ชื่นหัวใจ กลิ่นอายรัก
เศร้า เคล้า โรแมนติก
Tags: โรแมนติกดราม่า

ตอน: ตอนที่ 5/1

ตอนที่ 5

รถยนต์ยุโรปคันงามขับผ่านทิวเขาแมกไม้และไร่ชาเขียวชอุ่มตรงดิ่งมาจอดยังเรือนไม้หลังใหญ่ ก่อนร่างระหงงดงามจะค่อยๆก้าวลงจากรถ แต่ก่อนจะเดินไปหล่อนก็ไม่ลืมหยิบดอกไม้ช่อโตในมือมาด้วย
“นั่นใครมาหรือกระแต” พิชชาอรถามขึ้นขณะที่ยืนมองลงมาจากบนระเบียงชั้นสอง กระแตชะเง้อคอลงไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อ๋ออออออออออ......”กระแตลากเสียงยาว ก่อนพูดขึ้น
“เปิ้นเป็นลูกสาวของป้อเลี้ยงบุญทอง ชื่อแม่หญิงไหมทองเจ้า เปิ้นเป็นเพื่อนสนิทของป้อเลี้ยงเจ้า แต่บางครั้งก็ชอบทำสนิทเกินเพื่อน คล้ายๆแฟนเลยเจ้า” พิชชาอรฟังกระแตเล่าไปด้วยประกอบกับการดูลักษณะการแต่งตัวของสาวเจ้าไปด้วยอย่างชื่นชม หล่อนเป็นสาวเหนือที่สวยมากทีเดียวอาจเพราะหล่อนแต่งหน้าเสียจัดจ้านพอดู การแต่งตัวก็ดูทันสมัยราวกับสาวชาวกรุง ทว่าเครื่องประดับออกจะดูเยอะไปหน่อยสำหรับการแค่มาหาเพื่อน ดูๆหล่อนแล้วเหมือนตู้เพชรเคลื่อนที่
“อย่าไปสนใจ๋เลยเจ้า เฮาไปเก็บสตอร์เบอรี่ไปทำขน่มอร่อยๆกินกับป้าแม้นดีกว่าเจ้า” พูดจบสองสาวก็พากันไปเก็บสตอร์เบอรี่ที่เก็บมาจากไร่เมื่อวาน
“นี่เธอ พ่อเลี้ยงอยู่มั้ย” ไหมทองส่งเสียงถามหญิงสาวที่คุ้นหน้าคุ้นตาในไร่แห่งนี้ ใบบัวละสายตาจากการตกแต่งกิ่งไม้ตรงหน้าก่อนจะหันมามองไหมทองอย่างหงุดหงิด
“ป้อเลี้ยงบ่อยู่เจ้า ไปธุระในเวียง”
“อะไรกัน ไม่อยู่ได้ไงฉันเห็นรถของพ่อเลี้ยงจอดอยู่นะ”ไหมทองสวนกลับอย่างไม่พอใจ ใบบัวก็จ้องตาขุ่นกลับไปเช่นกัน
“รถของเปิ้นมีตั้งหลายคันเน้อ แล้ววันนี้เปิ้นก็มีงานยะตึงวันโต้ย บ่ว่างไปนั่งคุยเล่นไร้สาระกับใผดอก”พูดจบใบบัวก็สะบัดหน้าใส่และไม่สนใจเจ้าหล่อนอีก ทำให้ไหมทองออกอาการขุ่นเคืองขึ้นมาทันที
“แกว่าใครไร้สาระ หา นังใบบัว” พูดไม่พูดเปล่า ไหมทองใช้มือที่เปี่ยมไปด้วยเล็บยาวแหลมจิกไปที่เรือนผมของใบบัวจนเส้นผมติดมือ ใบบัวหันมามองตาลุกวาว
“หน้าตาก็งามแต๊ ยะหยังนิสัยบ่งามตามใบหน้าพ่อง” ใบบัวว่าให้อย่างไม่พอใจก่อนจะชูมือข้างหนึ่งซึ่งถือกรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้อยู่อย่างไม่เกรงกลัว ไหมทองมองเป็นกรรไกรแหลมคมอยู่ใกล้ใบหน้าเธอจึงปล่อยมือลงและถอยห่างจากใบบัวอย่างรวดเร็ว
“จำเอาไว้นะฉันจะบอกพ่อเลี้ยงว่าแกด่าฉัน” ไหมทองเกรี้ยวกราดอย่างอารมณ์เสียก่อนสะบัดหน้าหนีจากตรงนั้น แต่มิวายก็ต้องเจอกับร่างนุ่มนิ่มที่พุ่งชนเข้าอย่างจังจนร่างทั้งสองล้มไปพร้อมกัน
“โอ๊ย! อะไรกันเนี่ย” ไหมทองร้องโวยวายเมื่อร่างเล็กบางทับตัวเธออยู่และเธอก็พบว่า ดอกไม้ช่อสวยขอเธอก็ถูกทับเละเช่นกัน และที่แย่กว่านั้น ใบหน้าและลำตัวช่วงบนของเธอชุ่มไปด้วยน้ำสตอร์เบอรี่ที่เพิ่งปั่นสดๆ
“ว้าย ขอโทษนะคะ ทับทิมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” พิชชาอรพูดพลางค่อยๆประคองร่างลุกขึ้นจากร่างของไหมทอง ก่อนจะหันไปมองเหยือกน้ำสตอร์เบอรี่ปั่นอย่างนึกเสียดาย
“ตายแล้วหกหมดเลย น้ำสตอร์เบอรี่ที่เก็บมาปั่น ว่าจะนำไปให้ป้าแม้นลองชิมเสียหน่อย”พิชชาอรบ่นอย่างเสียดาย นั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจกับไหมทองเป็นอย่างมาก พอลุกขึ้นได้หญิงสาวก็เต้นเร่าๆด้วยความโกรธหลังจากที่สำรวจเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองแล้วพบว่าเปียกชุ่มไปด้วยน้ำสตอร์เบอรี่เสียแล้ว ในขณะที่ใบบัวซึ่งเห็นเหตุการ์ณตลอดก็ลอบหัวเราะด้วยความสะใจ
