น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา

แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น

ตอน: 011

11


กระทั่งอินทุอรกระชับเสื้อคลุมอาบน้ำเข้ากับตัวนั่นแล้ว กระดาษชิ้นเล็กๆ ที่คงเหน็บไว้กับตัวเสื้อจึงตกลงสู่พื้น เป็นบันทึกข้อความสั้นๆ เขียนด้วยลายมือของคุณสาวิกา

“ชุดสีแดงแขวนรวมอยู่ในตู้เสื้อผ้าแล้วนะคะ”

คุณแม่บ้านละเอียดลออ รอบคอบเช่นนี้เสมอ สิ่งไรที่มีวี่แววว่าคุณหนูของหล่อนจะถูกตำหนิ ก็จะหาทางป้องกันไว้เสียแต่เนิ่น

ชุดนี้ก็เช่นกัน มันน่ามองเสียเมื่อไร โดยเฉพาะในสายตาของคุณโสภาพรรณ ไม่ต้องสวมให้เห็นด้วยซ้ำ แค่แขวนอยู่เท่านั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะเรียกเธอไปซักไซ้ จนอาจยืดเยื้อเลยเถิด ระรานไปถึงมารดาผู้ล่วงลับ หรือไม่ ก็จะได้มีการทวงบุญทวงคุณกันอีกรอบ โทษฐานเลี้ยงดูมาอย่างดี แต่กลับแสดงออกว่าไม่รักดีเพราะชุดเช่นนี้

ชุดแดง.... แม้สีจะเข้มขรึมไม่น่าจะบาดตา แต่ก็คงมีเรื่องให้บาดใจแม่เลี้ยงเข้าจนได้ คุณสาวิกาอาจคิดดังนั้น จึงเก็บงำให้พ้นจากสายตาของคนที่ไม่ควรต้องพบเห็น

อินทุอรเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ต่อให้สีสันจะข้นเข้มปานใด ชุดสีแดงองุ่นอันมีเลื่อมปักระยับบนผ้าโปร่งตรงเนินอกนี่ ก็ยังโดดเด่นอยู่ท่ามกลางเสื้อผ้าสีอ่อนแนวเบจ ที่เจ้าของนิยมสวมใส่มากกว่าสีอื่น

เธอไล่หาไม้แขวนที่มีถุงคลุมใบทึบสำหรับชุดที่ไม่ค่อยได้ใช้ ได้มาอันหนึ่ง ตั้งใจจะนำมาสวมคลุมชุดของเพื่อน เพื่อเวลาเอาไปคืน จะได้ไม่สะดุดตาใครเกินไปนัก

ทว่า เมื่อจะเปลี่ยนกับชุดที่ซ่อนอยู่เดิม อินทุอรก็ใจหาย เพราะชุดเดิมที่ถูกทิ้งร้างไว้นานวัน คือชุดที่ตนไม่ปรารถนาจะเห็นมันอีกเลย

ต้องถอยมาทรุดนั่งที่ขอบเตียง น้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ สองแขนยังโอบรอบสองชุดนั่นไว้กับอก ดูเถอะ ชุดหนึ่งก็จัดจ้านจนเขาเห็นแล้วต้องทำท่าหมางเมิน ขณะที่อีกชุด ก็นำพาให้เขาเดินเข้ามาแล้วลับหาย

ที่ยิ่งช้ำ คือชุดสีน้ำเงินนี้เขาคงได้ถอด... แล้วเชยชมร่างเธอเสียก่อน

...ก่อนจะทิ้งให้ตื่นขึ้นมาพบกับความเดียวดาย

อากาศยะเยือกเย็น เพราะคุณแม่บ้านขึ้นมาเปิดแอร์ทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนที่เธอแวะไปนั่งเล่นที่ระเบียง แต่ในความรู้สึกของอินทุอรนั้น ผิวเนื้อภายนอกหรือจะหนาวเหน็บเท่าภายใน

โดยเฉพาะตรงหัวใจ ที่รู้สึกเหมือนจมลึกอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งตรงขั้วโลก

ความรู้สึกเงียบเหงาเดียวดายนี้มันช่างทรมานนัก...

ไม่ควรเลยที่จะต้องมาจมปลักอยู่กับอดีตที่ผ่านเลย

รู้ทั้งรู้ ว่าจะเรียกหากลับมาไม่ได้...

ไม่สิ...

ก็...

เขากลับมาแล้ว

ยังเรียกพนักงานพวกนั้น มาช่วยให้เธอรอดพ้นจากฝูงจิ้งจอกราตรี

เขาต้องเห็น... ต้องจำได้...

และน่าจะยังมีเยื่อใย...

อย่างน้อย ก็น่าจะพูดกันได้ จะได้คลี่คลายความจริงให้มันกระจ่างออกไป ว่าเกิดหรือไม่เกิดอะไรขึ้นบ้างในคืนนั้น

อินทุอรรีบโทร. หาลลิตา ตั้งใจว่าจะลองดูอีกสักครั้ง

คราวนี้จะสวมเสื้อผ้าชุดเดิม ไม่แต่งหน้าแต่งตาเต็มยศอย่างที่เขาเพิ่งเห็น จะตอกย้ำให้เขาจำให้ได้...

