น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา

แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น

ตอน: 010

10






“ฉันจะเลิกเป็นเพลย์เกิร์ลแล้วละนะ”

ลลิตาประกาศยืนยันไว้อย่างนั้นตอนจะแยกจากกัน ทำให้อินทุอรออกจะงง เพราะตลอดการพูดคุยกันในมื้ออาหาร ฟังอย่างไรก็ยังไม่เห็นว่าคุณภาคของหล่อน จะมีท่าทีจริงจังจริงใจอะไรให้เห็นชัดเจนขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ครั้นจะขัดคำ ขัดคอเพื่อนสนิทด้วยความรู้สึกดังนี้ ก็เกรงจะถูกกล่าวหาว่า ขัดขวางในทางกุศล ของคนที่กำลังจะกลับตัวกลับใจ

เพราะไม่ใช่อยู่ๆ ลลิตาจะเผลอพูดออกมา แต่หล่อนเล่าไว้เป็นฉากเป็นตอน ว่าจะจับตัวเองใส่ตะกร้าล้างน้ำได้อย่างไร

ก็ตอนที่เล่าสลับกันไปมาอยู่ระหว่าง แผนการของหล่อนกับการออกเดตกันถี่ยิบนั่นละ ที่ทำให้อินทุอรยิ่งเคลือบแคลง ไม่รู้ว่าใครจะได้หรือใครจะเสียกันแน่

กับอีกเรื่องเล็กๆ ที่ยังสะกิดใจ คือเรื่องที่ลลิตาให้เบอร์ที่บ้านไว้กับคุณภาคอะไรนั่น เพื่อจะแสดงให้เขาไว้ใจ โทร.เช็คได้ตลอดเวลาว่าหล่อนจะไม่ร่อนๆ ออกไปไหนในยามราตรีอีกแล้ว

แล้วคนที่โทร.เข้ามาตอนที่ไปเลือกชุดเปลี่ยนชุดกันนั่นละ แสดงว่าคนนั้นไม่ใช่คุณภาค ซึ่งก็หมายความว่า ลลิตาใช้วิธีแจกเบอร์บ้านเป็นการันตีความประพฤติของตนเองมาแล้ว มากกว่าหนึ่งครั้งอย่างนั้นหรือ

อินทุอรกลับบ้านด้วยรถแท็กซี่ นานๆ ครั้งก็นึกอยากมีรถยนต์ส่วนตัวบ้างเหมือนกัน จะได้ไปไหนต่อไหนได้ตามใจ สะดวกสบายโดยไม่จำเป็นต้องชักชวนหรือพึ่งพาใครๆ

โดยเฉพาะในเวลาที่รู้สึกเหงาๆ อย่างแปลกๆ เช่นนี้ ในยามที่เห็นว่าแม้แต่เพื่อนสนิท ที่ไม่เคยมีท่าว่าชีวิตหรือความรักจะก้าวหน้าไปไหนได้ ก็กลับเหมือนกำลังมีหนทางไป และหล่อนก็หนักแน่นกับหนทางนั้นมากมายเสียด้วย

อินทุอรให้รถจอดที่หน้าบ้าน ไขกุญแจประตูรั้วเข้ามาเอง แล้วเดินเรื่อยๆ ปล่อยให้หัวใจล่องลอยไปกับกลิ่นหอมชื่นของดอกไม้ราตรี

ในหัวนั้นว่างโหวง มันดำมืดมัวหมอง เหมือนกับเวลาที่สีสันนานา ระบายทับทบกันไปมาจนทึมทึบ หากสีสันคือเรื่องราว เรื่องราวในหัวเธอก็มากมายเสียจนมันซ้อนซับสับสน หนาหนักและมืดสนิทได้จริงๆ แล้วในเวลานี้

สะดุดเข้ากับอะไรอย่างหนึ่ง จนถลาไปอีกสองสามก้าวกว่าจะหยุดตัวเองไว้ได้ เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองเดินลัดตัดสนาม ไม่ใช่ก้าวย่างอยู่ตามทางที่มีเอาไว้

อาการก้าวพลาดนั้นพอจะเรียกสติให้กลับคืนมาได้บ้าง อินทุอรพยายามสลัดความอึกครึมในหัว ค้นหาว่าสิ่งไรที่ทำให้ตนเป็นไปได้ถึงดังนี้

ถัดจากวันที่คุณโสภาพรรณเอ่ยเร่งรัดการแต่งงาน ปริยัติก็ยังไม่ได้โทร.มาอีกเลย และเธอเองก็ไม่ได้โทร.หา... เรื่องนี้เป็นปกติ ไม่น่าจะใช่สาเหตุของการเหม่อซึม

หรือเรื่องของลลิตา หรือในใจลึกๆ ของเธอกำลังอิจฉาการไปได้ดีในความรักนั่น ลองว่าหล่อนอยากจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเองเพื่อนายภาคคนนั้น ก็แสดงว่าน่าจะรักเขาจริงๆ จังๆ เข้าแล้ว

แต่เรื่องของลลิตาเป็นเรื่องที่เธอควรจะดีใจด้วยไม่ใช่หรือ...