“คุณหนูทับทิม เป็นจะใดพ่อง”กระแตวิ่งตามมาหน้าตาตื่น ด้านหลังก็สะพายกระบุงที่บรรจุด้วยสตอร์เบอรี่จนเกือบเต็ม ก่อนจะช่วยประคองพิชชาอรอย่างห่วงใย
“อ๊ายยย นังเด็กบ้า ทำชุดสวย กับดอกไม้ฉันเละหมดเลย ไหนจะทรงผมสุดเดิร์นของฉันอีก ดูซิฉันอุตส่าห์ไปนั่งทำมาเป็นชั่วโมงนะยะ กรี๊ดๆๆๆ”ไหมร้องโวยวายเสียงดัง ทำเอาพิชชาอรกับกระแตหูชาไปชั่วขณะ ในขณะที่ใบบัวยังคงยืนหัวเราะอย่างสนุกสนาน กระแตเห็นดังนั้นจึงเอาผ้าเช็ดหน้าที่หล่อนเหน็บไว้ที่ข้างเอวมาเช็ดหน้าและเสื้อให้อย่างฉอเลาะ
“บ่ต้องฮ้องเน้อ แม่หญิงคนงาม ข้าเจ้าจะเช็ดให้เน้อ” ไหมทองสะบัดหน้าหนีอย่างรังเกียจก่อนจะผลักใสให้กระแตจนกระเด็นไปห่างๆร่างเธอ
“กรี๊ดไปไกลเลยนะ เอาผ้าสกปรกนี่ไปไกลๆเลย มือสกปรกของแกด้วย ไปเลย อ๊ายยยย..”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ!” เสียงคมเข้มดังขึ้น ทุกคนหันไปมอง ไหมทองไม่รอช้าเมื่อรู้ว่าใครหล่อนก็โผเข้ากอดทันที
“พ่อเลี้ยงคะ ช่วยไหมด้วย เด็กบ้าพวกนี้มันแกล้งฉันค่ะ” อินทัชซึ่งมาพร้อมกับอธิวัชร์เพื่อนตำรวจหนุ่มก็ต่างมองไหมทองในสภาพยับเยินที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเห็นแล้วก็อยากขำแต่ไม่กล้าขำเพราะเกรงใจ
“เอาล่ะ ทุกคนตามผมมาที่เรือนใหญ่เราจะไปคุยกันที่โน่น” อินทัชบอกเป็นเชิงสั่งเสียงเข้ม ก่อนจะเดินจากไปโดยมีไหมทองเกี่ยวแขนไปไม่ห่าง พิชชาอรมองตามอย่างขุ่นใจ
อะไรกัน ทำเหมือนเราเป็นคนผิด แล้วยัยตู้ทองนั่นเป็นคนถูกอย่างนั้นแหละ
หลังจากขึ้นมาที่เรือนใหญ่ได้ ไหมทองก็อาศัยความสนิทสนมคุ้นเคยกึ่งวิ่งกึ่งเดินหายเข้าไปในห้องนอนของอินทัชทันทีเพื่อจะเข้าไปล้างหน้าล้างตัว อธิวัชร์มองตามอย่างอึ้งในความใจกล้าของหญิงสาว ก่อนจะชายตาหันไปมองเพื่อนสนิทอย่างอินทัชด้วยแววตาสงสัย
“แหม ความสัมพันธ์ไปถึงขั้นไหนแล้วเนี่ย” อธิวัชร์ถามปนแซว อินทัชยักไหล่ไม่ยี่หระ
“เราเป็นแค่เพื่อนที่สนิทกันก็เท่านั้น” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ เพราะภายในใจเขาไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับไหมทองเลยนอกจากเพื่อน แต่ที่หล่อนกล้าเข้าห้องนอนเขาได้ราวกับเป็นบ้านของตัวเองนั้นก็เพราะว่าอาศัยที่รู้จักกันมานาน ทำงานด้วยกันบ่อย และสนิทสนมกันมากนั่นเอง
ขณะนั้นพิชชาอรและกระแตก็เดินตามเข้ามา รวมถึงใบบัวมาตามหลัง เป็นจังหวะพอดีที่ไหมทองเดินกรีดกรายออกมาจากห้องนอนของอินทัชในสภาพที่มองก็รู้ว่าเพิ่งล้างหน้าและเช็ดตัวใหม่ หล่อนมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กพอดีมือที่ใบบัวจำได้ว่าเป็นของพ่อเลี้ยงอินทัช ทั้งพิชชาอรและใบบัวต่างมองไกลไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างอินทัชกับไหมทอง เพราะไม่ง่ายนักที่ผู้หญิงจะกล้าเข้าห้องนอนของผู้ชายที่ไม่ใช่พ่อหรือญาติสนิทนอกจากเป็นสามีภรรยากันหรือว่าแฟนกัน
“ไหนเกิดอะไรขึ้น เล่าให้ฉันฟังหน่อย ใครก็ได้” อินทัชเริ่มประโยคคำถามเสียงเครียดตามเคย ไหมทองไม่รอช้าหล่อนรีบตรงไปนั่งข้างๆเขาแล้วพูดขึ้นทันที
“มันเป็นอย่างนี้ค่ะพ่อเลี้ยง ไหมมาหาพ่อเลี้ยง แต่ใบบัวเด็กรับใช้ของอินบอกว่าอินไม่อยู่ แถมยังว่าไหมสาดเสียเทเสีย พอไหมร้องโวยวายเข้า ก็จะเอากรรไกรตัดหญ้ามาทำร้ายไหมด้วย” อินทัชได้ฟังแล้วอึ้ง นึกไม่ถึงว่าใบบัวจะกล้าทำอย่างนี้ ชายหนุ่มหันไปมองหน้าใบบัวอย่างลังเล
