ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
เรื่องย่อ...
พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
เรื่องย่อ...
พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy
ตอน: ความจริง...
เช้าวันต่อมา ฉันตื่นก่อนเขา และเห็นว่าเขาลงไปนอนกับพื้น เอาผ้าห่มปูเป็นที่นอน แล้วก็นอนคู้ตัวด้วยความเย็นอยู่อย่างนั้น ฉันไม่อยากจะคิดให้ปวดหัวอีกแล้วว่าเขาทำแบบนี้ทำไม รังเกียจ หรือเสียใจหรือผิดหวังที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ส่วนเรื่องเมื่อคืนฉันก็ไม่อยากจะรับรู้ มันคงไม่ใช่ความรัก เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงอธิบาย ทุกอย่างเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ ก็แค่ปฏิกิริยาทางเคมีของหญิงกับชายเมื่อใกล้กันเท่านั้น
ฉันไม่น่ารักเขาเลยจริงๆ รักมาก ก็เสียใจมาก
คิดได้ดังนั้น ฉันก็ไม่รีรอ รีบออกไปอาบน้ำแต่งตัว ช่วยจุ๋มทำกับข้าว หลบหน้าหลบตาคุณนรินทร์พักหนึ่งก่อนคงจะดีกว่า ฉันจึงเข้าไปหาจุ๋มในครัว และเห็นว่าดำก็อยู่ที่นั่นด้วย สองสามีภรรยากำลังจี๋จ๋า หยอกกันอย่างน่ารัก ฉันเลยไม่กล้าเข้าไป ได้แต่แอบมองจากข้างนอก ก็เห็นได้ว่าจุ๋มทำข้าวกลางวันใส่ปิ่นโตเถาเล็กกระทัดรัดให้สามีนำไปทานที่ทำงาน สักพักดำก็หันมาทางฉันพอดี เขากำลังยิ้มหน้าดำแดงอยางมีความสุข พอเห็นว่าฉันยืนยิ้มมองอยู่ก็ทำท่าเขินอาย ขอตัวออกไปทำงานทันที
"แหม น่ารักจังนะคะ ทำกับข้าวไปให้ด้วย" ฉันแซว จุ๋มยิ้มเขิน
"คุณสิดี ก็ทำไปให้คุณนรินทร์บ้างสิคะ คุณนรินทร์จะได้ชื่นใจ" พูดเสร็จ เธอก็ขอตัวออกไปอาบน้ำให้เด็กๆ
ฉันยืนมองเตาและกระทะของจุ๋มในครัว คุณนรินทร์ไม่ได้อยากให้ฉันทำอะไรอย่างนี้ให้หรอก แต่ทำไมก็ไม่รู้ ฉันถึงรู้สึกว่า อยากทำอะไรดีดีให้เขา อยากส่งความรู้สึกดีดีไปให้ เป็นเชิงบอกรักทางอ้อม แม้ว่าจริงๆแล้วมันคงไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก และแล้วฉันก็เริ่มหาวัตถุดิบที่จุ๋มพอจะมี หยิบจับอุปกรณ์ทำครัว ปรุงอาหารง่ายๆที่ฉันพอจะทำได้ แต่พอทำไข่ยัดไส้โรยหน้าบนข้าวสวยหอมฉุยเสร็จ ฉันก็กลับไม่แน่ใจว่า จะให้เขาดีไหม
"ทำอะไร" เสียงห้าวๆดังขึ้น ฉันหันหลังไปมองก็เห็นว่าคุณนรินทร์ในเสื้อโปโลสีกรมท่ากับกางเกงยีนสีเข้ม เดินย่างสามขุมเข้ามาหาฉัน ฉันคงต้องใช้คำนี้จริงๆ เพราะหน้าตาเขาดูนิ่ง เดาอารมณ์ไม่ถูก แต่ท่าทางจริงจัง ขณะสาวเท้ามาประชิดตัวฉัน แล้วฉันก็เบี่ยงตัวหนี พลางเอาตัวเองบังกล่องข้าวที่ทำให้เขา
ฉันสบตาเขาแวบหนึ่ง แล้วมองลงพื้น ไม่รู้จะพูดอะไรดี "ทำไมเหรอคะ" ฉันตอบเสียงค่อย แต่แล้ว มืออุ่นๆของเขาก็เชยคางฉันขึ้น แววตาคุณนรินทร์ที่สบตาฉันวันนี้แตกต่างออกไปจริงๆ มันช่าง...อ่อนหวาน ฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอก แต่ทำเอาฉันวูบวาบไปทัั้งตัว เขาคงรู้แล้วล่ะว่าฉันรู้สึกอย่างไร เพราะใบหน้าฉันแดงก่ำ แววตาสั่นไหวระริก เหมือนหัวใจฉันนั่นเอง
“รอผมอยู่นี่นะ เย็นนี้ผมมีอะไรจะคุยด้วย”
เราสบตากันอีกเพียงเสี้ยววินาที แล้วเขาก็เดินออกจากห้องครัวไป
ตอนนี้มือฉันเย็นไปหมด ใจก็เต้นรัว นี่เขา เขาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ
“เดี๋ยวค่ะคุณ” ฉันตัดสินใจพูดออกมา เขาหันมามอง ดูประหลาดใจนิดหนึ่ง
“ฉัน…เอ่อ…ฉันทำข้าวกลางวันให้น่ะค่ะ คุณเอาไปทานกับคุณปริญญาสิคะ”
เขาทำตัวไม่ถูก พูดขอบคุณเบาๆแล้วรับข้าวกล่องไป
แล้วเย็นนี้เขาอยากคุยกับฉันด้วยเรื่องอะไรกัน
เช้าวันนี้ เนื่องจากจุ๋มต้องอาบน้ำเด็กทั้งสองคน ฉันเลยอาสาทำอาหารให้ทาน จากนั้นฉันนึกอยากตอบแทนอะไรจุ๋มบ้างที่เรามารบกวนอาศัยด้วยเลยนึกขยันรดน้ำต้นไม้ให้ พลางคิดในใจต่างๆนานา ถึงการกระทำของคุณนรินทร์ มีอยู่สองอย่างที่กวนใจฉันเหลือเกินคือ รัก หรือ ไม่รัก
“คุณสิดีคะ…ว้าย!!!!”
ตายแล้ว!!!! ฉันรดน้ำต้นไม้เพลิน พอจุ๋มเรียกเลยหันไปทั้งสายยางแล้วฉีดน้ำรดเธอเข้า
“ตายแล้ว! ฉันขอโทษทีจ้ะจุ๋ม ไม่ได้ตั้งใจน่ะ”
จุ๋มยิ้มแห้งๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะไปอาบน้ำพอดี คือมือถือของคุณดังน่ะค่ะ”
ป่อ ปี๊ ป่อ…
เออจริงแฮะ แล้วฉันก็รับมือถือมาจากจุ๋ม
“ขอบใจนะจ๊ะ แล้วก็ขอโทษด้วยนะ แหะๆ”
ฉันมองหน้าจอ….หนูเล็ก
“ไงยะ มีปัญหาล่ะสิถึงโทรมาหาฉัน”
“เปล่าย่ะ ฉันจะโทรมาถามว่าฮันนีมูนเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงหนูเล็กดูกระตือรือร้นที่จะฟังคำตอบเหลือเกิน
“ก็ไม่มีอะไร…” ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ
หนูเล็กทำเสียงหมั่นไส้ “สวีทกันน่าดูล่ะสิ ฉันตอนนี้ได้แต่ทำงานแก้เหงา คุณจิทัศน์ไม่อยู่ เลยไม่ค่อยได้ไปไหน แต่เมื่อวานพึ่งไปเยี่ยมแม่เธอมาล่ะสิดี”
หนูเล็กกับแม่ค่อนข้างสนิทกัน เพราะเธอมักอัพเดทข่าวสารแฟชั่นให้แม่ฟังเสมอ ฉันจึงไม่แปลกใจนัก แต่ฉันสงสัยเรื่องหนึ่ง
“คุณจิทัศน์ไปไหนเหรอ”
“เห็นบอกว่าไปดูงานต่างจังหวัดน่ะ”
แล้วฉันก็นึกถึงผู้หญิงแว่นดำ กับผู้ชายที่นั่งหันหลังในร้านอาหารที่คุณปริญญาพาไป
คงไม่ใช่หรอก…
“เออแต่แม่เธอพูดกับฉันแปลกๆนะสิดี ก่อนฉันจากมาแม่เธอจับไหล่ฉัน แล้วก็พูดว่า ‘อย่าปิดตัวเองที่จะรักใครล่ะ’ งงเลยน่ะ”
หวา…สงสัยเรื่องที่ฉันเอาหนูเล็กไปหากินเพื่อจะให้แม่วินิจฉัยว่าฉันรักคุณนรินทร์หรือเปล่า คงทำพิษเข้าแล้ว
“ก็นะ…แม่อาจจะอินหนังสือที่ตัวเองเขียนมากไปก็ได้”
“ว้าย ใช่แล้ว เธออ่านหนังสือนั่นหรือยัง ฉันอ่านแล้วล่ะมันช่าง….”
“ยิ่งใหญ่…ฉันอ่านแล้วล่ะ แต่ข้ามๆน่ะ งงมากเลยว่าแม่เขียนถึงใคร เหมือนไม่ใช่พ่อฉันเลยนะ”
“หึหึ สิดี…เธอควรกลับไปตั้งใจอ่านใหม่เสีย แล้วเธอจะช็อก นี่แม่เธอไม่เคยเล่าอะไรเลยสินะ”
หา…ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ
“ทำไมเหรอ”
หนูเล็กหัวเราะ หึหึ อย่างมีเลสนัย
“เอาเถอะ แล้วฉันคิดว่าพอเธออ่านจบ เธอคงรู้ตัวว่ารักใครบางคนเข้าแล้ว”
แหม แม่คุณ ทำมารู้ดี ฉันรู้ตัวของฉันมานานแล้วย่ะ
“ฉันรู้ว่ารักใครมาตั้งนานแล้วล่ะ แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ ไว้เจอกันที่กรุงเทพฯ ฉันจะซื้อน้ำพริกกุ้งเสียบไปฝาก”
ฉันกดวางสายไปทั้งๆที่หนูเล็กส่งเสียงประท้วงเย้วๆ
หนังสือของแม่นี่มีอะไรแอบแฝงไว้เหรอ ฉันไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปหยิบหนังสือแล้วนอนเอกเขนกอ่านทันที
แต่…เฮ้! นั่นอะไรน่ะ
ฉันเห็นกล่องแปลกๆแลบออกมาจากกระเป๋าเป้ของคุณนรินทร์ พอเข้าไปมองใกล้ๆก็ได้เห็นว่ากล่องขนาดกระทัดรัดนั้นถูกห่อด้วยกระดาษสีสันสวยเป็นอย่างดี มีริบบิ้นสีทองผูกเอาไว้
ของข้างในเป็นอะไร แล้วเขาจะให้ใครกัน….หรือจะเป็นฉัน
เอาเถอะๆ ถ้าเกิดเขาพิศวาสฉันขึ้นมา เย็นนี้น่าจะได้รู้กัน
ฉันขอตัวไปอ่านหนังสือของแม่ต่อดีกว่า
อืม….