อินทุอรพยายามค้นให้ลึกลงไปในหัวใจ แล้วก็ไม่เห็นแววริษยาใดๆ จากใจของตัวเอง จะมีก็แต่เพียงการเอาใจช่วย... เพียงแค่นั้น

หรือจะเป็นเรื่องของเขา คนคนนั้นที่หายไปเป็นปีๆ แล้วได้กลับมาพบเจอ ในวันที่เธอจวนเจียนจะต้องตกอยู่ในอันตราย เขาก็ผ่านเข้ามาเหมือนเจ้าชายขี่ม้าขาว ที่แม้จะสั่งให้องค์รักษ์เข้ามาปกป้องเธอ แทนที่จะกระโจนลงมาป้องกันด้วยตัวเอง แต่นั่นก็แสดงว่าเขายังมีน้ำใจ ยังไม่เยื่อใยต่อเธอไม่ใช่หรือ

แน่แล้ว... ต้องเป็นเรื่องนี้ละที่ทำให้หัวใจซึมเซา

ถ้าเขายังมีใจ ยังมีเยื่อใยบ้างสักน้อย ทำไมไม่เอ่ยทักสักคำ...

แสงไฟในบ้านสว่างเรืองรอง แสงนีออนสีเหลืองนวล ชวนให้นึกถึงการก้าวเข้าสู่ปราสาทอัครสถาน บ้านที่อินทุอรอยู่มาแต่เล็กแต่น้อย โอ่อ่าสง่างามเช่นนี้เสมอ มันคงให้ความรู้สึกอบอุ่นได้มากกว่านี้ หากเธอไม่พาความหม่นหมองในหัวใจกลับมาด้วย

แม้จะเลยเวลาอาหารเย็นไปแล้ว แต่ก็ยังหัวค่ำอยู่มาก ในบ้านจึงอยู่กันพร้อมหน้าในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ นายอิศราและคุณโสภาพรรณนั่งอยู่ในที่ประจำหน้าจอโทรทัศน์ พิมพิกาง่วนอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ขณะที่พันธกานต์ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ ตรงอีกมุมหนึ่ง

อินทุอรเยี่ยมหน้าเข้าไปมอง...

ตั้งใจจะเข้าไปทักทาย บอกให้รู้ว่าเธอกลับมาแล้ว

แต่ไม่รู้ว่าอารมณ์หม่นๆ ที่ตนพากลับมาด้วยนั่นหรือเปล่า สิ่งที่มองเห็นจึงทำให้เจ็บจี๊ดๆ ตรงหัวใจ

ตรงไหนเล่าที่ว่างของตน...

ครอบครัวนี้ก็มีกันครบอยู่แล้วนั่นไง

มีพ่อ มีแม่ มีพี่ มีน้อง

มีห้องนั่งเล่นอันแสนอบอุ่น มีช่วงเวลาของสมาชิกในครอบครัวให้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกัน แสดงตัวว่าเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ด้วยการรวมตัวอยู่ในห้องกว้าง... ห้องเดียวกัน

ดูเถิด... การกลับมาของเธอ... ก็แค่กลับมา

ก็แค่การกลับมาของใครก็ไม่รู้ ที่... จะกลับหรือไม่กลับ ก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน

ละครโทรทัศน์ส่งเสียงตบตีกันอย่างน่าลุ้นให้นางเอกลองเป็นนางร้ายดูเสียบ้าง แม้เสียงในจอจะดังกลบทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว แต่คุณโสภาพรรณก็ยังเร่งให้เสียงกรี๊ดๆ ด่าทอกันนั่นยิ่งดังสะใจ พิมพิกาคงรำคาญจัดจึงครอบหูฟังปิดกั้นเอาไว้ ส่วนพันธกานต์นั้นเหมือนไม่รับรู้สิ่งไรอยู่ตั้งแต่แรก

จะมีก็แต่นายอิศรา ที่ความอึดอัดนั่นหรอก ทำให้หันมองมาทางนี้

อินทุอรรู้สึกได้ชัดๆ ว่าบิดาไม่ได้ตั้งใจจะเหลียวหา ตอนที่ท่านหันมาสบตา แล้วพยักหน้าเหมือนชวนให้เข้าไปร่วมวง

เธอเพียงแต่ยกมือไหว้ แล้วชี้ขึ้นข้างบน เป็นเชิงว่าขอตัวขึ้นห้องจะดีกว่า

แล้วก็แค่นั้น... บิดาหันหน้ากลับไป คนที่เหลือก็ไม่มีใครสนใจจะมองกลับมา

หัวใจอินทุอรยิ่งแห้งโหยอย่างบอกไม่ถูก เดินผ่านคุณสาวิกาขึ้นไปอย่างเลื่อนลอย ไม่ทันได้ทักถามกันเหมือนเคย ว่าวันที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