“บ่จริง ป้อเลี้ยงอย่าไปเจื้อนาเจ้า แม่หญิงไหมทองอู้เกินกว่าเหตุ ข้าเจ้าบ่ได้ยะอย่างตี้แม่หญิงอู้จักน่อย” ใบบัวเถียงหลังชนฝาไม่ยอมแพ้ ก่อนแลเห็นไหมทองส่งยิ้มเยาะเย้ยมาให้อย่างสะใจแล้วทำให้ใบบัวฉุนขาด ตรงเข้าไปจะหาเรื่อง แต่ทว่าร้อยตำรวจเอกอธิวัชร์ขวางไว้
“คนอิหยังหน้าเนื้อใจเสือแท้” ใบบัวสบถอย่างไม่พอใจ อินทัชส่งสายดุมาให้ทำให้ใบบัวต้องหยุด ก่อนพูดขึ้นเสียงแข็ง
“พอได้แล้วใบบัว ฉันหวังว่าเธอจะมีสัจจะกับตัวเองนะ เรื่องนี้มีเพียงเธอและไหมทองเท่านั้นที่รู้ ถ้าหากเธอว่าไหมทองจริงเธอก็ควรขอโทษเขาซะ”
“ข้าเจ้าบ่สุมาเต๊อะแม่หญิงผู้นี้ดอก ข้าเจ้าบ่ผิด และข้าเจ้าก็บ่ได้กึ๊ดทำร้ายเปิ้น ข้าเจ้าตัดกิ่งไม้อยู่ดีดี เปิ้นก็มาหาเรื่องข้าเจ้าก่อน” ใบบัวแย้งกลับไปโดยไม่สนความถูกต้องอะไรทั้งนั้น หล่อนต้องการอย่างเดียวคือความชนะ
“เอาเถอะค่ะ ใบบัวเค้าไม่ขอโทษก็ไม่เป็นไรอย่าไปเอาความอะไรแกเลย คงจะทำงานเหนื่อยก็เลยหงุดหงิดน่ะ ไหมไม่ถือสาอะไรแล้วล่ะค่ะ” ไหมทองพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับออกมาจากจิตใจที่งดงามของเธอเอง แต่ทว่าหล่อนพูดเพื่อภาพพจน์ที่ดีในสายตาของชายหนุ่มต่างหาก อินทัชได้ยินดังนั้นก็ใจชื้นขึ้นมา เขารู้สึกโล่งใจพิกลที่ไหมทองไม่เอาเรื่อง เรื่องมันจะได้จบเสียที
“ว่าไงล่ะใบบัว” อินทัชย้อนกลับไปถามใบบัวอีกครั้งก็พบว่าเจ้าหล่อนยังคงปั้นหน้าบึ้งตึงใส่ไหมทองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนจะสะบัดหน้าหนีแล้วเดินไปจากตรงนั้นโดยไม่มีคำตอบใดๆ
“เอาเป็นว่าผมขอโทษแทนคนของผมด้วยแล้วกันนะครับ” อินทัชตอบเสียงนุ่มอย่างไม่สนใจกับท่าทีของใบบัวแม้แต่น้อย ก่อนจะชายตามามองสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มที่อยู่ในชุดเสื้อพื้นเมือง กับผ้าซิ่นยาวแค่เข่า ผมรวบสูงเกล้าเป็นมวย ดูแล้วทำให้ใบหน้าของหล่อนหวานจับใจ แต่คนถูกมองกลับสับสนในแววตาของเขา ว่าจ้องแบบนี้มันหมายความว่าไง
“แล้วเธอล่ะ ทับทิม ไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์กับเขาได้ยังไง” อินทัชถามหญิงสาวเพราะความใคร่รู้ ไม่ได้คิดจะกล่าวโทษหล่อนแต่อย่างใด ทว่าคนฟังกลับไม่คิดเช่นนั้น
พิชชาอรมองหน้าอินทัชเป็นเชิงตัดพ้อ หล่อนคิดจะพูดอะไรออกมาแต่ว่าช้ากว่าไหมเพราะหล่อนชิงพูดเสียก่อน
“น้องคนนี้ใครเหรอคะ อิน ไหมไม่เคยเห็นหน้าเลย” ไหมทองพูดพลางพิจารณาใบหน้าและรูปร่างของพิชชาอรอย่างละเอียด แล้วก็ประจักษ์แก่ใจว่าสาวน้อยผู้นี้รูปงามมากทั้งใบหน้าและสรรพกาย ดวงหน้ารูปไข่ขาวนวลเกลี้ยงเกลา คิ้วโค้งเรียงเส้นสวย ดวงตาหวานล้ำสีน้ำตาลเข้มราวกับน้ำผึ้งเดือนห้า จมูกโด่งเป็นสันได้รูปสวย เรียวปากอิ่มเอิบเป็นรูปดั่งกระจับสีชมพูอ่อน รูปร่างอรชรสมส่วนกำลังดี ไหมทองคิดว่าขนาดหล่อนเป็นผู้หญิงเช่นด้วยกันยังนึกชื่นชมขนาดนี้ ถ้าหากเป็นผู้ชายจะขนาดไหนกัน
“นี่คือทับทิม เป็นญาติของผมเอง” อินทัชแนะนำเสียงเรียบ ไหมทองปรายตามองอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจว่าญาติฝ่ายไหน เพราะหล่อนไม่เคยเห็นเลย แต่ก็คร้านจะถาม
“คืออย่างนี้ค่ะ น้องคนนี้อยู่ดีๆเขาก็วิ่งเข้ามาชนไหมค่ะ เท่านั้นยังไม่พอยังเอาน้ำสตอร์เบอรี่มาราดตัวไหมด้วยก็เลยเปียกอย่างนี้แหละค่ะ”
“บ่จริงเจ้า คุณหนูทับทิมบ่ได้ตั้งใจ๋เจ้า เรื่องตี้เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุเจ้า” กระแตออกรับแทนอย่างแข็งขัน พิชชาอรได้แต่ก้มหน้ายอมรับกับเรื่องที่มันเกิดขึ้น