อืม….
……หา???
……อะไรนะ???
นี่มัน…
ให้ตาย…ฉันล่ะไม่อยากจะเชื่อ….นี่แม่…
โอเคๆๆๆ เอาละฉันจะลองเรียบเรียงดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตรักของแม่ที่ไม่เคยเล่าให้ฉันฟังเลยแม้แต่น้อย
แต่มันเกิดขึ้นจริงๆเหรอเนี่ย!!!!!
ตอนแม่เรียนมหาวิทยาลัย แม่ไปหลงรักรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง แล้วในที่สุดก็ได้ใกล้ชิดกันจนแม่รักเขาลึกซึ้งมากขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาคิดกับแม่อย่างนั้นหรือไม่ จนในที่สุดคนรักเก่าของชายคนที่แม่แอบรักนั้นกลับมา ทั้งสองได้คืนดีกัน ส่วนแม่ก็อกหักไปตามระเบียบ และไม่เคยบอกความรู้สึกของตัวเองให้เขารู้เลย ไม่ทำได้แค่แอบมองคนที่แม่รักมีความสุขและคอยห่วงใยเขาในฐานะรุ่นน้องเท่านั้นระหว่างที่แม่อกหักนี้ น้องชายของคนที่แม่แอบรักได้เข้ามาในชีวิตของแม่ เขาคอยห่วงใย และเอาใจใส่ แม่รู้ว่าเขารักแม่ แต่แม่ไม่เคยคิดกับเขาแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย แม่ยังรักผู้ชายคนเดิมอยู่นั่นเอง แม้นั่นจะทำให้แม่เจ็บก็ตาม….
วันหนี่งชายคนที่แม่รักล้มป่วย แม่ได้ไปเยี่ยมและดูแลเขาไม่ขาด แต่แม่กลับไม่เห็นคนรักของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในที่สุดน้องชายของคนที่แม่รักได้บอกว่า ผู้หญิงคนนั้นได้ทิ้งพี่ชายของเขาไปเสียแล้ว เนื่องจากพี่ชายเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย นั่นทำให้แม่ช็อกและเสียใจไปพักใหญ่ อีกทั้งตลอดเวลาที่แม่คอยมาดูแลคนที่แม่รักนั้น เขายังคงเศร้าสร้อยเพราะคิดถึงคนรักเก่าอยู่นั่นเอง ทำเอาแม่แอบเสียใจอยู่บ่อยๆ ทั้งๆที่แม่ต่างหากที่คอยดูและและมอบความรักให้เขา
น้องชายของคนที่แม่รักมักจะคอยปลอบใจและให้กำลังใจแม่เสมอ แม่รู้ว่าเขาก็อยู่ในชะตากรรมเดียวกับแม่ นั่นคือ เจ็บปวดเพราะรักคนที่ไม่ได้รักตัวเอง แต่แม่ก็ไม่สามารถรักเขาได้ แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้บอกแม่ว่า ให้แม่รีบบอกความในใจกับคนที่แม่รักได้แล้ว ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้บอก แต่แม่ก็ยังไม่ยอมทำตาม เพราะคิดว่าอย่างไรเสียความรักของตัวเองก็ไม่มีค่า
ในที่สุดอาการของชายที่แม่รักย่ำแย่ลงเรื่อยๆ หมอบอกว่าคงอยู่ได้ไม่เกินภายในวันนี้ แม่จึงตัดสินใจบอกความในใจออกไป แล้วคำตอบที่แม่ได้รับก็ทำเอาแม่ตกตะลึง นั่นเพราะชายคนที่แม่แอบรักได้บอกว่า จริงๆแล้วก่อนคนรักเก่าของเขาจะกลับมาเขาก็เริ่มรักแม่ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เพราะเขาก็ไม่รู้ได้ว่าแม่คิดกับเขาอย่างไร เพราะแม่มักจะปกปิดความรู้สึกของตัวเองและวางตัวเฉยๆกับเขาเสมอ พอคนรักเก่ากลับมา เขาจึงตัดสินใจเลือกคนที่รักเขาแทน มันเป็นเรื่องรักที่น่าเศร้า ทั้งแม่และเขาต่างร้องไห้เพราะคำพูดคำเดียวที่ไม่กล้ากล่าวออกไป ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตสั้นลงเรื่อยๆ ชายคนนั้นปลอบแม่ว่าอย่าเสียใจไป เขามีสิ่งหนึ่งอยากจะมอบให้แม่ดูแลให้ดี สิ่งๆนั้นเป็นตัวแทนความรักของเขาและเป็นสิ่งตอบแทนในความรักที่มั่นคงของแม่….สิ่งนั้นคือ…น้องชายของเขานั่นเอง
ในที่สุดชายคนนั้นก็จากไป ท่ามกลางหยาดน้ำตาของน้องชายที่เขารัก และคนที่เขาเคยรัก ตลอดเวลาที่แม่เศร้าโศก น้องชายของเขาได้ดูแลและปลอบใจแม่เสมอมา ก่อนนี้แม่ไม่อาจรักเขาได้…แต่แม่เชื่อว่านี่คือตัวแทนความรักของชายที่แม่รัก เขาคงอยากให้แม่มีความสุขกับคนที่จะไม่ทำร้ายจิตใจของแม่ และในที่สุด แม่ก็ตัดสินใจแต่งงานกับน้องชายของเขา จากนั้นไม่นาน แม่ได้ตกหลุมรักเขาอย่างง่ายดาย…เพียงแม่ไม่ปิดกั้นและซื่อสัตย์ต่อตัวเองเท่านั้น…
และฉันก็ได้รู้แล้วว่าเขาคือใคร….
น้องชายของคนที่แม่แอบรักนั่นน่ะ….
คือพ่อของฉันอย่างไรล่ะ….
ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าหนังสือของแม่เล่มนี้ยิ่งใหญ่…เพราะสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั่นไม่ใช่ขนาดของเล่ม ราคา หรือการติดเบสท์เซลเลอร์ แต่คือความรักที่มั่นคงนั่นเอง
ฉันปาดน้ำตา และสะอื้นเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมๆกับที่จุ๋มโผล่หน้าเข้ามาถามว่าอยากเดินเที่ยวแถวนี้ไหม
ฉันรีบทำตัวให้เป็นปกติ ก่อนจะยิ้มแย้มออกไปเดินเล่นกับจุ๋มและลูกน้อยทั้งสอง จุ๋มพาฉันมาตลาดแถวนี้น่ะ เรามาซื้อกับข้าวเพื่อทำอาหารเย็น ฉันนึกได้ว่าเย็นนี้จะทำไข่ยัดไส้ เลยซื้อไข่และไส้ที่จำเป็น เอ่อ…แต่ลืมหยิบเงินมาเลยต้องยืมจุ๋มไปก่อน ของสมัยนี้ก็แพงชะมัด หมูเห็ดเป็ดไก่ยกขบวนกันขึ้นราคาเสียหมด
“นี่แม่คุณ ฉันลดให้ตั้งครึ่งขีด เป็นเงินเจ็ดบาทเลยนะยะ” แม่ค้ากระเทยร่างใหญ่ มือหนึ่งเท้าสะเอว อีกมือแกว่งอีโต้ไปมา ตอนฉันต่อราคาปลากะพง
ทำเอาฉันหุบปากไม่อยากต่อล้อต่อเถียงทันที
ขณะฉันเดินๆจูงมือแม่หนูจิ้มคนโตอยู่ก็ดันไปชนกล้วยที่ผูกไว้บนหลังคารถเข็นขายโรตีเสียได้ ทำเอาอาบังโรตีโมโหให้ฉันชดใช้ค่าเสียหายทั้งๆ คนที่หัวโนคือฉันแท้ๆ กล้วยของเขายังคงเรียวสวยเหมือนเดิมด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ยืมเงินจุ๋มจ่ายไปก่อน
ยังไม่พอ ฉันยังคงเจ็บตัวไม่เลิก เนื่องจากลื่นล้มเพราะน้ำที่เขาเทราดตลาดน่ะสิ ดีที่ปล่อยมือหนูจิ้มทัน ไม่อย่างนั้นคงทำให้ลูกจุ๋มเจ็บตัวด้วยอีกคน
“จิ้ม ไปหาแม่ก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวน้าเดินตามไป” ฉันยังคงนั่งจุ้มปุ๊กเจ็บก้นอยู่สักพักถึงแม้พ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นจะขำกันต่อไปก็ตาม แต่แล้วก็มีมือหนึ่งยื่นส่งมาให้
“คุณก็ยังซุ่มซ่ามอยู่วันยังค่ำนะครับ”
ฉันแหงนหน้ามองแล้วก็ต้องตกใจ
“คุณจิทัศน์!!!!!!!”
เขายังคงยิ้มอย่างสงบนิ่ง “ครับผมเอง ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าผมมาทำอะไรที่นี่ คนมาตลาดก็ต้องมาซื้อกับข้าวจริงไหม”
ฉันหงุดหงิด “ฉันยังไม่ได้ถามอะไรคุณสักคำเลยค่ะ ฉันลุกเองได้ค่ะ ขอบใจ” แล้วฉันก็ลุกขึ้นโดยไม่ได้จับมือเขา
“คุณมาคนเดียวเหรอครับ เพราะผมเห็นนรินทร์อยู่ที่สถานที่ก่อสร้างโรงแรมสิทรา”
เขา….เขารู้แล้วล่ะสิเนี่ย…
“เอ่อ… ฉันขอตัวก่อนนะคะ” ฉันเตรียมตัวจะรีบเดินหนีไป แต่เขาฉุดแขนฉันรั้งไว้
“คุณจะเชื่อผมหรือไม่ก็ตามนะ แต่รีบให้นรินทร์ออกมาจากที่ก่อสร้างดีกว่า ไม่อย่างนั้น…”
ฉันไม่จำเป็นต้องฟังคนอย่างคุณจิทัศน์หรอก ถึงเขาจะขู่คุณนรินทร์ แต่อย่างคุณนรินทร์ก็แกร่งพอที่จะต่อสู้นั่นล่ะ
ดังนั้นฉันจึงสะบัดแขนออกแล้วเผ่นไปให้ไกลจากเขา
สี่โมงเย็นแล้วฉันกลับมาช่วยจุ๋มทำอาหารเย็นเช่นเดิม วันนี้ดำกลับมาจากตัวเมืองเร็ว แถมมีของเล่นมาฝากลูกๆ ฉันเลยได้เห็นภาพพ่อกับลูกเล่นด้วยกันอย่างน่ารัก ส่วนฉันมีอะไรให้คิดมากมายเหลือเกินวันนี้ ทั้งเรื่องความหลังของแม่ และข้อคิดบางอย่าง…
นั่นสิ…กว่าจะได้บอกรักใครบางคน…มันอาจจะสายไป
แม้ว่าตอนนี้ฉันจะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองก็ตาม
ยังมีเรื่องของคุณจิทัศน์อีก เขารู้ว่าคุณนรินทร์มาหรือ? เขาถึงตามลงมาที่ภูเก็ต…แล้วต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ
‘ศึกมวยแย่งที่สร้างโรงแรมของนักธุรกิจดัง ฝ่ายแดงนรินทร์ กระทิงแดงยิม ฝ่ายน้ำเงินจิทัศน์ คาราบาวแดง ’
เหอๆ ตามด้วยรูปคุณนรินทร์ฮุกซ้ายและคุณจิทัศน์ตั้งการ์ดหลบ ลงหน้าหนึ่งเดลินิวส์
ให้มันได้อย่างนี้สิ!