เดินเลยโถงชั้นสองไปจนสุดทาง เปิดประตูระเบียงออกไป ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ยาวตัวสบาย เอนหลังลงอย่างพยายามจะผ่อนคลายตนเอง พร้อมกับค่อยระบายลมหายใจออก ราวกับปลดปล่อยความทุกข์ให้ผ่านพ้นออกจากความรู้สึกอย่างช้าๆ

จะครบสัปดาห์เข้านี่แล้ว ที่เธอทำตัวเป็นคนไร้ชีวิต แปลงกายให้เป็นแค่เครื่องจักรกลที่มีเลือดเนื้อ ทำหน้าที่ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนนอนหลับลงอีกครั้ง ด้วยเพราะคำว่าหน้าที่เพียงเท่านั้น

จนในตอนหลับตาลงนั่นหรอก ที่ชีวิตมีสีสันขึ้นมาบ้าง เป็นสีสันที่สดสวยและนุ่มนวล มีค่ำคืนอันแสนหวานเป็นฉาก มีชายหนุ่มที่หล่อเหลาราวเทพบุตรเป็นคู่ชื่น มีดนตรีบรรเลง มีแสงสีละมุนตา มีมื้อค่ำอันดื่มด่ำ และจบลงตรงที่ใดที่หนึ่ง ที่มีเพียงเขาและเธออยู่เสมอ

ความฟุ้งฝันนั้นจางไปเมื่อไรก็สุดรู้ ที่รู้ก็เพียง... ฝันชื่นนั่นมีค่าพอจะต่อสานกำลังใจ ให้เธอได้ต่อสู้กับวันใหม่ ได้อย่างไม่ต้องทนทรมานหัวใจเท่าใดนัก

บวกกับอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ค่อนข้างสบายใจ นั่นคือคุณโสภาพรรณไม่ได้เอ่ยเรื่องจะให้เร่งรัดแต่งงานกับปริยัติอีกเลย รวมทั้งไม่ได้พูดถึงคนที่พยายามจะชักจูงมาให้สนิทคบหากับพิมพิกาอีกด้วย

ที่จริงหล่อนติดจะบึ้งๆ ตึ้งๆ เวลาที่มีใครสักคนในมื้อเย็น เอ่ยถามถึงความคืบหน้า แล้วพอเห็นสีหน้าของคนเริ่มเรื่อง ทุกคนก็ต้องมีอันเก็บงำถ้อยคำให้เงียบสนิท

คุณแม่บ้านเลียบๆ เคียงๆ เข้ามาทางหางตา แม้ไม่เอ่ยว่ากระไร อินทุอรก็รู้ได้

“อินทุ์เรียบร้อยมาแล้วค่ะคุณสา”

อินทุอรบอกเรียบๆ รู้ตัวว่าออกจะเสียมรรยาทไปบ้าง ที่ไม่หันไปมอง แต่เวลานี้เธอไม่อยากจะสานต่อบทสนทนากับใครๆ ทั้งสิ้น

หมู่ดาวพราวพร่าง เสี้ยวจันทร์เด่นกระจ่างสดใส ทั้งฟ้าไม่มีแม้ปอยเมฆเล็กน้อยให้รกตา มีแต่ดาวเต็มผืนฟ้า เมื่อแลดูความละลานเรืองนั้นนานเข้า แสงดาวก็ราวจะหยดลงมากระทบนัยน์ตา

ลมนิ่งจนอากาศออกจะอบ อินทุอรถอดเสื้อตัวนอกออก เผยเนียนไหล่ให้อาบแสงจันทร์ เสื้อตัวในเป็นแบบเกาะอยู่เพียงอก ตอนมีเสื้อคลุมก็เห็นเป็นธรรมดา แต่พอสวมเป็นตัวเดี่ยวๆ ย่อมทำให้คนที่เห็น อดไม่ได้ที่จะต้องไล่พิจารณา ตั้งแต่ช่วงคองามระหง จนถึงความผุดผาดผ่องพรรณ ที่พ้นเลยเนื้อผ้าออกมาให้เห็นอย่างกระจะกระจ่าง

คนที่มายืนมองอยู่เงียบๆ แทนที่คุณสาซึ่งเลี่ยงออกไปตั้งแต่แรก ก็คือพันธกานต์ เขาตอบตัวเองได้ชัดแจ้งตั้งนานมาแล้วว่า ชอบมองดูอินทุอรเพราะเหตุไร มันติดอยู่ตรงที่ความเป็นพี่เป็นน้องเท่านั้น ที่ทำให้เขาไม่กล้าผลีผลามทำอะไรลงไป

ชายหนุ่มรู้ตัวดี ที่ทุกวันนี้ยังไม่ยอมมีใครออกหน้าออกตา ก็เพราะน้องสาวคนนี้เท่านั้น ตอนที่อินทุอรตอบรับหมั้นนั่น หัวใจของเขาก็เจียนจะแตกสลาย ดีที่มีลลิตามาช่วยผ่อนคลาย รองรับความชอกช้ำเอาไว้ได้ ตั้งแต่นั้นเขาจึงมีที่ระบายออก...

