอน”

“พ่อรู้ว่าเราไม่เรื่องมาก ป่ะ ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าได้ละ เดี๋ยวค่อยลงมาทานข้าวกัน” ผู้เป็นบิดายิ้ม เขายกมือขึ้นยีเส้นผมสลวยของบุตรสาวอย่างแสนรัก

ขณะปรียายิ้มตาม เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นรอยยิ้มที่มีความสุขของบิดา นับตั้งแต่จำความได้ น้อยครั้งนักที่เธอเห็นรอยยิ้มนี้

“ถ้าอย่างนั้นแป้งขอตัวก่อนนะคะ” เธอบอกและพอบิดาพยักหน้าจึงเดินจากไปในทันที

****

“เมื่อคืนหนูแป้งไปนอนที่ไหนมาคะ ไม่เห็นเข้าบ้าน” คุณกชกรสวมบทแม่เลี้ยงผู้แสนดีอีกครั้ง หลังจากที่เห็นปรียาเดินขึ้นชั้นสองของบ้านไป เธอจึงเดินเข้ามาหาสามีและถามอย่างใคร่รู้ในทันที

“นอนที่เรือนเจ้านางน่ะ” คุณปรีชาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะขยับเข้าไปนั่งในห้องรับแขก ภรรยานอกสมรสที่สามารถทำให้ตนเองเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ในที่สุดจึงตามเข้าไปนั่งด้วย

“ไปนอนได้ยังไงกันคะ ใครๆ เค้าก็ว่าผีเฮี้ยนนัก” คุณกชกรทำท่าขนลุกขนพอง หรือนังนั่นจะสติแตกที่เถียงกับเธอจนไม่กลัวแม้กระทั่งผี

“แต่หนูแป้งไปนอนเมื่อคืนก็ไม่เห็นบอกว่าเจอนี่ คุณกับคนแถวนี้ก็พากันคิดมากไป หาว่านู้นนี่เป็นวิญญาณของเจ้าแก้วคำแปงบ้าง ปิ่นเงินบ้าง ทั้งนางแก้วเกื่อนอีก ที่คิดน่ะพากันคิดไปเองทั้งนั้น อย่างผมก็ไม่เคยเจอสักครั้ง ไม่มีหรอก ผีมันไม่มีในโลกอยู่แล้ว”

คุณปรีชาพูดแก้ต่างให้กับบุตรสาว ก็เพราะคนแถวนี้คิดกันแบบนี้น่ะสิ จึงได้เกิดเรื่องราวความเชื่อที่สร้างความเข้มขลังให้กับเรือนเจ้านางขึ้น

มีคนเจอผี ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าเจอกันจริงๆ หรือไม่ แล้วก็พากันเล่าต่อๆ กันไป ใส่สีตีไข่จนเป็นเรื่องลามไปจนทั่วทั้งจังหวัดว่าเรือนเจ้านางแก้วคำแปงในอาณาเขตบ้านของอดีตผู้ว่าปรีชา มีผีเฮี้ยน

แถมผีที่เฮี้ยนนั้นไม่ใช่ใคร ก็คือคนที่อยู่ใกล้ๆ ตัวของเขา หรือจะพูดอีกแบบหนึ่งก็คือผีของอดีตภรรยาของเขาซึ่งตายบนเรือนหลังนั้น

“คุณไม่เคยเจอ แต่บัวเคยเจอนี่คะ” คืนนั้นหล่อนยังจำได้ดี แถมยังติดตามาจนถึงปัจจุบันให้ขนพองจนทำให้เธอไม่กล้าก้าวเท้าเข้าไปยังเรือนหลังนั้นอีกเลย

“คุณบัวอาจจะตาฝาดไปเองกระมัง เจอแค่ครั้งเดียว แถมยังเป็นอะไรก็ไม่รู้ ยังหาว่าผีเผอ ปานนี้เจ้าแม่กับเจ้าปิ่นเงินต่างก็ไปเกิดกันแล้วล่ะ”

“แต่บัวเจอจริงๆ นี่คะคุณพี่ ถ้าไม่ใช่ผีนัง เอ่อ เจ้านางปิ่นเงิน แล้วจะเป็นผีของใครล่ะคะ คุณพี่ปิ่นเงินโกรธบัวที่บัวทำความผิด ในวันนั้น”

แสร้งพูดเสียงเศร้า เช่นเดียวกับแววตาที่แกล้งทำให้เศร้าหวังเพื่อให้สามีเห็นใจกับความไม่ตั้งใจของเธอที่จะทำให้เกิดเรื่องเหล่านั้น

ทว่า...ใครจะไปรู้ได้เท่ากับตัวของคุณกชกรเอง แผนการในวันนั้นเป็นสิ่งที่เธอพึงใจมากที่สุด

มันเป็นความสาสมใจที่เธอสามารถเอาชนะนังเจ้านางชั้นปลายแถวอย่างเจ้าปิ่นเงินได้...