“ว้าย! คุณสิดีคะ นั่นมือคุณค่ะไม่ใช่กระเทียม อย่าพึ่งตบ!!!!” จุ๋มโวยวายลั่น
เฮ้อ…อีกเรื่องนะที่มีให้คิด…ชีวิตคนมันสั้นจริงๆ ตั้งแต่ฉันเกือบโดนแม่ค้าขายปลาเหวี่ยงอีโต้ใส่ เดินชนกล้วย ล้มจ้ำเบ้า จนจะฟันมือตัวเองหักคาเขียง…ดังนั้น…รักใครฉันควรรีบบอกใช่ไหม…เกิดเราทั้งสองใจตรงกัน
หลังจากจุ๋มทำกับข้าวของตัวเองเสร็จแล้ว ก็ถึงตาฉันที่จะได้อวดฝีมือไข่ยัดไส้ คราวนี้ฉันจะใส่เครื่องปรุงแสนพิเศษลงไปด้วย…ความรักของฉันอย่างไรล่ะ ฮ่าๆๆๆ
เอาละนะ เริ่มจากที่ผัดไส้ลงไปก่อน ทั้งหมูสับ มะเขือเทศ รากผักชี และ ฯลฯจากนั้นก็นำไข่มาทำเป็นแผ่นใหญ่ๆในกระทะ ก่อนจะใส่ไส้ลงไปแล้วหุ้มไส้ทั้งหมดเอาไว้
เป็นอันเสร็จ!!!! สวยงามมากๆ ถึงแม้ไข่จะไหม้นิดหน่อยแล้วก็ไส้อาจจะเค็มไปเนื่องจาก ทำน้ำปลากระฉอก อ้อ…สับหมูไม่ละเอียดเท่าไรด้วยน่ะ แหะๆ
“จุ๋มจ๊ะ หกโมงเย็นแล้วคุณนรินทร์กลับมาหรือยัง” ฉันเดินถือจานไข่ยัดไส้มาเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร ซึ่งจริงๆก็คือสำรับตั้งพื้นนั่นแล
จุ๋มและดำส่ายหน้า
“ยังเลยครับคุณ รออีกสักหน่อยก็ได้”
อ่านะ…ตานี่…ฉันอุตส่าห์ตั้งใจทำจะรีบกลับมาก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่ก็ลากไส้ออกมายัดไข่เสียเลย
ล้อเล่นหรอก…
ฉันตั้งใจไว้แล้ว ว่าถ้าเขากลับมา…ฉันจะบอกรักเขาเอง…ถึงแม้ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็ตาม
มันช่วยไม่ได้จริงๆ ระหว่างรอ ดำก็ดูข่าวในทีวี จุ๋มป้อนข้าวลูกคนเล็ก ส่วนฉันก็เล่นหมากเก็บกับลูกสาวคนโต
หลังจากฉันชนะเด็กไปหลายตา และแกล้งแพ้มากกว่านั้น พอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาทุ่มกว่าๆแล้ว
ดำท้องร้องดังจ๊อก แต่กลบเกลื่อนว่าเสียงมาจากทีวี จุ๋มท้องร้องด้วยแต่กลบเกลื่อนว่าเป็นเสียงตดลูก
ทำไมเขายังไม่กลับมาอีกนะ…
‘รีบให้นรินทร์ออกมาจากที่ก่อสร้างดีกว่า…’ คำที่คุณจิทัศน์เคยเตือน…หรือมันจะเป็นคำขู่
ฉันไม่อยากเป็นภาระของดำ จึงออกอุบายว่าจะไปเดินเล่นแถวนี้เพื่อฆ่าเวลา ก่อนจะเผ่นไปที่ก่อสร้าง มันไม่ไกลจากบ้านของดำมาก แต่ถ้าเดินไปก็เหนื่อยใช่ย่อย
โรงแรมสิทราขณะก่อสร้างในยามค่ำคืนนั้นน่ากลัวเหลือเกิน ฉันพยายามมองหารถคุณปริญญา แต่ก็ไม่เจอ จึงใจดีสู้เสือเดินเข้าไปที่ก่อสร้าง โชคดีว่าเจอแสงไฟลอดผ่านความมืดเข้ามา เมื่อฉันยิ่งเดินเข้าไปใกล้ตรงนั้นก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน
ฉันจะส่งเสียงเรียกคุณนรินทร์แล้ว แต่กลับมีเสียงสนทนาดึงดูดความสนใจไป
“วิรักคุณค่ะ….”
ฉันแทบอยากจะล้มกองกับพื้นตรงนั้น…นั่นเพราะ…ภาพที่ฉันเห็นไม่ใช่คุณนรินทร์คนที่ฉันรัก แต่เป็นคุณนรินทร์กับแฟนเก่าที่เขาเคยรักและอาจจะยังรักอยู่ กอดจูบกัน
คุณนรินทร์ไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย เขาโอบเธอไว้ทั้งตัวแล้วสนองตอบจูบนั้น…
โอเค…ตอนนี้ฉันได้คำตอบสำหรับทุกอย่างแล้ว หญิงแว่นดำที่แอบมองเราสองคนคือ ใคร กล่องของขวัญในกระเป๋าของเขาจะมอบให้ใคร เขายังรักใครอยู่ และที่สำคัญเรื่องเมื่อคืน ก็เป็นเพียงแค่สันดานดิบของผู้ชายนั่นเอง
พอแล้ว…พอกันที…ฉันเจ็บปวดมามากพอแล้วกับความรัก…ทำไมนะ…ทำไมฉันไม่ยืนหยัดมั่นคงในคานของตัวเองให้มากกว่านี้
ฉันวิ่งออกจากตรงนั้น วิ่งไป วิ่งไป วิ่งไป หยาดน้ำตาและเสียงร้องไห้ ของฉันคงไม่สำคัญเท่ากับความรักลมพัดหวนของเขาและเธอทั้งสอง
ฉันคงไม่กลับไปหาจุ๋มและดำ เพราะฉันไม่สามารถปั้นหน้าปกติเผชิญคนทั้งโลก…ที่สำคัญ ฉันคงไม่สามารถทำตัวปกติเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรกับคุณนรินทร์ได้อีก….ถ้าฉันโวยวาย เขาคงรู้ว่าฉันรักเขา และเขาคงหัวเราะเยาะเท่านั้นเอง
ฉันวิ่งผ่านความมืดและเงียบสงัดมาเรื่อยๆ จนถึงถนนใหญ่ ใบหน้าฉันเปียกชุ่มและบิดเบี้ยวด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ ตัวฉันสั่นเทิ้มและขาก็อ่อนล้าเหลือเกิน เพราะหัวใจของฉันที่บอบบางยิ่งกว่าอะไรถูกบดขยี้อย่างไร้เยื่อใย
ฉันนั่งล้มกองร้องไห้ข้างถนน รถคันแล้วคันเล่าวิ่งผ่านไปโดยไม่ใส่ใจ ตอนนี้ฉันไม่หวังอะไร ขอแค่มีชีวิตถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยโบกรถกลับกรุงเทพฯก็พอ
แสงไฟรถซีดานคันใหญ่สาดส่องเข้ามา เสียงบีบแตรดังลั่น มีใครคนหนึ่งเปิดประตูลงมา ก่อนจะหิ้วปีกฉันเข้าไปในรถซึ่งฉันไม่มีแรงแม้แต่จะขัดขืน…
“หิวน้ำไหมคุณสิดี” กว่าจะมีสติฉันก็ลืมตามองคนตรงหน้าด้วยความงุนงง
เขามาเกี่ยวอะไรด้วย???