หากไม่กล้าหรือไม่ชมชอบจะเสวนากับผู้หญิงจ้านจัด การแต่งตัวเชยๆ เหมือนไม่เคยออกเที่ยวกลางคืนมาก่อน อาจถูกรสนิยมเขาก็เป็นได้

หรือไม่... ถ้าเขายังทำเป็นไม่สน ทำเป็นไม่เมียงไม่มอง เธอก็จะพุ่งเข้าไปตรงๆ จะทบทวนความทรงจำเขาด้วยชุดที่สวมใส่ และเรื่องราวบางช่วง บางตอนที่เธอยังพอจะจำได้ไม่ลืม

แต่ลลิตากลับปฏิเสธ

บอกว่าติดประชุมพรุ่งนี้เช้า แล้วก็รีบตัดสาย

ก็คงเป็นข้ออ้างนั่นละ

เพราะเดี๋ยวนี้ หล่อนเห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนไปแล้ว...

อินทุอรรีบอาบน้ำแต่งตัว อย่างที่เพียงพอจะออกไปข้างนอกได้อีกครั้ง ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องกลับไปที่ร้านสุดทางรัก แม้ไม่เจอก็จะถามหา

ท่าทีที่เขาสนิทสนมกับพนักงานที่นั่นพอสมควร คงมีทางสืบเสาะได้บ้างหรอก

ชุดเก่าถูกซักรีดเข้าซองเก็บไว้อย่างดี แม้จะมีกลิ่นอับเพียงเล็กน้อย ชนิดที่หากไม่แนบจมูกลงสูดดม ก็คงจะไม่มีวันได้กลิ่น แต่เมื่อสวมเสร็จ แล้วสำรวจความเรียบร้อย อินทุอรก็ยังพรมน้ำหอมเติมให้อีกนิดหน่อย โดยไม่ลืมจะใช้กลิ่นมวลกุหลาบป่ากรุ่นละมุน ที่เคยใช้เมื่อครั้งเก่าคืนนั้น

ตอนที่ลงมา เลยเวลาละครหลังข่าวไปแล้ว ข้างล่างจึงไม่น่ามีใครอยู่ แต่อินทุอรก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นเหมือนพันธกานต์กำลังแอบซุ่มฟังอะไรอยู่

ไม่อยากจะทัก แต่เขาดันหันกลับมาได้ถูกจังหวะ ตอนที่เธอกำลังจะย่องออกประตูหลัง

“ไปไหนล่ะอินทุ์ เมื่อกี้ยังบอกว่าไม่สบาย”

พร้อมกับคำถาม พันธกานต์ก็ก้าวเข้ามาชิด จับที่ต้นแขนก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นแตะด้วยหลังมือเบาๆ ตรงข้างลำคอ

“ตัวอุ่นๆ พักนี้พี่ว่าอินทุ์ดูไม่ค่อยแข็งแรง น่าจะพักผ่อนมากกว่า”

“ไปให้เห็นหน้ากันหน่อยเดียวน่ะค่ะ พี่พันธ์จำขจีได้ไหม ที่แต่งงานกับหนุ่มอิตาเลี่ยน เขาจะย้ายไปอยู่โน่น คงอีกนานกว่าจะได้กลับ หลิวเพิ่งโทร.มาบอก”

อินทุอรแก้ตัวยืดยาวกว่าที่เคย จนชายหนุ่มแปลกใจ

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ อินทุ์สบายดี ทำอย่างกับว่าอินทุ์ไม่เคยออกไปไหนต่อไหนตอนกลางคืนอย่างนั้นละ”

“พี่เป็นห่วง...”

“รู้ค่ะ ว่าพี่พันธ์ห่วงอินทุ์เสมอ ในโลกนี้ อินทุ์ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า นอกจากพี่แล้ว จะยังมีใครเป็นห่วงเป็นใยอินทุ์อีกไหม”

วี่แววแห่งความน้อยใจ เจือปนอยู่ในน้ำคำนั้นอย่างเห็นได้ชัด

เสียงฮึดฮัดขัดใจ กับอะไรบางอย่างของคุณโสภาพรรณดังแทรกขึ้น จนแม้พันธกานต์จะพาอินทุอรขยับให้ไกลออกมา ก็ยังได้ยิน

“มีเรื่องอะไรกันหรือคะ ปกติไม่เห็นคุณน้า...”