****

วันนั้น...เป็นงานเลี้ยงฉลองของท่านผู้ว่าปรีชาหลังจากได้รับรางวัลผู้ว่าดีเด่น ด้วยการเริ่มทำงานที่นี่เพียงแค่สองปีเท่านั้น

แขกผู้มีเกียรติต่างทยอยกันเข้ามาในงาน และร่วมแสดงความยินดีกับท่านผู้ว่าปรีชาและภรรยา ซึ่งผู้คนในจังหวัดนี้ต่างรู้จักเป็นอย่างดี เพราะเจ้าปิ่นเงิน เป็นธิดาเพียงคนเดียวของเจ้านางแก้วคำแปงราชธิดาองค์เล็กเจ้าผู้ครองนครน่าน

ท่านมาทำงานที่จังหวัดนี้เพียงแค่ปีเดียว ก็ได้รู้จักกับเจ้านางผู้นี้ ผ่านเพื่อนสนิทซึ่งเป็นญาติกับเจ้านางสาว แล้วงานแต่งงานก็เกิดขึ้นในปีนั้น

เจ้าปิ่นเงินเป็นดั่งนางแก้วที่คอยช่วยเหลืองานของสามีมาตลอด จนในปีนี้ท่านผู้ว่าได้รับรางวัลดีเด่น เบื้องหลังทั้งหมดก็เพราะจากผู้หญิงเก่งคนนี้เช่นกัน

แม้จะเป็นคนเงียบๆ ทว่าเจ้าปิ่นเงินกลับทำหน้าที่แม่ศรีเรือนที่ดี ทั้งช่วยงานสามีในด้านต่างๆ กระทั่งการเดินทางไปยังอำเภอที่ทุรกันดาร เจ้านางปิ่นเงินก็เดินทางไปเคียงข้างสามีเสมอ

ท่ามกลางความยินดีของทุกคนโดยรอบ หากยังมีใครคนหนึ่งเก็บซ่อนความไม่พอใจนี้ให้ลึกมากที่สุด และตัดสินใจเดินทางมาร่วมงานนี้ในทันที

การเปิดตัวของ ‘อดีต’ คู่หมั้นของคุณปรีชา ท่านผู้ว่าหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ ถึงกับสร้างความแปลกใจและตกใจให้กับตนเองเป็นยิ่งนัก

เขาเคยพูดเรื่องนี้กับคุณกชกรแล้วว่า ระหว่างเขาและเธอมันจบลงไปแล้ว เพราะเขาเห็นเธอเป็นได้แค่น้องสาวเท่านั้น และเพราะคำนี้กระมัง ที่ทำให้คุณกชกรไม่พอใจและอยากจะเห็นหน้าของนังผู้หญิงที่คนซึ่งเธอหมายมั่นปั้นมือว่าคือสามีของตนเองในอนาคตดั้นด้นติดตามมาหาในทันที

“ยินดีด้วยนะคะ คุณพี่ปรีชา”

เสียงแหลมเล็กของอิสตรีวัยย่างเข้าเลขสาม ทั้งร่างเพรียวสูงระหง ซึ่งก้าวออกมายืนเด่นกลางฝูงชนทำให้คุณปรีชาเบิกตาอย่างไม่เชื่อกับการมองเห็นของตนเองในทันที

“น้องบัว...”

“บัวดีใจมากที่สุดเลยค่ะที่คุณพี่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ยินดีด้วยนะคะ” หญิงสาวคลี่ยิ้ม เรียวปากสวยแย้มยิ้ม ก่อนดวงตาสวยเฉี่ยวจะตวัดมองผู้หญิงอีกคนซึ่งยืนอยู่ข้างๆ กับคุณปรีชา

“นี่คงจะเป็นเจ้านางปิ่นเงิน ภรรยาของคุณพี่สิคะ สวยสมคำร่ำลือจริงๆ นะคะ”

“ปิ่นก็ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณค่ะ คุณ” เจ้าปิ่นเงินคลี่ยิ้ม แม้ว่าลึกๆ เธอจะสัมผัสได้ถึงกระแสบางอย่างที่ไม่น่าไว้วางใจก็ตาม

“กชกรค่ะ เรียกน้องว่าบัวก็ได้นะคะ คุณพี่”

“ยินดีค่ะ คุณบัว”