“คุณ…คุณจิทัศน์…”
เขายังคงยิ้มให้ และครั้งนี้ฉันกลับรู้สึกได้ว่า นั่นเป็นยิ้มที่แสดงถึงความเป็นมิตรจริงๆ’
“คุณเพลียมากจริงๆ อย่าพึ่งถามอะไรเลยนะ ไว้ใจผมก็พอ ผมจะพาคุณกลับบ้านเอง คุณหิวอะไรหรือเปล่า ตอนนี้ผมจอดรถที่ปั๊มอยู่”
แล้วน้ำตาฉันก็ร่วงอีกครั้ง อาจเพราะดีใจที่ยังมีคนอยู่เคียงข้าง และเสียใจที่คนตรงหน้าในขณะฉันลืมตาตื่ขึ้นน่าจะเป็นคุณนรินทร์
“อย่าพาฉันกลับบ้านเลยค่ะ เดี๋ยวแม่ฉันจะไม่สบายใจ พาฉันไปหาหนูเล็กดีกว่า”
คุณจิทัศน์ยื่นทิชชู่ให้
“ก็ดีครับ หนูเล็กก็เป็นห่วงคุณอยู่ ผมโทรบอกเธอเมื่อสักครู่”
ฉันพยักหน้า ในขณะที่หยาดน้ำตายังไหลรินไม่หยุดไม่รู้ว่าคุณจิทัศน์รู้เรื่องที่เราโกหกหรือยัง
เขายื่นซาลาเปาเซเว่นให้ แล้วฉันก็กลืนรวดเดียวด้วยความหิว ก่อนเขาจะขับรถมุ่งสู่กรุงเทพฯอีกครั้ง
ฉันเงียบมาตลอดทาง หลับตาก็ไม่ลงเพราะมักจะนึกถึงภาพของสองคนนั้นเสมอ
คุณจิทัศน์ก็เงียบมาตลอดทางเช่นกัน แต่ไม่นานนักเขาก็ทำลายความเงียบขึ้น
“ผมต้องชี้แจงให้คุณฟัง เพราะคุณจะได้เข้าใจอะไรให้กระจ่าง”
เขาพูดเสียงเข้ม
“ค่ะ พูดมาเถอะค่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
เสียงฉันยังคงสั่นเครือ
“ผมว่านรินทร์ไม่ได้นอกใจคุณ เขายังรักคุณอยู่” อืม…แปลว่าคุณจิทัศน์ยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์หลอกๆ
“ผมมาภูเก็ตเพราะรู้ว่านรินทร์จะลงมาดูโรงแรมของผม ผมก็ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองนั่นแหละ แล้วถวิกาก็ลงมาก่อนหน้าคุณกับนรินทร์จะมาถึงสองวัน คงเพราะทับทิมไปบอกเธอ”
“พอเธอมาถึงก็ติดต่อผม บอกว่าให้ช่วยเขากับนรินทร์ได้เจอกันที่ก่อสร้าง ผลที่ได้คือนอกจากเธอจะแย่งนรินทร์มาได้แล้ว นรินทร์ก็จะหมดโอกาสฟ้องร้องโรงแรมของผม เพราะผมจะจับนรินทร์ได้คาหนังคาเขาเรื่องที่เขาบุกรุกสถานที่ก่อสร้างโรงแรมของผม”
เขาเลี้ยวหลบรถพ่วง
“แต่ผมไม่เล่นด้วย เพราะอย่างไรเสียก็มีวิธีจัดการกับนราธรได้อยู่แล้ว ที่สำคัญคุณเป็นเพื่อนสนิทหนูเล็ก และนรินทร์มันก็เคยเป็นเพื่อนรักของผม ถึงตอนนี้…ผมก็ยังคิดแบบนั้น”
คราวนี้เขานิ่งเงียบ คงอยากฟังเสียงตอบรับจากฉัน
แต่ฉันก็ยังคงเงียบต่อไป…
“ผมถึงเตือนคุณที่ตลาดอย่างไรล่ะ แต่คงเพราะคุณมีอคติต่อผมอยู่แล้วคุณจึงไม่ยอมฟังให้จบ ถวิกาไม่ยอมเชื่อผมที่บอกว่าเพราะเธอนิสัยแบบนี้นรินทร์ถึงเลิกรักเธอ ผมเตือนเธอแล้วว่าอย่ายุ่งกับนรินทร์อีก แต่เธอไม่ฟัง ผมเดาว่าเธอคงแอบไปดูที่ก่อสร้างทุกวัน เพราะเธอพูดว่า อย่างไรเสียเธอก็จะแย่งเขากลับมาให้ได้”
“ไม่ต้องแย่งหรอกค่ะ เธอได้เขาไปเต็มๆ” ฉันพูดด้วยความเจ็บใจ
“เอาเถอะครับ ฟังผมก่อน ก่อนเธอจะทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นเธอโทรเรียกผมให้มาที่ก่อสร้าง ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้รู้แล้ว เธอคงอยากให้มาเป็นพยานในการทำเรื่องน่าเกลียดแบบนี้ โชคร้าย…คุณดันมาเห็นด้วย แต่โชคดีหน่อยที่ผมไม่ได้โกรธแค้นอะไรนรินทร์เลยผมจึงไม่จำเป็นต้องแฉเรื่องของเขา เธอคงคิดผิดที่จะให้ผมช่วย”
รอบๆข้างทางยังคงเป็นป่ายางมืดทะมึน คุณจิทัศน์เงียบลงอีกครั้ง
“นรินทร์ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเป็นแบบนี้หรอกครับ ถวิกาคงจู่โจมจนเขาไม่ได้ตั้งตัว ผมพึ่งขับมาถึงก็เห็นคุณยืนตะลึงแล้ววิ่งหนีไป ผมเลยขับตามมา”
ฉันเริ่มร้องไห้อีกครั้ง ไม่จริงหรอก ไม่จริงทุกอย่างนั่นแหละ ฉันมันไม่ดีเอง ชอบมองอะไรด้านเดียว ชอบคิดว่าคุณจิทัศน์ไม่ดี จริงๆแล้วเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น ชอบคิดว่าคุณนรินทร์หมดรักแฟนเก่า ทั้งๆที่จริงเป็นอย่างไรก็ได้รู้กันแล้ว
คราวนี้คุณจิทัศน์ยื่นทิชชู่ให้ทั้งกล่อง
“ร้องให้หมดเถอะครับ แต่อยากให้เชื่อผมก็พอ ว่านรินทร์ไม่ได้รักถวิกาแล้ว”
แล้วฉันก็ร้องจนหมดทั้งต่อมน้ำตา คุณจิทัศน์ยังคงขับรถต่อไปท่ามกลางป่ายาง ระยะทางจากภูเก็ตถึงกรุงเทพฯคงอีกยาวไกล
“ฉันขอโทษที่เคยมองคุณไม่ดีนะคะ”
“อ้อ…ไม่เป็นไรครับ มันก็ไม่แปลกหรอก ผมมันไม่ดีเองแหละที่ไม่ปฏิเสธถวิกา กว่าจะรู้ตัวว่าได้ทำร้ายเพื่อนรักไปแล้วผมก็ตกหลุมรักถวิกาเต็มๆ แต่ไม่นานนักผมก็รู้ว่าเธอคบผมเพราะอะไร ช่วงนั้นหุ้นบริษัทสิทรากำลังขึ้นและการจัดอันดับเศรษฐีในเมืองไทย สิทราก็เบียดนราธรตกไปหลายอันดับ แต่ก็นั่นแหละครับ เพราะเธอไม่ได้รักผม เธอก็หักอกผมไปหาคนรักเก่าอยู่ดี”
อ้าว…ความจริง คนผิดคือคุณถวิกาสินะ
“ตอนแรกผมคิดว่าเขาสองคนคงจะคืนดีกัน แต่แล้วเขากลับแต่งงานกับคุณ ผมก็แปลกใจอยู่เล็กน้อย แต่ผมเข้าใจแล้วครับว่าทำไมนรินทร์ถึงเลือกคุณไม่กลับไปหาถวิกา”
เปล่าเลย…เขาไม่ได้เลือกฉันเลยแม้แต่น้อย เขากลับไปหาเธอ
“ผมก็ไม่ดีจริงๆแหละครับ ไม่ผิดที่นรินทร์ยังคงไม่ให้อภัยจนบัดนี้ ยิ่งเราต้องแข่งขันกันทางธุรกิจ เขายิ่งมองผมในแง่ลบเรื่อยๆ มาถึงตอนนี้ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจนะครับคุณสิดี”
ฉันหลับตาลง นึกทบทวนเรื่องราวที่ทำให้ฉันไม่ชอบขี้หน้าคุณจิทัศน์ไปด้วย…จริงๆแล้ว ทุกอย่างเพราะความมีอคติ ฉันเลยคิดไปเองว่าคำพูดและท่าทางต่างๆของเขานั้นไม่หวังดีต่อฉันและคุณนรินทร์…ฉันเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด เพราะจริงๆแล้วคุณจิทัศน์ไม่เคยทำร้ายฉันแม้แต่น้อย ดูสิเขายังคงให้กำลังใจฉันว่าคุณนรินทร์รักฉันอยู่เลย
แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันไม่เชื่อ
“ฉันเชื่อคุณค่ะ คุณจิทัศน์ แต่ฉันยังคงไม่เชื่ออยู่ดีว่าคุณนรินทร์รักฉัน”
คุณจิทัศน์ถอนหายใจ
“เรามาพิสูจน์กัน” แล้วเขาก็เปิดลำโพงมือถือ ก่อนจะต่อสายหาใครไม่รู้
ฉันยังคงหลับตาฟังเสียงต่อสายต่อไป
“ฮัลโหล นรินทร์ ฉันเองจิทัศน์” ฉันสะดุ้งลืมตาขึ้น
เงียบไปพักหนึ่ง
“ทำไม! สิดีอยู่กับแกหรือเปล่า!!!!” เสียงคุณนรินทร์ฟังดูน่ากลัวมาก
“ใช่ เธออยู่ ใจเย็นๆก่อนเธอเห็นนายอยู่กับถวิกาเลยวิ่งหนีมา ฉันมาเจอโดยบังเอิญ นายไม่ต้องห่วง”
“ต้องห่วงสิ!!! แกจะพาเธอไปไหน พาสิดีกลับมาเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ยอมให้แกแย่งใครไปอีกแล้ว” ฉันเคยโดนคุณนรินทร์โกรธก็บ่อย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความโกรธแต่เป็นความเคียดแค้นเลยทีเดียว
ฉันตั้งใจฟังอย่างแน่วแน่ เขาห่วงฉันเหมือนกันหรือ
แล้วก็มีเสียงโวยวายแทรกเข้ามาดังกว่าเดิม คุณนรินทร์คุยกับใครก็ไม่รู้ ก่อนจะกลับมาคุยกับคุณจิทัศน์อีกครั้ง
“นรินทร์ ฉันจะพูดกับนายครั้งสุดท้าย ฉันหวังดีและจะดูแลสิดีให้จนกว่านายจะมาถึงกรุงเทพฯ”
คุณนรินทร์เงียบไปอึดใจ เขาคงกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
ฉันอยากให้เขาพูดสั่งให้คุณจิทัศน์กลับรถไปภูเก็ต
แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น
เสียงของเขาใจเย็นลง
“ฝากขอโทษสิดีด้วย ฉันต้องไปดูถวิกาก่อน เธอกรีดข้อมือตัวเอง ฝากสิดีด้วยนะจิทัศน์” แล้วเขาก็ตัดสายไป