“ยังไม่รู้เหมือนกัน”

เขารีบตัดบท

“พี่พันธ์น่าจะห้าม คุณพ่อท่านยิ่งหัวใจไม่ค่อยดี”

“เรื่องนั้นแม่พี่ก็ทราบ คงไม่มีอะไรมากหรอก งั้นก็ไปเถอะอินทุ์ ไปกันยังไงล่ะ หลิวมารับหรือไปเอง”

ใจจริงเขาอยากเสนอตัว อาสาไปส่งให้ถึงที่หมาย แต่อีกใจหนึ่งยังกังวล เพราะตั้งแต่วันนั้น ลลิตาก็ยังไม่ยอมให้เขาพบหน้าอีกเลย

ขณะที่ยังไม่ทันได้ตอบคำ ลูกสาวคนเล็กของบ้าน ก็ค่อยย่องลงมาจากข้างบน

“นี่ก็อีกคน”

พันธกานต์ทำเสียงระอา กับท่าทางเหมือนกำลังจะหนีเที่ยวของพิมพิกา

“เมื่อไหร่จะโตเสียทีล่ะพิมพิ์”

“พี่พันธ์ละก้อ ถ้าไม่โตเขาจะให้เข้าผับเข้าบาร์ได้ยังไงล่ะค่ะ พอพ้นอายุสิบแปด เขาให้เข้าไปเที่ยวได้ ก็แสดงว่าเขาเห็นว่าโตแล้ว หรือไม่เคยสังเกตเลยว่า น้องสาวคนนี้มันโตขึ้นขนาดไหนแล้วคะ””

พิมพิกาอารมณ์ดีพอจะเล่นลิ้น ทว่าพอหันมาเห็นอินทุอรแต่งตัวเหมือนกับจะออกไปข้างนอกอีกคน ก็เปลี่ยนอารมณ์ไปทันที

“จะไปดินเน่อร์กับพี่ปอนด์หรือยังไงคะ”

หล่อนต้องแขวะไปทางนั้น เพราะเมื่อครู่ตอนโทร.ไปนัด ปริยัติบอกว่าติดธุระ ให้หล่อนไปสนุกกับเพื่อนๆ ตามสบาย แล้วเขาจะตามไปรับกลับ ธุระไหนจะสำคัญจนเขากล้าปฏิเสธหล่อน นอกจากธุระกับผู้หญิงแต่งตัวเชยๆ ตรงหน้านี้

“เปล่าหรอกพิมพิ์ พี่ไปธุระของพี่น่ะ”

“ไปไหนล่ะคะ”

“ก็...”

“แล้วพิมพิ์ล่ะ จะไปไหน”

พันธกานต์เอ่ยแทรก เขาเป็นคนเดียว ที่ไม่ค่อยจะยอมลงให้กับพิมพิกา

“ทำไมคะ เป็นห่วงพิมพิ์หรือยังไง ไม่ต้องหรอก ไปห่วงทางนั้นเถอะ พิมพ์น่ะดูแลตัวเองได้ ไม่ใช่คนอย่างพี่อินทุ์ มัวแต่ทำตัวอย่างนี้ ผู้ชายเขาจะถอนหมั้นซะเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

“พิมพิ์!...”

ทั้งที่ใจก็หวังให้เป็นไปอย่างที่น้องสาวพูดเช่นกัน แต่พี่ชายก็ต้องเอ็ด

“...พูดอย่างนี้ไม่ได้ ขอโทษพี่อินทุ์ซะ”

แต่พิมพิกายังลอยหน้าพูดต่อไป

“พิมพิ์ไม่ได้พูดอะไรผิด ก็หรือไม่จริง คนอย่างพี่ปอนด์น่ะหรือคะ จะอยากมาทิ้งทั้งชีวิตไว้กับผู้หญิงอย่างพี่อินทุ์”

“มากเกินไปแล้วนะ”

พันธกานต์กัดฟันกรอด ไม่สบอารมณ์เลยสักนิด เวลาที่ได้ยินน้องสาวใช้วาจาเชือดเฉือนคนอื่นเช่นนี้

“ไม่มากหรอกค่ะพี่พันธ์ ความจริงทั้งนั้น”

“แต่มันเป็นเรื่องของพี่เองนะพิมพิ์ พี่จัดการเรื่องของพี่เองได้ ไม่ต้องให้...”

ต้นเรื่องต้องขัด เอ่ยเป็นเสียงเย็นๆ อย่างพยายามที่จะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ

“ใครเขาอยากจะไปยุ่งเรื่องของพี่อินทุ์ล่ะคะ ก็แค่... เห็นแล้วรำคาญลูกตา ปล่อยให้คาราคาซังกันอยู่ได้ จะแต่งก็ไม่แต่งๆ กันไป หรือพี่อินทุ์มีใครอยู่แล้ว”

คำย้อนถาม ทำให้อินทุอรต้องนิ่ง

แล้วก็กระเทือนใจนัก เพราะประโยคถัดๆ มา

“คนดีที่มีคู่หมั้นแล้ว ถ้าไม่ได้ไปกับคู่หมั้นของตัวเอง ก็ไม่เคยเห็นใครเขาออกไปตะลอนๆ ตอนกลางคืนนี่คะ พิมพิ์ก็เลยแปลกใจ ไม่ไปกับพี่ปอนด์แล้วจะกับใคร”




ร้านสุดทางรักยังครึกครื้น ที่จริงทั้งซอยปรารถนานี้ด้วยซ้ำ ที่ผู้คนยังขวักไขว่ หลายคนหลายคู่ หลายกลุ่มเหมือนกันที่มองมาทางเธอ