“พี่เห็นกลับเร็วมาหลายวัน คืนนี้นึกว่าจะดึก”

อีกครู่นั่นละ พันธกานต์จึงเอ่ยขึ้นในความเงียบ เป็นทีว่าเพิ่งตามขึ้นมาพร้อมกับประโยคทักทายนี้เอง

“หลิวชวนไปทานข้าวน่ะค่ะ รายนั้นกำลังอินเลิฟ เห็นว่าจะกลับตัวกลับใจ ฝึกฝนตัวเองให้เป็นแม่เหย้าแม่เรือนที่ดีให้ได้เสียที”

อินทุอรไม่ทันสังเกต อาการผงะไปนิดหนึ่งของพันธกานต์ ซึ่งยังก้าวเข้ามาไม่ถึงตัว

“แล้วพี่พันธ์ล่ะคะ เมื่อไหร่จะมีพี่สะใภ้ให้อินทุ์ได้เลี้ยงหลาน”

ตอนนี้เธอต้องเปลี่ยนสีหน้าสีตาและความรู้สึก จะบอกใครไม่ได้หรอกว่ากำลังแบกความทุกข์ความโศกตรมอะไรเอาไว้บ้าง

แล้วพันธกานต์ก็ได้แต่ยิ้มๆ ตอนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้าง โดยที่อินทุอรก็ไม่รู้ ว่าในใจของเขาก็หนักอึ้งไม่แพ้กัน

“ระวังนะคะ ยัยหลิวเขายิ่งแซวๆ ที่พันธ์อยู่ด้วย”

“พูดถึงพี่กันสนุกไปเลยละซี”

พันธกานต์พยายามทำเสียงให้สดใส

“คนเราสมัยนี้ก็แปลกนะคะ พอไม่มีใครมาควงคู่ก็มองกันด้วยสายตาแปลกๆ”

“แบบไหนล่ะที่ว่าแปลก”

“ก็... อย่างพี่พันธ์ อาจมีคนสงสัยว่า ไม่รักไม่ชอบผู้หญิงน่ะซิคะ”

อินทุอรยิ้มๆ เมื่อเห็นสีหน้าฉงนสงสัยของเขา

“นั่นซินะ...”

คนทำสีหน้างงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองรับคำอย่างนั้นไปทำไม

“พี่ว่าจะลองนัดบอดดูมั่ง...”

แต่พอต่อบทสนทนาต่อไปด้วยคำนี้ เขาก็ต้องหยุดกึก เพราะอาการยิ้มๆ ของอินทุอรเหมือนจะหุบหายไปในทันที

“ทำไมล่ะ สมัยนี้ยิ่งง่าย เทคโนโลยีการสื่อสาร ให้เราคัดคนที่เราจะเจอได้ก่อนจะเห็นหน้ากันจริงๆ เสียอีก”

“รูปที่ลงตามเวปนั่น อาจไม่ใช่ตัวจริง หรือไม่ก็เป็นตัวจริงที่เป็นสมัยหนุ่มๆ สาวๆ ก็ได้นี่คะ”

“ก็จะได้รู้กันไป ว่าโกหก”

“เขาอาจจะมีเหตุผลของเขา”

“ถ้ามีเหตุผล ก็เป็นเหตุผลที่เห็นแก่ตัวที่สุด คนเรานะอินทุ์ ลองว่าต้องลงทุนหาเพื่อนหาแฟนด้วยวิธีอย่างนั้นแล้ว ก็แสดงว่าถึงที่สุดแล้วจริงๆ แล้วยังมาหลอกลวงกันอย่างนั้น สู้ลงรูปลงประวัติจริงๆ ของตัวเอง แล้วรอให้คนที่ชอบอย่างนั้นเข้ามาเลือกหา จะไม่ดีกว่าหรอกหรือ”

พอเห็นว่าการสนทนายามค่ำ กลางแสงจันทร์พราว และสายลมที่เริ่มรำเพยพัด ดูจะเคร่งเครียดขึ้นโดยไม่จำเป็น อินทุอรก็ต้องเปลี่ยนเรื่อง

“แล้วเรื่องคู่ตุนาหงันของน้องพิมพิ์เป็นไงบ้างคะ เห็นคุณน้าโสภาเงียบๆ ไป”

“ก็... คงไปเร่งรัดเขามากเกินไปละมั้ง พิมพิ์เขาก็เคืองๆ อย่าไปพูดถึงอีกเลย”

“งั้นก็พูดเรื่องพี่พันธ์กันต่อ ....น้องปิ่นของคุณปริยัติล่ะคะ พี่พันธ์ได้สานความสัมพันธ์ไปถึงไหนกันแล้ว”

อินทุอรพูดถึงอีกตัวละคร ที่คุณโสภาพรรณพยายามชักนำให้มาเข้าคู่ ซึ่งคู่นี้ดูจะเป็นไปได้ยากที่สุด เพราะแม้สาวเจ้าจะมีท่าทีสนใจพันธกานต์ให้เห็น แต่คนทางนี้กลับเมินเฉย ไม่หือไม่อืออะไรทั้งสิ้นกับการอุตส่าห์เป็นแม่สื่อแม่ชัก อุตส่าห์พยายามหาทางเชื่อมสัมพันธไมตรีของผู้เป็นมารดาตน