“อยู่ดีๆก็ไปชนเค้าเนี่ยนะ แถมยังเอาน้ำสตอร์เบอรี่ไปราดเขาอีก บอกว่าเป็นอุบัติเหตุได้ไง” อินทัชย้อนถามกลับไปเพราะต้องการรู้คำตอบจากปากของพิชชาอร ชายหนุ่มจ้องพิชชาอรไม่วางตาเพื่อรอให้เธอพูด
“คือทับทิมกำลังวิ่งแข่งกับกระแตอยู่น่ะ เราแข่งกันว่าใครจะไปถึงบ้านป้าแม้นก่อนกัน เพราะต่างคนต่างมีของที่ต้องแบก กระแตแบกกระบุงใส่สตอร์เบอรี่ ส่วนทับทิมถือเหยือกใส่น้ำสตอร์เบอรี่ใบใหญ่ไว้ แต่แล้วหนูก็วิ่งไม่ทันระวังชนกับคุณตู้ทอง เอ๊ย! คุณไหมทองเข้าพอดี” พิชชาอรอธิบายอย่างชัดเจนจากใจจริง อินทัชได้ฟังแล้วเหล่ตาไปหาอธิวัชร์เพื่อนรักอย่างขอความคิดเห็น แต่แล้วเพื่อนรักก็ส่งมาให้เพียงรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ
“แหม พี่ก็ไม่รู้นะคะว่าน้องเนี่ยเอาตาไปไว้ตรงไหน อะไรจะมองไม่เห็นพี่เลยหรือไง คนทั้งคนนะคะ อยู่ๆก็พุ่งชนซะอย่างนั้น พี่ไม่ใช่เป้าหมายนะคะ จะได้มีไว้พุ่งชนน่ะ” ไหมทองพูดอย่างมีจริตจะก้าน และทำท่าว่าจะไม่ยอมจบง่ายๆ อินทัชเอามือบีบขมับเบาๆอย่างปวดหัว ก่อนจะเงยหน้าพูดขึ้นอย่างนึกรำคาญ
“เอาอย่างนี้ผมขอโทษแทนคนของผมทุกคนเลยก็แล้ว และเดี๋ยวผมจะจัดการกับพวกเขาเอง ส่วนคุณไหมทอง เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะพาไปเลี้ยงข้าวเป็นการไถ่โทษแล้วกันนะ” ไหมทองยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีที่ได้ยิน ก่อนหันไปมองหน้าสาวน้อยร้อยชั่งที่ยืนมองตาค้างด้วยความไม่เข้าใจ
“เอาล่ะ เด็กน้อย พี่ไม่เอาความหนูแล้วนะจ๊ะ พี่ให้อภัย เข้าใจนะว่าเธอยังเด็ก ก็ซุกซนไปตามประสาแหละ ไปเถอะ จะไปเล่นเป่ากบ โดดหนังยาง ตีวงล้อ ม้าก้านกล้วย หมากเก็บที่ไหนก็ไปเถอะจ้ะ” ไหมทองพูดเป็นเชิงเย้ยหยัน ดูถูกและค่อนแคะ จงใจทำให้พิชชาอรอับอาย พิชชาอรรู้สึกหน้าชาเหมือนถูกตบเข้าอย่างจัง และไม่อาจทนฟังอยู่ตรงนั้นได้ เธอจึงรีบถอยหลังกลับออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว อาจเพราะกลัวน้ำตาแห่งความอับอายจะร่วงหล่นต่อหน้าทุกคนก็เป็นได้
“ไปกันเถอะค่ะพ่อเลี้ยง นี่ก็ใกล้เย็นแล้ว ไหมรู้จักร้านอร่อยๆในเมืองเยอะแยะเลยค่ะ”ไหมทองหันมาชวนอินทัชหน้าบาน และเสียงที่เธอชวนนั้นก็ดังพอที่จะให้คนที่เพิ่งเดินออกไปได้ยินชัดเจน
“ครับ แต่ต้องให้เพื่อนผมไปด้วยนะ” อินทัชพูดพลางผายมือไปทางอธิวัชร์ ซึ่งนายตำรวจหนุ่มก็ยิ้มรออยู่แล้ว ทว่าไหมทองหุบยิ้มแทบไม่ทัน เพราะดินเนอร์สุดโรแมนติกสองต่อสองของเธอคงเป็นได้แค่ฝันเสียแล้ว
เสียงเพลงซึ่งเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น อินทัชหยิบมันขึ้นมาดูว่าใครโทรเข้ามา เมื่อรู้ว่าเป็นใครแล้วชายหนุ่มจึงขอตัวออกไปคุยข้างนอก ทิ้งให้ไหมทองและอธิวัชร์อยู่กันตามลำพัง
“ว่าไงนพ” อินทัชทักทายลูกน้องและถามไปด้วยในตัว
“ผมมีข่าวใหม่ล่าสุดจากที่บ้านวิริยะอนันต์มาบอกครับ”นพพลตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น อินทัชเองก็อยากรู้เช่นกัน เพราะทุกครั้งที่เขาโทรไปหรือนพพลโทรมารายงานข่าวและเหตุการ์ณในบ้านวิริยะะอนันต์ให้ฟังนั้นล้วนมีแต่เรื่องน่าตื่นเต้นเสมอ สมแล้วที่เขาจ้างนพพลลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ของเขาให้ทำหน้าที่เป็นสายสืบเพื่อคอยรายงานความเคลื่อนไหวของบ้านวิริยะอนันต์และคววามเคลื่อนไหวของนงลักษณ์ พี่สาวของเขา
“เมื่อวานนี้ผมแอบจับได้ว่า ป้าอ้วนแอบคุยโทรศัพท์กับคุณหนูทับทิมครับ” นพพลเล่า
“งั้นรึ ทับทิมเป็นฝ่ายโทรไปใช่ไหม”อินทัชถามต่อ