คุณจิทัศน์และฉันสบตากันอย่างงุนงง
จากนั้นฉันก็ร้องไห้อีกโฮใหญ่
ฉันไม่น่ารักเขาเลยจริงๆ รักมาก ก็เสียใจมาก
คิดได้ดังนั้น ฉันก็ไม่รีรอ รีบออกไปอาบน้ำแต่งตัว ช่วยจุ๋มทำกับข้าว หลบหน้าหลบตาคุณนรินทร์พักหนึ่งก่อนคงจะดีกว่า ฉันจึงเข้าไปหาจุ๋มในครัว และเห็นว่าดำก็อยู่ที่นั่นด้วย สองสามีภรรยากำลังจี๋จ๋า หยอกกันอย่างน่ารัก ฉันเลยไม่กล้าเข้าไป ได้แต่แอบมองจากข้างนอก ก็เห็นได้ว่าจุ๋มทำข้าวกลางวันใส่ปิ่นโตเถาเล็กกระทัดรัดให้สามีนำไปทานที่ทำงาน สักพักดำก็หันมาทางฉันพอดี เขากำลังยิ้มหน้าดำแดงอยางมีความสุข พอเห็นว่าฉันยืนยิ้มมองอยู่ก็ทำท่าเขินอาย ขอตัวออกไปทำงานทันที
"แหม น่ารักจังนะคะ ทำกับข้าวไปให้ด้วย" ฉันแซว จุ๋มยิ้มเขิน
"คุณสิดี ก็ทำไปให้คุณนรินทร์บ้างสิคะ คุณนรินทร์จะได้ชื่นใจ" พูดเสร็จ เธอก็ขอตัวออกไปอาบน้ำให้เด็กๆ
ฉันยืนมองเตาและกระทะของจุ๋มในครัว คุณนรินทร์ไม่ได้อยากให้ฉันทำอะไรอย่างนี้ให้หรอก แต่ทำไมก็ไม่รู้ ฉันถึงรู้สึกว่า อยากทำอะไรดีดีให้เขา อยากส่งความรู้สึกดีดีไปให้ เป็นเชิงบอกรักทางอ้อม แม้ว่าจริงๆแล้วมันคงไม่ได้สลักสำคัญอะไรนัก และแล้วฉันก็เริ่มหาวัตถุดิบที่จุ๋มพอจะมี หยิบจับอุปกรณ์ทำครัว ปรุงอาหารง่ายๆที่ฉันพอจะทำได้ แต่พอทำไข่ยัดไส้โรยหน้าบนข้าวสวยหอมฉุยเสร็จ ฉันก็กลับไม่แน่ใจว่า จะให้เขาดีไหม
"ทำอะไร" เสียงห้าวๆดังขึ้น ฉันหันหลังไปมองก็เห็นว่าคุณนรินทร์ในเสื้อโปโลสีกรมท่ากับกางเกงยีนสีเข้ม เดินย่างสามขุมเข้ามาหาฉัน ฉันคงต้องใช้คำนี้จริงๆ เพราะหน้าตาเขาดูนิ่ง เดาอารมณ์ไม่ถูก แต่ท่าทางจริงจัง ขณะสาวเท้ามาประชิดตัวฉัน แล้วฉันก็เบี่ยงตัวหนี พลางเอาตัวเองบังกล่องข้าวที่ทำให้เขา
ฉันสบตาเขาแวบหนึ่ง แล้วมองลงพื้น ไม่รู้จะพูดอะไรดี "ทำไมเหรอคะ" ฉันตอบเสียงค่อย แต่แล้ว มืออุ่นๆของเขาก็เชยคางฉันขึ้น แววตาคุณนรินทร์ที่สบตาฉันวันนี้แตกต่างออกไปจริงๆ มันช่าง...อ่อนหวาน ฉันก็ไม่แน่ใจนักหรอก แต่ทำเอาฉันวูบวาบไปทัั้งตัว เขาคงรู้แล้วล่ะว่าฉันรู้สึกอย่างไร เพราะใบหน้าฉันแดงก่ำ แววตาสั่นไหวระริก เหมือนหัวใจฉันนั่นเอง
“รอผมอยู่นี่นะ เย็นนี้ผมมีอะไรจะคุยด้วย”
เราสบตากันอีกเพียงเสี้ยววินาที แล้วเขาก็เดินออกจากห้องครัวไป
ตอนนี้มือฉันเย็นไปหมด ใจก็เต้นรัว นี่เขา เขาทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ
“เดี๋ยวค่ะคุณ” ฉันตัดสินใจพูดออกมา เขาหันมามอง ดูประหลาดใจนิดหนึ่ง
“ฉัน…เอ่อ…ฉันทำข้าวกลางวันให้น่ะค่ะ คุณเอาไปทานกับคุณปริญญาสิคะ”
เขาทำตัวไม่ถูก พูดขอบคุณเบาๆแล้วรับข้าวกล่องไป
แล้วเย็นนี้เขาอยากคุยกับฉันด้วยเรื่องอะไรกัน
เช้าวันนี้ เนื่องจากจุ๋มต้องอาบน้ำเด็กทั้งสองคน ฉันเลยอาสาทำอาหารให้ทาน จากนั้นฉันนึกอยากตอบแทนอะไรจุ๋มบ้างที่เรามารบกวนอาศัยด้วยเลยนึกขยันรดน้ำต้นไม้ให้ พลางคิดในใจต่างๆนานา ถึงการกระทำของคุณนรินทร์ มีอยู่สองอย่างที่กวนใจฉันเหลือเกินคือ รัก หรือ ไม่รัก
“คุณสิดีคะ…ว้าย!!!!”
ตายแล้ว!!!! ฉันรดน้ำต้นไม้เพลิน พอจุ๋มเรียกเลยหันไปทั้งสายยางแล้วฉีดน้ำรดเธอเข้า
“ตายแล้ว! ฉันขอโทษทีจ้ะจุ๋ม ไม่ได้ตั้งใจน่ะ”
จุ๋มยิ้มแห้งๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันจะไปอาบน้ำพอดี คือมือถือของคุณดังน่ะค่ะ”
ป่อ ปี๊ ป่อ…
เออจริงแฮะ แล้วฉันก็รับมือถือมาจากจุ๋ม
“ขอบใจนะจ๊ะ แล้วก็ขอโทษด้วยนะ แหะๆ”
ฉันมองหน้าจอ….หนูเล็ก
“ไงยะ มีปัญหาล่ะสิถึงโทรมาหาฉัน”
“เปล่าย่ะ ฉันจะโทรมาถามว่าฮันนีมูนเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงหนูเล็กดูกระตือรือร้นที่จะฟังคำตอบเหลือเกิน
“ก็ไม่มีอะไร…” ก็มันไม่มีอะไรจริงๆ
หนูเล็กทำเสียงหมั่นไส้ “สวีทกันน่าดูล่ะสิ ฉันตอนนี้ได้แต่ทำงานแก้เหงา คุณจิทัศน์ไม่อยู่ เลยไม่ค่อยได้ไปไหน แต่เมื่อวานพึ่งไปเยี่ยมแม่เธอมาล่ะสิดี”
หนูเล็กกับแม่ค่อนข้างสนิทกัน เพราะเธอมักอัพเดทข่าวสารแฟชั่นให้แม่ฟังเสมอ ฉันจึงไม่แปลกใจนัก แต่ฉันสงสัยเรื่องหนึ่ง
“คุณจิทัศน์ไปไหนเหรอ”
“เห็นบอกว่าไปดูงานต่างจังหวัดน่ะ”
แล้วฉันก็นึกถึงผู้หญิงแว่นดำ กับผู้ชายที่นั่งหันหลังในร้านอาหารที่คุณปริญญาพาไป
คงไม่ใช่หรอก…
“เออแต่แม่เธอพูดกับฉันแปลกๆนะสิดี ก่อนฉันจากมาแม่เธอจับไหล่ฉัน แล้วก็พูดว่า ‘อย่าปิดตัวเองที่จะรักใครล่ะ’ งงเลยน่ะ”
หวา…สงสัยเรื่องที่ฉันเอาหนูเล็กไปหากินเพื่อจะให้แม่วินิจฉัยว่าฉันรักคุณนรินทร์หรือเปล่า คงทำพิษเข้าแล้ว
“ก็นะ…แม่อาจจะอินหนังสือที่ตัวเองเขียนมากไปก็ได้”
“ว้าย ใช่แล้ว เธออ่านหนังสือนั่นหรือยัง ฉันอ่านแล้วล่ะมันช่าง….”
“ยิ่งใหญ่…ฉันอ่านแล้วล่ะ แต่ข้ามๆน่ะ งงมากเลยว่าแม่เขียนถึงใคร เหมือนไม่ใช่พ่อฉันเลยนะ”
“หึหึ สิดี…เธอควรกลับไปตั้งใจอ่านใหม่เสีย แล้วเธอจะช็อก นี่แม่เธอไม่เคยเล่าอะไรเลยสินะ”
หา…ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ
“ทำไมเหรอ”
หนูเล็กหัวเราะ หึหึ อย่างมีเลสนัย
“เอาเถอะ แล้วฉันคิดว่าพอเธออ่านจบ เธอคงรู้ตัวว่ารักใครบางคนเข้าแล้ว”
แหม แม่คุณ ทำมารู้ดี ฉันรู้ตัวของฉันมานานแล้วย่ะ
“ฉันรู้ว่ารักใครมาตั้งนานแล้วล่ะ แค่นี้ก่อนแล้วกันนะ ไว้เจอกันที่กรุงเทพฯ ฉันจะซื้อน้ำพริกกุ้งเสียบไปฝาก”
ฉันกดวางสายไปทั้งๆที่หนูเล็กส่งเสียงประท้วงเย้วๆ
หนังสือของแม่นี่มีอะไรแอบแฝงไว้เหรอ ฉันไม่รอช้ารีบวิ่งเข้าไปหยิบหนังสือแล้วนอนเอกเขนกอ่านทันที
แต่…เฮ้! นั่นอะไรน่ะ
ฉันเห็นกล่องแปลกๆแลบออกมาจากกระเป๋าเป้ของคุณนรินทร์ พอเข้าไปมองใกล้ๆก็ได้เห็นว่ากล่องขนาดกระทัดรัดนั้นถูกห่อด้วยกระดาษสีสันสวยเป็นอย่างดี มีริบบิ้นสีทองผูกเอาไว้
ของข้างในเป็นอะไร แล้วเขาจะให้ใครกัน….หรือจะเป็นฉัน
เอาเถอะๆ ถ้าเกิดเขาพิศวาสฉันขึ้นมา เย็นนี้น่าจะได้รู้กัน
ฉันขอตัวไปอ่านหนังสือของแม่ต่อดีกว่า
อืม….
อืม….
……หา???
……อะไรนะ???
นี่มัน…
ให้ตาย…ฉันล่ะไม่อยากจะเชื่อ….นี่แม่…
โอเคๆๆๆ เอาละฉันจะลองเรียบเรียงดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตรักของแม่ที่ไม่เคยเล่าให้ฉันฟังเลยแม้แต่น้อย
แต่มันเกิดขึ้นจริงๆเหรอเนี่ย!!!!!
ตอนแม่เรียนมหาวิทยาลัย แม่ไปหลงรักรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง แล้วในที่สุดก็ได้ใกล้ชิดกันจนแม่รักเขาลึกซึ้งมากขึ้น แต่แม่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาคิดกับแม่อย่างนั้นหรือไม่ จนในที่สุดคนรักเก่าของชายคนที่แม่แอบรักนั้นกลับมา ทั้งสองได้คืนดีกัน ส่วนแม่ก็อกหักไปตามระเบียบ และไม่เคยบอกความรู้สึกของตัวเองให้เขารู้เลย ไม่ทำได้แค่แอบมองคนที่แม่รักมีความสุขและคอยห่วงใยเขาในฐานะรุ่นน้องเท่านั้นระหว่างที่แม่อกหักนี้ น้องชายของคนที่แม่แอบรักได้เข้ามาในชีวิตของแม่ เขาคอยห่วงใย และเอาใจใส่ แม่รู้ว่าเขารักแม่ แต่แม่ไม่เคยคิดกับเขาแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย แม่ยังรักผู้ชายคนเดิมอยู่นั่นเอง แม้นั่นจะทำให้แม่เจ็บก็ตาม….