“พี่ไม่ชอบผู้หญิงอ่อนแอ ไร้เดียงสาจนดูแลตัวเองไม่ได้... อย่างอินทุ์ยังดีเสียกว่า ถึงจะนิ่งๆ แต่พี่ก็รู้ว่าอินทุ์รู้จักรักษาเนื้อรักษาตัวได้แน่ๆ”

เหมือนมีมีดปักลงกลางใจ ไม่ใช่ที่เขาวกมายกตัวอย่างผู้หญิงที่ต้องการ ว่าต้องเป็นอย่างเธอนั่นหรอก แต่เพราะคำท้ายต่างหาก

อินทุอรอยากจะย้อนถามกลับไปเสียนัก...

“อินทุ์น่ะหรือคะ ที่รู้จักรักษาเนื้อรักษาตัวได้แน่ๆ”




“ภาคอยากได้ผู้หญิงแบบไหนเป็นคู่ชีวิตกันแน่คะ”

ลลิตาต้องย้ำถาม อยู่ๆ ก็ไม่แน่ใจว่า ที่แล่นมาตามคำชักชวนของเขานี้ จะบั่นทอนความเป็นผู้หญิงดีๆ ที่ตัวเองพยายามแสดงให้เขาเห็นหรือเปล่า

“แล้วคุณชอบผมตรงไหน...”

แทนคำตอบ ภาควัตถามกลับ จนคนถูกถามแทบตอบไม่ถูก

“แหม... ภาคละก็ ต้องถามคำถามแบบนี้ด้วยหรือคะ”

หล่อนใส่จริตเขินอายนิดๆ ลงไป อย่างจะให้เขาเห็นว่ายังไร้เดียงสา

“ตอบมาก่อนซิคะ สำหรับภาคน่ะ หลิว...”

เกือบจะหลุดคำ “ยอมได้ทุกอย่าง” ออกไปแล้วเชียว

“หลิว... จะพยายาม”

แต่ภาควัตยังไม่วายยิ้มๆ ตอนที่สบสายตากับหล่อน ทำไมเขาจะอ่านไม่ออก ว่าประโยคท้ายที่เปลี่ยนไป หล่อนจะพูดว่าอะไร

“ผม... คือ... อย่าถือสาผมเลยนะหลิว ถ้าถามใจผมจริงๆ ผมก็อยากได้คนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง...”

ลลิตาหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ทำไมเล่า เขาถึงออกตัวว่าอย่าถือสา แล้วคำท้ายนั่นอีก จริงหรือที่เขาต้องการเพียงแค่นั้น

“ผมก็เหมือนกับผู้ชายทั่วไปนั่นละ ไม่ว่าใครๆ ก็ไม่อยากจะต้องมารับมรดกตกทอด รับต่อมาจากคนอื่น”

เขาคงเรียบเรียงถ้อยคำได้ลำบากหน่อยละ กว่าจะพูดได้ฟังดูสุภาพขนาดนั้น

“แสดงว่าผู้ชายทั่วไปก็เห็นแก่ตัวกันหมด”

“นั่นหมายถึงผมด้วยใช่ไหม...”

“หรือไม่จริงล่ะคะ ทีตัวเอง จะไปขึ้นเขาลงห้วย กี่หลุมกี่ลานมาแล้วก็ไม่รู้ แต่พอจะมีเป็นตัวเป็นตนเข้าจริงๆ ก็จะหาเอาแต่ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง”

น้ำเสียงของลลิตาไม่ได้เคร่งเครียดเท่ากับถ้อยคำที่พูดนั่นหรอก ทำเป็นไม่รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับเรื่อง “ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง” เพราะต้องการจะทำให้เขาเห็นว่า ในเรื่องอุดมคติของเขานี้ เขาจะได้มีหล่อนนั่นเองเป็นจุดหมายปลายทาง

“ที่ผู้หญิงทั้งโลกจะต้องผ่านมือชายไปก่อนที่จะได้แต่งงาน ไม่คิดบ้างหรือคะว่าก็เพราะพวกผู้ชายนั่นละที่พากันมาพร่าผลาญ ทำสถิติกันเป็นว่าเล่น ว่าต้องผ่านมากี่สนามรบถึงจะได้เป็นยอดชาย”

“ผมถึงบอกว่าอย่าถือสาไงล่ะ ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าถ้าไม่ได้ จะพานอยู่เป็นโสดมันไปอย่างนี้”

ภาควัตตอบยิ้มๆ เมื่อเห็นอาการร้อนตัวที่แฝงอยู่ในการโต้ตอบครั้งนี้

“แต่ถ้าได้อย่างที่คิด ก็บุญของผม”

เขาหยอดต่อไป นัยน์ตายังจ้องตาพราวระยับของหญิงสาวตรงหน้า

“จ้องหาอะไรล่ะคะ ความบริสุทธิ์ผุดผ่องหรืออะไร”

“คุณมีให้ผมไหมล่ะ...”