“ใช่ครับ แล้วผมก็ขอร้องแกมบังคับให้ป้าอ้วนเล่าเรื่องที่คุยกับคุณหนูให้ผมฟังเพราะผมบอกแกว่าผมไม่ใช่พวกเดียวกับคุณนงลักษณ์และรับปากว่าจะช่วยเต็มที่ แกเลยเล่าให้ผมฟัง”
“แกเล่าว่ายังไง” อินทัชถามด้วยความร้อนรน
“แกเล่าว่าคุณหนูทับทิมให้ลองตามหาทนายที่ชื่อบดินทร์เป็นทนายประจำตระกูลครับ เขาอาจจะรู้ว่าพินัยกรรมอยู่ไหน และป้าอ้วนก็บอกว่าแกยังไม่รู้ที่อยู่ของคุณหนูเลยเพราะคุณหนูไม่ยอมบอก”นพพลเล่าอย่างตั้งใจ
“อืม แล้วแกรู้หรือยังว่าคุณทนายบดินทร์อยู่ไหน”
“ผมกับป้าอ้วนช่วยกันหานามบัตรจนเจอแล้วครับ แต่พอโทรไปแล้วไม่มีคนรับสาย ผมกะว่าจะลองไปหาตามที่อยู่น่ะครับ”
“แย่แล้ว! ตอนนี้แกรีบไปตามหาเลยนพ ฉันสังหรณ์ใจว่าทนายอาจกำลังตกอยู่ในอันตราย” อินทัชพูดเสียงเข้ม ทำให้นพพลรับคำอย่างแข็งขัน
“ได้ครับ!พ่อเลี้ยง” หลังจากวางสายลูกน้องแล้วอินทัชก็เริ่มออกอาการตึงเครียดและสับสน เพราะเขารู้สึกเป็นห่วงพิชชาอรขึ้นมาจับใจ อยากให้เธอได้รับความยุติธรรม อยากช่วยให้เธอรอดพ้นจากเงื้อมือของพี่สาวเขาและทุกคนที่ปองร้าย ไม่รู้ทำไมเขาต้องรู้สึกวิตกและกังวลขนาดนี้ด้วย ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเขาเลย ถ้าเธอจะตายมันก็โชคร้ายของเธอ ทำไมเขาต้องสนใจขนาดนี้ด้วย เป็นเพราะมนุษยธรรม หรือเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้น ซึ่งเขายังอธิบายไม่ถูก ว่ามันคืออะไร
“คุณมาธุระอะไรไม่ทราบคะ คุณตำรวจ” ไหมทองเอื้อนเอ่ยถามกับตำรวจหนุ่มเสียงหวานในขณะที่อยู่กันสองต่อสอง
“ก็ผมมาคุยเรื่องงานกับเจ้าอินหน่อยนะครับ” อธิวัชร์ตอบน้ำเสียงหล่อ
“งานอะไรอะ พ่อเลี้ยงทำงานอะไรเกี่ยวกับตำรวจไม่ทราบคะ ถึงต้องมาคุยกับตำรวจด้วย” ไหมทองถามกลับด้วยความอยากรู้
“คือช่วงนี้ผมกำลังทำคดีเกี่ยวกับพวกตัดไม้ทำลายป่า แล้วก็คดีล่าช้างเอางาไปขายอยู่น่ะครับ ก็เลยมาขอความร่วมมือให้พ่อเลี้ยงช่วยเป็นหูเป็นตาให้หน่อยน่ะครับ” เมื่อได้ฟังตำรวจหนุ่มอธิบาย ไหมทองถึงกับหน้าซีดขึ้นมาทันที
“เป็นไรครับคุณไหม ทำไมหน้าซีดจัง” อธิวัชร์ถามอย่างสงสัย
“ปะเปล่าค่ะ...มะ..ไม่มีอะไร” พูดจบไหมทองก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น อธิวัชร์มองอย่างครุ่นคิด ชายหนุ่มกำลังจะถามคำถามบางอย่างกับหญิงสาวแต่เขาก็เห็นเพื่อนเข้ามาพอดี
“ไปกันเถอะค่ะพ่อเลี้ยง ไหมหิวจะแย่อยู่แล้ว” ไหมทองรีบแจ้นเข้าไปควงแขนชายหนุ่มไว้อย่างร้อนรน อินทัชเองก็แทบตั้งตัวไม่ทันกับความรวดเร็วของหญิงสาว แต่เขาก็ยอมไปอย่างไม่เต็มใจนักแต่ก็ยังอุ่นใจที่มีอธิวัชร์เพื่อนของเขาไปด้วย ซึ่งตำรวจหนุ่มก็ยินดีไปด้วยเสมอ แต่เขาก็ไม่ละทิ้งความสงสัยในความพิรุธที่จับได้เมื่อครู่นี้ ด้วยสัญชาตญาณของตำรวจมันมันบอกว่าต้องมีอะไรสักอย่าง
รถกระบะสี่ประตูคันเดียวกับที่พิชชาอรแอบอาศัยขึ้นมาจนได้เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของไร่แห่งนี้ ได้ขับออกไปจากเรือนไม้หลังงาม หญิงสาวทอดมองลงมาจากบนระเบียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก ในใจนึกภาพไปว่าคนที่นั่งไปข้างๆกับพ่อเลี้ยงอินทัชก็คงไม่พ้นไหมทอง หญิงสาวที่เขารับปากว่าจะพาไปกินข้าวเมื่อครู่นี้ ส่วนเธอก็คงต้องกินข้าวอาหารเหนืออีกตามเคยกับสาวกระแต คิดแล้วมันน่าน้อยใจนัก แต่อย่างว่านะ เขาคงคิดว่าเธอมันยังเด็ก ซึ่งก็คงจะต้องเป็นฝ่ายผิดเสมอ

ณ บ้านวิริยะอนันต์
รถยนต์ยุโรปยี่ห้อดังเปิดประทุนกว้างทำให้มองเห็นผู้ที่อยู่ในรถ ซึ่งก็คือเลอลักษณ์หญิงสาวรุ่นอยู่ในชุดนักศึกษาที่ค่อนข้างรัดรูป กระโปรงสั้นเลยเข่านิหน่อย หล่อนมาพร้อมกับชายหนุ่มหน้าตาตี๋อินเทรนด์เข้าขั้นหล่อแบบเกาหลีทีเดียวแต่งชุดนักศึกษาชายเช่นเดียวกัน