****

กชกรในช่วงของสาวใหญ่วัยย่างเลขสาม กรอบหน้าของเธอนั้นสวยได้เพราะแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพงลิบ ดวงตาซึ่งขีดจนเขียวเข้มตวัดมองร่างของผู้หญิงอีกคนซึ่งอยู่ในชุดผ้าฝ้ายพื้นเมือง ยืนพูดคุยกับเหล่าแขกเหรื่อเคียงข้างสามีด้วยประกายตาซึ่งมีความริษยาอันแรงกล้าลุกโชนอยู่ในนั้น

“ฉันไม่ยอมให้หล่อนยืนอยู่เคียงข้างคุณพี่ปรีชานานนักหรอก สักวัน คนที่จะยืนเคียงข้างกับคุณพี่ จะคือฉัน ฉันคนเดียวเท่านั้น นังปิ่นเงิน”

เธอเค้นเสียงลอดไรฟัน มือซึ่งถือแก้วไวท์ทรงสูงบีบมันจนแน่น หากว่าแก้วใบนั้นคือคอของเจ้าปิ่นเงิน เธอก็จะขอบีบมันให้สุดกำลังให้มันตายๆ ไปเสียได้ก็จะยิ่งดี

ดวงตาซึ่งลุกโชนด้วยไฟริษยา เลื่อนมองไปทั่วทั้งงาน ก่อนจะเห็นหญิงอีกคนหนึ่งอุ้มเด็กทารกวัยน่าจะไม่เกินหนึ่งขวบเสียด้วยซ้ำ เดินตรงเข้าไปหาท่านผู้ว่าปรีชาและภรรยาซึ่งยืนอยู่

เธอรู้ได้ในทันทีว่านั่นคือลูกสาวของนังปิ่นเงินกับปรีชา หากว่าข่าวที่เธอให้คนไปสืบนั้นไม่ผิดไปจากนั้นจริงๆ

“สักวัน...สักวัน ฉันจะเขี่ยแกให้ไปนอนอยู่ข้างถนน นังปิ่นเงิน ทั้งลูกของแกด้วย นังพวกมารหัวใจ...”

เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ไปมากกว่านั้น กชกรจึงได้แต่เม้มเรียวปากแน่นสนิท ประกายตาทั้งสองข้างยิ่งลุกโชนไปด้วยเพลิงริษยาซึ่งมีอยู่ในหัวใจ

****

แม่เอี่ยมอุ้มคุณหนูปรียาเดินผ่านมาตรงที่กชกรยืนอยู่ เธอจึงหันไปเรียกให้เดินเข้ามาหา

“แม่เอี่ยม เดี๋ยวก่อน ฉันอยากจะเห็นหน้าหนูแป้งชัดๆ ไหนขอดูหน่อยซิจ๊ะ วันงานก็ดูไม่ถนัดคนพากันมาดูเยอะกันจริงๆ”

หลังได้ยินคำนั้นแม่เอี่ยมจึงหันไปตามเสียงเรียกด้วยรอยยิ้มบางและเดินเข้าไปหาสาวกรุงเทพฯ คนนั้นในทันที

“น่าเกลียดน่าชัง จริงๆ นะคะ” คำพูดซึ่งกลั่นมาจากหัวใจที่ลึกสุดขั้วดังขึ้น ก่อนคนพูดจะเอื้อมมือเข้าไปรับเด็กหญิงตัวน้อยมาอุ้มเอาไว้

“ฉันขออุ้มหนูแป้งหน่อยนะ แม่เอี่ยมมีอะไรก็ไปทำก่อนเถอะเดี๋ยวฉันช่วยดูหนูแป้งให้”

“จะดีหรือคะคุณ...” แม่เอี่ยมยังลังเล เพราะเจ้านายสั่งการให้เธอดูแลเด็กหญิงปรียาอย่างใกล้ชิด

“เถอะน่า ฉันจะช่วยดูหนูแป้งให้ มาอยู่บ้านท่าน ถ้าไม่ช่วยดูแลกันก็กระไรอยู่”

กชกรหาเหตุผลซึ่งนางเอี่ยมไม่สามารถปฏิเสธได้ในที่สุด ก่อนนางจะตัดสิใจเดินกลับไปทางห้องครัวเพื่อทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ แล้วค่อยกลับมาดูคุณหนูแป้งอีกครั้ง

หลังแม่เอี่ยมเดินลับตาไป แววตาซึ่งมองหนูน้อยของกชกรก็พลันเปลี่ยนไปในทันที

“นังเด็กมารหัวใจ ฉันเกลียดแก รู้มั้ย” ตะคอกใส่เด็กทารก จนเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งกำลังยิ้มแย้มที่มีคนคอยดูแลต้องหน้าแหยและทำท่าจะร้องไห้ในทันที

“แกรู้ไหมนังแป้ง ว่าฉันเกลียดแก ไม่รู้ว่าจะเกิดมาทำไม แกจะเกิดขึ้นมาทำไมห๊ะ” เสียงตะคอกครั้งนั้นทำให้เด็กน้อยซึ่งตกใจกับเสียงเมื่อครู่อยู่แล้ว เธอจึงแบะปากร้องไห้เสียงดังทันที

“แว้....แว้...”