บางคนก็มองแล้วเมิน ส่วนบางคนไม่ได้มองเพียงเผินๆ คงเพราะชุดที่สวมใส่มานี่ละ ทำให้หลายครั้งก็ถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ

อินทุอรไม่อยากสบตากับใครๆ แต่ก็ต้องแลไล่ไปตามระหว่างทาง เพราะอาจมีเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มคน จนสุดซอย จนถึงร้านสุดทางรักนั่นแล้ว ที่ยังปราศจากวี่แวว

พนักงานคนคุ้น อยู่ตรงส่วนต้อนรับพอดี เธอเดินตรงเข้าไปหา แต่เขาทำว่าจำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้คนมากหน้าหลายตา ที่ผ่านไปมาตามความจำเป็นแห่งหน้าที่การงาน เฉพาะตัวเธอเองที่แทบจะเรียกได้ว่า แต่งตัวแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ระหว่างคืนวันนั้นกับวันนี้ จึงมีหรือที่จะถูกจดจำเอาไว้ได้

“ที่บาร์น้ำยังมีที่ไหมคะ”

จำไม่ได้ก็ดีไปอย่าง อินทุอรจะได้ไม่ต้องเอ่ยเท้าความถึงเหตุการณ์นัดบอดคืนล่าสุดที่ผ่านมา

พนักงานเสิร์ฟยิ้มๆ อย่างกับกำลังประเมินว่าเธอเป็นใคร หรือมีอาชีพอะไร จึงได้มาถึงร้านนี้คนเดียว ในเวลาอย่างนี้ แถมยังเลือกทำเลไว้สำหรับคอยเหล่ใครๆ ได้สะดวกที่สุด

“ต้องลองดู ตามผมมาสิครับ”

เขาไม่ได้ให้คำตอบ แต่ก็ไม่ได้ผลักไส เชิญชวนให้เดินตาม ทั้งที่ต้องผ่านคนแน่นๆ เข้าไป แต่อินทุอรก็ยินดี

ยิ่งในระยะใกล้ สายตาของแต่ละคนที่มองมา ก็ยิ่งดูท่าเหมือนกำลังจะขำขัน มันแปลกนักหรือกับชุดเรียบร้อยมิดชิด เธอไม่ได้ใส่เสื้อแขนยาวคอปิดสักหน่อย

แต่ก็ชุดนี้ละ ที่ทำให้พิมพิกาที่อาสาแกมบังคับ ขับรถมาส่งถึงหน้าปากซอย อย่างค่อนข้างมั่นใจว่า เธอจะกลับบ้านโดยเร็ว หลังจากเพื่อนๆ ที่อินทุอรอ้างว่าจะมาเลี้ยงอำลา ล้วนจะต้องเอ่ยปากแซวเอาว่า ไปขุดชุดป้าๆ นี้มาจากกรุไหน

อีกหลายช่วงตัวกว่าจะถึงตรงเคาน์เตอร์บาร์น้ำ แต่อินทุอรชะเง้อมองไปก่อนแล้ว แล้วก็ชะงัก เพราะเขานั่นไง ที่นั่งอยู่ตรงนั้น

ใจเต้นระรัว... ทั้งกลัว ทั้งหวั่นเกรง อยากจะหันหลังกลับแล้วหนีหาย แต่ก็ทำไม่ได้เพราะแขนขาไม่ขยับ ได้แต่นิ่งมองอยู่อย่างนั้น พร้อมกับร้อยพันภาพที่ราวกับความฝันเวียนวนเข้ามา

คืนนั้น จำไม่ได้หรอกว่าตัวเองนั่งอยู่ท่าไหน แต่จำได้ว่ายิ่งเปิดเผยเชิญชวน เมื่อได้สนทนาปราศรัยกับเขานานขึ้นๆ แล้วก็จำไม่ได้หรอกว่า ตกลงปลงใจออกไปพร้อมเขา ให้เขาพาไปไหนต่อไหนได้อย่างไร แต่จำได้ไม่เคยลืม ว่าตนฟื้นตื่นขึ้นมาในสภาพเช่นไร...

อินทุอรหยุดนิ่งอยู่จนพนักงานเสิร์ฟ ที่เดินไปเคลียร์พื้นที่ หาเก้าอี้สูงมาแทรกให้นั่งได้อีกที่ตรงบาร์นั่น ต้องเดินกลับมาตาม

“ว่างอยู่ที่หนึ่งพอดี แต่เบียดนิดนะครับ ไม่ทราบว่ามาคนเดียวหรือมารอเพื่อน”

“มารอเพื่อนน่ะค่ะ”

เธอตอบให้พอรอดตัว ก่อนจะเดินตามเข้าไป

ตอนแรกเขายังไม่เห็น แต่พอหันมาเห็นก็มองค้าง...