“ไปเข้าบ้านกันเถอะเจ” เลอลักษณ์เอ่ยชวนเพื่อนหนุ่มก่อนส่งยิ้มหวานมาให้ซึ่งชายหนุ่มก็ตามไปโดยดี ในขณะนั้นเองรถยนต์อีกคันหนึ่งก็ขับมาจอดตามหลัง เลอลักษณ์หรี่ตามองอย่างสงสัยว่าเป็นใคร เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวลงมาจากรถแล้วจึงรู้ว่าเป็นใคร รมณกับไกรวิทย์รุ่นพี่มหาลัยเดียวกันนั่นเอง ไกรวิทย์มองสบตาชายหนุ่มที่เลอลักษณ์กำลังควงแขนอยู่ก็พบว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะของเขา
“อ้าวเจ! นายมานี่ได้ไง” ไกรวิทย์ร้องทัก
“เรามากับแอล” เจหรือชื่อเต็ม ธนวิทย์ตอบเรียบๆก่อนหันไปมองหน้าเลอลักษณ์อย่างรู้กัน เลอลักษณ์จึงพูดขึ้นเป็นเชิงกร่างเล็กน้อย
“เจเป็นแขกของแอล แอลเชิญมาที่บ้านของแอลเองค่ะ แล้วพวกพี่สองคนมาที่นี่มีธุระอะไรอีกคะ หรือว่ามาตามหานัง เอ๊ยพี่ทับทิม ก็วันนั้นก็บอกไปแล้วว่าไม่อยู่ แล้วจะมาธุระอะไรไม่ทราบ”
“ไม่ได้มาหาทับทิมหรอกค่ะน้องแอล แต่พี่มาคุยกับป้าอ้วน”รมณตอบเสียงนุ่มนวล แต่ไกรวิทย์เริ่มชักสีหน้าไม่พอใจที่เลอลักษณ์พูดจากระทบกระแทกใส่
“มาหาป้าอ้วนคนใช้น่ะเหรอ งั้นกรุณาเอารถไปจอดนอกบ้านด้วยที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่จอดรถสำหรับคนที่มาธุระกับคนใช้ค่ะ” เลอลักษณ์พูดน้ำเสียงเย้ยหยันอีกครั้งก่อนหมุนตัวเข้าไปในบ้านพร้อมกับธนวิทย์เพื่อนหนุ่มซึ่งทุกคนต่างยังไม่ชัดเจนในความสัมพันธ์ของทั้งสอง
“ยัยเด็กบ้าเอ๊ย!” ไกรวิทย์สบถออกมาเบาๆนึกฉุนกับท่าทีของเลอลักษณ์เมื่อครู่นี้ รมณเห็นท่าไม่ค่อยดีจึงเข้าไปบีบแขนชายหนุ่มเบาๆเพื่อเรียกสติ ไกรวิทย์หันมาสบตากับรมณอีกครั้งแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกตัว เขาจึงหันหลังกลับไปเพื่อถอยรถไปจอดหน้าบ้านดีกว่าไม่อยากมีปัญหา
“คุณเลอลักษณ์นี่เธอเกี่ยวข้องอะไรกับคุณภากรไหมป้า” นพพลถามขึ้นหลังจากที่เขาเห็นเหตุการ์ณที่ผ่านไปเมื่อสักครู่นี้กับอ้วน
“ลูกสาวคนเดียวของคุณนงลักษณ์กับคุณพิพัฒน์”อ้วนตอบเบาๆเหมือนกลัวใครจะได้ยิน
“ถ้างั้นเธอก็เป็นหลานคุณภากร เป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณทับทิมน่ะสิ”
“จริงๆแล้วเนี่ยนะคุณพิพัฒน์ไม่ได้เป็นน้องชายแท้ๆของคุณท่าน” นพพลอึ้งไปกับคำตอบชวนพิศวงของอ้วน
“คุณภาสกรพ่อของคุณภากรน่ะเจ้าชู้มีเมียหลายคน แล้วท่านก็ไปติดพันแม่ม่ายลูกติดคนหนึ่ง ท่านหลงใหลมากจนหัวปักหัวปำจนพาเข้ามาอยู่ในบ้านพร้อมกับลูกของผู้หญิงคนนั้น หลังจากนั้นก็อยู่ด้วยกันเรื่อยมาโดยที่แม่ของคุณภากรก็ไม่พูดอะไรเลย เด็กสองคนนั้นถูกเลี้ยงมาคู่กันจนสนิทสนมรักใคร่กัน และในที่สุดฝ่ายเมียน้อยจากไปด้วยโรคร้าย ก่อนตายเธอได้ฝากฝังลูกชายไว้กับคุณพ่อของคุณภากร เพราะเธอไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนเลย ล้มหายตายจากหมด คุณภาสกรก็รับปากจะดูแลให้อย่างดีหลังจากนั้นก็พาคุณพิพัฒน์ไปจดทะเบียนเป็นลูกบุญธรรม” อ้วนเล่าทบทวนความหลังอย่างอาลัย เพราะเธอเคยอยู่รับใช้ตระกูลวิริยะอนันต์มาตั้งแต่เด็กๆเธอจึงรู้เรื่องความเป็นไปทุกอย่างในบ้านหลังนี้
“นี่เรื่องจริงหรือนี่ ถ้าอย่างนั้นคุณพิพัฒน์กับคุณเลอลักษณ์ก็ไม่ไช่ทายาทของคุณภากรน่ะสิ” นพพลพูดอย่างตื่นเต้น
“ใช่ ทายาทที่แท้จริงของคุณภากรคือคุณหนูทับทิมคนเดียว!”อ้วนย้ำอีกครั้งอย่างเศร้าใจ ก่อนมองขึ้นไปยังคฤหาสน์สุดหรูซึ่งตอนนี้มันถูกครอบครองโดยคนที่ไม่ใช่เจ้าของที่ถูกต้อง