วันหนี่งชายคนที่แม่รักล้มป่วย แม่ได้ไปเยี่ยมและดูแลเขาไม่ขาด แต่แม่กลับไม่เห็นคนรักของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในที่สุดน้องชายของคนที่แม่รักได้บอกว่า ผู้หญิงคนนั้นได้ทิ้งพี่ชายของเขาไปเสียแล้ว เนื่องจากพี่ชายเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย นั่นทำให้แม่ช็อกและเสียใจไปพักใหญ่ อีกทั้งตลอดเวลาที่แม่คอยมาดูแลคนที่แม่รักนั้น เขายังคงเศร้าสร้อยเพราะคิดถึงคนรักเก่าอยู่นั่นเอง ทำเอาแม่แอบเสียใจอยู่บ่อยๆ ทั้งๆที่แม่ต่างหากที่คอยดูและและมอบความรักให้เขา
น้องชายของคนที่แม่รักมักจะคอยปลอบใจและให้กำลังใจแม่เสมอ แม่รู้ว่าเขาก็อยู่ในชะตากรรมเดียวกับแม่ นั่นคือ เจ็บปวดเพราะรักคนที่ไม่ได้รักตัวเอง แต่แม่ก็ไม่สามารถรักเขาได้ แต่แล้ววันหนึ่งเขาได้บอกแม่ว่า ให้แม่รีบบอกความในใจกับคนที่แม่รักได้แล้ว ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้บอก แต่แม่ก็ยังไม่ยอมทำตาม เพราะคิดว่าอย่างไรเสียความรักของตัวเองก็ไม่มีค่า
ในที่สุดอาการของชายที่แม่รักย่ำแย่ลงเรื่อยๆ หมอบอกว่าคงอยู่ได้ไม่เกินภายในวันนี้ แม่จึงตัดสินใจบอกความในใจออกไป แล้วคำตอบที่แม่ได้รับก็ทำเอาแม่ตกตะลึง นั่นเพราะชายคนที่แม่แอบรักได้บอกว่า จริงๆแล้วก่อนคนรักเก่าของเขาจะกลับมาเขาก็เริ่มรักแม่ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เพราะเขาก็ไม่รู้ได้ว่าแม่คิดกับเขาอย่างไร เพราะแม่มักจะปกปิดความรู้สึกของตัวเองและวางตัวเฉยๆกับเขาเสมอ พอคนรักเก่ากลับมา เขาจึงตัดสินใจเลือกคนที่รักเขาแทน มันเป็นเรื่องรักที่น่าเศร้า ทั้งแม่และเขาต่างร้องไห้เพราะคำพูดคำเดียวที่ไม่กล้ากล่าวออกไป ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตสั้นลงเรื่อยๆ ชายคนนั้นปลอบแม่ว่าอย่าเสียใจไป เขามีสิ่งหนึ่งอยากจะมอบให้แม่ดูแลให้ดี สิ่งๆนั้นเป็นตัวแทนความรักของเขาและเป็นสิ่งตอบแทนในความรักที่มั่นคงของแม่….สิ่งนั้นคือ…น้องชายของเขานั่นเอง
ในที่สุดชายคนนั้นก็จากไป ท่ามกลางหยาดน้ำตาของน้องชายที่เขารัก และคนที่เขาเคยรัก ตลอดเวลาที่แม่เศร้าโศก น้องชายของเขาได้ดูแลและปลอบใจแม่เสมอมา ก่อนนี้แม่ไม่อาจรักเขาได้…แต่แม่เชื่อว่านี่คือตัวแทนความรักของชายที่แม่รัก เขาคงอยากให้แม่มีความสุขกับคนที่จะไม่ทำร้ายจิตใจของแม่ และในที่สุด แม่ก็ตัดสินใจแต่งงานกับน้องชายของเขา จากนั้นไม่นาน แม่ได้ตกหลุมรักเขาอย่างง่ายดาย…เพียงแม่ไม่ปิดกั้นและซื่อสัตย์ต่อตัวเองเท่านั้น…
และฉันก็ได้รู้แล้วว่าเขาคือใคร….
น้องชายของคนที่แม่แอบรักนั่นน่ะ….
คือพ่อของฉันอย่างไรล่ะ….
ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนถึงบอกว่าหนังสือของแม่เล่มนี้ยิ่งใหญ่…เพราะสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั่นไม่ใช่ขนาดของเล่ม ราคา หรือการติดเบสท์เซลเลอร์ แต่คือความรักที่มั่นคงนั่นเอง
ฉันปาดน้ำตา และสะอื้นเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมๆกับที่จุ๋มโผล่หน้าเข้ามาถามว่าอยากเดินเที่ยวแถวนี้ไหม
ฉันรีบทำตัวให้เป็นปกติ ก่อนจะยิ้มแย้มออกไปเดินเล่นกับจุ๋มและลูกน้อยทั้งสอง จุ๋มพาฉันมาตลาดแถวนี้น่ะ เรามาซื้อกับข้าวเพื่อทำอาหารเย็น ฉันนึกได้ว่าเย็นนี้จะทำไข่ยัดไส้ เลยซื้อไข่และไส้ที่จำเป็น เอ่อ…แต่ลืมหยิบเงินมาเลยต้องยืมจุ๋มไปก่อน ของสมัยนี้ก็แพงชะมัด หมูเห็ดเป็ดไก่ยกขบวนกันขึ้นราคาเสียหมด
“นี่แม่คุณ ฉันลดให้ตั้งครึ่งขีด เป็นเงินเจ็ดบาทเลยนะยะ” แม่ค้ากระเทยร่างใหญ่ มือหนึ่งเท้าสะเอว อีกมือแกว่งอีโต้ไปมา ตอนฉันต่อราคาปลากะพง
ทำเอาฉันหุบปากไม่อยากต่อล้อต่อเถียงทันที
ขณะฉันเดินๆจูงมือแม่หนูจิ้มคนโตอยู่ก็ดันไปชนกล้วยที่ผูกไว้บนหลังคารถเข็นขายโรตีเสียได้ ทำเอาอาบังโรตีโมโหให้ฉันชดใช้ค่าเสียหายทั้งๆ คนที่หัวโนคือฉันแท้ๆ กล้วยของเขายังคงเรียวสวยเหมือนเดิมด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ยืมเงินจุ๋มจ่ายไปก่อน
ยังไม่พอ ฉันยังคงเจ็บตัวไม่เลิก เนื่องจากลื่นล้มเพราะน้ำที่เขาเทราดตลาดน่ะสิ ดีที่ปล่อยมือหนูจิ้มทัน ไม่อย่างนั้นคงทำให้ลูกจุ๋มเจ็บตัวด้วยอีกคน
“จิ้ม ไปหาแม่ก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวน้าเดินตามไป” ฉันยังคงนั่งจุ้มปุ๊กเจ็บก้นอยู่สักพักถึงแม้พ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นจะขำกันต่อไปก็ตาม แต่แล้วก็มีมือหนึ่งยื่นส่งมาให้
“คุณก็ยังซุ่มซ่ามอยู่วันยังค่ำนะครับ”
ฉันแหงนหน้ามองแล้วก็ต้องตกใจ
“คุณจิทัศน์!!!!!!!”
เขายังคงยิ้มอย่างสงบนิ่ง “ครับผมเอง ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าผมมาทำอะไรที่นี่ คนมาตลาดก็ต้องมาซื้อกับข้าวจริงไหม”
ฉันหงุดหงิด “ฉันยังไม่ได้ถามอะไรคุณสักคำเลยค่ะ ฉันลุกเองได้ค่ะ ขอบใจ” แล้วฉันก็ลุกขึ้นโดยไม่ได้จับมือเขา
“คุณมาคนเดียวเหรอครับ เพราะผมเห็นนรินทร์อยู่ที่สถานที่ก่อสร้างโรงแรมสิทรา”
เขา….เขารู้แล้วล่ะสิเนี่ย…
“เอ่อ… ฉันขอตัวก่อนนะคะ” ฉันเตรียมตัวจะรีบเดินหนีไป แต่เขาฉุดแขนฉันรั้งไว้
“คุณจะเชื่อผมหรือไม่ก็ตามนะ แต่รีบให้นรินทร์ออกมาจากที่ก่อสร้างดีกว่า ไม่อย่างนั้น…”
ฉันไม่จำเป็นต้องฟังคนอย่างคุณจิทัศน์หรอก ถึงเขาจะขู่คุณนรินทร์ แต่อย่างคุณนรินทร์ก็แกร่งพอที่จะต่อสู้นั่นล่ะ
ดังนั้นฉันจึงสะบัดแขนออกแล้วเผ่นไปให้ไกลจากเขา
สี่โมงเย็นแล้วฉันกลับมาช่วยจุ๋มทำอาหารเย็นเช่นเดิม วันนี้ดำกลับมาจากตัวเมืองเร็ว แถมมีของเล่นมาฝากลูกๆ ฉันเลยได้เห็นภาพพ่อกับลูกเล่นด้วยกันอย่างน่ารัก ส่วนฉันมีอะไรให้คิดมากมายเหลือเกินวันนี้ ทั้งเรื่องความหลังของแม่ และข้อคิดบางอย่าง…
นั่นสิ…กว่าจะได้บอกรักใครบางคน…มันอาจจะสายไป
แม้ว่าตอนนี้ฉันจะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองก็ตาม
ยังมีเรื่องของคุณจิทัศน์อีก เขารู้ว่าคุณนรินทร์มาหรือ? เขาถึงตามลงมาที่ภูเก็ต…แล้วต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ
‘ศึกมวยแย่งที่สร้างโรงแรมของนักธุรกิจดัง ฝ่ายแดงนรินทร์ กระทิงแดงยิม ฝ่ายน้ำเงินจิทัศน์ คาราบาวแดง ’
เหอๆ ตามด้วยรูปคุณนรินทร์ฮุกซ้ายและคุณจิทัศน์ตั้งการ์ดหลบ ลงหน้าหนึ่งเดลินิวส์
ให้มันได้อย่างนี้สิ!