เขามากับเพื่อน

จนเพื่อนของเขามองตาม แล้วหันกลับไปสะกิดกันนั่นแล้ว เขาถึงมีท่าเหมือนเพิ่งได้สติ

มีผู้ชายคู่หนึ่งคั่นอยู่ระหว่างเธอกับเขา และเพื่อน

เพื่อนคนนี้คงเก๋าไม่ใช่เล่นเชียวละ เพราะพอเห็นท่าทางของเขา กับคงเห็นเหมือนเธอเป็นไก่อ่อนหลงเล้า จึงรีบสะกิดขอทางสองหนุ่มนั่น เปลี่ยนเลื่อนที่นั่งมาจนได้ชิดใกล้

เขาได้แต่แลมอง ขณะที่เธอก็กล้าประสานสายตา

...อยู่ตรงหน้านี่แล้วไงล่ะอินทุ์... พูดออกไปสิ... ถามออกไปสิ...

อินทุอรพร่ำบอกกับใจตัวเอง ทั้งที่ริมฝีปากยังไม่ได้ขยับเอื้อนเอ่ยสิ่งใด

“ดื่มอะไรดีครับ”

พนักงานหลังเคาน์เตอร์ทักทาย

เธอสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนเอ่ยตอบ

“บ... บลูมาการิต้า... ค่ะ”

คนรับคำสั่งยิ้มๆ พยักให้นิดหนึ่ง เป็นเชิงบอกว่ายินดีบริการ

แม้เหล้าขาวเหล้าสีทุกชนิดทุกสัญชาติจะถูกตั้งวางไว้เรียงราย แต่บาร์เทนเดอร์คนไหนเล่าจะอยากปรุงคอกเทลในค่ำคืนที่วุ่นวาย ไหนจะต้องตวงต้องผสม ต้องเขย่าต้องบรรจงริน เพราะท่าทางสุภาพของเธอนั่นหรอก ที่ทำให้เขายอมทำตาม โดยไม่เอ่ยปากเสนอคอกเทลปรุงสำเร็จ ที่บรรจุขวดขายในหลายยี่ห้อ

“มาคนเดียวหรือครับ ผมการันย์ นี่เพื่อนผมภัควัน”

เพื่อนเขาเป็นคนเอ่ยทัก หลังจากพิจารณาเธออยู่อีกอึดใจ

อินทุอรเห็นว่าเขาใช้หมัดหลวมๆ ตุ๊ยท้องเพื่อนเบาๆ ตอนออกชื่อ ภัควัน

เธอจำเป็นต้องยิ้มนิดๆ รู้สึกชัดเจนว่าไม่ได้ยิ้มให้เขา เพียงแค่ส่งไปให้การันย์แทนคำตอบเพียงเท่านั้น

การันย์ยกคิ้ว ถามซ้ำคำเดิมโดยไม่เอ่ยปาก

“รอเพื่อนค่ะ...”

อินทุอรถนอมถ้อยคำ ขณะสายตาแลผ่าน แม้ใบหน้าของการันย์จะขวางกั้น แต่เธอยังเห็นเขาเท่านั้นในสายตา

“ผมแนะนำตัวเองแล้ว แล้วคุณล่ะครับ”

“อร... อรค่ะ อรอินทร์”

เสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้นมาเบาๆ การันย์ตะปบหาที่หน้าขาของตนเอง ล้วงมือถือเครื่องเล็กออกมาดู พอเห็นหมายเลขที่โทร. เข้า ก็หันไปพยักพเยิดกับเพื่อน

“ไอ้ยุต ขอตัวเดี๋ยว... คุณอรนั่งเป็นเพื่อนกับเพื่อนผมไปก่อนนะครับ”

คนพูด พูดราวกับจะฝากฝังเพื่อนของตนไว้กับเธอ ก่อนที่จะรีบแทรกตัวผ่านผู้คน ตรงออกไปด้านนอกร้าน

พอเหลือเพียงแค่สอง ต่างก็ได้แต่มองหน้ากันไปมา

ภาพความหลังประเดประดัง วนเวียนไปมาอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อินทุอรหวังเหลือเกินให้เขาก็กำลังเกิดภาวะเช่นที่เธอกำลังเป็น

ชุดอย่างนี้ น้ำหอมกลิ่นนี้ ทำผมแบบนี้...

หน้าตาแบบนี้... ทุกอย่างเหมือนเดิมขนาดนี้ จะจำไม่ได้กันเชียวละหรือ

แต่คล้ายเธอจะลืมวิธีการพูดจาไปแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเลยสักคำ

“ผม... ภาควัต... ไม่ใช่ ภัควัน”

เสียงเขาก็อ้อมแอ้มไม่เต็มคำ จนคนฟังต้องถามซ้ำ

“อะไรนะคะ”

“ผม ชื่อ ภาค... ภาควัต ไม่ใช่ภัควัน”

พอได้ยินเต็มหู อินทุอรก็ตกใจ “ภาค” ซ้ำยังเป็น “ภาควัต” เสียอีก

แล้วเธอก็หูอื้อตาลาย ภาวนาอยู่แต่... ไม่ใช่... ต้องไม่ใช่...

“คุณอร... อรอินทร์ เราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่าครับ”

“ไม่... ไม่ใช่... ใช่... เอ่อ...”

จนไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร ทั้งไม่ ทั้งใช่ ทั้งไม่ใช่ ไม่รู้จะเอาอะไรมาตอบคำ

“ผมจำคุณได้... จำได้... เสมอ”

“คะ... ค่ะ...”

“ผมขอโทษ”

น้ำตาของอินทุอรไหลพรากลงทันทีที่ได้ยินคำนี้ ความอัดอั้นทั้งหลายพลันทลาย แสดงว่าเขารู้ดีว่าทำอะไรลงไปบ้างในคืนนั้น

ทั้งปลดเปลื้อง ทั้งหนีหาย

“คุณ... คุณไปอยู่ที่ไหนมา”

จบคำเธอก็เริ่มสะอื้นไห้ จนภาควัตต้องรวบศีรษะให้เข้ามาอิงซบ ซับน้ำตากับไหล่ของตน

“ผมขอโทษ ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”

เขาพร่ำกระซิบถ้อยคำ ขณะที่โอบปลอบก็พยายามถ่ายทอดความรู้สึก ว่าระหว่างที่ห่างหายจากไป เขาก็ไม่เคยลืมเธอได้สักวันเช่นกัน




ภาควัตไม่คิดหรอกว่าจะได้เจอเธอในวันนี้ และยิ่งไม่คิดเลยว่า จะได้เจอเธอในชุดนี้ ในสภาพเช่นนี้

เขาตะลึงงันตั้งแต่ที่เธอผ่านเข้ามาในสายตา หลงคิดไปว่าห้วงเวลาได้ย้อนกลับ นำเธอคนนั้นให้กลับมาสู่เขา มาช่วยถ่ายถอนความคะนึงหา ที่ติดตรึงอยู่ไม่รู้วาย...

ทั้งที่อีกใจ...

ยังจำได้ติดตา ในคืนของสัปดาห์ที่ผ่าน ก็เธอคนนี้ละที่แต่งตัวจัดจ้านมาที่โต๊ะนัดบอด เขาผิดหวังเหลือเกินในวันนั้น คิดไปต่างๆ นานา ว่าเธอคงไม่เหลือคุณค่าให้คิดถึง แต่พอมาคืนนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นกลับมลายหาย

ความห่วงหาเข้าท่วมท้น ความคะนึงถึงเต็มเปี่ยมทั้งหัวใจ

เธอก็จ้องมองมาไม่วางตา ไม่ยิ้ม... คงกำลังตัดพ้อ

เขานึกอยากให้เธอตะโกนด่าทอ เป็นคำหยาบๆ คายๆ แค่ไหนก็ได้ ที่จะทำให้เขาไม่ต้องนึกสงสารเธอเท่านี้

ด่าทอเขาให้สมกับสาวที่ชำนาญการระเริงราตรี ติดปีกติดหาง ติดเขี้ยวเล็บ มีฝีปากกร้านกล้า เอาไว้จิกด่าผู้ชายที่ทอดทิ้ง

แต่เธอไม่เอ่ยสิ่งไรสักคำ นอกจากสายตาที่อาดูร ที่ส่งมาไม่วางตา

ตอนการันย์ขอเปลี่ยนที่นั่งกับอีกสองหนุ่ม จนตอนแนะนำชื่อเสียงเรียงนามปลอมๆ ของเขานั้น ภาควัตก็ยังไม่รู้จะพูดอย่างไร เขาผิดเต็มประตู เขาย่อมรู้อยู่แล้ว หรือเธอจะจำเขาได้เมื่อครั้งล่าสุดที่ผ่าน จึงพยายามอีกครั้งในคืนนี้

จนเพื่อนเขาขอตัวออกไปรับสาย จึงได้หลุดปากออกไป

ใจตนคงอยากสารภาพอะไรสักอย่าง...

อย่างน้อย ก็เริ่มต้นด้วยชื่อจริงๆ ของตนเอง

พอเธอเหมือนได้ยินไม่ถนัด เขาถึงได้คิด... พลาด...

หากลลิตาสนิทสนมกันไปไหนมาไหนด้วยกันขนาดนั้น ชื่อ ภาควัต ต้องถูกเล่าสู่ ทั้งการปฏิบัติที่เขาแสดงออกต่อหล่อน ก็ไม่ยากจะเดาได้ว่า เพื่อนของเธอตรงหน้านี่ จะเอ่ยถึงเขาในฐานะอย่างไร

แต่สุดที่ใจจะต้านทาน ทำเป็นเพิ่งพบเพิ่งเห็น รับรู้ว่าเพิ่งมีเธอโผล่เข้ามาในชีวิตก็คืนนี้

ภาควัตเอ่ยถามถึงความเก่า ว่าเราเคยเจอกันมาก่อน

นั่นย่อมบอกให้รู้ด้วยว่า เขายังจดจำเธอได้ไม่ลืม

แม้นชื่อเสียงเรียงนามจะผิดแปลก

ไม่ว่าจะ... อรอินทร์... หรือ อินทุอร...