“ถ้างั้นก็คงต้องเก็บไว้จนวันเข้าหอนั่นละมังคะ ถึงจะได้ชื่อว่ายังบริสุทธิ์ผุดผ่อง ถ้ารีบให้กันเสียตอนนี้ หลิวก็คงไม่เหลือดีอะไรในสายตาคุณอีก”

ลลิตาทำเป็นหลบสายตา ทีท่านั้นแสดงว่ากระดากอายในเรื่องที่เอ่ยเสียยิ่งนัก

“ถ้าคืนนี้ผมจะชวนคุณไปต่อ...”

“อย่าเลยค่ะ... ก็คุณเพิ่งพูดเอง”

“แต่ที่ที่เราเจอกันนั่นมัน...”

“หลิวก็สนุกไปอย่างนั้นเองหรอกค่ะ... ใช่ว่าคนเที่ยวกลางคืน จะง่ายดายเสมอไปเสียเมื่อไหร่”

“นั่นละที่ผมถึงตัดใจจากคุณไม่ได้”

คารมของภาควัตก็แพรวพราวพอกัน แม้ว่าจะไม่ได้ใช้น้ำคำดังนี้มาร่วมปี แต่ก็ไม่ยากเลยที่จะเอ่ยออกมาเพื่อให้คนตรงหน้ารู้สึกตัวว่ามีค่าสูงส่งยิ่งๆ ขึ้นไป

เขาไม่ลืมหรอกว่า ที่ยังสานต่อความสัมพันธ์กับลลิตานั้นเพราะเหตุใด แต่จนถึงวันนี้ วันที่หล่อนทำท่าทุ่มเทหัวใจให้เขาเต็มที่ เขาก็ยิ่งไม่รู้จะถามไถ่ถึงเพื่อนของหล่อนได้อย่างไร

เรือล่องแม่เจ้าพระยายามค่ำ แล่นผ่านสายตาเข้ามา ไฟประดับระยิบระยับนั้นชวนมอง ตรงดาดฟ้าด้านหน้า ผู้คนรื่นเริงสนทนา ดนตรีสดอันมีเปียโนและเครื่องสายฝรั่ง ส่งท่วงทำนองพลิ้วหวานเสนาะหู เสียงนักร้องทุ้มนุ่มดังผ่านมาไกลๆ ส่วนด้านท้ายเป็นบรรยากาศอีกแบบ คือหรูหราสง่างาม สงบเงียบอยู่ท่ามกลางความโรแมนติก

ลลิตาชะเง้อมอง ราวกับอยากจะเห็นตรงสวนท้ายเรือให้ชัดๆ

“ถ้าคุณชอบ พรุ่งนี้ผมจะจองที่นั่งไว้ให้ ดีไหม...”

“อย่าเลยค่ะ... บางที... เราอาจจะเจอกันบ่อยเกินไปก็ได้”

“ทำไมล่ะ หรือว่าคุณอึดอัด”

เสียงเขาซื่อๆ ซื่อเสียจนลลิตาอึดอัดขึ้นมาจริงๆ

“ดีใจเสียอีกสิคะ ที่มีเทพบุตรในฝัน มาชวนดินเน่อร์อยู่ทุกวันทุกคืน”

“ผมน่ะรึ เทพบุตรในฝัน”

“อย่างภาค ไม่ใช่ในฝันของหลิวคนเดียวหรอกค่ะ ของผู้หญิงทุกคนนั่นละ”

“คุณพูดเกินไป...”

เขากระดากเล็กน้อย กับถ้อยคำที่ฟังคล้ายกับการสรรเสริญเกินจริง

“หลิวอาจจะโชคดี...”

หล่อนเว้นระยะ กล้ำกลืนบางคำพูดลงไปเสียก่อนจะเอ่ยต่อ

“...หรือจะโชคร้ายเสียก็ไม่รู้”

คราวนี้ภาควัตเดาไม่ถูก ไม่รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าหมายความอย่างไร

“ไม่เอาละคะ พูดไปก็เศร้าเปล่าๆ... ที่จริงเราดูๆ กันไปก่อนอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน”

แล้วลลิตาก็มีอันต้องเปลี่ยนเรื่อง ด้วยว่าไม่อยากให้น้ำตาของตน เอ่อขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ

“เพื่อนหลิวคนหนึ่ง ตอนนี้มีหนุ่มรุ่นน้องที่ทำงานมาจีบ”

“คุณไม่เคยเล่าเรื่องเพื่อนๆ ให้ผมฟังมาก่อน”

ที่จริงภาควัตสนอกสนใจเต็มที่กับเรื่องนี้ แต่ไม่อยากแสดงออกให้นอกหน้าเกินไปนัก จึงทำเป็นเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบๆ

“หลิวอาจจะคิดว่าเรื่องของเรามันคืบหน้ามาอีกขั้นแล้วกระมังคะ ก็เลยอยากจะเล่าเรื่องเพื่อนฝูงให้ภาคฟังบ้าง”

“แล้วถ้าผมไม่เล่าเรื่องของผมเป็นการตอบแทน คุณจะว่าอะไรไหม...”