“ว้าย! คุณสิดีคะ นั่นมือคุณค่ะไม่ใช่กระเทียม อย่าพึ่งตบ!!!!” จุ๋มโวยวายลั่น
เฮ้อ…อีกเรื่องนะที่มีให้คิด…ชีวิตคนมันสั้นจริงๆ ตั้งแต่ฉันเกือบโดนแม่ค้าขายปลาเหวี่ยงอีโต้ใส่ เดินชนกล้วย ล้มจ้ำเบ้า จนจะฟันมือตัวเองหักคาเขียง…ดังนั้น…รักใครฉันควรรีบบอกใช่ไหม…เกิดเราทั้งสองใจตรงกัน
หลังจากจุ๋มทำกับข้าวของตัวเองเสร็จแล้ว ก็ถึงตาฉันที่จะได้อวดฝีมือไข่ยัดไส้ คราวนี้ฉันจะใส่เครื่องปรุงแสนพิเศษลงไปด้วย…ความรักของฉันอย่างไรล่ะ ฮ่าๆๆๆ
เอาละนะ เริ่มจากที่ผัดไส้ลงไปก่อน ทั้งหมูสับ มะเขือเทศ รากผักชี และ ฯลฯจากนั้นก็นำไข่มาทำเป็นแผ่นใหญ่ๆในกระทะ ก่อนจะใส่ไส้ลงไปแล้วหุ้มไส้ทั้งหมดเอาไว้
เป็นอันเสร็จ!!!! สวยงามมากๆ ถึงแม้ไข่จะไหม้นิดหน่อยแล้วก็ไส้อาจจะเค็มไปเนื่องจาก ทำน้ำปลากระฉอก อ้อ…สับหมูไม่ละเอียดเท่าไรด้วยน่ะ แหะๆ
“จุ๋มจ๊ะ หกโมงเย็นแล้วคุณนรินทร์กลับมาหรือยัง” ฉันเดินถือจานไข่ยัดไส้มาเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร ซึ่งจริงๆก็คือสำรับตั้งพื้นนั่นแล
จุ๋มและดำส่ายหน้า
“ยังเลยครับคุณ รออีกสักหน่อยก็ได้”
อ่านะ…ตานี่…ฉันอุตส่าห์ตั้งใจทำจะรีบกลับมาก็ไม่ได้ เดี๋ยวแม่ก็ลากไส้ออกมายัดไข่เสียเลย
ล้อเล่นหรอก…
ฉันตั้งใจไว้แล้ว ว่าถ้าเขากลับมา…ฉันจะบอกรักเขาเอง…ถึงแม้ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็ตาม
มันช่วยไม่ได้จริงๆ ระหว่างรอ ดำก็ดูข่าวในทีวี จุ๋มป้อนข้าวลูกคนเล็ก ส่วนฉันก็เล่นหมากเก็บกับลูกสาวคนโต
หลังจากฉันชนะเด็กไปหลายตา และแกล้งแพ้มากกว่านั้น พอเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาก็เห็นว่าเป็นเวลาทุ่มกว่าๆแล้ว
ดำท้องร้องดังจ๊อก แต่กลบเกลื่อนว่าเสียงมาจากทีวี จุ๋มท้องร้องด้วยแต่กลบเกลื่อนว่าเป็นเสียงตดลูก
ทำไมเขายังไม่กลับมาอีกนะ…
‘รีบให้นรินทร์ออกมาจากที่ก่อสร้างดีกว่า…’ คำที่คุณจิทัศน์เคยเตือน…หรือมันจะเป็นคำขู่
ฉันไม่อยากเป็นภาระของดำ จึงออกอุบายว่าจะไปเดินเล่นแถวนี้เพื่อฆ่าเวลา ก่อนจะเผ่นไปที่ก่อสร้าง มันไม่ไกลจากบ้านของดำมาก แต่ถ้าเดินไปก็เหนื่อยใช่ย่อย
โรงแรมสิทราขณะก่อสร้างในยามค่ำคืนนั้นน่ากลัวเหลือเกิน ฉันพยายามมองหารถคุณปริญญา แต่ก็ไม่เจอ จึงใจดีสู้เสือเดินเข้าไปที่ก่อสร้าง โชคดีว่าเจอแสงไฟลอดผ่านความมืดเข้ามา เมื่อฉันยิ่งเดินเข้าไปใกล้ตรงนั้นก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน
ฉันจะส่งเสียงเรียกคุณนรินทร์แล้ว แต่กลับมีเสียงสนทนาดึงดูดความสนใจไป
“วิรักคุณค่ะ….”
ฉันแทบอยากจะล้มกองกับพื้นตรงนั้น…นั่นเพราะ…ภาพที่ฉันเห็นไม่ใช่คุณนรินทร์คนที่ฉันรัก แต่เป็นคุณนรินทร์กับแฟนเก่าที่เขาเคยรักและอาจจะยังรักอยู่ กอดจูบกัน
คุณนรินทร์ไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย เขาโอบเธอไว้ทั้งตัวแล้วสนองตอบจูบนั้น…
โอเค…ตอนนี้ฉันได้คำตอบสำหรับทุกอย่างแล้ว หญิงแว่นดำที่แอบมองเราสองคนคือ ใคร กล่องของขวัญในกระเป๋าของเขาจะมอบให้ใคร เขายังรักใครอยู่ และที่สำคัญเรื่องเมื่อคืน ก็เป็นเพียงแค่สันดานดิบของผู้ชายนั่นเอง
พอแล้ว…พอกันที…ฉันเจ็บปวดมามากพอแล้วกับความรัก…ทำไมนะ…ทำไมฉันไม่ยืนหยัดมั่นคงในคานของตัวเองให้มากกว่านี้
ฉันวิ่งออกจากตรงนั้น วิ่งไป วิ่งไป วิ่งไป หยาดน้ำตาและเสียงร้องไห้ ของฉันคงไม่สำคัญเท่ากับความรักลมพัดหวนของเขาและเธอทั้งสอง
ฉันคงไม่กลับไปหาจุ๋มและดำ เพราะฉันไม่สามารถปั้นหน้าปกติเผชิญคนทั้งโลก…ที่สำคัญ ฉันคงไม่สามารถทำตัวปกติเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรกับคุณนรินทร์ได้อีก….ถ้าฉันโวยวาย เขาคงรู้ว่าฉันรักเขา และเขาคงหัวเราะเยาะเท่านั้นเอง
ฉันวิ่งผ่านความมืดและเงียบสงัดมาเรื่อยๆ จนถึงถนนใหญ่ ใบหน้าฉันเปียกชุ่มและบิดเบี้ยวด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ ตัวฉันสั่นเทิ้มและขาก็อ่อนล้าเหลือเกิน เพราะหัวใจของฉันที่บอบบางยิ่งกว่าอะไรถูกบดขยี้อย่างไร้เยื่อใย
ฉันนั่งล้มกองร้องไห้ข้างถนน รถคันแล้วคันเล่าวิ่งผ่านไปโดยไม่ใส่ใจ ตอนนี้ฉันไม่หวังอะไร ขอแค่มีชีวิตถึงพรุ่งนี้แล้วค่อยโบกรถกลับกรุงเทพฯก็พอ
แสงไฟรถซีดานคันใหญ่สาดส่องเข้ามา เสียงบีบแตรดังลั่น มีใครคนหนึ่งเปิดประตูลงมา ก่อนจะหิ้วปีกฉันเข้าไปในรถซึ่งฉันไม่มีแรงแม้แต่จะขัดขืน…
“หิวน้ำไหมคุณสิดี” กว่าจะมีสติฉันก็ลืมตามองคนตรงหน้าด้วยความงุนงง
เขามาเกี่ยวอะไรด้วย???
“คุณ…คุณจิทัศน์…”
เขายังคงยิ้มให้ และครั้งนี้ฉันกลับรู้สึกได้ว่า นั่นเป็นยิ้มที่แสดงถึงความเป็นมิตรจริงๆ’
“คุณเพลียมากจริงๆ อย่าพึ่งถามอะไรเลยนะ ไว้ใจผมก็พอ ผมจะพาคุณกลับบ้านเอง คุณหิวอะไรหรือเปล่า ตอนนี้ผมจอดรถที่ปั๊มอยู่”
แล้วน้ำตาฉันก็ร่วงอีกครั้ง อาจเพราะดีใจที่ยังมีคนอยู่เคียงข้าง และเสียใจที่คนตรงหน้าในขณะฉันลืมตาตื่ขึ้นน่าจะเป็นคุณนรินทร์
“อย่าพาฉันกลับบ้านเลยค่ะ เดี๋ยวแม่ฉันจะไม่สบายใจ พาฉันไปหาหนูเล็กดีกว่า”
คุณจิทัศน์ยื่นทิชชู่ให้
“ก็ดีครับ หนูเล็กก็เป็นห่วงคุณอยู่ ผมโทรบอกเธอเมื่อสักครู่”
ฉันพยักหน้า ในขณะที่หยาดน้ำตายังไหลรินไม่หยุดไม่รู้ว่าคุณจิทัศน์รู้เรื่องที่เราโกหกหรือยัง
เขายื่นซาลาเปาเซเว่นให้ แล้วฉันก็กลืนรวดเดียวด้วยความหิว ก่อนเขาจะขับรถมุ่งสู่กรุงเทพฯอีกครั้ง
ฉันเงียบมาตลอดทาง หลับตาก็ไม่ลงเพราะมักจะนึกถึงภาพของสองคนนั้นเสมอ
คุณจิทัศน์ก็เงียบมาตลอดทางเช่นกัน แต่ไม่นานนักเขาก็ทำลายความเงียบขึ้น
“ผมต้องชี้แจงให้คุณฟัง เพราะคุณจะได้เข้าใจอะไรให้กระจ่าง”
เขาพูดเสียงเข้ม
“ค่ะ พูดมาเถอะค่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
เสียงฉันยังคงสั่นเครือ
“ผมว่านรินทร์ไม่ได้นอกใจคุณ เขายังรักคุณอยู่” อืม…แปลว่าคุณจิทัศน์ยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์หลอกๆ
“ผมมาภูเก็ตเพราะรู้ว่านรินทร์จะลงมาดูโรงแรมของผม ผมก็ต้องปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองนั่นแหละ แล้วถวิกาก็ลงมาก่อนหน้าคุณกับนรินทร์จะมาถึงสองวัน คงเพราะทับทิมไปบอกเธอ”
“พอเธอมาถึงก็ติดต่อผม บอกว่าให้ช่วยเขากับนรินทร์ได้เจอกันที่ก่อสร้าง ผลที่ได้คือนอกจากเธอจะแย่งนรินทร์มาได้แล้ว นรินทร์ก็จะหมดโอกาสฟ้องร้องโรงแรมของผม เพราะผมจะจับนรินทร์ได้คาหนังคาเขาเรื่องที่เขาบุกรุกสถานที่ก่อสร้างโรงแรมของผม”
เขาเลี้ยวหลบรถพ่วง
“แต่ผมไม่เล่นด้วย เพราะอย่างไรเสียก็มีวิธีจัดการกับนราธรได้อยู่แล้ว ที่สำคัญคุณเป็นเพื่อนสนิทหนูเล็ก และนรินทร์มันก็เคยเป็นเพื่อนรักของผม ถึงตอนนี้…ผมก็ยังคิดแบบนั้น”
คราวนี้เขานิ่งเงียบ คงอยากฟังเสียงตอบรับจากฉัน
แต่ฉันก็ยังคงเงียบต่อไป…