ไกรวิทย์กับรมณเดินเคียงกันมาถึงบริเวณที่อ้วนและนพพลคุยกันอยู่พอดี สองหนุ่มสาวจึงยกมือไหว้อ้วนอย่างนอบน้อมและไม่เคยถือสาที่อ้วนมีฐานะแค่คนรับใช้
“นี่ใครเหรอคะป้าอ้วน” รมณถามขึ้นเมื่อมองเห็นชายหนุ่มหน้าตาคุ้นเคยแต่เธอไม่รู้จักยืนอยู่ข้างๆอ้วน ซึ่งไกรวิทย์ก็มองอย่างสงสัยเช่นกัน
“นี่คือนพพลเป็นลูกน้องที่ติดตามคุณนงลักษณ์มาจากแม่ฮ่องสอน” อ้วนตอบอย่างตรงไปตรงมาเล่นเอารมณกับ
ไกรวิทย์ผงะไปเมื่อรู้ว่าเป็นลูกน้องของนงลักษณ์
“อย่าเพิ่งตกใจไปครับ ผมมาที่นี่ในนามของลูกน้องคุณนงลักษณ์ แต่จริงๆแล้วผมเป็นคนของพ่อเลี้ยงอินทัชครับ”
“พ่อเลี้ยงอินทัช!” ทุกคนทวนคำตอบของนพพลอีกครั้งเพราะความงงรวมถึงอ้วนด้วย
“พ่อเลี้ยงอินทัชคือน้องชายของคุณนงลักษณ์ครับ”นพพลอธิบายเพิ่ม แต่ดูเหมือนทุกคนยังงงอยู่
“เอาอย่างนี้ดีกว่าพวกเราไปคุยกับที่สวนหลังบ้านกันดีกว่าครับคุยตรงนี้ผมเกรงว่าใครจะได้ยินเข้า” นพพลชักชวน แต่ดูเหมือนไกรวิทย์กับรมณจะไม่ค่อยไว้ใจเขา แต่เมื่ออ้วนพนักหน้าเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าชายผู้นี้ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสองจึงมองหน้ากันอย่างลังเลแต่ในที่สุดเขาก็ตามไป
เมื่อมาถึงสวนหลังบ้านซึ่งมีเก้าอี้ไม้ล้อมรอบโต๊ะไม้สักขนาดกำลังดี นพพลล้มตัวนั่งลง อ้วนนั่งตามติดๆ ไกรวิทย์กับรมณก็นั่งตามด้วยไม่อยากทำตัวมากเรื่อง
“เดี๋ยววันนี้ผมจะไปตามหาคุณทนายบดินทร์ตามที่อยู่นี้” นพพลพูดพลางวางนามบัตรลงบนโต๊ะ ไกรวิทย์หยิบมันขึ้นมาดู ก่อนมองหน้านพพลอย่างไม่ไว้ใจ
“ไม่ต้องมองหน้าผมอย่างนั้นหรอกครับ เชื่อผม ผมไว้ใจได้ ผมอยู่ข้างพวกคุณและจะคอยช่วยเหลือพวกคุณอยู่”
“แล้วเราจะเชื่อนายได้ไง เพราะถึงยังไงนายก็เป็นคนของคุณป้านงลักษณ์อยู่ดี”ไกรวิทย์ถามหยั่งเชิง
“ใช่ แต่คุณนงลักษณ์เป็นแค่พี่สาวบุญธรรมของพ่อเลี้ยงอินทัช และอีกอย่างพ่อเลี้ยงอินทัชก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้ด้วย เพราะเขาเองก็รวยมหาศาลอยู่แล้ว เผลอๆทรัพย์สมบัติของพ่อเลี้ยงอาจจะมากกว่าของคุณหนูทับทิมเพื่อนคุณก็ได้” นพพลตอบอย่างมั่นใจ ทั้งไกรวิทย์รมณและอ้วนต่างมองหน้ากันตาปริบ
“แล้วทำไมคุณป้านงลักษณ์ถึงอยากได้ทรัพย์สมบัติของคุณภากรด้วยล่ะ ในเมื่อพ่อเลี้ยงอินทัชน้องชายก็มีทรัพย์สมบัติมากมายขนาดนั้น” รมณถามอย่างสงสัย
“ก็อย่างที่บอก คุณนงลักษณ์ไม่ใช่พี่สาวแท้ๆของพ่อเลี้ยงอินทัช เธอเป็นเด็กที่คุณแม่ของพ่อเลี้ยงอินทัชรับมาเลี้ยงจากสถานสงเคราะห์ เพราะตอนนั้นท่านไม่มีลูก แต่หลังจากนั้น 10 ปี ก็เกิดมีพ่อเลี้ยงอินทัชขึ้นมา”นพพลอธิบายถึงความเป็นไปให้ทุกคนได้ทราบ ทุกคนต่างมองหน้าเขาเป็นตาเดียวเพื่อรอจะฟังเขาพูดต่อไป
“หลังจากที่พ่อของท่านเสีย ท่านก็ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติที่เป็นไร่บริรักษ์ศักดาทั้งหมดให้พ่อเลี้ยงอินทัชแต่เพียงผู้เดียว ส่วนแม่ของพ่อเลี้ยงอินทัชท่านได้ใช้ทรัพย์สมบัติที่สามีทิ้งไว้ให้ไปสร้างสถานปฎิบัติธรรมและคอยดูแลสถานที่แห่งนั้นอยู่ที่แม่สะเรียง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณนงลักษณ์ก็ไม่ได้อะไรเลย” ไกรวิทย์พูดเสริม นพพลพยักหน้ารับเบาๆ