“แล้วภาคอยากฟังไหมล่ะค่ะ”

“ถ้าต้องแลกกันเล่าก็ไม่อยากดีกว่า เพื่อนผมไม่ใช่คนดีอะไรนัก”

“ไม่ต้องเล่าก็ได้ค่ะ วันนี้ฟังอย่างเดียวไปก่อน”

พอจบคำ ชายหนุ่มก็ยิ้มให้ทั้งหน้า ขยับตัวขยับเก้าอี้ให้ทะมัดทะแมง แสดงให้เห็นว่าอยากฟังเรื่องของเพื่อนหล่อนจริงๆ

“เธอชื่ออินทุ์... อินทุอร เราสนิทกันมาก ไปไหนก็ไปด้วยกัน...”

“ชื่ออินทุ์หรือครับ เพราะจัง... อินทุอร”

ภาควัตเอ่ยแทรก ภาวนาให้หญิงสาวตรงหน้ากำลังเล่าเรื่องของเธอคนนั้นให้ฟัง ถึงชื่อ “อินทุ์” จะไม่คุ้น แต่ชื่อ “อร” นี่ละที่เขาจำได้แม่น เป็น “ออน” ที่เธอแปลให้ฟังว่า “อยู่ข้างบน” ตอนนั้นเธอยังยกคิ้วให้พร้อมกับยิ้มๆ ด้วยซ้ำ

“แปลว่าดวงจันทร์ค่ะ อินทุอร หญิงที่งามดั่งดวงจันทร์”

นั่นไง... ดวงจันทร์... มันก็อยู่ข้างบนนั่นละ

“ตอนนี้มีรุ่นน้องมาจีบ หล่อเฟี้ยวไปเลย อายุอ่อนกว่ากันสักสองปีได้มั้ง”

“แสดงว่าสวย ถึงมีหนุ่มๆ หล่อๆ มาจีบ แถมยังเป็นรุ่นน้องเสียอีก”

“ก็สวยหรอกค่ะ แต่เพื่อนหลิวคนนี้ออกจะชืดๆ เขาไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัวอะไรเท่าไหร่”

ภาควัตรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย ชักเริ่มไม่แน่ใจว่าใช่คนที่ตนยังรำลึกนึกถึงอยู่ไม่คลายนั่นหรือไม่

เพราะครั้งล่าสุดที่เห็น หากลลิตาบอกว่าแต่งตัวจืดๆ ก็เห็นจะไม่น่าใช่ เพราะชุดแดง สั้นและรัดขนาดนั้น ต้องไม่ใช่ชุดชืดๆ เป็นแน่

“แต่เขาหมั้นแล้วน่ะสิคะ...”

คำต่อมานี่ยิ่งชัด แสดงว่าไม่น่าใช่เธอ คนมีคู่หมั้นแล้ว มีหรือที่จะมานัดบอดอะไรอีกได้ ยิ่งแต่งตัวแบบนั้น มีหรือที่คู่หมั้นของเธอจะยอม

“น่าสงสารผู้ชาย”

“ทำไมคะ... อินทุ์ต่างหากที่น่าสงสาร เขาไม่ได้รักกับผู้ชายคนที่รับหมั้น”

“ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่ หมั้นกับผู้หญิงที่ตัวเองไม่ได้รักยังไม่เท่าไหร่ แต่หมั้นกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักตัวเองนี่... น่าสงสาร”

ภาควัตรำพันต่อไป

“กับรุ่นน้องอะไรนั่นอีก เขารู้หรือเปล่าล่ะครับ ว่าเพื่อนคุณมีคู่หมั้นแล้ว”

“ไม่รู้สิคะ เห็นท่าทางเขาเก้ๆ กังๆ ก็เลยขำๆ กันไป”

“ผมว่าเขาควรจะต้องรู้”

“จำเป็นหรือคะ”

“จำเป็นสิครับ อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง”

“แล้วภาคล่ะคะ มีคู่หมั้นแล้วหรือยัง”

อยู่ๆ ลลิตาก็วกกลับมาได้ง่ายๆ ทำให้ภาควัตเก้อไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำ

“ก็... บอกตรงๆ ว่ายังไม่คิดครับ ไม่กี่วันมานี่ยังมีคุณแม่คนหนึ่ง ทำท่าจะมายกลูกสาวให้อยู่เลย”

“แล้วคุณว่าไง”

“จะว่าไงล่ะครับ แม่ที่เอาลูกสาวมาไล่แจกอย่างนั้น ผมก็จรลี”

“ถ้าเขาสาว สวย รวย... ภาคจะจรลีไหมคะ”

“แม่เขาก็บอกว่าลูกสาวเขาสวย รวย ดี แต่ผมก็ยังเผ่นนี่ครับ”

“นั่นละคะ หลิวถึงอยากถาม ว่าภาคชอบผู้หญิงแบบไหนกันแน่”

ในที่สุดลลิตาก็สามารถวกกลับมาที่คำถามเดิมได้ในที่สุด

“ผมตอบคำถามนี้ไปแล้วนี่...