เขาก็จำเธอได้แม่นยำ

แล้วก็ได้เอ่ยคำขอโทษ คำที่เขาพร่ำพูดกับตนเองมาเป็นแรมปี หวังจะให้หญิงสาวไร้เดียงสาคนหนึ่งอาจได้รู้ ว่าคนที่พาเธอไปยังที่อันไม่เหมาะไม่ควร พาเธอไปปลดเปลื้อง แล้วจึงค่อยรู้ว่าเธอยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ยิ่งนัก คนคนนี้รู้สึกผิดบาปอย่างมหันต์ ที่คิดจะพล่าผลาญ

และที่คงจะเป็นความผิดหนักที่สุด ก็คือเขากลับทิ้งเธอไว้เดียวดาย ผละหนีเธอมาทั้งที่ไม่ควรเลยสักนิด

หลังจากคืนนั้นเขายังปรามาสตัวเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

...ไอ้ภาค... มืงน่ะหน้าตัวเมืยชัดๆ... ที่ทิ้งเขาไว้อย่างนั้น...

เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านๆ ครั้งกระมังที่เขาก่นด่าตัวเอง

แล้วนี่ คำสั้นๆ ง่ายๆ เพียงแค่นี้หรือที่จะช่วยบรรเทา ให้เธอยอมไถ่ถอนโทษทัณฑ์ที่เขาก่อเอาไว้

แต่จะให้แก้ตัวอย่างไรได้ ไม่มีเหตุผลอื่นใดหรอกที่จะยกมาเป็นข้ออ้าง กับการกระทำที่ตนเคยเรียกมันว่า “อย่างหมฺาๆ” แบบนั้น

แล้วน้ำตาที่ไหลพรากของเธอก็ยิ่งทำให้ภาควัตสะเทือนใจ

เธอคงโศกเศร้านักหนา กับค่ำคืนที่ไร้คำอำลา

กับค่ำคืนที่เปล่าเปลี่ยวเดียวดาย

เธอคงขวัญหาย ที่ตื่นมาแล้วพบว่าร่างกายเปล่าเปลือย... ท่ามกลางห้องใหญ่... ที่ไหนก็ไม่รู้...

“ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ ครับอร...”

เขายังย้ำพร่ำคำเดิม ขณะที่โอบเธอเข้ามาอิงซบ น้ำตาที่เปียกเสื้อ ราวกับแทรกซึมตรงเข้าสู่กลางใจ เขายิ่งปลอบ เธอก็ยิ่งสะอึกสะอื้น แม้จะมีเสียงเพียงแผ่วเบา แต่ก็ดังก้องราวกับเสียงเลื่อนลั่นของจักรวาล ตอนที่หมู่ดาวนับหมื่นแสน แตกลับดับหายลงพร้อมกัน

อีกพักใหญ่ที่ยังไม่มีใครสนใจใคร ไม่ว่าใครจะแนบชิดซุกซบอยู่กับใคร ในสถานที่อย่างนี้ หากมีคู่กันเสียแล้ว ก็มีอันหมดความสนใจกับคนคู่นั้นไปโดยปริยาย

นอกจากจะมาเป็นกลุ่ม ที่พอจะลุ้นเข้าไปจับคู่ หรือจะมาเดี่ยวให้ลองได้ใช้ความ “เชี่ยว” เข้าไปทาบทาม นอกจากนี้แล้วเหล่านักท่องราตรีล้วนไม่ใส่ใจ

จนการันย์เดินยิ้มกริ่มเข้ามานั่นแล้ว ภาควัตจึงต้องกระชับวงแขนเป็นสัญญาณ ให้รู้อินทุอรรู้ว่าเพื่อนของเขากลับมาแล้ว

“อินทุ์... เรียกอินทุ์ค่ะ... ไม่ใช่อร...”

เธอก็คงพอจะสงบสติอารมณ์ได้บ้างแล้ว จึงกระซิบบอก ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตน ถึงมันจะไม่เหือดหายไปในทันที ก็ยังดีกว่าจะให้เปียกชุ่มอยู่ทั้งสองแก้ม

การันย์พยักหน้าเป็นเชิงถาม ว่าสถานการณ์อยู่ในรูปแบบไหน

ภาควัตก็ยกคิ้วให้ ระบายลมหายใจเบาๆ ออกมาก่อนเอ่ยคำ

“ชยุตจะมาไหม”

คนถูกถามส่ายหน้า ทำท่าละเหี่ยใจกับเพื่อนคนนั้นอยู่เต็มที

“งั้นเราคงต้องขอตัว... นะ”

ตอนที่ภาควัตพูดคำนี้ อินทุอรยังไม่หันมามองการันย์ จนทั้งคู่เงียบไปอีกเป็นอึดใจ แล้วอ้อมกอดของเขาคลายลงอีกมากนั่นละ ที่เธอต้องหันกลับมามอง

แล้วก็ต้องใจหาย

เพราะคนที่จ้องเขม็งมานั่น สีหน้าเย็นชืดชาเฉย ทั้งที่ดวงตาทั้งสองราวกับมีกองไฟลุกโพลงเริงร้อน คำที่อินทุอรพึมพำทักทายออกไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพื่ออะไร

“หลิว... เรา... คุณภาค... เธอ...”