“ผมถึงเตือนคุณที่ตลาดอย่างไรล่ะ แต่คงเพราะคุณมีอคติต่อผมอยู่แล้วคุณจึงไม่ยอมฟังให้จบ ถวิกาไม่ยอมเชื่อผมที่บอกว่าเพราะเธอนิสัยแบบนี้นรินทร์ถึงเลิกรักเธอ ผมเตือนเธอแล้วว่าอย่ายุ่งกับนรินทร์อีก แต่เธอไม่ฟัง ผมเดาว่าเธอคงแอบไปดูที่ก่อสร้างทุกวัน เพราะเธอพูดว่า อย่างไรเสียเธอก็จะแย่งเขากลับมาให้ได้”
“ไม่ต้องแย่งหรอกค่ะ เธอได้เขาไปเต็มๆ” ฉันพูดด้วยความเจ็บใจ
“เอาเถอะครับ ฟังผมก่อน ก่อนเธอจะทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นเธอโทรเรียกผมให้มาที่ก่อสร้าง ผมก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้รู้แล้ว เธอคงอยากให้มาเป็นพยานในการทำเรื่องน่าเกลียดแบบนี้ โชคร้าย…คุณดันมาเห็นด้วย แต่โชคดีหน่อยที่ผมไม่ได้โกรธแค้นอะไรนรินทร์เลยผมจึงไม่จำเป็นต้องแฉเรื่องของเขา เธอคงคิดผิดที่จะให้ผมช่วย”
รอบๆข้างทางยังคงเป็นป่ายางมืดทะมึน คุณจิทัศน์เงียบลงอีกครั้ง
“นรินทร์ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเป็นแบบนี้หรอกครับ ถวิกาคงจู่โจมจนเขาไม่ได้ตั้งตัว ผมพึ่งขับมาถึงก็เห็นคุณยืนตะลึงแล้ววิ่งหนีไป ผมเลยขับตามมา”
ฉันเริ่มร้องไห้อีกครั้ง ไม่จริงหรอก ไม่จริงทุกอย่างนั่นแหละ ฉันมันไม่ดีเอง ชอบมองอะไรด้านเดียว ชอบคิดว่าคุณจิทัศน์ไม่ดี จริงๆแล้วเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น ชอบคิดว่าคุณนรินทร์หมดรักแฟนเก่า ทั้งๆที่จริงเป็นอย่างไรก็ได้รู้กันแล้ว
คราวนี้คุณจิทัศน์ยื่นทิชชู่ให้ทั้งกล่อง
“ร้องให้หมดเถอะครับ แต่อยากให้เชื่อผมก็พอ ว่านรินทร์ไม่ได้รักถวิกาแล้ว”
แล้วฉันก็ร้องจนหมดทั้งต่อมน้ำตา คุณจิทัศน์ยังคงขับรถต่อไปท่ามกลางป่ายาง ระยะทางจากภูเก็ตถึงกรุงเทพฯคงอีกยาวไกล
“ฉันขอโทษที่เคยมองคุณไม่ดีนะคะ”
“อ้อ…ไม่เป็นไรครับ มันก็ไม่แปลกหรอก ผมมันไม่ดีเองแหละที่ไม่ปฏิเสธถวิกา กว่าจะรู้ตัวว่าได้ทำร้ายเพื่อนรักไปแล้วผมก็ตกหลุมรักถวิกาเต็มๆ แต่ไม่นานนักผมก็รู้ว่าเธอคบผมเพราะอะไร ช่วงนั้นหุ้นบริษัทสิทรากำลังขึ้นและการจัดอันดับเศรษฐีในเมืองไทย สิทราก็เบียดนราธรตกไปหลายอันดับ แต่ก็นั่นแหละครับ เพราะเธอไม่ได้รักผม เธอก็หักอกผมไปหาคนรักเก่าอยู่ดี”
อ้าว…ความจริง คนผิดคือคุณถวิกาสินะ
“ตอนแรกผมคิดว่าเขาสองคนคงจะคืนดีกัน แต่แล้วเขากลับแต่งงานกับคุณ ผมก็แปลกใจอยู่เล็กน้อย แต่ผมเข้าใจแล้วครับว่าทำไมนรินทร์ถึงเลือกคุณไม่กลับไปหาถวิกา”
เปล่าเลย…เขาไม่ได้เลือกฉันเลยแม้แต่น้อย เขากลับไปหาเธอ
“ผมก็ไม่ดีจริงๆแหละครับ ไม่ผิดที่นรินทร์ยังคงไม่ให้อภัยจนบัดนี้ ยิ่งเราต้องแข่งขันกันทางธุรกิจ เขายิ่งมองผมในแง่ลบเรื่อยๆ มาถึงตอนนี้ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจนะครับคุณสิดี”
ฉันหลับตาลง นึกทบทวนเรื่องราวที่ทำให้ฉันไม่ชอบขี้หน้าคุณจิทัศน์ไปด้วย…จริงๆแล้ว ทุกอย่างเพราะความมีอคติ ฉันเลยคิดไปเองว่าคำพูดและท่าทางต่างๆของเขานั้นไม่หวังดีต่อฉันและคุณนรินทร์…ฉันเชื่อทุกอย่างที่เขาพูด เพราะจริงๆแล้วคุณจิทัศน์ไม่เคยทำร้ายฉันแม้แต่น้อย ดูสิเขายังคงให้กำลังใจฉันว่าคุณนรินทร์รักฉันอยู่เลย
แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันไม่เชื่อ
“ฉันเชื่อคุณค่ะ คุณจิทัศน์ แต่ฉันยังคงไม่เชื่ออยู่ดีว่าคุณนรินทร์รักฉัน”
คุณจิทัศน์ถอนหายใจ
“เรามาพิสูจน์กัน” แล้วเขาก็เปิดลำโพงมือถือ ก่อนจะต่อสายหาใครไม่รู้
ฉันยังคงหลับตาฟังเสียงต่อสายต่อไป
“ฮัลโหล นรินทร์ ฉันเองจิทัศน์” ฉันสะดุ้งลืมตาขึ้น
เงียบไปพักหนึ่ง
“ทำไม! สิดีอยู่กับแกหรือเปล่า!!!!” เสียงคุณนรินทร์ฟังดูน่ากลัวมาก
“ใช่ เธออยู่ ใจเย็นๆก่อนเธอเห็นนายอยู่กับถวิกาเลยวิ่งหนีมา ฉันมาเจอโดยบังเอิญ นายไม่ต้องห่วง”
“ต้องห่วงสิ!!! แกจะพาเธอไปไหน พาสิดีกลับมาเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ยอมให้แกแย่งใครไปอีกแล้ว” ฉันเคยโดนคุณนรินทร์โกรธก็บ่อย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ความโกรธแต่เป็นความเคียดแค้นเลยทีเดียว
ฉันตั้งใจฟังอย่างแน่วแน่ เขาห่วงฉันเหมือนกันหรือ
แล้วก็มีเสียงโวยวายแทรกเข้ามาดังกว่าเดิม คุณนรินทร์คุยกับใครก็ไม่รู้ ก่อนจะกลับมาคุยกับคุณจิทัศน์อีกครั้ง
“นรินทร์ ฉันจะพูดกับนายครั้งสุดท้าย ฉันหวังดีและจะดูแลสิดีให้จนกว่านายจะมาถึงกรุงเทพฯ”
คุณนรินทร์เงียบไปอึดใจ เขาคงกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
ฉันอยากให้เขาพูดสั่งให้คุณจิทัศน์กลับรถไปภูเก็ต
แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น
เสียงของเขาใจเย็นลง
“ฝากขอโทษสิดีด้วย ฉันต้องไปดูถวิกาก่อน เธอกรีดข้อมือตัวเอง ฝากสิดีด้วยนะจิทัศน์” แล้วเขาก็ตัดสายไป
คุณจิทัศน์และฉันสบตากันอย่างงุนงง
จากนั้นฉันก็ร้องไห้อีกโฮใหญ่
ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2555, 23:37:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ค. 2555, 23:38:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 2034
<< อารมณ์พาไป? | ทายาท >> |
ลูกกวาดสีส้ม 4 ก.ค. 2555, 23:47:22 น.
ยายนี่ น่าตบซะจริง
ยายนี่ น่าตบซะจริง
ลายเส้น 4 ก.ค. 2555, 23:54:24 น.
ใจเย็นค่ะ อิอิ
ใจเย็นค่ะ อิอิ
เคสิยาห์ 5 ก.ค. 2555, 01:01:03 น.
โถ....สิดี ช่างเป็นสาวเพ้อเจ้อ ไปเรื่อยซะจริง ที่จริงน่าจะไปเป็นนักเขียนเหมือนแม่
เน๊อะ นิยายคงเยอะเพียบ
โถ....สิดี ช่างเป็นสาวเพ้อเจ้อ ไปเรื่อยซะจริง ที่จริงน่าจะไปเป็นนักเขียนเหมือนแม่
เน๊อะ นิยายคงเยอะเพียบ
น้ำแอปเปิ้ล 5 ก.ค. 2555, 01:40:55 น.
เธอโก๊ะได้ใจชั้นมาก ยัยสิดี!
เธอโก๊ะได้ใจชั้นมาก ยัยสิดี!
คิมหันตุ์ 5 ก.ค. 2555, 04:46:20 น.
เห้อ..น่าสงสารแท้ เจอเหตุการณ์วัดใจเข้าไป
เห้อ..น่าสงสารแท้ เจอเหตุการณ์วัดใจเข้าไป
wii 5 ก.ค. 2555, 07:00:24 น.
อ้าวยัยถวิกากรีดข้อมือก็เรื่องของหล่อน นริทร์จะไปยุ่งทำไมในเมื่อหล่อนอยากตายนัก เดี๋ยวเรื่องก็ยุ่งไปกันใหญ่หรอก
อ้าวยัยถวิกากรีดข้อมือก็เรื่องของหล่อน นริทร์จะไปยุ่งทำไมในเมื่อหล่อนอยากตายนัก เดี๋ยวเรื่องก็ยุ่งไปกันใหญ่หรอก
mhengjhy 5 ก.ค. 2555, 08:48:43 น.
อ้าวววววว ยังไงเนี่ย
อ้าวววววว ยังไงเนี่ย
goldensun 5 ก.ค. 2555, 17:40:59 น.
สิดีทั้งโก๊ะ ทั้งคิดเอาเอง ทั้งที่นิยายที่แม่เขียนก็เป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว
ส่วนนรินทร์ก็ปากหนักเหลือเกิน คู่นี้ชอบเข้าใจผิดเอาเองพอๆ กันเลย เฮ้อ ลุ้นจนเหนี่อยยังไม่ไปไหนเลย
จิทัศน์พูดถึงหนูเล็กเหมือนเริ่มมีใจให้เลย น่าลุ้นค่ะ
สิดีทั้งโก๊ะ ทั้งคิดเอาเอง ทั้งที่นิยายที่แม่เขียนก็เป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว
ส่วนนรินทร์ก็ปากหนักเหลือเกิน คู่นี้ชอบเข้าใจผิดเอาเองพอๆ กันเลย เฮ้อ ลุ้นจนเหนี่อยยังไม่ไปไหนเลย
จิทัศน์พูดถึงหนูเล็กเหมือนเริ่มมีใจให้เลย น่าลุ้นค่ะ