“หลังจากนั้นไม่นานคุณนงลักษณ์ก็แต่งงานกับคุณพิพัฒน์เพราะเห็นว่ามีฐานะดีมากและพี่ชายเป็นระดับมหาเศรษฐี เธอจึงหวังว่าการที่ได้มาอยู่ที่นี่จะสามารถเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปได้ แต่เมื่อมารู้ทีหลังว่าคุณพิพัฒน์ไม่ใช่น้องชายแท้ๆของคุณภากรและอาจไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดก เธอก็เลย....” นพพลเว้นคำพูดประโยคนั้นที่อาจทำให้สะเทือนใจเอาไว้
“ร่วมมือกับคุณพิพัฒน์วางแผนฆ่าคุณภากร” ไกรวิทย์เติมประโยคนั้นให้เต็ม ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“โอ้! อะไรกันนี่ ป้าไม่เคยรู้เรื่องคุณนงลักษณ์มาก่อนเลย” อ้วนพูดอย่างตกใจเอามือทาบอก
“แล้วทำไมแกรู้เยอะขนาดนี้เจ้านพ ป้าเห็นแกก็เฉยๆไม่ค่อยรู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยนี่นา” อ้วนส่งคำถามซื่อๆให้นพ
“ก็ผมเป็นคนที่คอยขับรถให้คุณนงลักษณ์นี่นาป้าอีกอย่างเธอก็ไว้ใจผมเพราะเคยอยู่ที่เดียวกันมาก่อน ผมจึงรู้ความเป็นไปทุกอย่างแต่ผมคิดว่าสิ่งที่คุณนงลักษณ์ทำมันผิด ผมก็เลยโทรไปรายงานให้พ่อเลี้ยงฟังตลอด”นพพลเล่าอย่างเคร่งเครียด
“แล้ววันนั้นที่เกิดเรื่องน่ะแกหายไปไหนซะล่ะ ทำไมไม่ช่วยคุณภากรกับคุณหนูทับทิม”อ้วนถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“วันนั้นรู้สึกว่าคุณนงลักษณ์ใช้ให้ผมขับรถไปส่งคุณแอลที่บ้านเพื่อนนะ แล้วรู้สึกว่ากลับมาก็เห็นทุกคนนอนสลบไสลไม่รู้เรื่องกันเลย รู้ข่าวอีกที คุณภากรก็เสียชีวิตแล้ว ส่วนคุณหนูทับทิมก็หายตัวไป”
“แสดงว่าเรื่องที่คุณนงลักษณ์กับคุณพิพัฒน์วางแผนฆ่าคุณภากรก็ไม่มีใครรู้เรื่องเลยงั้นเหรอ” รมณถามแทรกขึ้นมาทันที หล่อนเองก็อยากรู้เช่นกัน
“ใช่ คุณนงลักษณ์กับคุณพิพัฒน์วางแผนแนบเนียนมาก ป้องกันไม่ให้ใครรู้เลยแม้แต่คนเดียวแม้แต่ผมก็ไม่ให้รู้ แต่ก่อนหน้านั้นผมแอบได้ยินเธอคุยกับคุณพิพัฒน์เรื่องอย่างนี้มานานแล้ว แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าวันไหน ผมจึงคอยโทรไปรายงานให้พ่อเลี้ยงฟังตลอด และบังเอิญวันนั้นพ่อเลี้ยงมีงานที่กรุงเทพฯเลยมาถือโอกาสมาดูที่นี่ แต่พ่อเลี้ยงก็มาไม่ทัน”
พูดถึงตอนนี้นพพลได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนในโชคชะตาของบ้านหลังนี้ ที่ต้องตกไปอยู่ในมือของคนที่ไม่ใช่สายเลือดแม้แต่นิดเดียว
“น่าเสียใจแทนบรรพบุรุษของคุณภากรนะ อุตส่าห์ลำบากลำบนมามากมายกว่าจะสร้างเนื้อสร้างตัวจนกระทั่งเป็นถึงขนาดนี้ได้ แต่สุดท้ายก็ถูกพวกคนใจบาปแย่งชิงไปต่อหน้าต่อหน้า” อ้วนรำพันอย่างเศร้าใจ รมณก็อดเศร้าไม่ได้หล่อนจึงทำได้แค่บีบมืออวบของอ้วนเบาๆเพื่อปลอบใจเท่านั้น
“ไม่เป็นไรนะป้าอ้วนเรายังพอมีหวังที่จะช่วยทับทิมได้” ไกรวิทย์พูดขึ้นด้วยแววตาลุกวาวก่อนหยิบนามบัตรใบน้อยขึ้นมาดูด้วยแววตามีความหวัง
“งั้นเราไปตามหาคุณทนายกัน!”รมณกล่าวชักชวนอย่างร้อนรน ทว่านพพลร้องห้าม
“เดี๋ยวก่อนครับผมว่าเราด้วยกันทั้งหมดอาจเป็นที่ผิดสังเกตได้ ผมว่าเราแยกกันไปแล้วไปนัดเจอกันข้างนอกดีกว่า
อืม..เอางี้ เดี๋ยวคุณไกรกับคุณมณกลับออกไปก่อนแล้วเดี๋ยวผมจะบอกกับทางคุณนงว่าจะเอารถไปล้างที่อู่ ส่วนป้าอ้วน นี่ก็ใกล้เย็นแล้วออกไปจ่ายตลาดได้เลย” นพพลแจกแจงแผนการ ทุกคนต่างเห็นด้วยในใจ ก่อนจะพากันแยกย้ายเพื่อทำตามแผนการที่ได้คุยกันไว้




พราวเพชร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ค. 2555, 11:11:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.ค. 2555, 11:11:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1202





<< ตอนที่ 4/2   ตอนที่ 6 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account