“หยุด ฉันบอกให้หยุดร้องยังไง นังเด็กบ้า”

อารมณ์หงุดหงิด ประกอบกับอารมณ์โกรธที่มีอยู่ในหัวใจ กชกรจึงหยิกหนับลงบนท่อนแขนอวบอูมน้อยๆ นั้นทันที และนั่นก็เป็นผลให้เด็กหญิงตัวน้อยยิ่งร้องจ้าเสียงดังเข้าไปอีก

“แว้...อุแว้...แว้...”

“ฉันบอกให้หยุดยังไงเล่า หยุด...”

ยิ่งขู่ตะคอกเด็กหญิงก็ยิ่งเปล่งเสียงร้องเสียงดังไปอีก กชกรทำหน้าไม่ถูก เกือบจะระงับอารมณ์โยนเด็กน้อยลงบนโซฟาไม่ได้ ดีที่ตาของเธอเหลือบเห็นคุณปรีชาเดินเข้ามายังที่ตรงนั้นเสียก่อน

“หนูแป้ง น้าบอกให้หยุดร้องยังไง โอ๋ๆ” รีบเปลี่ยนกิริยาเหล่านั้นอย่างกับพลิกฝ่ามือ

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ หนูแป้งร้องทำไม บัว..”

“ไม่รู้ค่ะ จู่ๆ ก็ร้องขึ้นมา เมื่อกี้ยังยิ้มแย้มน่ารักอยู่เลย” เธอแก้ตัวได้อย่างรวดเร็ว สมกับความเสแสร้งแกล้งทำ

“มะ...เดี๋ยวผมอุ้มเอง”

เมื่อเลี่ยงไม่ได้จึงส่งเด็กให้กับผู้เป็นพ่อในที่สุด พออยู่ในอ้อมอกของพ่อแล้ว ประกอบกับคำพูดปลอบประโลมของคุณปรีชา จึงทำให้เด็กทารกตัวน้อยเงียบเสียงในทันที

“ว้าว...น่ารักจัง หยุดร้องแล้ว” กชกรตีหน้าดีใจ ก่อนจะชะโงกเข้าไปมองเด็กหญิงตัวน้อยอีกครั้ง

“หนูแป้งคงจะไม่คุ้นกับคุณน่ะ เป็นแบบนี้กับทุกคนแหละ ถ้าไม่ใช่ผม ปิ่น เจ้ายายและแม่เอี่ยม ก็มักจะร้องจ้าแบบนี้ทุกที”

“เด็กที่ชอบร้อง โบราณเค้าว่าเป็นเด็กฉลาดนะคะ” กชกรเอ่ยชม ทั้งๆ ภายในหัวใจไม่ปรารถนาให้เป็นแบบนั้นเลย

“ใช่...เจ้ายายก็ว่าแบบนั้น โตขึ้นหนูแป้งก็คงจะเป็นเด็กฉลาด”

“ค่ะ...ลูกสาวของคุณพี่น่ารักจริงๆ นะคะ บัวอยากจะมีกับเค้าบ้างจัง”

พูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคุณปรีชาด้วยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์แพรวพราว ความปรารถนาในหัวใจกับตัวของผู้ชายคนนี้ มันยังคงไม่หมดหายไปจากเธอสักนิด

เธอต้องการเขา...พร้อมกับที่ต้องการให้เขาเป็นพ่อของลูกเธอในเวลานี้

ลูก...ซึ่งเป็นผลที่เธอใช้ชีวิตเสเพลไปวันๆ และอาจจะด้วยเหตุนี้อีกเช่นกันที่ทำให้กชกรต้องรีบมองหาผู้ที่จะต้องรับผิดชอบลูกของเธอ และเธอก็ไม่เห็นจะมีใครเหมาะสมเท่ากับเขา...คุณปรีชาอีกแล้ว



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ค. 2555, 14:39:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ค. 2555, 14:39:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1247





<< ตอนที่ ๒   ตอนที่ ๓ วรรค ๒ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account