นายอิศราเดินสวนออกมาตอนพันธกานต์ทำท่าเหมือนเพิ่งลงมาจากชั้นบน สีหน้าท่านไม่สู้ดี เขาจะเอ่ยทักถาม แต่ถูกยกมือห้ามไม่ให้ต้องพูด

“ไปคุยกับแม่เถอะพันธ์ พ่อเหนื่อยนัก ต้องขอตัว”

แล้วชายวัยใกล้ชราเต็มที ที่พันธกานต์เคารพรักเหมือนบิดาบังเกิดเกล้า ก็เดินเลี่ยงขึ้นชั้นบนไปเงียบๆ

พอพันธกานต์หันกลับ ก็พอดีที่มารดาของตนเดินตามออกมา

“คุณแม่...”

เขาเรียกให้หยุด เพราะท่าทางของมารดา เหมือนกำลังจะตามไปราวีกันต่อไป

“คุณพ่อคงยอมแพ้”

“ยอมพ้งยอมแพ้อะไร พูดจากันยังไม่รู้เรื่อง ก็เดินหนี เรื่องนี้แม่ไม่มีวันยอม”

คุณโสภาพรรณยังโวย และแม้เขาจะพอจับใจความได้บ้างแล้ว แต่ก็ต้องถาม

“มีเรื่องอะไรหรือครับ ท่าทางคุณพ่อไม่สบายเลย”

“เชอะ! ตาพันธ์ คำก็คุณพ่อ สองคำก็คุณพ่อ ตาแก่นี่มันใช่พ่อแกเสียที่ไหน!”

คนแว้ดใส่ อารมณ์ร้ายยังคั่งค้าง เมื่อถูกบุตรชายดักทางไว้ ไม่ให้ติดตามนายอิศรา หล่อนจึงหันมาลงเอากับอีกคนที่กล้าขัดใจ

“เราน่ะ จะไม่มีบ้านอยู่กันแล้ว รู้บ้างไหม!”

มารดายังขึ้นเสียงต่อไป เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย มากกว่าที่พันธกานต์ได้ยินมาทั้งหมดอีกหลายเท่า เพราะที่ยืนฟังอยู่จนจับต้นสายปลายเหตุได้เกือบหมด ก็คือมารดาของตน ไม่ยอมที่นายอิศราเอ่ยปรึกษาเรื่องจะยกทรัพย์สินเดิม ที่แม่ของอินทุอรบอกว่าจะเก็บไว้ให้ลูกสาว ซึ่งทรัพย์สินเดิมนั้นคือส่วนใหญ่ ของที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านทั้งที่ดิน

โดยเฉพาะเรือนใหญ่และที่ดินผืนนี้ ที่มีพินัยกรรมชัดแจ้ง ว่าต้องยกให้อินทุอร

“มีอย่างที่ไหน เราก็ช่วยกันก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา”

คุณโสภาพรรณยังไม่สร่างความโกรธา

“ไม่มีทางเสียละ ที่คนอย่างฉันจะให้ใครก็ไม่รู้มาชุบมือเปิบ”

“ใครกันครับ บ้านช่องของเรา ไม่น่าจะมีใครอื่นมายุ่งเกี่ยว”

พันธกานต์ยังต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร

“ก็ไอ้พวกเราน่ะซี้... พวกเราน่ะมันเป็นคนนอก ถึงจะมีลูกมีเต้าด้วยกันจนโตเป็นสาวขนาดนั้น เขายังมองว่าเราเป็นคนอื่น”

คนพูดยังตัดพ้อ ซึ่งบุตรชายเข้าใจได้ว่า มารดาคงทั้งเสียใจและเสียดาย บ้านช่องห้องหอที่อยู่กันมาร่วมยี่สิบสามสิบปี

“แกแอบรักแอบชอบยัยอินทุ์อยู่ใช่ไหมล่ะพันธ์”

พันธกานต์หน้าชาวาบ ไม่คิดว่ามารดาจะวกกลับมาที่เรื่องลี้ลับในใจของตนเอง

“เอ่อ... ก็...”

“ถ้าแกรักจริง แม่ก็จะยอม...”

เขายังงงกับคำพูดของผู้เป็นมารดา

“มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับคุณแม่”

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ คนละพ่อคนละแม่ ไม่มีส่วนไหนจะเกี่ยวข้องกันทั้งนั้น”

คราวนี้ความหมายฉายชัด คุณโสภาพรรณยินดีให้เขาสมปรารถนา

“แต่มันไม่เหมาะ... เราอยู่บ้านเดียวกัน นับถือกันเป็นพี่เป็นน้อง”

พันธกานต์ยังบ่ายเบี่ยง แล้วก็ไม่คิดว่าจะได้ยินถ้อยคำต่อไปจากปากของมารดา

“ก็รวบรัดตัดตอน ให้ได้ตัวกันเสียก่อน แล้วทุกอย่างก็จะเหมาะสมไปเอง”


*************************



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ค. 2554, 21:56:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 พ.ค. 2554, 21:56:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1525





<< 010   012 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account