ภาควัตพูดเรื่อยๆ

“แล้วคุณล่ะ อยากได้ผู้ชายแบบไหนเป็นคู่ชีวิต”

คำถามนี้ ก็ถามแบบยิ้มๆ ไม่จริงจังอะไร

“ก็... ผู้ชายที่ไม่ได้เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น ไม่ใช่ว่าเจอกันแล้วก็จะอะไรๆ กันเลย สมัยนี้ผู้ชายอย่างนั้นหายากนะคะ”

“ก็ผมไงล่ะ”

“แน่ใจหรือคะว่าที่ภาคเฉยๆ อยู่นี่ เพราะเป็นหนึ่งในผู้ชายหายากพวกนั้น”

“ถ้าไม่ใช่พวกนั้นแล้วจะให้ผมเป็นพวกไหนล่ะครับ”

“พวกชอบไม้ป่าเดียวกัน เวลาคบหากับผู้หญิง เขาก็เฉยๆ เหมือนกัน”

“คุณจะกล่าวหาว่าผมเป็นพวกนั้น เพราะผมไม่อยากจะ... น่ะหรือ”

“เปล่าคะ... เพียงแต่...”

ไม่ทันจะพูดให้จบประโยค เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ลลิตาต้องรับ เพราะเป็นอินทุอรที่ต่อสายเข้ามา

“นี่คืนวันพฤหัสนะอินทุ์ เช้าเราต้องมีประชุม ไว้คืนพรุ่งนี้ได้ไหม”

ภาควัตฟังอย่างตั้งใจ ตั้งแต่ได้ยินคำว่า “อินทุ์” พอลลิตาวางสาย หล่อนคงเห็นเขายังจ้องเลยรีบแก้ตัว

“พักนี้เขาแปลกๆ น่ะค่ะ แม่เลี้ยงเขาก็จะเร่งรัดให้แต่งงาน คงเครียด จะชวนไปตระเวนราตรี”

“คุณไม่เห็นบอกผมว่ามีงานตอนเช้า”

คราวนี้ภาควัตยังไม่ทันได้คำตอบ โทรศัพท์ของเขาก็มีเสียงเรียกเข้ามาบ้าง

“ครั้งที่แล้วเอ็งนัดแล้วก็เบี้ยว...”

เขากรอกเสียงเข้มๆ ลงไป

“คืนนี้น่ะรึ”

ระหว่างคำถาม ภาควัตเหลือบมองลลิตานิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ

“กำลังกินข้าว... ไม่แน่ใจ...”

ใจของหญิงสาวตรงหน้าก็กำลังเต้นตึกๆ ตักๆ ลุ้นให้เขาชวนหล่อนไปพบปะกับเพื่อนๆ เสียบ้าง

คนโทร.เข้าวางสายไปแล้ว ตอนที่ลลิตายังยิ้มรอคำชวน

“เพื่อนนะครับ จะชวนไปดื่มกันนิดหน่อย”

“แล้วจะไม่ไปหรือคะ”

“ว่าจะไปส่งคุณก่อน”

ใจของลลิตาห่อเหี่ยวลงในบัดดล คำว่าจะไปส่ง ก็บอกชัดๆ ว่าเขาไม่ได้อยากให้ไปด้วย

“เหมือนภาคพยายามกันหลิวให้อยู่ห่างๆ ชีวิตด้านอื่นๆ นะคะ”

น้ำเสียงนี้เจือด้วยความน้อยใจจริงแท้ โดยไม่ต้องเสแสร้งเหมือนที่เคย

“อย่าน้อยใจนะครับ ผมเป็นอย่างนี้... เปิดใจรับใครยาก แต่อยากให้รู้ ว่าตอนนี้ผมมีแค่คุณเท่านั้น”

“แล้วตอนอื่นล่ะคะ”

ลลิตาดักคอ ผู้ชายเป็นอย่างนี้กันทั้งร้อย จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็จะปล่อยให้เราจมปลักอยู่กับน้ำคำรักหวานฉ่ำ

“ยังไม่มีตอนอื่นในตอนนี้หรอกครับ”

“แสดงว่าจะมี”

“ถ้า...” คราวนี้ภาควัตถอนใจให้เห็น “ถ้ามี... ผมจะบอกคุณเป็นแรกดีไหม”

“โธ่!... อย่าล้อเล่นอย่างนั้นสิคะ แค่นี้หลิวก็ใจเสียจะแย่อยู่แล้ว”

“ได้ยินคุณบอกเพื่อนว่าพรุ่งนี้มีประชุม ผมเลยจะรีบไปส่ง ก็แค่นั้นเอง อย่าคิดมากสิครับ” เขายังอธิบายยิ้มๆ คงไม่รู้สึกสักนิดว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังเคร่งเครียดนัก

ขณะที่ลลิตาก็ยิ่งคิด การทำตัวเป็นผู้หญิงดีๆ หัวอ่อนว่าง่าย นี่มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน





**************************





นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ค. 2554, 21:56:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 พ.ค. 2554, 21:56:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1600





<< 009   011 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account